|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์)

เชื่อหรือไม่ว่าหากเราสวดมนต์ (ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียง ที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกล ๆ ได้

การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือVibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่าง ๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจากสวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกันว่าคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ???

คลื่นแห่งการเยียวยา
การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่าง ๆ กัน
ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าว เริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวดก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้า ๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย
เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์ รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้
สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วย คลื่นเสียงช้า ๆ สม่ำเสมอประมาณ 15นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลาย ๆ ชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ
ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่น ๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าว และอาการพาร์กินสัน
นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อ ประสาทอื่น ๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้ และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่เป็นตัวกระตุ้นของการ ทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า
หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลาย ๆ ประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง
เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่น ๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไว และอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสน และเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ
และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่าง ๆ ได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์
สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ
อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
เวลาเราสวดมนต์นาน ๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากัน ตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตาม วิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น
และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า
เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย
ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่าง ๆ ในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อย ๆ เข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียง เพื่อรักษาโรคจาก เสียงต่าง ๆ เช่น
โอม ...... กระตุ้นหน้าผาก ฮัม ....... กระตุ้นคอ
ยัม ....... กระตุ้นหัวใจ ราม .......กระตุ้นลิ่นปี่
วัม ....... กระตุ้นสะดือ ลัม ....... กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด
รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ
1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ
2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้น ๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด
เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์ และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกาย และจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศ ที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วย และโรคร้ายดังต่อไปนี้
1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง
5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก
9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน

สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค สวดมนต์บำบัดมีวิธีการ และจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3แบบ
1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ
● ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน
● หาสถานที่ที่สงบเงียบ
● สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาว ๆ จะได้ความผ่อนคลาย และความศรัทธา
● ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน
ที่สำคัญ ... ควรสวดแบบเปล่งเสียงดังพอควรอย่างนอบน้อม ตั้งจิต ตั้งใจ ให้ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ใช่สวดในใจ หรือสวดแบบรวดเร็ว เพราะง่วงจัด
2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์ เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่าง ๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้น ๆ ลง ๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้
3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่

อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้
คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกล ๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้า และสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกล ๆ
บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก
การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป
เลือกสวดมนต์อย่างไรดี แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า
น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น
พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย

ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่น ๆ คือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด
อยากให้ตัวเอง และผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุข และยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ
Credit : นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551
Create Date : 03 มกราคม 2554 |
Last Update : 3 มกราคม 2554 11:22:54 น. |
|
34 comments
|
Counter : 8665 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 มกราคม 2554 เวลา:12:46:29 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 มกราคม 2554 เวลา:21:41:25 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 มกราคม 2554 เวลา:20:12:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 มกราคม 2554 เวลา:6:19:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 มกราคม 2554 เวลา:22:04:29 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:20:35:16 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:41:15 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:12:55:46 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:07:04 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:6:57:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:34:44 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:50:15 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:6:51:10 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:32:18 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:02:55 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:04:11 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:44:47 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:42:17 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:6:16:25 น. |
|
|
|
โดย: บัณฑิต IP: 14.207.73.84 วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:22:17:05 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 มิถุนายน 2554 เวลา:5:24:18 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:6:21:37 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:6:27:08 น. |
|
|
|
โดย: Mian_lover วันที่: 14 เมษายน 2555 เวลา:18:26:51 น. |
|
|
|
โดย: วีณา IP: 75.32.6.59 วันที่: 18 กรกฎาคม 2555 เวลา:1:13:07 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กันยายน 2555 เวลา:6:31:22 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 กันยายน 2555 เวลา:6:51:46 น. |
|
|
|
โดย: Mariomab IP: 190.2.133.230 วันที่: 14 มิถุนายน 2564 เวลา:4:52:08 น. |
|
|
|
โดย: BennieRar IP: 190.2.130.167 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2564 เวลา:22:45:35 น. |
|
|
|
โดย: Louisunalo IP: 89.38.97.125 วันที่: 11 ธันวาคม 2564 เวลา:17:21:09 น. |
|
|
|
โดย: DJCharlesSyday IP: 92.119.179.84 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา:13:09:47 น. |
|
|
|
โดย: Richardsaisa IP: 213.159.38.90 วันที่: 15 พฤษภาคม 2565 เวลา:7:00:35 น. |
|
|
|
โดย: MatthewhulsE IP: 45.132.194.17 วันที่: 2 ธันวาคม 2566 เวลา:2:24:14 น. |
|
|
|
โดย: Jamesdob IP: 57.129.53.187 วันที่: 22 ธันวาคม 2567 เวลา:3:58:16 น. |
|
|
|
|
|
|
|