มิถุนายน 2551สะบายดี หลวงพะบาง -> เกรด B+
ถ้าคำพูด สะบายดี มันดูน่ารักได้โดยไม่้ต้องสาธยายความหมายอะไรในตัวของมันเองแล้ว ...หนังเรื่อง "สะบายดี หลวงพะบาง" ก็ดูน่ารักได้เองเช่นกัน ถึงจะใช้เพียงแค่ ความเรียบและง่ายในการนำเสนอ ..แต่มันก็ยังมาพร้อมด้วยความจริงใจ ซึ่งภาพพจน์ที่ได้เห็น
ผู้กำกับ "ศักดิ์ชาย ดีนาน" (ไทย) และ "อนุสอน ศิริศักดา" (ลาว)...แพ๊คคู่กันมาทำหนังลูกครึ่งเรื่องนี้ ด้วยบรรยากาศสบายๆ ขององค์ประกอบทุกอย่างที่อยู่ในตัวหนัง ..ไม่ว่าจะงานกำกับที่ดำเนินไปโดยเรียบๆ เปรียบเป็นหนังสารคดีท่องเที่ยวสักเรื่อง ที่นำเอา ตัวละครหลักทั้ง 2 เดินทางไปร่วมกัน หากแต่ก็ไม่ได้เน้นย้ำในเรื่องรายละเอียดของสถานที่อะไรนัก เพราะโดยส่วนใหญ่ของเนื้อหนัง ก็คือ การค่อยๆปู ค่อยๆปล่อย ความรู้สึกของหนุ่มและสาว สอน ที่มีต่อกัน จาก 'ปากเซ' เป็นจุดเริ่มต้น จนไปสุดทางยัง 'หลวงพะบาง'
ถึงตัวของบทหนังอาจจะไม่ได้มีความหนักแน่นเสียมากมาย จนเต็มไปด้วยความน่าติดตามในรายละเอียด... แต่มุมของความงามทางวัฒนธรรมลาว ที่หนังใส่เข้าไปก็อยู่ในตัวเรื่องได้ลงตัว พอดีๆ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่หนังขับเน้นออกมาได้อย่างถึงจุดอิ่มเอม ทั้งสำหรับคนไทยที่ไม่มักคุ้น หรือกระทั่งคนลาวเองก็คงจะรู้สึกปลื้มใจไปกับมันเช่นกัน
ในขณะส่วนที่เป็นความโรแมนติกของหนัง อันเกิดจากคู่พระนาง "อนันดา" และ "คำลี่" ก็คือ ส่วนผสมเคมีที่เป็นธรรมชาติ และลงตัว ..เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ตัวเรื่องดำเนินไปอย่างน่ารัก อ่อนหวาน อ่อนโยน อยู่ในที
แต่ถึงแม้โดยภาพรวมของ สะบายดี หลวงพะบาง จะเป็นหนังไทย(+ลาว)อีกเรื่องที่พูดถึงเรื่องคุณภาพด้วยคำว่า "ดี" ได้อยู่ หากถ้ายึดเอาเรื่องของความประทับใจเป็นส่วนสำคัญ ก็ยังไม่ถือใช่เป็นหนังโรแมนติกที่เต็มไปด้วยความตราตรึงใจในทุกรายละเอียดอะไรนัก ..แต่ถึงกระนั้นแล้ว นี่ก็เป็นหนังรักที่เหมาะสำหรับการเดท และเป็นหนังท่องเที่ยว ที่ดูจบแล้วก็เกิดอยากตีตั๋วไปเฮือนเมืองลาว กันสักครั้งเลยทีเดียว
The Happening -> เกรด B+
ผมอาจจะถือเป็นคนส่วนน้อยมากๆ ในกลุ่มสาวกพี่มาโนช (เอ็ม.ไนท์. ชยามาลาน) ที่ชื่นชอบงานแหวกแนว และขนบของเขาอย่าง "Lady in the Water" มากกว่าผลงานขายชื่อ สยอง เรื่องก่อนหน้าใดๆ...อันนี้ ก็ไม่รู้ว่าเพราะ ผมไม่ตั้งความหวังจะให้หักมุมใดๆ หรือว่า มันเพ้อฝันโดนใจผมกันแน่
แต่ถึงอย่างไรก็ตามแล้ว... การขายความสยอง ก็ยังเป็นของตาย และของถนัดที่พี่มาโนช เหมาะเหม็งยิ่งกว่างานแนวอื่นใด ..และการกลับมาพร้อม "The Happening" ก็ย่อมสร้างความคาดหวังกับใครหลายๆคนว่า พี่เขาคงจะถึงทีคืนฟอร์มได้เสียที
แต่สุดท้าย(ในตอนนี้).. ก็ไม่วายจะรอดจาก เสียงวิจารณ์ถล่มในแง่ลบ กับความหาญกล้า(อีกแล้ว)ที่พี่มาโนช เลือกจะทำร้ายจิตใจใครต่อใครหลายคน ด้วยการสร้างหนังคัลต์..ที่คั้นหัวสมองมาหักมุมได้อย่าง...(อิอิ บอกไม่ได้หรอก)
แม้ใครหลายต่อหลายคนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่มาโนชทำ ...แต่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นดีเห็นชอบ กับการนำเสนอสาส์นซ่อนเร้นถึงโลกวันนี้ ที่แอบแยบยลไปด้วย แนวความคิดสะท้อนสังคมเฉียบๆ อันมาพร้อมกับพลอตหนังแนว หายนะทางธรรมชาติบุกโลก ..ถึงแม้หลายต่อหลายช่วงจะยังไม่ลงตัว ดูประดักประเดิดไปไม่น้อย แต่ถ้ามองในสิ่งที่หนังสื่อออกมา ก็นับว่า ลายเซ็นมาโนช ยังไม่เสื่อมมนต์ขลัง
แม้การแสดงของ "มาร์ค วอห์ลเบิร์ก" อาจจะดูไม่เหมาะกับตัวตนที่เป็นอยู่ ...หากถ้ามองในมุมของคนธรรมดา (ที่มีแค่ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ พอช่วยอะไรได้บ้าง) พี่มาร์ค ก็เข้าถึงในสัญชาตญาณของบทพระเอกได้ดี (ในความรู้สึกของผม)
ถ้า Signs พูดถึงเรื่องความศรัทธา ความเชื่อมั่น ต่อโลกที่เรายืนอยู่ ...The Happening ก็คือ เรื่องที่พี่มาโนชกลับมาตอกย้ำว่า เราควรจะมีความรักต่อโลกที่เราอาศัยอยู่ให้มากกว่านี้ ..ก่อนที่มันอาจจะสายเกินไป (แต่จะว่าไป วันนั้น ก็คงอีกไม่นานแล้วละมั้ง)
The Incredible Hulk -> เกรด B+
ถ้า Iron Man ยังมันส์สะใจไม่ถึงพระเดชพระคุณคอหนังฮีโร่มาร์เวล แล้วละก็ ..ขอแนะให้คุณมาเติมเต็มความดุเดือดกับ "The Incredible Hulk" ..ยิ่งกับใครที่ดูภาคแรกของ อังลี ด้วยอีก ขอให้คำรับรองว่าคุณอาจจะลืมต้นฉบับเสียด้วยซ้ำ
The Incredible Hulk เริ่มเรื่องมาแบบแทบไม่ง้อ อังลี (แต่ก็ยังดีที่แอบเอี่ยวๆ กับโลเคชั่นในตอนจบภาคแรกอยู่น้อยนึง) ..เพราะหนังยอมจะเสียเครดิตเปิดไปเพื่อการเล่าความหลังของตัวเองซ้ำอีกหน แบบกะทัดรัด ได้ใจความสุดๆ โดยที่ถ้าใครพลาดภาคแรกมาก่อน ก็เลิกกลัวไม่รู้เรื่องได้เลย (แต่ถ้าใครอยากจะรู้รายละเอียดยิบย่อย ก็ต้องยอมกลับไปมึนกับภาคก่อนสถานเดียว)
ในภาคนี้ เรื่องราวแทบจะเดินตามมาสูตรหนังไล่ล่าอย่างครบครัน (กลิ่นอายของ Bourne หอมฉุยมาแต่ไกล) ..ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ภาคก่อนทำความมันส์เอาไว้(เอื่อย เฉื่อย)ดีมาก มาภาคนี้จึงต้องทำให้ดียิ่งกว่า ด้วย 3 ฉากมันส์ๆ ที่สนุก ชวนลุ้นกันสุดกู่ (แต่ระหว่างดูไป ก็รู้สึก เดจาวู นำฉากเหล่านั้น มาซ้อนทับกับฉากหนังแอ๊คชั่นอื่นๆอีกมาก..ก็แทบจะเป๊ะๆชอบกล)
ขณะที่ฉากแอ๊คชั่นสามารถทำหน้าที่สร้างความบันเทิงของมันได้ดี.. ในส่วนประกอบอื่นๆของหนัง ถึงจะมาพร้อมจุดอ่อนอยู่บ้าง ก็ไม่มีอะไรที่ขี้ริ้วขี้เหร่อย่างเด่นชัด ...แต่ที่ว่าดูดีนั้น มันก็คงแค่ระดับมาตรฐานธรรมดาๆทั่วไป ที่หนังซูเปอร์ฮีโร่จะพึงมี อันคือ บทหนังที่มีเหตุและผล แต่ประเด็นไม่เฉียบแหลม และทีมนักแสดงที่อาจยกทีมคุณภาพกันมา ก็ถือว่าดีตามสมควร(และบทส่ง)กันไป มากกว่าจะออกจอมาเด่นพอๆกัน (แต่ภาพที่มี "เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน" เป็น บรูซ แบนเนอร์.. มันดูน่าเชื่อกว่า อีริค บาน่า เยอะเลยล่ะ)
แม้โดยภาพรวม มันน่าจะดีกว่านี้ได้อีก แต่เอาเท่าที่เป็นอยู่ ก็ถือว่า.. มาได้ไกลกว่าภาคแรกเยอะมาก....กกกกกกกก!!!
Kung Fu Panda -> เกรด A- <- {Recommended}
หลังจากขำก๊ากๆ กรามสะเทือนเลือนลั่น ครั้งล่าสุดจาก Sherk 2 ..ก็นานมาแล้วที่ ดรีมเวิร์คส อนิเมชั่น ไม่สามารถแจ้งเกิดการ์ตูนที่เกิดมาเพื่อขายขำได้อย่างเต็มเหนี่ยว (แม้กระทั่ง Sherk 3 ..ก็แทบไม่เหลือความน่าขำให้กับความรู้สึกเดิมๆได้อีกแล้ว)
จนเมื่อการมาถึงของ Kung Fu Panda เป็นงานที่ดรีมเวิร์คส มั่นใจว่ามันจะคืนราก(สไตล์)เดิมๆ ได้โดยแน่แท้ ..ก็คล้ายจะเป็นนิมิตหมายที่ดีขึ้น ในหลายๆทาง สำหรับอนิเมชั่นค่ายนี้ ที่เคยมีแต่จะพัฒนาเรื่องภาพ ในช่วงหลายปีมานี้ ซะมากกว่า การใส่ใจในตัวเรื่องราว
ถ้าเว้ากันแต่เรื่องของพลอต ก็ดูจะเป็นอะไรที่ซิมเปิลๆ สำหรับการหยิบเอาเนื้อหาหนังกำลังภายในของแดนตะวันออกมาประยุกต์คลุกเคล้าใส่ความเป็นการ์ตูนสไตล์มะกันลงไปแทนที่ ..แต่ถ้ามองกันลึกไปถึงตัวเรื่อง ต้องยอมรับว่า ครั้งนี้ ดรีมเวิร์คส ทำออกมาได้ดีเกินคาดไว้ไม่น้อย และมันก็ช่างดูลงตัวเสียเหลือเกินสำหรับการสอดใส่ปรัชญาแบบจีนๆ มาแอบสอนใจเด็กๆ(และผู้ใหญ่..ด้วยก็ใช่)ได้อย่างน่าจำ
แต่ถ้าเราคิดจะดูหมีแพนด้าอุตริริเล่นกังฟู เพียงแค่อยากได้ ความขำหรรษา เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว ..ก็ขอให้คำยืนยัน(อีกคน)ว่า "สะใจ..จริงแท้!!!" (โดยเฉพาะ ฉากฝึกวรยุทธ์..ปวดกรามกัน นันสตอป)
และอีกอย่างที่ขอแนะนำสำหรับคอหนังกังฟูทั้งหลายแหล่ ..ก็คือ บรรดาฉากแอ๊คชั่นแทบทั้งหมด ที่แม้จะเห็นๆเป็นการ์ตูน ดูไม่สมจริงชัดๆ หากกลับเด็มไปด้วยความตื่นเต้น เร้าระทึก ชนิดที่หนังกังฟูบางเรื่องอาจมีให้สนุกไม่ถึงใจด้วยซ้ำไป (มองไม่ต้องไกล.. The Forbidden Kingdom เป็นอะไรที่อ่อนด๊อยไปเลย เมื่อลองเทียบมวย และชั้นเชิงกับหนังการ์ตูนฝรั่งจ๋า..ซะงั้น)
สุดท้าย ท้ายที่สุด ..ขอคารวะ หนึ่งจอก ให้กับ หนึ่งใน(อนิเมชั่น)ตระกูลดรีมเวิร์คส ที่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า "สนุก..อย่างแรง!!!" (แต่ก็เสียดายที่มันยังไม่ถึงจ๊าบ..ประทับใจแบบ Sherk ภาคแรก และภาคสอง)
Get Smart -> เกรด B+
กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการค้าไปแล้ว สำหรับใบหน้าเย็นชา เลื่อนลอย คล้ายอารมณ์จะเบื่อโลก ของ "สตีฟ คาเรลล์" ..และใน "Get Smart" ก็นำความโดดเด่นนี้ มาเป็นของขายที่มีเสน่ห์เป็นยิ่งๆ
หลังจากเคยขายความประทับใจมาได้สำเร็จใจผม จาก "50 First Date" ..ผู้กำกับเจ้าของเดียวกัน ก็กลับมาพร้อมความตลกตามถนัด ที่แปะหน้าด้วยเรื่องราวสายลับ พร้อมฉากแอ๊คชั่น..ที่ทำออกมาตื่นเต้นเร้าใจ ไม่ใช่เล่นๆ เลยทีเดียว
มุขขำๆโดยส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะ work สำหรับผม.. ที่พอจะ get ในคำพูด และท่าทาง(เจ็บตัว)อยู่ไม่น้อย และโดยส่วนมากก็มักจะเวียนๆอยู่กับการล้อขนบหนังสายลับ (โดยเฉพาะ 007 ..แทบทั้งดุ้น) หรือแวะไปจิกกัดสังคม การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะมุขประธานาธิบดี ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาหมายถึงใครกัน
ฉะนั้นแล้ว ...คนที่จะสนุกกับหนังเรื่องนี้ได้ก็ต้องเป็นคอหนังสายลับ หรือว่าอาจจะรู้เรื่องของคนมะกันค่อนข้างมากเสียหน่อย
สตีฟ คาเรลล์ ดูมีเสน่ห์ ที่เหมาะเหม็งกับมาดสายลับนักวิเคราะห์แสนฉลาด แต่ทึ่มทื่อกับงานภาคสนาม (หากก็ไม่ติงต๊องแบบ มิสเตอร์บีน ใน Johnny English).. "แอน แฮททาเวย์" ก็แอบเปรี้ยวดูดีในมาดวูแมนฮีโร่ไม่น้อย ..ส่วน "อลัน อาร์กิ้น" และ "The Rock" ก็เป็นสมทบที่สนุกสนานกับบทบาทน้อยๆของตัวเองได้ดี
แม้โดยรวมๆ จะเป็นหนังที่สนุก ตลก มันส์ อย่างลงตัว และค่อนข้างจะมีจุดอ่อนในบทหนังอยู่น้อยกว่า หนังตลก-แอ๊คชั่น ทั่วไป(ในความคิดเห็นของผม) ..แต่ถ้าว่ากันที่เนื้อผ้า ก็เป็นความบันเทิง ที่สามารถจะคาดเดาในสิ่งที่ได้เห็นแต่ต้นจนจบโดยง่ายดาย เหมือนจะไม่พยายามเล่นกับคนดู มากไปกว่าการที่หนังเล่นเอง แล้วก็รอให้คนดูแต่ละคน จะสนุกมากหรือน้อย ก็ตามๆกันไปเอง ..ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ข้อผิดพลาดอะไรหรอก แต่มันเป็นส่วนทำให้หนังให้เราได้เฉพาะเรื่องของความเพลิดเพลินเท่านั้นเอง
ถึงอย่างไรก็ตาม ..ยังอยากให้มีภาคต่อด้วยเช่นกัน เพราะหนังยัง(ต้อง)มีอะไรๆ ให้เล่นได้อีกมาก ...ดีไม่ดี ภาคหน้า อาจจะได้เห็น แม๊กซ์เวลล์ สมาร์ท สูญเสียความทรงจำ แล้วกลับมาวิ่งไล่ตามตัวตน ล้อเลียนหนังสายลับแห่งยุคนี้บางเรื่องก็ย่อมได้ ..แค่คิดก็ขำแล้ว 555+
รัก|สาม|เศร้า -> เกรด B
ถ้ามองว่า "รัก|สาม|เศร้า" มีหน้าหนังที่ดูดี กับการเล่นเรื่องความสัมพันธ์ของคนเป็นเพื่อนที่อยากพัฒนาเป็นมากกว่านั้น บวกกับเครดิตดี(ที่เหลือค่อนข้างจะน้อยแล้ว..เพราะงานระยะหลังๆมันทำลายไปซะเยอะ)ของพี่ยุทธเลิศ (ยังไม่รวมถึงเรื่องความคล้ายคลึงหลายๆอย่างกับ O-Negative..ซึ่งเกือบจะเป็นหนังของยุทธเลิศ แต่สุดท้ายพี่แกก็โดนโกง..ละมั้ง) ...ก็ไม่แปลกที่เราจะคาดหวังถึงหนังไทยคุณภาพอีกเรื่อง
แต่ รัก|สาม|เศร้า ก็ยังมิใช่คำตอบสุดท้ายที่พี่ยุทธเลิศ จะตอบได้อย่างมั่นใจว่า ความเป็นยุทธเลิศตัวจริงเสียงจริงได้กลับมาแล้ว
หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยช่วงเวลาที่น่าจะเด็ดได้หลายๆช่วง ..หากมันอยู่ในมือของผู้กำกับที่ไม่ปล่อยความชิลให้หนังมันแสดงออกไปเรื่อยๆ แบบที่พี่ยุทธ แกเป็นกับงานครั้งนี้
แม้หนังจะเอื้ออะไรหลายๆอย่าง ให้พี่ยุทธควรจะปล่อยของ ..แกกลับเลือกที่จะออมมือ แล้วก็ปล่อยให้เรื่องราวดำเนินของมันไป แบบที่ไม่มีจุดใดสูงสุด
ฉะนั้นแล้ว ถ้าใครหวังจะซึ้งจนน้ำตาไหลพราก ..ขอบอกว่าหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่คำตอบของทุกๆคน หรือแม้กระทั่งกับคนที่เคยมีประสบการณ์แอบรักเพื่อน (อย่างเช่นผม) หรือเคยมีรักสามเส้า ก็อาจจะแค่ "อ๋อเหรอ..อืม..แค่นี้เอง"
แม้ เป้ ก้อย และพีค จะทำหน้าที่ได้ดีในเรื่องของอารมณ์ และความรู้สึก ..แต่ในเมื่อบทหนังมันไม่ช่วยส่งอย่างที่ควรจะเป็นจากฝีมือยุทธเลิศ รวมๆจึงกลายเป็นหนังรักดรามา ธรรมดาๆ อีกเรื่อง.. ที่จบแล้วก็เป็นจบกัน ไม่ติดใจอะไรทั้งสิ้น
ที่เมกานี่ Kungfu Panda เข้าแล้วหล่ะค่ะ วันอาทิตย์ถ้ามีเวลาว่าจะไปดู :P
หนังที่รอใจจดจ่ออีกเรื่องคือ The Happening อยากรู้ว่าจะมาแนวไหน แถมฉายศุกร์13 ด้วยเนี่ย กะให้หลอนเลย
อยากดูรัก/สาม/เศร้า แต่สงสัยต้องรอกลับไปเมืองไทย ซื้อแผ่นมาดู เรื่องนี้เค้าว่ากันว่าเป็นเค้าโครงเดียวกันกับโอเนกาทีฟใช่หรือเปล่าคะ =)