พฤษภาคม 2551เสียดาย [VCD] -> เกรด A <- {Super Recommended}
(ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้จาก การเรียนวิชาเลือก "สายสัมพันธ์ครอบครัว" ครับ)
นี่เป็นหนังหนึ่งเรื่องในลิสต์หนังดีของท่านมุ้ย (มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล) ที่ควรหามาดูเป็นอย่างยิ่ง ...ไม่ว่าจะในมุมของคนทำหนัง ที่มีศาสตร์และศิลป์มากมายให้ศึกษา (ผมพบว่าหนังมีสัญลักษณ์ทางภาพมากมาย ที่สะท้่อนออกมาได้อย่างลึกล้ำ) และกระทั่งในมุมของคนดูหนังทั่วไป ก็น่าจะมีโอกาสได้ดู เพราะนี่คือหนังที่(เหมือนจะ)เป็นจดหมายเหตุในช่วงสมัยเวลาหนึ่ง (หนังฉาย พ.ศ.2537) ที่ประเทศไทย เคยประสบกับปัญหายาเสพติดในหมู่วัยรุ่น จนแยกได้ยากเย็นว่า คนไหนติด ไม่ติดยาบ้าง (ถึงสมัยนี้ จะไม่ค่อยหนักหนาเท่า แต่ยังไงก็ต้องมีอยู่ซ่อนในซอกหลืบลับๆอีกมากมายเป็นแน่)
อีกงานมาสเตอร์พีซของท่านมุ้ยเรื่องนี้ ...สามารถตีแผ่ด้านมืดของสังคมออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่กลัวเกรง (ซึ่งนั่นก็คงเป็นลายเช็นที่พบเห็นได้จากงานอีกหลายๆของท่านมุ้ย) แม้ฉากหลายๆฉากจะออกมาแรง (และโดนเซ็นเซอร์ไปตามระเบียบ..เฮ้ออออ!!!) แต่มันก็จริงจนน่าขนลุก กระทั่งกับผมที่เพิ่งได้มาดูเอาตอนนี้ ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นความเชยเลย ...การเดินเรื่องของหนังที่ตัดสลับฉากแบบไม่ลำดับเวลา อาจจะถือว่าสร้างความงุนงงได้พอสมควร ในช่วงเวลาแรกๆ (เพราะเรื่มมาเราก็เห็นเด็กๆตัวเอกติดยาแล้ว) แต่พอเราได้รู้เรื่องปูมหลังของบรรดาตัวละครหลัก เราก็จะเริ่มติดยึด และมองออกว่า ฉากนั้นฉากนี้ มันเกิดขึ้นตอนไหน ...และหนังก็ใช้วิธีนี้ ที่ทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของตัวละครเด็กทั้ง 4 ซึ่งความเป็นจริงแต่แรกเริ่ม เธอไม่ผิดเลย ...หากมันขึ้นอยู่กับ ความไม่อบอุ่นในครอบครัว พ่อแม่มีปัญหา ที่นำพาให้พวกเธอทั้งหมด ดำดิ่งลงสู่นรก ที่ไม่มีวันจะผุดหัวเกิดขึ้นมาได้ใหม่
ในขณะที่บรรดาผู้ใหญ่ในเรื่อง(ที่ล้วนได้นักแสดงคุณภาพฝีมือเยี่ยม มาเติมเต็มความเข้มข้น อาทิ ลุงสรพงศ์ ชาตรี , ธัญญา วชิรบรรจง) พาลบอกว่า เด็กมันมีปัญหาเอง ..หากก็ไม่เคยมองย้อนกลับมายังพวกเขาเองที่เป็นตัวต้นเหตุ และคอยผลักไสให้เด็กมันต้องออกไปเผชิญปัญหาลำพัง แล้วก็กลับมาเพื่อเจอการโดนด่า ตบตี เป็นอย่างนี้ อย่างมีวัฎจักร
การแสดงของทีมนักแสดงเด็กวัยรุ่นในวันนั้น (ที่วันนี้ ...คุณเขมสรณ์ ก็สวยเฉิดอ่านข่าวช่อง 5 , คุณวิจิตรา หายหน้าไปเลย , คุณนุสรา เล่นละครบ้างประปราย) ล้วนแต่ทำหน้าที่ได้หนักแน่นมากๆ ต่างแสดงความน่าสงสารชวนให้เห็นใจ ทั้งๆจะว่าไป เธอก็ทำตัวของเธอเองแทบทั้งนั้นแหละ
ผมมีความรู้สีกที่แอบให้เสียดาย อยู่หน่อยที่ ตอนจบของหนัง ค่อนข้างจะเล่าเร่งไปนิดนึง ...เลยไปมีผลทำให้ภาพในฉากสุดท้ายของหนัง ไม่สวยงาม อย่างที่หนังต้องการให้เราได้เห็นมุมดีๆอย่างเต็มที่
แต่ถึงกระนั้น "เสียดาย" ก็คือ จดหมายเหตุฉบับสำคัญของหนังไทย ...ที่สามารถนำมาเป็นบทเรียนศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ "วัยรุ่น" ได้อย่างยอดเยี่ยม อีกหนึ่งฉบับ ...ต้องขอขอบคุณ อาจารย์ผู้สอน ที่เลือกเอาหนังเรื่องนี้มาให้ผมได้ดู และขอบคุณ ท่านมุ้ย เป็นที่สุด ที่สร้างหนังแรงๆเรื่องนี้ขึ้นมาให้ วัยรุ่นทุกคน ควรจะได้ดูสักครั้งในชีวิต
Indiana Jones : Raider of the Lost Arks [VCD] -> เกรด B+
ก่อนที่อีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า จะถึงทีกลับมาเฉิดฉายอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร เป็นหนที่ 4 ของตำนานยอดนักผจญภัย ที่ยังมีลมหายใจ ...ผมเลยรีบคว้าโอกาสตามทยอยเก็บไตรภาค ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเสียเลย เผื่อจะมีผลให้ดูภาคล่าสุดได้มันส์และเข้าถึงในตัวตนและจิตวิญญาณของ "อินเดียน่า โจนส์" เป็นที่สุด
"Raiders of the Lost Ark" ...เปิดประเดิมตำนานของ ดร. โจนส์ อาจารย์วิชาโบราณคดี ที่ชื่นชอบการทำงานภาคสนาม มากกว่าอุดอู้ในห้องเรียน ...หนังในภาคนี้ว่าด้วย ภารกิจตะลุยอียิปต์ ตามหาหีบพระบัญญัติทองคำ เพื่อเป็นการช่วงชิงไม่ให้กองทัพทหารนาซี จะแย่งนำไปใช้ในทางสร้างอำนาจบารมีของตัวเอง
ถ้าผมได้ดูหนังเรื่องนี้ ในช่วงเวลาประมาณ 20 ปีที่แล้ว คงเชื่อได้เลยว่า จะต้องตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน... แต่เมื่อมาดูในวันนี้ที่เคยเห็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้มาก่อน (แม้รู้ว่ามันจะทำด้วยคอมพิวเตอร์ซะมากก็ตามที) ก็เลยค่อนข้างเฉยกับฉากแอ๊คชั่นทั้งหมดทั้งมวล ...แต่สิ่งหนึ่งที่ยอมรับว่ามันดูใหม่ได้อยู่ในเวลานี้ ก็คือ มนต์เสน่ห์ และความคลาสสิค ที่ถือเป็นต้นแบบของหนังแอ๊คชั่นอีกหลายต่อหลายเรื่องที่ผมเคยผ่านตามาแล้วทั้งนั้น ...ฉากแทบทุกฉาก ที่มันดูคุ้นตาไปเสียหมด เมื่อได้มาดูในหนังเรื่องนี้ ก็ก่อเกิดความรู้สึกลึกๆ ว่ามันยังดูเท่ห์เหลือหลายดีจัง
แม้ "แฮร์ริสัน ฟอร์ด" จะเคยเกิดแล้วดังมาก่อนหน้า ในตำนานมหากาพย์อวกาศ Star Wars ...แต่ถ้าจะถามว่าบทใดที่ดูเป็น ตัวตนและวิญญาณของลุงฟอร์ด มากที่สุดแล้ว ก็คงไม่พ้น ดร.อินเดียน่า โจนส์ คนนี้ไปได้ ...ฮัน โซโล ที่ว่าเท่ห์ กวน ดิบ เถื่อน แล้ว ก็ยังมิอาจสู้รบปรบมือกับ นักโบราณคดีที่ฉลาดเป็นกรดไม่พอ ยังเก่งบวกเฮงได้อีก
การกำกับในสมัยยังหนุ่มแน่นของพ่อมด "สตีเว่น สปีลเบิร์ก"... อาจยังไม่ลื่นไหลในความต่อเนื่องมากนัก (ยังรู้สึกสะดุด และบทก็ง่ายไปเป็นห้วงๆ) แต่พอเข้าจังหวะเร้าก็เอาได้อยู่เหมือนกัน
สำหรับใครที่อยากจะดูภาค 4 แต่ยังไม่เคยดูภาคก่อนหน้าเช่นผม ...ภาคแรก ภาคนี้ น่าจะเป็นตัวเรื่องสำคัญที่สุด ที่คุณควรจะได้ดูก่อนเข้าโรง ...เพราะอย่างน้อยๆ คุณก็ได้ทำความรู้จักกับคาแรกเตอร์ "มาเรียน ราเวนวู้ด" (คาเรน อัลเลน) ที่เธอจะกลับมาอีกทีในภาคใหม่นี่เอง ...(และฉากสุดท้ายของหนังภาค 1 ..มันก็ช่างให้ภาพที่คุ้นกับเสี้ยวหนึ่งของหนังตัวอย่างภาค 4 เหลือเกิ้นนน ...ซึ่งอันนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะมามีบทบาทอะไรในภาคใหม่หรือเปล่านะ???)
Speed Racer -> เกรด A- <- {Recommended}
การโดนวิจารณ์สาดเสียเทเสียไปทางลบจากนักวิจารณ์ ก็ไม่ได้หมายความว่า หนังเรื่องนั้นเป็นหนังที่ต้องหาดีไม่สำหรับเราคนดู ...ยิ่งกับกรณีของ "Speed Racer" อาจจะเป็นอะไรที่จะว่าน่าแปลกใจก็ใช่ แต่มันก็มหัศจรรย์ได้เหมือนกัน
ย่อมแน่นอนที่จะผิดหวัง ถ้าริจะเอาหนังครอบครัวสไตล์พี่น้องวาชอว์สกี้เรื่องนี้ไปเทียบชั้นกับ The Matrix แล้วหวังไปว่ามันจะเต็มไปด้วยความล้ำลึกในปรัชญา ได้ตีความหลายซับหลายซ้อนครือกัน ...เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น หนังครอบครัว แล้วก็ไม่มีเหตุผลกลใดที่จะต้องให้เด็กๆ เข้าโรงมานั่งเก้อเขินเพื่อพบเจอกับการพ่นบทสนทนาที่ฟังไม่รู้เรื่องยาวยืด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่สนุก และมันก็น่าอึดอัด(สำหรับผู้ใหญ่เราๆที่พาเขาไปดูนี่แหละ)
ตลอดเวลาที่ผมดูหนังเรื่องนี้ ผมแทบลืมไปเลยว่า นี่คือ งานของพี่น้องวาชอว์สกี้ ...เหมือนจะเชื่อด้วยซ้ำว่านี่คือ หนังของผู้กำกับมิวสิควิดีโอรุ่นใหม่ๆที่เต็มไปด้วยลูกบ้าทางเทคนิคภาพมากมาย (คงด้วยเหตุนี้กระมัง ..นักวิจารณ์ถึงได้เหนื่อยใจ) ซีจีของหนัง(ที่พยายามจะให้มันเป็นการ์ตูน มากกว่าสมจริง..ฉะนั้นอย่าคิดถึงตรรกะอะไรมาก)ทำได้เข้าขั้นเทพ แสงสีอะไรต่อมิอะไร ได้เห็นแล้วก็ช่างหิวโหยลูกกวาดเสียนี่กระไร ...ยิ่งมาพร้อมกับฉากแอ๊คชั่นที่เหวี่ยงสุดขั้ว กว่าหนังแข่งรถเรื่องไหนๆ ก็เลยเป็นอะไรที่โคตะระบันเทิงแบบที่ไม่จำเป็นต้องคิดหาความเป็นจริงอะไรมากมาย (เน้นความเท่ห์เข้าว่า คล้ายคลึงกับ Transformers นั่นแล)
แต่กระนั้นแล้ว Speed Racer ก็ต้องเป็นหนังดูเอาบันเทิงอีกเรื่องที่แฝงไว้ซึ่งสาระดีๆ กับสมาชิกตัวน้อย ถึงตัวใหญ่ในครอบครัว ...แม้มันจะมาเป็นเรื่องง่ายๆ สไตล์เก่าๆ แต่พี่น้องวาชอว์สกี้ก็คั้นอารมณ์ออกมาละเอียดอ่อน นับว่ากินใจ โดยเฉพาะฉากไคลแม๊กซ์ ที่นั่งลุ้น ขนลุก จนน้ำตาไหล ...และที่ประทับใจมากที่สุด ก็คือ คาแรกเตอร์ครอบครัว เรซเซอร์ ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และทำให้เราคนดูรู้สึกอบอุ่นใจ วาดหวังอยากจะมีครอบครัวแบบนี้บ้าง (ชอบ "ซูซาน ซาแรนดอน" เป็นพิเศษ และอยากเบิร์ดกระโหลก คู่ขำกลิ้ง ลิงกะเด็ก เป็นอย่างมาก)
จะมีไม่ชอบอยู่อย่างเดียว ก็คือ การเฉลี่ยบทของคนนอกครอบครัว เรซเซอร์ ...ที่บางคน(อย่างพี่ "เรน" ที่ชาวไทยรู้จักมักคุ้น..มากที่สุด) มีบทค่อนข้างคุ้ม(สำหรับบรรดาแฟนคลับ)ในช่วงกลาง แต่ตอนท้ายๆหมดความหมาย ...หรือกระทั่ง "ฮิโรยูกิ ซานาดะ" ที่อยากจะถามน้าแกว่า "มาทำไม?"..ยืนนิ่งๆทำเท่ห์อะไรในหนังเรื่องนี้ ห๊าาาาาา!!!
สำหรับใครที่อยากจะดูหนังซึ่งให้ความบันเทิงอย่างเต็มสูบ ...นี่เป็นเรื่องหนึ่งประจำซัมเมอร์นี้ ที่(น่าจะ)เซอร์ไพรส์ คุณได้เป็นอย่างดี..เยี่ยม!
Indiana Jones : The Temple of Doom [VCD] -> เกรด B+
"The Temple of Doom" หรือในชื่อไทย "ถล่มวังเจ้าแม่กาลี" ...เปิดเรื่อง ได้ด้วยอารมณ์ที่คล้ายคลึงกับ เจมส์ บอนด์ 007 (ด้วยความตั้งใจของ จอร์จ ลูคัส อยู่แล้ว) ที่จู่ๆก็เริ่มเรื่องใหม่ อย่างไม่มีเค้าโครงตอนก่อนมาเกริ่นนำเอาไว้เลย
จุดเริ่มต้นของการผจญภัยสุดขอบฟ้าในภาคนี้ ...ดร. อินเดียน่า โจนส์ ออกมาโชว์หล่อเต็มที่ กับมาดสวมสูทอย่างเนี้ยบ หากต้องจบลงด้วยการหนีตามล่าอย่างอลวนจนเสียเซลฟ์ กลางนครเซี่ยงไฮ้ ...และดันเจอแผนซ้อนแผนของเจ้าพ่อ(ที่จ้างพระเอกให้ไปเก็บสมบัติให้)ผู้เป็นศัตรู ที่โยนดร.โจนส์ สตรี(นางเอก) และเด็ก(ผู้ช่วย) ทิ้งทุ่นกลางขุนเขาแห่งอินเดีย ...และเมื่อนั้นเองที่ทำให้พระเอก ได้รับภารกิจ(อย่างจำเป็นและจำใจ) ช่วยเหลือชาวบ้านในละแวกนั้น ผู้ยึดมั่นศรัทธาในพระอัลเลาะห์ ทั้งยังเชื่อว่า การตามหาศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปนั้น จะคืนความสุขให้หมู่บ้านของพวกเขา ...และด้วยเหตุฉะนี้ จึงนำไปสู่การบุก ถล่มวังเจ้าแม่กาลี ในท้ายที่สุดนั่นเอง
อารมณ์ความสนุกในภาคนี้ ยังคงออกมาในแนวทางเดียวกันกับภาคก่อน...คือ การผสมผสานเรื่องราวผจญภัย ใส่ฉากแอ๊คชั่นยิ่งใหญ่(ในยุคนั้น) และอัดความฮาไปเป็นหย่อมๆ ให้เป็นมนต์เสน่ห์แห่งความยียวน ที่คงจะมีลุง แฮร์ริสัน ฟอร์ด คนเดียวเท่านั้นจะมอบได้ อย่างลื่น (เป็นปลา)ไหล
ถ้าเทียบกับภาคก่อน ..พัฒนาการของ ลุงสปีลเบิร์ก ในการทำหนังฟอร์มยักษ์ เข้าฝักมากขึ้น ในความไหลลื่น ...แต่ช่วงท้ายๆเรื่องที่เป็นไคลแม๊กซ์ ก็ยังค่อนข้างจะมีจังหวะขาดหายมากไปหน่อยอยู่ดี
แต่ถึงกระนั้นแล้ว ภาคนี้ก็ยังเข้าข่ายเป็นหนังผจญภัยคลาสสิค ได้เช่นเคย ...โดยเฉพาะกับฉาก หนีออกจากถ้ำ สุดอลเวง ที่ถึงจะคุ้นตาจากหนังเรื่องอื่นมา ก็ไม่เท่าความเก๋า และเจ๋ง ชวนให้จดจำได้มากกว่า ...ในยุคที่ เทคนิคซีจี ยังไม่ได้แอ้มซะหรอก
No Reservation -> เกรด B
"No Reservations" ถือเป็นหนังรอมคอมสไตล์เดิมๆ ที่คนดูเราๆไม่ต้องคิดไปคาดเดาหาจุดจบของมันเลย ...อีกยังจะหมายรวมไปถึงพลอตเรื่องที่เก่ากึ๊ก เมื่อตัวละครนางเอกต้องรับอุปการะเด็กสาวที่แม่(ผู้เป็นพี่สาวนางเอก)เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ ...และแล้วนั่นเองที่ความรักจึงตามมา เพราะกามเทพตัวน้อยนี่แหละ
หากแต่ถ้าไม่นำพา ยึดเอาเรื่องเดิมๆ มาเป็นที่ตั้ง ...จะว่าไปแล้ว No Reservations ก็พอยอมรับความเพลิน ได้ในระดับหนึ่ง ...ด้วยการแสดงของ "แคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์" , "แอรอน เอ๊คฮาร์ท" (ว่าที่...Two-Face ใน "The Dark Knight") และน้องหนู "อบิเกล เบรสลิน" ที่ต่างคน ต่างมีความเด่นในคาแรกเตอร์ (แต่ก็น่าแปลก ที่เมื่อรวมๆกัน แล้ว เคมีไม่ค่อยจะเข้ากันซะเท่าไหร่) ...และด้วยงานดนตรีประกอบ ที่เพราะ ยังพริ้วไหวไปกับภาพอาหารนานาน่ากิน ซึ่งเป็นอึกหนึ่งคาแรกเตอร์ตัวหลักของหนัง ..พอจะทำให้ท้องร้องไหวๆได้เบาๆ (หากก็แพ้ "Ratatouille" ..ที่อาจจะดูไม่จริงชัดๆ แต่ก็น่ายัดเข้าปากมากกว่า)
สำหรับใครที่ชื่นชอบหนังรอมคอม ผมไม่อยากจะแนะนำเรื่องนี้ให้คุณดู... แต่ถ้าไม่คิดถึงความเดิม แล้วดูเอาเพลินไปกับอาหารตา ก็พอจะช่วยรองท้องบางๆได้บ้าง
Le Grand Chef [DVD] -> เกรด C+
ด้วยความชอบและโปรดปรานในอาหาร กับ ความน้ำลายสอที่ประทับใจในอาหารเกาหลี จากละคร แดจังกึม ...นำพาให้ผมเกิดอาการหิวโหย อยากชม "บิ๊กกุ๊ก ศึกโลกันตร์" เพราะหวังว่ามันจะเติมเต็มความอิ่มอกอิ่มใจในสิ่งที่ชอบได้บ้าง
แต่เมื่อได้ดูจริงๆ ...หนังเรื่องนี้กลับไม่เข้าทางผมเลย อันด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ที่หนังเรื่องนี้ พยายามจะกดดันความรู้สึกให้ต้องคล้อยตามมากเกินไปในหลายๆจุด และมันก็เป็นไปด้วยความไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย (ถึงจะมีข้อเท็จจริงที่ว่าหนังเคยเป็นการ์ตูนมาก่อน ช่วยกล่าวอ้างก็ตามเถอะ)
และที่ยิ่งไปกว่านั้น ...ก็คือการที่หนัง โปรเกาหลี อย่างสุดขั้ว โดยใช้อาหารเป็นสื่อกลาง หากมองในแง่บท ..ถือว่าทำได้ลึกซึ้ง แต่ในเมื่อหนังไม่มีความเป็นธรรมชาติมาแต่ต้น (บวกกับ โปรอย่างไม่ลืมหูลืมตา) มันก็เลยเป็นมุขที่แป้ก และไม่ค่อยจะส่งอารมณ์ให้รู้สึกดีอย่างที่หนังต้องการให้ประทับใจสักเท่าไหร่
ยังไงๆก็เอาเหอะ ...เพียงการได้เห็นอาหารเกาหลีตำรับชาววัง มาโชว์สลอนยั่วน้ำลาย ก็คงเป็นอาหารตาที่น่าจะหลงๆลืมๆความผิดหวังไปได้อยู่
The Brave One -> เกรด A- <- {Recommended}
แม้ชื่อของ "โจดี้ ฟอสเตอร์" ในวันนี้ อาจจะกลายเป็นแค่นักแสดงหญิงเคยรุ่งอีกคน ที่ต้องมีวันโรยเป็นอนิจจัง ...แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผล ที่จะลดทอนความเป็นคุณภาพของเธอลงไป ซึ่งยังพิสูจน์ได้จากบทบาทที่เธอเลือกสรรมาเป็นอย่างดี
และใน "The Brave One" ...ก็เป็นอีกครั้งที่เธอยืนยันว่าเธอยังยอดเยี่ยมได้อยู่ กับบทของหญิงสาวที่สูญเสียชายคนรักไป เนื่องจากการโดนอันธพาลข้างถนนทำร้าย แล้วก็ด้วยสภาพจิตที่บอบช้ำอย่างไม่อาจตั้งตัวได้ใหม่ ก็เปลี่ยนแปลงให้เธอกลายเป็นอีกคนที่แฝงเล่ห์อำมหิต เลือกที่กล้าจะสู้กับผู้ร้ายทุกคนซึ่งกฎหมายมิอาจทำอะไรได้ ก็มีเธอนี่แหละที่จะช่วยปิดบัญชีให้แทน
ด้วยความที่หนังนำเสนอเรื่องราวการตามล่าล้างแค้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และไล่ตามสเตปที่เริ่มต้นจากการมีอาวุธปืนข้างกายเอาไว้ครอบครอง ..นำไปถึง ความรู้สึกที่มั่นคงมากขึ้นๆ เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ และมันก็เป็นตัวกัดกร่อนให้คนๆหนึ่ง เปลี่ยนไปเป็นอีกคนโดยสมบูรณ์ ...ซึ่งถ้านี่ ถือว่าเป็นหนังผู้หญิงล้างแค้นอีกเรื่อง ก็ต้องยกย่องว่าเป็นผู้หญิงล้างแค้นที่ชาญฉลาด มีมุมมองที่เฉียบแหลม และไม่ขายความซาดิสม์พลังหญิงจนเกินเลยเป็นหนังแอ๊คชั่นดาดๆ
บทหนัง มีปมประเด็นที่น่าสนใจในการค่อยๆถอดเปลือกทีละชั้นๆ ของผู้หญิงหนึ่งคนที่ถูกสังคมโหดร้ายกระทบกระเทือน จนไม่อาจจะไว้ใจอะไรได้อีกต่อไป ..โดยขณะเดียวกัน ก็ค่อยๆทำให้เราเห็นเนื้อในที่กำลังสุกงอมไปด้วยความรู้สึกอาฆาตที่มีมากขี้น ...ซึ่งนอกเหนือจากนั้น การใส่บริบทของตัวละครเอกอีกคนที่เป็นตำรวจ และเพื่อนของนางเอก เข้ามาอย่างมีเลศนัยกับสังคมในวันนี้ ก็ช่วยดึงเราให้ตกหลุมพราง พร้อมจะเชื่อมั่นในตัวนางเอกได้อย่างเต็มเปี่ยม ...ถึงแม้จะรู้ว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ก็ตามทีเถอะ
การแสดงขั้นเทพของ ป้าโจดี้ มี 100 ให้ 100 ..ขณะที่ "เทอเรนซ์ ฮาวเวิร์ด" ก็ทำหน้าที่เป็นลูกคู่กับป้าโจได้อย่างสนุก และไม่ยอมให้กลบเหมือนกัน ...งานกำกับของ "นีล จอร์แดน" ก็ทำได้เยี่ยม เฉกเช่นกับบทหนังที่ไม่มีที่ติ
ถึงแม้ผมจะชอบวิธีการเลือกจบของหนังอยู่ไม่น้อย แต่ก็พาลเสียดายอยู่นิดๆ ที่หนังจบได้อ่อนพลังลงอย่างหวบหาบ ..เลยทำได้แค่ประทับใจ แต่ไม่ติดตรึงถึงจุดสูงสุด
Indiana Jones : The Last Crusade [VCD] -> เกรด A- <- {Recommended}
"The Last Crusade" ...ต้องถือเป็นภาคที่มีฉากเปิดหนังเยี่ยมที่สุด จากทั้ง 3 ภาค เพราะเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับ ดร.อินเดียน่า โจนส์ (แสดงโดย ดาราสุดหล่อผู้ล่วงลับ "ริเวอร์ ฟินิกซ์") ที่เรายังไม่รู้(เพราะสองภาคแรกกั้กเอาไว้) จะได้กระจ่างชัดเสียที ด้วยการย้อนไปเล่าถึงวัยเด็กของอินดี้ ที่ต้องโลดโผนโจนทะยานแบบเด็กๆ กับการไล่ล่าฮาๆที่สามารถย้อนปมอันเป็นปูมหลังได้หมดครบถ้วน (และคนคิดเรื่องก็เท่ห์ไม่หยอก ที่ให้อินดี้กลับมาสานต่อภารกิจค้างคาแต่หนนั้น อย่างจบสิ้นเสียที)
แต่กระนั้นแล้ว เมื่อเวลาย้อนกลับมาสู่ปัจจุบันกาลที่อินดี้ คือ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ...ภารกิจล่าจอกศักดิ์สิทธิ์ก็รินความสนุก เทความหรรษาเข้ามา แบบเพลิดเพลิน ...ถ้าปัญหาที่ลดความเพลินของภาคหนึ่ง และสอง จะเป็นเพราะมันน่าเบื่ออยู่บ้าง สำหรับภาคสาม ก็แทบลืมเวลาไปเลย
มุขตลกที่แอบสอดเข้ามาในฉากแอ๊คชั่น ปล่อยออกมาอย่างได้ผล ไม่ว่าจะเป็นตลกวาจา ท่าทาง และการเจ็บตัว (และเกิดมุขเหนือคาดขึ้นมาหลายขณะ ..ที่เดาไม่ออก ว่าจะกล้าคิดกล้าเล่น) ..และการได้ ต้นตำหรับ 007 ปู่ ฌอน คอนเนอรี่ มาร่วมแจม(ในบทพ่ออินดี้) ก็เป็นอะไรที่ช่วยเพิ่มดีกรีความวุ่นวาย(แต่ก็ฮาวายป่วงไปด้วย)ได้ดียิ่ง
ถึงผมอาจจะให้คะแนนกับภาคนี้ มากกว่าภาคไหนๆ ก่อนหน้า ในความชอบที่มีต่อความบันเทิง ..แต่ถ้าพูดในแง่ของความคลาสสิคตัวจริงเสียงจริง ก็ยังต้องขอยก Raider of the Lost Ark ให้เป็นตำนานมากกว่าเรื่องอื่นใดอยู่ดี (ด้วยเหตุผล เช่นเดียวกับอีกหนึ่งไตรภาคในตำนาน "Star Wars" ..ถ้าไม่มีภาคแรก ก็ย่อมไม่มีความสนุกครั้งต่อๆมาเกิดขึ้น)
Indiana Jones : The Kingdom of the Crystal Skull -> เกรด A- <- {Recommended}
หนึ่งในอภิมหาโปรแกรมซัมเมอร์ต้องดู ของใครๆหลายคนในปีนี้ ได้มาถึงเวลาแห่งการสิ้นสุดแล้ว... อันเป็น การกลับมาหนที่ 4 ของอีกหนึ่งตัวละครฮีโร่คลาสสิคตลอดกาล นามกรว่า Indiana Jones กับตอนที่มีชื่อว่า "The Kingdom of the Crystal Skull"
19 ปีที่ก้าวข้ามมา (พร้อมกับสังขารของอินดี้และลุงฟอร์ดที่ร่วงโรย..หง่อมงั่ก) หลังจากภาคสาม ...เหตุการณ์ในภาคนี้ จะเริ่มต้นด้วยการย้อนรอยความจำของคนที่ผ่านตาภาคแรกมาก่อน ...และเข้าสู่ประเด็นเรื่องที่ขอกระซิบบอกใบ้ไว้ก่อน ว่าต้องตามเก็บสังเกตรายละเอียดแต่ช่วงแรกนี้ไปเลย แล้วคุณจะเข้าใจว่าหนังต้องการนำเสนอสิ่งใดในท้ายที่สุด
หลังจากคืนจอได้อย่างผิดฟอร์มหง่อมมหันต์ใน "Firewall" ..หนทางสุดท้ายที่จะฉุดกระชากให้ลุงฟอร์ดต้องเกิดอีกหน ก็คงจะเป็นบทใดไปไม่ได้ นอกเสียจาก ดร. อินเดียน่า โจนส์ คนนี้แล้ว ...และการคืนกลับมาของลุงท่าน ก็ไม่เป็นอันผิดหวัง และแทบไม่ต้องมัวจ้องจับผิดในความหง่อมเลย ..ถึงเรื่องของพละกำลังอาจไม่ได้แข็ง เปี่ยมแรงอะไรนัก แต่ความคล่องแคล่วก็ยังปรู๊ดปร๊าด จุ๊กกรู๊ใช่ย่อย
ในขณะที่ ลุงสตีเวน กะลุงลูคัส กอดคอกลับมาดอมดมความสำเร็จถล่มทลายได้อีกหนนี้นั้น ...สิ่งหนึ่งที่หนังภาค 4 ยังคงรักษาธรรมเนียมแบบฉบับอินดี้ไว้ได้ ไม่เอาใจไปตามความอยากเงิน ก็คือ มนต์เสน่ห์
ความสนุกจากเหตุการณ์ ความหรรษาจากมุขตลก การตามไขหาของ และการสอดแทรกมุมประทับใจ ..ถึงมันจะมาพร้อมความเหนือจริง (และเป็นความเหนือ..ที่หลุด'โลก' มากกว่าทั้ง 3 ภาคอีกต่างหากด้วยนะนั่น) แต่ที่มันรวมๆกัน ก็ลงตัว และผสมเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่ต่างไปจากหนังแอ๊คชั่น-แอดเวนเจอร์ อีกมากมายที่เคยพยายามจะเลียน แต่ก็ไม่สำเร็จโดยถ้วนทั่ว (ตัวอย่างชัดๆ ก็เช่น National Treasure ทั้งสองภาค)
ถ้าใครเป็นแฟนเก่า ก็คงจะสนุกกับการได้เห็นภาพอะไรต่อมิอะไรคุ้นๆตาปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆให้นึกคิด ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ ...ในขณะเดียวกับแฟนใหม่ ที่เพิ่งจะทำความรู้จักจากภาคนี้ ก็น่าจะคุ้มค่า กับอภิมหางานแอ๊คชั่นแบบฉบับพ่อมดสปีลเบิร์ก ที่เนรมิตทุกสิ่งทุกอย่าง(ที่ไม่น่าเป็นไปได้)ให้เกิดขึ้นได้บนจอหนัง ..แม้ฉากไล่ล่า อาจจะถือว่ามาอัดๆกันเยอะอยู่ไม่น้อย(จนดูล้นไปบ้าง) แต่เรื่องของความสนุกถือว่าสอบผ่านทุกๆฉากเลยทีเดียว โดยเฉพาะ ฉากขับรถไล่ล่าในดงป่า ..ที่กลายเป็นฉากแอ๊คชั่นยอดเยี่ยมแห่งปีนี้ในใจผมไปแล้ว
โดยส่วนตัว นอกจากจะชอบลุงอินดี้ (ก็หนังมันบังคับให้ต้องชอบเขาอยู่แล้วนิ) ...บทบาทตัวร้ายของ "เคท แบล็นเชตต์" ก็เป็นอะไรที่ระดับเทพอย่างเธอเอาได้อยู่จริงๆ (แม้จะต้องยอมข่มตัวเองไม่ให้เด่นเกินลุงพระเอกก็ตามทีเถอะ) ...การสวมวิญญาณคาแรกเตอร์ เป็นเรื่องที่เบสิคมากๆสำหรับเธอ แต่การทำให้ตัวเองเป็นโซเวียตได้โดยสมบูรณ์ทั้งตัวและใจนี่สิ ที่พอจะน่าให้ลุ้นว่า ..ชิงออสการ์สมทบหญิงอีกสักที ดีมั้ยหนอ?
แต่กระนั้นก็เสียดายหน่อยๆ.. ที่ผมรู้สึกว่าฉากจบมันง่ายเกิน ไปมีผลให้ความประทับใจต่อหนังอินดี้สักเรื่อง ยังไม่ถึงขีดสุดสักที ...และนั่นจึงเกี่ยวเนื่องให้ หนังภาค 4 ไม่อาจจะสูงส่งพอแตะต้องคำว่า คลาสสิค ได้เฉกเช่น ภาคแรก ...หากแม้ในกรณีเรื่องของความสนุก ภาค(น่าจะ..)สุดท้ายนี้ อาจจะทำได้ถูกใจผมถึงมากที่สุดก็ตามทีเถอะ
21 -> เกรด B+
เมื่อ 5 วัยโจ๋(+1 อาจารย์..โฉด)หัวกะทิแห่ง MIT รวมตัวกันทำเนียน หาลำไพ่พิเศษ ด้วยการนับไพ่แบล็คแจ๊ค(อันผิดกฎกติกา..เพราะมันเป็นการโกง) ก็บังเกิดหนังทริลเลอร์ที่มีเปลือกหน้าทำให้พาลนึกไปถึงไตรภาค Ocean ไปได้โดยง่าย
"21" ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูเอาเพลินๆ ก็สนุกอยู่ไม่หยอก ...แม้เราจะไม่อาจเข้าใจเกมแบล็คแจ๊คได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ก็พอจะมีอะไรให้น่าเอาใจช่วยให้แก๊งค์ตัวละครเนียนไปได้ตลอด ...แต่ถึงกระนั้นแล้ว หนังก็มีจุดติอยู่เยอะ มีความขาดความเกินที่ไม่จำเป็น แม้จะพอๆมองข้ามไป แต่สุดท้าย ก็กลับมาหวนคิด แล้วรู้สึกมันตะหงิดๆอยู่ดี
แต่ถ้าใครอยากสนุกปลุกเซลล์สมองประลองปัญญา คิดตามให้มากไปกับแบล็คแจ๊ค (แต่อย่าคิดมากในเรื่องเหตุและผลของหนัง) ...ก็เป็นทางเลือกเล็กๆที่น่าสนใจ
Juno -> เกรด B+
มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา สำหรับหนังเรื่องสุดท้ายในแพ็คออสการ์หนังยอดเยี่ยม..ที่กระฉ่อนทั้งคำวิจารณ์ รางวัล และรายได้(ในบ้านเกิด)ก็กระฉูดเกิน 100 ล้านเหรียญ กันเลยทีเดียว
"Juno" มีบทที่ดี จากนักเขียนหน้าใหม่ในวงการหนัง (แต่โชกโชนวงการคาวโลกีย์) อย่าง "ไดอะโบล โคดี้" (ซึ่งรับออสการ์บทดั้งเดิมอีกด้วยนะนั่น) , การกำกับที่เสียดสี ประชดประชัน ได้อ่อนโยน ของ "ไอวาน ไรต์แมน" และ การแสดงของน้องหนู "แอลเลน เพจ" ที่จัดจ้าน (แต่ก็จัดว่าไม่อาจเทียบเท่าสาวรุ่นเก๋าอีก 4 บนเวทีออสการ์ที่อาวุโสกว่า)
หากกระนั้นแล้ว ผมก็ยังมีความรู้สึกแบบเดียวกับ คุณ"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ...ที่ไม่โดนกับหนังเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆจะว่าไป ก็ไม่ได้หวังอะไรมาก นอกจากอยากตามเก็บสถิติ 5 หนังชิงออสการ์ให้ครบก็เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม Juno ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังดี ...คือ หนังคุณภาพยอดเยี่ยมอีกเรื่องที่น่าสนใจ และคงจะถูกคอพลพรรคคนอินดี้ได้แน่นอน
Wonderful Town -> เกรด A- <- {Recommended}
ใครที่คิดว่าหนังอินดี้อาร์ตๆ ดูยากเย็น คงต้องใช้กระไดปีนขึ้นช่วยเสมอไป.. ขอแนะนำให้ลองมาสัมผัสประสบการณ์กับหนังอินดี้คุณภาพที่สร้างโดยคนไทย แต่ส่งออกให้ภาคภูมิใจไปไกลถึงต่างประเทศ (ทั้งยังหอบรางวัลกลับบ้านมาด้วยนะ)
แม้จังหวะหนังจะค่อนข้าง(มากๆ)ไปทางเนิบ นิ่ง เอื่อย ให้อารมณ์เซื่องๆ ประมาณเดียวกับ "Invisible Waves (คำพิพากษาของมหาสมุทร)" ...แต่การเล่าด้วยภาพ ก็มีประสิทธิภาพ อันแฝงซึ่งพลังบางอย่าง ที่ไม่อาจใช้ปากอธิบายได้อย่างรู้จักรู้จริง หากต้องใช้ใจในการรู้สึก แล้วจะรู้ว่าหนังที่มีครึ่งแรก โรแมนติก และครึ่งหลัง ทริลเลอร์ เรื่องนี้ ต้องการสื่อสารอะไรกับคนดู
ถึงนักแสดงในหนังจะไม่มีใครเป็นที่รู้จักมักคุ้นสักคน ..แต่ความเป็นธรรมชาติที่เราไม่รู้จักเขา ก็ช่วยให้ซึมและซับในคาแรกเตอร์ได้เป็นอย่างดี
เมื่อนำมาบวกกับบรรยากาศที่พยายามประดิษฐ์ให้มันดูบ้านๆเข้าไว้ลงไปอีกสิ่ง ..."Wonderful Town" ของ คุณ "อาทิตย์ อัสสรัตน์" จึงเป็นหนังอาร์ตที่ดูไม่ยากอย่างที่คิด (แต่ถึงอย่างไร ...ก็พยายามประคองตัวเองให้ไม่หลับ ไปพร้อมจังหวะที่เนิบนิ่ง ก็แล้วกัน)
แต่ถ้าหนังได้เพิ่มเวลานำเสนอผลกระทบของ สึนามิ ให้ลึกซึ้ง และเข้าถึงคนดู มากกว่านี้อีก.. ผมว่ามันน่าจะตราตรึงใจมากกว่านี้ได้อีก
The Assasination of Jesse James by the Coward Robert Ford [DVD] -> เกรด A <- {Super Recommended}
นี่คือ "There Will Be Blood" เวอร์ชั่นที่มีความทรงพลังน้อยกว่า ..แต่ทุกฉากก็สามารถทำให้เราอยากติดตามอย่างไม่ลดละ โดยไม่เกี่ยงว่าความยาวของหนังจะปาไปใกล้ 3 ชั่วโมงเลยก็ตาม
โดยปกติผมเป็นคนที่ทนอะไรกับหนังซึ่งยาวมากมายไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ ..หากถ้าหนังเรื่องนั้นมีอะไรที่ดึงดูดไม่ให้หนังตาตกได้ ก็จะถือว่า หนังเรื่องนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ..และด้วยความไม่ธรรมดา จากการแสดงที่เหนือกว่าความปกติของ "แบรด พิตต์" (สมที่มีคนยกว่าเป็นอีกหนึ่งบทบาทดีที่สุดในชีวิตของเขา) , ความโดดเด่นที่แค่เอื้อมออสการ์ของ "เคซี่ย์ เอฟเฟ็ค" , งานด้านภาพสวยบาดจิตของ "โรเจอร์ ดีคินส์" (ซึ่งได้ออสการ์จากหนังที่โดดเด่นกว่า "No Country for Old Men") , การกำกับบรรยากาศและอารมณ์ของ "แอนดรูว์ โดมินิค" ที่เอาอยู่ ...ยันไปถึงงานส่วนอื่นๆที่ทำได้ถึงคุณภาพทั้งนั้น ...จึงเป็นองค์รวมที่ทำหนังคาวบอยชื่อยาวเฟื้อยเรื่องนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งหนังดูบ้านยอดเยี่ยมที่น่าจดจำยิ่งยวดของผมอย่างยืนยาว
ถ้าใครเป็นคอดรามาพันธุ์แท้ ที่กะจะลองความทานทนของสภาพร่างกายและจิตใจ ...นี่เป็นอีกเรื่องที่ต้องลองพิสูจน์เป็นยิ่งๆ
เมมโมรี่ รัก-หลอน -> เกรด B-
น่าเสียดายศักยภาพที่มีดีหลายๆอย่างของ "เมมโมรี่" เรื่องนี้อยู่ไม่น้อยเลย ที่ถึงจะมีบทที่เขียนมาโอ (ดีในระดับหนึ่ง..ที่มีเหตุมีผลวางไว้ยังไม่แน่น แต่ก็ไม่หยาบๆ) นักแสดงนำต่างก็มีฝีมือเข้มข้น ไปกระทั่งงานด้านภาพก็ถ่ายทอดความรู้สึกตัวละครได้ดี ..แต่ก็มาตกม้าตายกับงานกำกับที่เอาไม่อยู่ และการตัดต่อที่..เต็มไปด้วยความมึนงง ทั้งๆจะว่าไป หนังก็พยายามที่จะเล่าแบบตรงๆ ให้คนดูรู้จะๆกันไปแล้วเชียว ..ซึ่งก็ด้วยความมึนงง ที่เชื้อชวนพยายามนึกเงื่อนไขเท่าไหร่ก็เต็มไปด้วย Question Mark นี่แหละ มุกหักมุมในตอนจบเลยเป็นอะไรที่ "เสี่ยว" มากกว่าจะ "อึ้ง" (แต่กระนั้น..มันก็น่าจะได้ผลช็อคอยู่ หากมีผู้กำกับที่เอาหนังได้อยู่มาเป็นคนจัดการ)
แง่มุมทางจิตวิทยาที่หนังเอามาเล่น เรื่องปมอดีต และชีวิตที่เก็บกด เป็นอะไรที่มาถูกทางแล้ว.. แต่ชะรอยมันก็ผิดพลั้ง เพียงเพราะเราไม่สามารถเข้าใจเหตุและผลของแต่ละตัวละครได้อย่างแจ่มชัด ...ต่อให้ถึงจะรู้ว่าอะไรได้เกิด อะไรที่หนังนำพาให้เราไปเจอในตอนท้าย แต่เราก็ไม่อาจจะรู้สึกเชื่อกับเรื่องราวมันได้สนิทใจ ซึ่งเป็นอะไรที่นำพา เมมโมรี่ ..เป็นได้แค่หนังทริลเลอร์-ดรามาอีกเรื่อง ที่พยายามฉลาด แต่ไม่อาจสำเร็จ ..ซึ่งก็ยังดีที่ ความดีของสามส่วนข้างต้น พอหักลบกลบหนี้ถูไถไปได้บ้างล่ะนะ
The Chronicles of Narnia : Prince Caspian -> เกรด B
จาก "The Lion, the Witch, and the Wardrobe" ...ปฐมบทตำนานแห่ง "Narnia" ที่ยังเหมือนเด็กทารกกำลังตั้งไข่เตาะแตะ เดินทรงตัวไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก ในความคิดของคนดูหนังที่(ค่อนข้าง)มีวัยวุฒิ(สูง) ...มาสู่ "Prince Caspian" ที่ในเวลาอีก 3 ปีให้หลัง ก็เติบโตขึ้น มีพัฒนาการมากขึ้น เรียนรู้ที่จะมีความเป็น(หนัง)ผู้ใหญ่มากขึ้น ..แต่ที่พูดว่ามากขึ้นทั้งหมดนั้น มันก็แค่ส่วนสำคัญที่ทำให้หนังภาคสอง ดีกว่าภาคแรก ...หากถ้าลงลึกมากไปกว่านั้น ก็เห็นทีจะพูดตรงนี้ไปเลยว่า Narnia ภาคนี้ ก็ยังเป็นเพียงหนังแฟนตาซีเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้ดีเด่อะไรมากนัก
ผู้กำกับ "แอนดรูว์ อดัมสัน" ยินดีที่จะกลับมาสู่โลกอันคุ้นเคยพร้อมกับความขึงขังที่มีมากขึ้น ทั้งยังลดความทีเล่นทีจริงให้มีน้อยลงไป(ในระดับที่มองผ่านๆก็อาจไม่เห็น) ซึ่งก็แน่นอนที่นั่นถือเป็นเรื่องหนึ่งที่น่ายินดีสำหรับผม ..และกับบางคนที่คาดหวังว่ามันจะเติบโตขึ้น กว่าภาคแรกที่เคยดูงั้นๆ ได้ประทับใจแค่นิดๆ
การคุมหนังคนเล่นของ อดัมสัน ค่อนข้างอยู่มือมากขึ้นกว่าหนก่อน ..เห็นจะรู้แล้วซึ่ง อะไรที่คนดูต้องการ มากไปกว่าความเยิ่นเย้อ และเนิบนาบแม้กระทั่งในฉากแอ๊คชั่นที่สู้กันแบบชิลชิล... ก็ไม่รู้จะเป็นเพราะตัวนิยายของภาคสองที่เปิดทางให้มีความจริงจังได้มากกว่า หรือว่าเป็นที่ตัวหนังรู้จุดด้อยที่ภาคแรกเป็นอยู่ก็ตามที แต่เห็นเป็นอย่างนี้ ก็ย่อมน่าพอใจ และยินดีจะให้ สอบผ่าน
แต่ถ้าวัดกันที่ตัวคะแนนกันจริงๆไปเลยด้วยละก็ การสอบผ่านของ Narnia 2 ก็ยังผ่านด้วยเกณฑ์การให้คะแนนที่หวุดหวิด... เพราะถ้ามองในแง่ของความเป็นหนังแฟนตาซีสักเรื่องหนึ่งแล้ว องค์ประกอบที่ Prince Caspian มีแข็งแรง ก็ยังแฝงซึ่งจุดอ่อนเอาไว้มากมายในขณะเดียวกัน โดยเฉพาะ เรื่องของบท และเสน่ห์ที่ลดน้อยถอยลงของ 4 ตัวเอก อีกทั้ง "เบน บาร์นส์" ผู้เป็น "แคสเปี้ยน" ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก
ถึงกระนั้น ...บรรยากาศชวนหมองหม่นของนาร์เนีย , ฉากรบสุดท้าย และ แนวคิดสงครามของ "อัสลาน" ..ก็ถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ภาคสอง มีอะไรที่น่าจำ มากกว่าภาคก่อนได้อยู่
หากจนสุดท้ายเมื่อหนังจบสิ้น ก็ยังออกจากโรงมาด้วยความคิดว่าตัวเองคงแก่เกินไปสักนิด ที่จะติดตาตรึงใจใน ตำนานแห่งนาร์เนีย ได้เต็มที่ ...อาจจะไม่ใช่ความเสียดายเต็มๆ จนพาลเฉยๆ เช่นภาคที่แล้ว แต่มันก็ขึ้นชื่อว่าเสียดายที่น่าจะดีกว่านี้ได้อีก
แต่ดูคนแก้แล้ว อนาถจิต
คงจะดีกว่าเดิมเยอะม้ากกกกเลย
ตอนนี้ฝั่งไหนก็เลวทั้งนั้น ไม่ไหว เหนื่อยแล้ว
ทั้งรัฐบาล หรือว่าฝั่งตรงข้ามอย่างแมนเนเจอร์
เรื่องที่มีสาระที่สุดตอนนี้คือ "ยืน-ไม่ยืน" กับ "ธงชาติที่มีชื่อทักษิณ"
ส่วนเรื่องการเมืองกับทิศทางเศรษฐกิจดันเป็นเรื่อง "ไร้สาระ" ของไอ้คุณนายกไปซะละ
แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าชาติกำลังไปทางไหน สู้กันด้วยเรื่องไร้สาระกันไปวันๆ