+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!
สวัสดี เมษายน :: เดือนที่ร้อนที่สุด โลกที่ร้อนขึ้น และคนก็ร้อนตาม(จนบ้าคลั่ง)

โปรโมตสักนิด ปล่าวประกาศสักหน่อย


นอกไปจากการเริงรมย์ Bloggang ตะแร๊ดแต๊ดแต๋ที่ พันทิพ แล้ว ...ตอนนี้ นาย OncE UPoN'-'a MaN คนนี้ มีสถานที่ของคนรักหนังแห่งใหม่มาชวนให้คุณๆไปเถิดเทิงด้วยกันครับ


//vreview.yarisme.com


Vreview = We review = การรวมบทความรีวิวเกี่ยวกับหนังของแต่ละคน อาทิเช่น อัพเดตรีวิวสั้นๆถึงหนังโรงที่ได้ดูพร้อมคะแนนเพื่อช่วยตัดสินใจ พร้อม link ไปอ่านฉบับเต็มของแต่ละคน หรือ รีวิวเต็มๆตามสไตล์ใครสไตล์มัน


ผม OncE UPoN'-'a MaN คนนี้ คือคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสมาอยู่ในทีม Vreview นี้อันประกอบไปด้วยสมาชิกอีก 5 คน คือ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" (คุณหมอเป็นโต้โผใหญ่ในการนี้) , "บลูยอชต์" , "Nanoguy" , "renton_renton" และ "เทพบุตรตบะแตก!!" ...พวกเราทั้ง 6 มีหน้าที่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว คือ การมาร่วมอัพเดทเปิดประเด็นคุย ให้รีวิวถึงอะไรก็ได้ที่เรียกว่า "หนัง" เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้พวกเราและคุณๆคนรักหนังได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกัน

ก็ขอเชิญชวนคนรักหนังทุกๆท่าน มาร่วมคุยร่วมแจม ณ ที่บล็อกแห่งนี้กันครับ ...และ Toyota Yaris เจ้าของบล็อก ฝากบอกมาว่า ถ้าเราไปร่วมรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนใหญ่ๆแล้ว เขาจะจัดกิจกรรมดีๆ ให้เราได้มาสนุกกันจริงๆจังๆอีกด้วยนะ





สวัสดี เมษายน ครับ...เพื่อนๆพี่ๆ ชาว "บล็อคแก๊งค์" ที่น่ารักทุกคน

แปบๆ จากปีใหม่โลกมาไม่นานมากอะไรเลย(ด้วยความรู้สึก) ...ถึงเดือนนี้ก็จะเข้าสู่วันปีใหม่ไทยกันแล้วล่ะคร้าบบบ พี่น้อง!!!

เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ คงเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าสะใจสำหรับคนทุกๆคนที่มีโอกาสจะหยุดงานหรือหยุดเรียนชั่วคราว เพื่อไปชาร์จแบตเติมประจุให้กับชีวิตจนเต็มอิ่มเกือบถึง 1 สัปดาห์ ...มันอาจจะส่งผลเสียให้เศรษฐกิจถอยล่นลงไปบ้างเล็กน้อย ที่หยุดหนักกันซะขนาดนี้ แต่สำหรับคนไทย(โดยส่วนมาก)คงย่อมเห็นเป็นปัจจัยภายนอก ที่ค่อยกลับมาคิดอีกทีตอนกลับมาทำงานกันไปเลย(ซะละมั้ง)

เอาเหอะครับ อันนั้นก็ขำๆชิลๆกันไป ไม่ต้องคิดเยอะหวั่นแยะ ...ที่น่าหวั่นกว่าเยอะในเดือนเมษาหน้าร้อนนี้ เห็นจะพลาดเป็นเรื่องใดไปไม่ได้นอกเสียจาก อุณหภูมิอากาศ ที่รุนแรงเดือดดาลแตะเพดานสูงสุดในรอบปี ...จากที่ปีก่อนก็ปาเข้าไป 43-44 แล้ว เห็นในปีนี้ มีสิทธิ์เกิน 45 ก็ขนพองสยองเกล้าซะจริงๆ

ถ้าเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะไปโทษทัณฑ์ดินฟ้าอากาศให้ผิดที่สุด ก็ไม่เห็นจะใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก ...เพราะความเป็นจริง มันก็รู้กันอยู่ว่า ต้องโทษที่มนุษย์เราๆนี่เองแหละ ที่ส่งผลให้โลกนี้มันร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เป็นสำคัญเลย

วันที่ 29 มีนา ที่ผ่านมา อาจจะมีใครต่อใครหลายคน ที่ได้เข้าร่วมโปรเจ๊คท์ปิดไฟระดับโลกโดยพร้อมเพรียงกัน ...ส่วนตัวผม ก็เรียนตามตรงเลยว่า ไม่ใช่หนึ่งคนในนั้น (บังเอิญมีธุระกับเพื่อนฝูงข้างนอกน่ะ... จะไปปิดไฟที่งานเขามันก็กระไรอยู่)
แต่ก็แอบคิดโต้แย้งว่า มันเป็นอะไรที่ยังดูเล็กน้อยมากๆ เมื่อเทียบการกระทำที่หยุดยั้ง แล้วจะให้ผลที่ยั่งยืนมากกว่า ...เพราะช่วงเวลาแค่ชั่วโมงเดียว กับบรรดาผู้ร่วมอุดมการณ์อีกสิบๆประเทศ ที่พากันช่วยปิดไฟ มันก็แค่ประหยัดการจ่ายไฟไปได้ชั่วหนึ่ง แล้วสุดท้ายหลังจากจบลง มันก็เวียนกลับมาสิ้นเปลืองเหมือนปกติซะงั้น

แต่ผมก็ไม่ได้โทษว่าโปรเจ๊คท์นี่มันใช้ไม่ได้อะไรหรอกนะ ...ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่มันก็แค่ระดับหนึ่งที่เล็กน้อยอยู่เท่านั้นเองจริงๆ (อันนี้ในความคิดของผมนะครับ..คนอื่นจะมองต่างก็ไม่เป็นไร)

เรื่องที่โลกร้อนขึ้นย่อมถือเป็นเรื่องหนึ่งที่เราจำเป็นต้องใส่ใจกันในวันนี้เป็นยิ่งๆ ...แต่เรื่องที่ดูจะสำคัญเป็นยิ่งๆมากกว่านั้น ก็คงเป็นเรื่องของคน ที่นับวันก็ยิ่งร้อนตามโลก จนเข้าข่ายบ้าคลั่ง ปนฟอนเฟะไปเรื่อยๆ ทุกทีๆ

ลองยกตัวอย่าง เรื่องที่เข้าข่ายบ้าคลั่งในที่นี้ ...ก็ไม่ต้องมองไปไกลอะไร มองใกล้ๆที่การเมืองบ้านเราสิ เห็นชัดๆว่ามันคลั่งยิ่งๆ

เอาอย่างกรณีล่าสุดเลย ที่นักการเมืองต่างพรรค ต่างถีบตูดุดใส่กันอย่างเมามันส์... แถวบ้านผมเรียกสองคนนั้นว่า เกรียนการเมือง โดยแท้จริง

หรือไม่ต้องรุนแรงขนาดเจ็บตัว ...ก็มองกรณีที่บรรดานักการเมืองต่างพ่นน้ำลายสาดหน้าไปมา ทั้งๆที่ก็อยู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันนะนั่น ...ต่อให้ไม่รู้จะด่าอะไร ก็ไปขุดความหลังแต่หนก่อนมาย้อนรอยด่าได้กันเนียนๆ

แต่ถ้าเบื่อการเมือง เกิดรู้สึกขยะแขยงความบัดสีในสภาไปแล้ว ...ก็ไม่อาจวายจะต้องมาเจอความยุ่งเหยิงในแวดวงอื่นแทน ...อย่างวงการบันเทิงไทย ก็เห็นได้บ่อยครั้งไม่ต่างกัน อาทิตัวอย่าง รักสาม-สี่-ห้า-...เส้า ของเหล่าๆดารา (หลักๆตอนนี้ คงเลี่ยงจะไม่คิดถึง พ่อโชคดี แม่ริบบิ้น สาวแคร์ ไปได้ดอก) , แม่ผัว-ลูกสะใภ้ไม่ชอบหน้า หรือจะล่าสุดที่มีคนเกลียดปาปารัสซี่จัดๆ ซะจนต้องโชว์ง่ามตูดุดแสนงาม ให้เป็นที่ละอายไปทั่วพื้นปฐพี

ก็ไม่รู้นะ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้นั้น เป็นเพราะโลกมันร้อนขึ้น หรือว่าคนเรามันร้อนตัวร้อนใจจนเกินไป... แต่ถ้าต้องเจอเรื่องร้อนอย่างนี้กันบ่อยๆ ก็กลัวแผ่นดินที่เรายืนอยู่จะหลอมละลายเร็วกว่าน้ำแข็งขั้วโลกอย่างไงๆอยู่นะเนี่ย เหอๆ

หนังโรงน่าดูชม...เมษายน




* นาค ...อนิเมชั่น 3D ไทยเรื่องต่อมาจาก ก้านกล้วย ...ที่มีชื่อพาดหัวของ บอยด์ โกสิยพงศ์ เป็นตัวการที่ทำให้ผมต้องดู
* ดรีมทีม ...ด้วยความรักเด็ก รักโฟร์ และชอบงานพี่เรียว ก็เลี่ยงที่จะพลาดหนังตลกใสๆเรื่องนี้ไปไม่ได้เลย
* ลองของ 2 ...สานต่อความเสียวสยอง ที่ถึงผมจะไม่ได้ชอบภาคแรกนัก ก็ยังอยากรู้ว่ามันจะสานกันเช่นไร
* Vantage Point ...30 นาที กับ 8 มุมมองที่แตกต่าง จะทำได้ชาญฉลาดสักแค่ไหน คงต้องไปลุ้นกับตา
* Street Kings ...คีอานู รีฟส์ กลับมาหล่ออีกแล้ว ในมาดนายตำรวจที่ต้องป้องปราบความชั่วในแดนดิน Los Angeles ให้หมดสิ้นไป
* Horton Hears a Who ...สัตว์โปรดปรานของพี่จา พนม กับภารกิจที่ต้องช่วยโลก(ใบจิ๋ว) โดยไม่มีสลิง ไม่พึ่งสแดนด์อิน แต่ใช้ซีจีกันล้วนๆ
* The Forbidden Kingdom ...เมื่อ ลุงเฉิน ต้องมาประจัญกับ น้าเจ็ท ในท้องเรื่องตำนานไซอิ๋ว เวอร์ชั่นโกฮอลลีวู้ด ...แล้วเราจะหวังอะไรได้นอกจากความบันเทิง ที่ไม่ขออิงสาระกันเน้นๆ
* สี่แพร่ง ...หลังจาก ปิดเทอมใหญ่ เพิ่งใช้เทคนิคนี้กันไปแหม่บๆแท้ๆ ...GTH ก็ขออีกสักที เล่าเรื่องสั้น 4 เรื่อง ในหนังยาวเรื่องเดียวกันอีกแว้ว ...จะเว้นก็แต่ เรื่องเหล่านี้มันเป็นหนังสยองพร้อมกันล้วนๆ (และมีผู้กำกับต่างกันไป 4 คนถ้วน)
* Three Kingdoms : Resurrection of the Dragon ...นี่คือ หนึ่งในสอง หนังสามก๊ก ที่เข้าฉายในปีเดียวกัน ...และหนังเรื่องนี้ก็ขอออกโรง(มาเข้าโรงหนัง)ก่อน พร้อมกับ หลิวเต๋อหัว และสาวเอ๊กซ์อย่าง แม็คกี้ คิว




ดู{หนัง}แล้วอยากเล่า...เมษายน

นี่คือส่วนที่จะมีมาอัพเดทกันโดยตลอด หลังจากดูหนังจบปุ๊บ ผมก็จะมาเล่าปั้บ แบบสั้นๆ กะทัดรัด ได้ใจความ ...จะดี ไม่ดี ก็จะเล่าให้หมดทุกเรื่อง ไม่สปอยไม่สแปลซให้เสียรมณ์อย่างแน่นอน

และถ้าหนังบางเรื่องมีอะไรให้ประทับใจ หรือให้มีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเขียน ก็จะกลายสภาพไปเป็น "ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์" -> หนังโรง หรือ "ดู{หนัง} @ My Home" -> หนังแผ่น รีวิวฉบับเต็มด้วยครับ


เมษายน 2551

นาค -> เกรด B-



ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมแอบหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้มากไปหรือเปล่า ...ถึงรู้สึกได้ว่า อนิเมชั่นไทย 3D เรื่องที่สอง ต่อจาก "ก้านกล้วย" เรื่องนี้ ค่อนข้างน่าผิดหวัง เกินกว่าที่เคยลดความต้องการ เมื่อไปเห็นบทวิจารณ์ของคนดูรอบพิเศษมา

หนึ่ง ...ผมเคยหวังจากตัวอย่าง ที่ตัดเอาตอนน่าสนุกมาใส่ไว้ชวนล่อใจเป็นอย่างดี และ สอง ...ชื่อของพี่ "บอยด์ โกสิยพงษ์" เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผมตัดสินใจไปแต่ต้น ว่าน่าจะเป็นงานที่มีคุณภาพ (โดยลืมนึกไปว่า ...นี่ยังเป็นแค่งานหนังโรงหัดตั้งไข่เรื่องแรก ไม่ใช่งานเพลงที่ย่อมถนัดเนี้ยบสุดฤทธิ์ซะกะหน่อย)

เมื่อหวังไว้สูงจนเกินไป แตกต่างกับซึ่งผลที่ออกมายังไม่ถึงพร้อม จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกผิดไม่น้อยว่า เชียร์หนักมากไปหน่อย

อย่างหนึ่งที่กล้ายอมรับได้ว่า นาค ทำได้ถึงคุณภาพสุดๆไปเลย ก็คือ งานอนิเมชั่น ที่ดูสวย ตะลึง อื้ออึง ...จนไม่น่าเชื่อว่า 30-40 ล้านบาทไทย สามารถเนรมิตภาพออกมาได้ดูดียิ่งยวด น่าอวดชาวต่างชาติให้รู้สึกว่าแหล่มไปตามๆกัน (อาจไม่ถึงขั้นเพอร์เฟกต์หรอก ...แต่ทุนทรัพย์น้อย แล้วเนียนตาขนาดนี้ก็ควรต้องยกย่องความเจ๋ง) ...และอีกสิ่งที่จะไม่ชื่นชมไม่ได้ ก็คือ เพลงประกอบ ฝีมือพี่บอยด์ ที่จับจิตจับใจเหมือนเคย (เครดิตสำคัญ ต้องยกนิ้วให้ เสียงร้องบาดลึกสะท้านทรวง ของ "รัดเกล้า อามาระดิษ"... ในเพลง ลูกรัก และ ลูกแม่ ...อันหลังเรียกว่าสุดยอดเทียบเท่า เวอร์ชั่นของคุณป้ากมลา สุโกศล กันเลยทีเดียว)

แต่ก็น่าเสียดาย ที่แค่ภาพ และเสียง(เพลง) ไม่อาจจะช่วยอะไรมากนัก ...ถ้าตัวหนังค่อนข้างจะทำไม่สนุก ดูแล้วเกิดจุดสะดุดในใจมากมาย ถึงจะพยายามทำใจให้เป็นเด็กหลงเชื่อ แต่มันก็ยากนักตราบใดที่หนังยังรักษาสมดุลสักทางไม่ได้ ...จะหันเหไปตลก ก็ค่อนข้างปล่อยมุขไม่แรง (น้าติ่ง การ์ตูน 9 ...อาจช่วยตรงนี้ให้เกิดความขำได้บ้าง แต่ก็มีช่วงเวลาที่ให้เสียงเขาได้ออกฉากน้อยพิกล) หรือจะปักหลักกับความเป็นดรามา ก็ไม่ลื่นไหลทางอารมณ์นัก โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ที่ถึงจะมีพลอตซึ้งๆ และทำผมน้ำตาไหลอาบหน้าในประเด็นของมันได้ แต่ไม้ตายนี้ก็ยังไม่กระเทาะใจได้แรงนัก เพราะบทที่ส่งมา ค่อนไปทางเนิบนาบ ยาวนาน และน่าเบื่อ

การออกแบบเหล่าตัวละครคาแรกเตอร์ เป็นอีกเรื่องที่หนังทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ...แต่ก็น่าเสียดาย(อีกแล้ว)ที่หนังยังเรียกใช้ศักยภาพได้ไม่ถูกจุด และงัดเอาลักษณะเด่นๆมาใช้แบบประเดี๋ยวประด๋าว รู้สึกว่าไม่น่าตื่นเต้นอะไรมากมาย ...ส่วนเรื่องเสียงพากย์ ก็เพียงใช้ได้ ยังไม่มีใครที่เด่นพอจะให้จำ ...และตัวเอกที่เป็นชื่อหนังอย่าง นาค ก็ยังสื่อสารว่าเธอเป็นนางเอกของหนังได้ไม่แรงพอ

เห็นติแต่ละอย่างค่อนไปทางลบซะขนาดนี้... ก็อาจจะดูเหมือนเข้าข่ายเป็นหนังไทยที่น่าผิดหวังที่สุดในรอบปี(ถึงวันนี้) แต่ก็ต้องขอตัดคะแนนสุดท้าย ให้ในระดับที่ยังใช้ได้ ...เพราะอย่างน้อย นี่เป็นครั้งแรกของพี่บอยด์ (และอ่านเบื้องหลังมา ...พี่เขาก็ยอมรับแต่แรก อาจจะทำไม่ดีเลิศอะไรนัก) และก็ยังหวังว่าจะได้เห็นครั้งต่อไป กับพัฒนาการที่ลงตัวกว่านี้ ทั้งเรื่องของภาพ และเรื่องของเรื่อง ที่ทำได้ดีไปด้วยกัน

สำหรับใครที่อยากดูหนังเรื่องนี้ ขอแนะนำให้ทำใจให้เด็กที่สุด ...และอย่าลืมว่า นี่ถือเป็นเพียงก้าวแรกๆ ของงานหนังอนิเมชั่นในเมืองไทยเท่านั้น ...เรายังต้องให้กำลังใจเหล่าคนกล้ากันต่อไป






ดรีมทีม -> เกรด A <- {Super Recommended}



ที่ผ่านมาและที่่ผ่านตา ก็เคยได้เห็นหนังกีฬา นำเสนอแต่เรื่องที่วนเวียนอยู่ระหว่างคำว่า "บอล" ต่อท้าย มาแทบตลอด ...จนเพิ่งมามี "ดรีมทีม" นี่แหละที่หลุดคอนเซปต์ และดั้นเปลี่ยนมาเล่นกับเรื่องที่ไม่น่าจะมีใครคาดคิดเอามาทำหนังอย่าง "ชักเย่อ" แถมยังมีผู้แข่งขันเป็นเด็กอนุบาล 3 อีกต่างหากนะนั่น

แม้หนังเรื่องนี้จะมีชื่อ "เรียว-กิตติกร" ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับ ก็อย่าเอาเครดิตของเขาไปคิดถึงกับงานเก่าๆ อย่าง อหิงสา หรือว่า เมล์นรกฯ ...เพราะใน ดรีมทีม เป็นหนังที่ทำออกมาแบบดูได้ทุกเพศทุุกวัย บอกเล่าด้วยความใสซื่อ ที่ไม่มีแก่นสารของความรุนแรง เช่นเรื่องก่อนๆ ...ถึงอาจจะมีกลิ่นอายแห่งความขัดแย้งในโทนเรื่องของฝ่ายผู้ใหญ่(ตามสไตล์ถนัดของพี่เรียว) แต่มันก็ไม่เต็มไปด้วยคำ ห๊า ด่า เฮีย อย่างแน่นอน (หยาบสุด ...ก็ กรู และมรึง)

ดรีมทีม อาจจะเป็นหนังของเรียว ที่เขียนบทเข้าขั้นง่าย แสดงกันตรงๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรแพรวพราวอย่างเคยคุ้น ...แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่มักง่าย มีเรื่องนำ มีเหตุการณ์พา ทั้งใส่เหตุและผลที่ดูเพียงพอจะให้คนดูรู้ ...แล้วงานกำกับก็เล่าออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าฝืนเอาเด็กอนุบาลมาพ่นคำพูดตามบท และไม่พยายามยัดผู้ใหญ่ให้มาแย้งใส่กันจนน่ารำคาญ

ความเป็นหนังตลก ในหนนี้ของพี่เรียว มีมากขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ และก็ยังเป็นตลกในรูปแบบเดียวกับ เมล์นรกฯ ที่ขายเหตุการณ์และบทบาทตัวละครนำพาไป เน้นเรื่องของการกระทำมากกว่าจะปล่อยมุขทางคำพูด ...จะแตกต่างก็ตรงที่ความตลกของมัน จะมาพร้อมกับความใส ที่ไม่ต้องคิดอะไรลึกลับในแง่มุมของการจิกกัดแบบเรื่องก่อนๆ (ถึงจะไม่ได้ทิ้งจนหมดไป ก็แค่มีอยู่บ้างเป็นประปราย ..อย่างมุขผู้ใหญ่เล่นกอล์ฟ เป็นอาทิ)

ว่ากันที่ตัวหนังจากฝีมือของ พี่เรียว อาจจะถูกจัดอยู่ในหมวดความรู้สึกที่ทำให้ชอบหนังได้แล้ว ...แต่ก็ยังมิอาจสำคัญได้เท่า เหล่าบรรดานักแสดง ทั้งรุ่นเล็ก และรุ่นใหญ่ ที่มีบทบาทอย่างสมดุล และต่างก็ทำหน้าที่อย่างมีความหมาย แม้ความมากน้อยจะแตกต่างกันก็ตามที ...โดยเฉพาะ บรรดารุ่นเล็ก ที่หนังขายความใส ซื่อ น่ารักน่าหมั่นเขี้ยว ของพวกเขา ได้อย่างถึงอกถึงใจคนรักเด็กเช่นผมแรงๆ ...ใครไม่ตกหลุมรัก ดรีมทีม ทีมนี้ ก็คงได้ชื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ใจร้ายมากๆ

ส่วนพลพรรครุ่นใหญ่ ที่มาพร้อมประเด็นพ่อแม่รังแกฉัน ต่างก็แสดงออกซึ่งความคิดและการกระทำได้ดูจริง เสมือนเป็นตัวแทนของสังคมไทยในวันนี้ อย่างเห็นภาพ ...แต่กับคนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ ก็คงไม่พ้น "โฟร์-ศกลรัตน์" ...ที่เลิกทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา ห๊า หา ผันขึ้นมารับบทผู้ใหญ่สู้ปัญหา ที่สามารถแย่งซีนเด่น และเอาชนะใจคนดูได้ไม่แพ้ เหล่าน้องๆดรีมทีมเลย

สำหรับใครที่อยากดูหนังง่ายๆ สบายๆ ที่ไม่ต้องซีเรียสกับความจริงจังของมันจนเกินไป หนังเรื่องนี้ ให้คุณได้แน่ ...ผมคนนี้ ขอเป็นหน้าม้าชวนเชิญไปชิม กล้วยทอดไร้น้ำมัน!!! ที่ทำได้อร่อยเพลินจนมันส์ปาก ไม่ฝืดคอ ทั้งยังได้อิ่มอย่างมีคุณค่าทางโภชนาการอีกต่างหาก

ในบรรดาหนังของพี่เรียวทั้งหมดที่เคยดู ...ผมชอบเรื่องนี้มากที่สุดแล้ว



ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ;
"ดรีมทีม" ... โอ้! กล้วยทอด ยอดมากมาย ..น่ารักอย่างงี้ เดี๋ยวป้าดเหนี่ยวเยย!!!





ลองของ 2 -> เกรด B+



ถ้าถามถึงความรู้สึกผมที่มีต่อภาคแรกนั้น ผมก็คิดว่ามันเป็นหนังสยองที่ดีเช่นกัน บทดี การแสดงของมะหมี่ดี(จนน่าหมั่นไสู้ลูกเสี่ยเจียงที่ได้ดีแทน) แต่ความดีนี้ ไม่ได้มีผลให้ผมต้องชอบตาม ก็แค่เป็นหนังที่สร้างความตะลึงงันได้ แต่ไม่ได้ใจอะไร จนอยากให้มีภาคต่อ

แต่ก็เนื่องด้วยเหตุที่ภาคแรกทำได้ดี และประสบความสำเร็จ ก็มิวาย ที่จะมีการคลอดภาคสองตามออกมา ...และภาคนี้ก็แบ่งทอนเรื่องไสยศาสตร์ที่เน้นๆในคราวก่อน มาเล่นกับแง่ดรามาที่เกิดกับการที่ครูพนอเป็นฝ่ายโดนเล่นของ จากผู้คนที่ต้องปวดร้าวไปกับการตายจากของคนในครอบครัว ที่เกี่ยวข้องกับการเข้ามายุ่มย่ามของครูพนอ

การดำเนินเรื่องของ ลองของ 2 ..จะเป็นไปในแบบที่คาบเกี่ยวกับภาคแรกบางห้วง แต่โดยมากก็เล่าย้อนไปยังอดีตหลังจากที่ครูพนอ กินเนื้อของคนมีของ ถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้า แล้วไปสิ้นสุดยังจุดเริ่มต้นของภาคแรก ...ซึ่งการเกี่ยวเนื่องของมันก็ทำได้ดีอยู่ ติดแต่ผมหลงลืมภาคแรกไปมากจนทำให้เอะใจบ่อยๆว่าตรงนี้ตรงนั้นมันมาเกี่ยวกันอย่างไร ...ฉะนั้นแล้ว ถ้าใครไม่ได้ดูภาคแรกมาก่อนก็มีมึนตึบๆแน่นอน (ถ้าอยากจะดู ก็ควรจะหาภาคแรกมานำร่องไปก่อน)

ด้วยความที่ทีมงานในภาคแรกยังคงยกมาทั้งกะบิ จึงวางใจได้ว่า "โรนินทีม" (ซึ่งมีผู้กำกับรุ่นใหม่น่าจับตามองอย่าง "ก้องเกียรติ โขมศิริ" อยู่ร่วมด้วย) ย่อมจะไม่ทำหนัง เพื่อโกยเงินกันเยี่ยงเดียว ...ในแง่พัฒนาการ ก็มีความลงตัวมากขึ้นกว่าภาคก่อน ที่เน้นเสียวสยอง(แหวะๆอี๋ๆ)ทุก 2 นาที (มากเกินไป) อีกทั้งก็ล้ำลึกที่สามารถเอาตัวเหตุการณ์ของภาคแรกมาเกี่ยวข้องได้น่าเชื่ออย่างมีเหตุมีผล ...แต่ก็เสียดายที่หนังภาคนี้พยายามตั้งแง่สอนคนดูจนเด่นชัดไปเสียหน่อย น่าจะทำแบบภาคแรกที่สอนกันอ้อมๆ ย่อมดูหลักแหลมกว่า

แต่ที่สำคัญที่สุดในหนังภาคนี้กว่าใครๆ ก็คงจะเป็น บทบาทครูพนอ ของ "มะหมี่-นภคปภา" ที่เรื่องนี้เขียนมาเพื่่อเธอเน้นๆกันเลยทีเดียว ...ซึ่งด้วยเหตุฉะนี้แล้ว คงจะเลี่ยงมามีข้ออ้างมอบรางวัลในสาขาประกอบหญิงไม่ได้แน่ ...ส่วนนักร้องสาว "แคล" ที่เพิ่งเล่นหนังเป็นเรื่องแรก ก็ทำออกมาได้ดี ในระดับที่ไม่รู้สึกว่ายังเป็นหน้าใหม่ (และก็ยังเสียดาย ที่คุณ "ปวีณา ชารีฟสกุล" มีบทบาทน้อยมากๆ ...จนแทบไม่ส่งผลให้อารมณ์์คนดูคล้อยตามพลอตของเธอ)

ส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบภาคนี้มากกว่าภาคก่อน เพราะรู้สึกสนุกกับหนังได้ระทึกกว่า (ภาคก่อนออกแนวสะอิดสะเอียนหนัก จนแทบไม่มีรมณ์จะตามติด) ...เหมาะสำหรับคนที่ดูภาคแรก แล้วอยากเห็นและรู้จักครูพนอมากไปกว่าเดิม ซึ่งไม่ผิดหวังแน่นอนกับการแสดงของ มะหมี่ ที่ตรึงเราให้หวาดกลัวเสมือนเป็นเหยื่อโดนเล่นของของครูพนออีกคน






Balls of Fury [DVD] -> เกรด B



ดูเอาฮาบ้าบอกันลูกเดียว กับหนังบ๊องส์ๆบวมๆ ที่ว่าด้วยเรื่องการแข่งขันปิงปอง ซึ่งนำเอาไปข้องเกี่ยวกับการค้าอาวุธได้อย่างมึนๆ

และก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปกับความอ่อนด๊อยของบทหนัง ที่เป็นเรื่องปกติสำหรับหนังสักจะเกิดมาตลกเต็มขั้นพรรค์นี้ ถ้ายอมจะดูจริงๆ คงจำต้องตัดเหตุและผลออกไปให้หมดซะ...แล้วถ้าได้เลือกกดภาษา เปลี่ยนจากซาวด์ฯให้เป็นพากย์ไทยแล้ว ก็เตรียมตัวเตรียมใจรับลูกหยอด สอดลูกตบดังๆ ของ "ทีมพันธมิตร" ที่พวกเราเชื่อมั่นในความฮาโค่ดๆเอาไว้ได้เลย






Street Kings -> เกรด C+



"Street Kings" เป็นหนังที่ดูหน้าหนัง ก็น่าจะเข้าท่าเข้าทาง หวังว่ามันจะออกมาเข้มข้น น่าติดตาม แม้เรื่องราวจะค่อนข้างซ้ำซาก แต่ก็ไม่ผิดที่จะหวัง เพราะหนังทริลเลอร์ตำรวจประมาณนี้หลายๆเรื่อง ก็เคยทำให้รู้สึกสนุกมานักต่อนักแล้ว

พอได้ดูจริงๆ ก็พบว่ามันเป็นหนังที่ออกจะซ้ำซาก มากกว่าจะชวนติดตาม

ถ้าถามหาสิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ดี ก็มีเพียงอย่างเดียว คือ การเสนอเรื่องราวลับๆ เบื้องหลังตราตำรวจ ..ที่ไม่อาจมองหน้าแล้วรู้ใจไปหมด ว่าใครดี ใครไม่ดี แล้วก็สามารถจบประเด็นเน่าคลุ้งนี้ ได้อย่างพอมีความนัยน่านึก ...สิ่งนี้เป็นความซ้ำซาก ที่หนังยังมีอะไรให้รู้สึกว่ามันน่าสนใจอยู่บ้าง

แต่ที่เหลือจากนั้น หาดีไม่มีอะไรอีกต่อไป ...ต่อให้ัตัวบทอาจจะเขียนเหตุการณ์อย่างมีเหตุีมีผลมากกว่าจะมาแบบมั่วๆซั่วๆ แต่ถ้าถามหาความน่าติดตาม ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย... การแสดงของ "คีนู รีฟส์" ก็ดูจะเหมาะกับคาแรกเตอร์ที่กำหนด แต่ต่อให้เล่นนิ่ง หรือแสดงออกรุนแรง ก็ลบภาพความเป็นคีนูดั้งเดิม ผู้เก็กฮวยหล่อฮั้งก๊วยไปไม่ได้ ..อดีตออสการ์ "ฟอเรสต์ วิเทเกอร์" ในบทที่เป็นโคตรแห่งความ OverActing ที่น่ารำคาญถึงที่สุด .."คริส อีแวนส์" ดูจะแสดงได้ดีสุดในหนังแล้ว แต่ขอโทษที่บทบาทพี่แกต้องตายอย่างน่าอนาถใจ มากกว่าจะสงสาร

นี่เป็นหนังที่เนื้อหาอาจจะเข้าข่ายดี เหมาะกับคนชอบดูความฉาวโฉ่แห่งวงการตำรวจ ...แต่เรื่องของความสนุก ถือว่าสอบตกอย่างรุนแรง

และเป็นหนังโรงเรื่องแรกในรอบปีของผม ที่พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "เสียดายตังค์"






Vantage Point -> เกรด B



90 นาที(โดยประมาณ) ที่หนังตลาดๆนามว่า "Vantage Point" เรื่องนี้มี ถูกแบ่งออกมาเป็นสองช่วงเวลาที่แตกต่าง และยังแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด

70 กว่านาทีแรก... นี่คือ หนังที่เรียกร้องความสนใจจากคนดูได้อย่างมากมาย ด้วยกลวิธีของการเล่าเรื่อง 8 คน 8 มุมมอง ที่แสดงออกผ่านการถ่ายทำทางอารมณ์ ความรู้สึกต่อเหตุการณ์ตรงหน้า ซึ่งจับต้องลักษณะของแต่ละบุคคลได้อย่างเข้าใจ... อีกพร้อมยังมีกลเม็ดสุดเด็ด อยู่ตรงที่ การยอกย้อน ซ่อนเงื่อนงำ ที่หนังจะค่อยๆปล่อยคำเฉลยออกมาทีละนิดในแต่ละมุมมองคน แล้วจึงตบท้ายในมุมมองนั้นด้วยการใส่ปมใหม่เข้าไปเพิ่ม ที่ตั้งใจจะทำให้เราอารมณ์สะดุดทันทีที่หนังตัดภาพย้อนไปยังช่วงเวลาเดียวกันของอีกคนหนึ่งที่รอให้เราปะติดปะต่อเรื่องราวใหม่เข้าไปเพิ่ม ...จนเมื่อหนังเข้าสู่มุมมองสุดท้าย จิ๊กซอว์เหตุการณ์ก็ถูกเรียงให้เข้าที่เข้าทาง และท้ายที่สุดก็เข้าแก๊ปของความเป็นหนังฮอลลีวู้ดตลาดๆอีกเรื่องหนึ่งที่เข้าข่าย สร้างสรรค์ ...ถึงจะเป็นความแปลกที่อาจไม่ใหม่ แต่ก็ไฉไลไม่น้อยเลย (แต่ถึงกระนั้นในมุมของเหตุและผล..ก็ยังขัดใจอยู่หลายๆจุดที่หนังใส่รายละเอียดได้ไม่ครบดี ...ที่สำคัญ คือ ความบกพร่องเรื่องปูมหลังของตัวละครบางตัวที่ขาดหาย)

10 กว่านาทีหลัง... นี่คือ หนังที่ขายสูตรสำเร็จ และจบลงในแบบตายตัว โดยไม่ต้องไปสนว่า ใครกันที่ควรจะเป็นฮีโร่ของหนังเรื่องนี้ ...แม้นี่จะเป็นนาทีทองที่นำเสนอความเป็นฮอลลีวู้ดกันเต็มเหนี่ยว ในฉากแอ๊คชั่นไล่ล่าที่ทำได้มันส์เข้าเส้นอะดรีนาลีน ชวนให้เร้าระทึกสั่นหัวใจ แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่เหลือเค้าความน่าสนใจอะไรอีก (หรือแม้กระทั่งจะถามหาความสมจริงสไตล์ Bourne ที่หนังพยายามเทียบเคียง.. ก็ยังไม่มีเลย) เพราะเรารู้ว่าสุดท้าย อะไรจะเกิดก็เกิดไป แต่ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงความจริงที่ อเมริกา ต้องเป็นฮีโร่อยู่วันยังค่ำอยู่ดี

สรุป.. แม้เวลา 10 กว่านาทีหลัง อาจจะยังไม่ถึงกับเสียหายอะไรหนักหนา จนไปพลอยทำลายความน่าเชื่อถือของ 70 กว่านาทีแรกจนหมด ...แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวในเวลา 90 นาทีเต็มๆ ที่ไม่ควรมี แล้วย่อมจะดีกว่า แถมยังจะส่งผลให้ Vantage Point เป็นหนังแอ๊คชั่น-ทริลเลอร์ที่ดูสนุกล้ำ ควรค่าจะจำในระดับที่น่าชื่นชม มากไปกว่านี้ได้อย่างแน่ใจ






Horton Hears a Who! -> เกรด A <- {Super Recommended}



ถ้ามองเอาจากหน้าหนังอย่างเดียว ก็คงคิดว่า Horton Hears a Who! เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นที่ทำออกมาเพียงเพื่อหวังขายเด็กๆ วัยใส ให้เข้ามาชมมาสนุกกับเหล่าคาแรกเตอร์ที่ถูกวาดให้เป็นสีสันลูกกวาดน่ารับประทาน

หากแท้จริงแล้ว ฮอร์ตัน เป็นอีกหนึ่งหนังอนิเมชั่นที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า ทำขึ้นมาเพื่อให้เด็กดูได้ และที่สำคัญ คือ เหล่าผู้ใหญ่ก็ยังจะสามารถดูสนุกควบคู่กันไปได้ด้วย ...ซึ่งดูเป็นอะไรที่ยากมากๆ สำหรับการทำหนังเรต G ที่มีไว้จำกัดขอบเขตอายุคนดูไว้ต่ำสุด (ดูได้ทุกวัย) แต่ก็ยังสามารถทำให้ผู้ใหญ่เข้าใจ และเพลิดเพลินไปกับมันได้จนหมดใจอีกต่างหาก

แต่ถึงกระนั้นแล้ว เรื่องของความสนุก มันได้กลับกลายไปเป็นประเด็นรองเลย ...เมื่อสิ่งที่หนังต้องการสื่อไปยังบรรดาผู้ใหญ่ มันช่างเป็นความจริงในสังคมวันนี้ที่หยิบมาเล่นในมุมเฟคๆที่แสบสันต์ (ต้องกล่าวชื่นชมย้อนหลังไปยังความอัจฉริยะของ "ดร.ซุส" ผู้ประพันธ์... ที่แต่งเรื่องเหมือนเห็นอนาคตโลกในวันนี้ไงงั้น) ...พลอตที่พูดถึง สิ่งมีชีวิต 2 สายพันธุ์ที่แตกต่างช่วยเหลือพึ่งพิงกัน อาจจะเพิ่งเป็นประเด็นที่หลักแหลมนักของ Ratatouille มาแหม่บๆ ก็จริง แต่ในมุมของ ฮอร์ตัน เรื่องนี้ ก็ยังเล่ามันได้อย่างน่าประทับใจ ...และเป็นความประทับใจที่เกิดขึ้นในมุมของความเป็นหนังตลก(แอบร้าย) ที่สามารถแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ กับสารที่ต้องการสื่อได้อย่างแจ่มชัด โดยจบลงในจุดที่เป็นความแฮปปี้ของทั้ง 2 ฝ่าย ...เพียงถ้าทุกคนบนโลกนี้จดจำในคำพูด "สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ ก็ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยกันทั้งนั้น" และเลือกจะกระทำมันให้เป็นจริง ...โลกใบนี้ ก็คงจะได้ยืดเวลาอวสาน ออกไปยาวนานกว่าที่กำลังจะเป็นอยู่ได้แน่นอน

แม้ส่วนตัวจะแอบเทใจเตรียมมอบออสการ์การ์ตูนปีหน้ากับ Wall-E ไปแล้ว ...แต่สำหรับ ฮอร์ตัน ในสายตาผม ก็ยังเป็นคู่แข่ง(น่าจะ)ดูสมน้ำสมเนื้อที่จะให้ประมาทก็คงไม่ได้เลยทีเดียวเชียวล่ะ

ก่อนจะได้ชมหุ่นยนต์แอ๊บแบ๊ว... นี่คือ อนิเมชั่นเรียกน้ำย่อย(คำโตๆ ก้อนหญ่ายๆ) ที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดจะไปดูไปสนุกกันทั้งครอบครัว ...ขอสวมหัวช้างน้อย ด้วยความสมัครใจ แปร๋นนนน!!!






The Forbidden Kingdom -> เกรด B-



The Forbidden Kingdom ...อาจจะเป็นโปรเจกต์ในฝันของใครๆหลายคน ที่วาดหวังจะได้ดู "เฉินหลง" และ "เจ็ท ลี" มาอยู่ร่วมจอ ในหนังเรื่องเดียวกัน ..ส่วนสำหรับผม ค่อนข้างจะเฉยๆ

แต่แล้วมันก็มีโจทย์อยู่ข้อหนึ่งที่น่าสนใจ(แกมบังคับ)ให้อยากรู้ว่า... อดีตผู้กำกับหนังเด็กๆ อย่าง "ร็อบ มินคอฟฟ์" (The Lion King, Stuart Little) จะมาทำอะไรได้บ้างในหนังกำลังภายในทุนฮอลลีวู้ดอย่างนี้

แต่จนแล้่วจนรอด มินคอฟฟ์ ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเข้าใจในวิถีของหนังวิทยายุทธ์เอเชียได้ดีพอ ...ยิ่งนำมาจับผสมด้วยกลิ่นอายความเป็นฮอลลีวู้ดทุนหนักลงไป ก็ชวนให้อดคิดถึง Memoirs of a Geisha ไม่ได้ ...เพราะทั้งสองเรื่อง ก็ล้วนแต่เป็นความพยายามที่ไม่สมควรแก่การแหวกประเพณีไม่ว่าจะมองในมุมที่สมจริง หรือว่ามันเป็นเพียงหนังที่ไม่จำเป็นต้องถูกต้องในทุกกระบวนท่า

การเจอะกันของสองเสือนักสู้เอเชียในครั้งแรก อาจไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก ในแง่ความตื่นเต้น ...แต่คิวบู๊ของ หยวนวูปิง ก็ทำให้คนทั้งสองดูเชี่ยวและเชียนในระดับที่เท่าเทียม ...และ การกำกับภาพก็พอจะช่วยให้ดูน่าลุ้นอยู่บ้าง ...แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นอานิสงส์ของบทหนังที่เขียนได้อ่อน ไปทำให้มวลความสนุกของตัวหนังมีอยู่น้อยจนเกินไป (และที่ได้รู้ข่าวมา กับรู้สึกได้ว่าโดด... คือ เรื่องความยาวของหนังในบ้านเรา กลับน้อยกว่าที่ฉายในอเมริกา ร่วมๆ 20 นาที...ก็น่าจะเป็นส่วนสำคัญแทบทำให้หนังเดินเรื่องได้ตื้นเสียเกือบเละ)

นี่ถ้าไม่ได้ ความสวยระดับเทพลงมาจุติของ "หลิวอี้เฟย" และ "หลี่ปิงปิง" มาช่วยค้ำจุนไว้ ...สงกะสัยหนังแอ๊คชั่นเรื่องนี้ อาจจะทำให้ผมง่วงหลับเวลาไหนก็ยังยอมได้






Superhero Movie -> เกรด B



ถ้าคุณยังคงเข็ดขยาด และหวาดกลัว บรรดาหนังในตระกูล Date Movie , Epic Movie ยันมาถึง Meet the Spartans ...ผมขอแนะนำให้คุณมาลบล้างภาพเก่าๆ ด้วยหนังล้อหนัง จากทีมผู้สร้าง Scary Movie ที่ขอให้วางใจได้ว่ามันไม่แย่เท่าหนังเหล่าเผ่าพันธุ์นั้นแน่นอน

"Superhero Movie" ...ยังรักษาขนบเดิมๆของตระกูล Scary ไว้ได้อย่างครบถ้วน ทั้งการล้อหนัง ที่ยกเอาฉากนั้น คำพูดนี้ หรือลักษณะสถานการณ์ มาโยงใยเอาไว้บนพลอตที่ไปลอกข้อสอบเขามาอีกที (ในกรณีของการนี้ ใช้พลอตหลักของ Spider-Man ทั้งไตรภาคมาผูกแบบหลวมๆ...แล้วจึงจับยัดเอามุขในหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกหลากหลายมานัวเนียจนเป็น ซูเปอร์ฮีรั่วซะนี่) ...และก็ไม่วายที่จะลืมสไตล์ ด่าคนนู้น จิกคนนี้ กัดสังคมไปเรื่อย ...ที่แต่ละเรื่องล้วนเอามาใส่แบบแถได้อีก หากก็เป็นการแถที่เนียน และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะวายป่วงจนเมื่อยกราม

แม้หนังจะทำได้ฮาถูกใจหลายๆ ตอนอยู่ในโรง ...แต่เมื่อออกจากโรงในทันใด ความรู้สึกแบบ Scary Movie ก็หวนกลับมาเดิมๆ ...เป็นอารมณ์ความสนุก ที่ดูจบแล้ว ก็เป็นอันจบเลย ไม่เหลืออะไรให้ต่อยอดอีกต่อไป

ปล. สำหรับคนที่จะไปดู ...โปรดอย่ารีบ อย่าลืมและอย่าพลาด "ฉากที่ถูกตัด" หลังฉายเครดิตไปนิดหน่อย ...ขอรับรองว่าฮาสะใจไม่แพ้ฉากจริงๆเลยทีเดียว







Disturbia -> เกรด A- <- {Recommended}



ตอนนี้ นักแสดงหนุ่มวัยสะรุ่นชาวฮอลลีวู้ดหลายคน คงพากันอิจฉา เจ้าหนุ่ม "ไชอา ลาบัฟฟ์" กันเป็นแถวๆ... ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นหนึ่งในเจ้าของเครดิตหนังมหาสนุกแห่งปีก่อนอย่าง Transformers เท่านั้น หากยังต้องมองไปถึงอนาคตที่เรากำลังจะเห็นเขาในบทบาทคู่ซี้ของขิงแก่ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในอีกหนึ่งอภิมหายักษ์ประจำซัมเมอร์นี้ กับ Indiana Jones 4 (นี่ยังไม่รวมกับกรณีที่กลายเป็นลูกรักของ พ่อมดสปีลเบิร์ก ..เตรียมโดนดันในหนังเน้นคุณภาพอีกเรื่องหนึ่งรอไว้แล้ว)

แต่ถึงแม้ เขาจะสร้างชื่อให้กับตัวเองได้ในหนังมีฟอร์มหนักๆ ...ก็ยังมีอีกหนึ่งงานที่สำคัญ ในปีก่อนซึ่งสั่งสมฝีมืออันน่าจับตาของเขา ให้เปล่งรัศมีวาววับ ...ใน Disturbia ไชอารับบทเป็น วัยรุ่นหัวขบถ ที่ไปมีเรื่องกับคนอื่น จนโดนทำทัณฑ์บนให้ใช้ชีวิตอยู่แต่กับบ้านเป็นเวลา 3 เดือน ...แต่แล้วเรื่องยุ่มย่ามใจก็ได้เกิดขึ้น เมื่อพระเอกดันสงสัยว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างเคียง อาจเป็นฆาตกรที่ทางการกำลังตามจับอยู่ เขาจึงพยายามที่จะสืบหาต้นตอความจริง ว่ามันเป็นไปอย่างที่คิดหรือเปล่า

การดำเนินเรื่องของหนังทริลเลอร์เรื่องนี้ ยังคงไว้ไปตามสูตรเดิมๆ ที่ไม่ได้ขายความยอกย้อนของเรื่องราว แต่นำเสนอด้วยภาษาภาพที่เน้นความระทึกชนิดหายใจได้ไม่ทั่วท้อง... ถึงแม้การเฉลยฆาตกรตัวจริงจะไม่ได้ทำให้ยากเย็นอะไรนัก แต่จังหวะที่ทำให้เราสับสน ก็ปนเข้ามาจนกลัว ว่ามันจะกลายเป็นว่าเราเองก็เข้าใจผิดอย่างพระเอก ...ซึ่งตรงนี้แหละ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ เหนือชั้นกว่าหนังทริลเลอร์ฆาตกรไล่ล่าเรื่องอื่นๆอีกระดับหนึ่ง ...และ ตัวบทหนัง ก็เขียนเล่ารายละเอียดต่างๆเอาไว้ได้ดี แทบไม่มีจุดขัดใจใดๆ ชวนให้สงสัย เมื่อย้อนไปคิดถึง

การแสดงของ ไชอา ที่เป็นตัวกลางเอาหนังทั้งเรื่องได้อยู่ ...ถึงจะรอบล้อมไปด้วยนักแสดงฝีมือจัดจ้านอย่าง "เดวิด มอร์ส" (ที่แทบไม่ต้องพูดอะไร ก็เห็นแล้วว่ามันน่ากลัว) หรือ "แคร์รี่ แอน-มอส" (ชีก็คือ แม่ทรินิตี้ แห่ง The Matrix นั่นแล) แต่เขาก็ดูเด่นได้ตลอด

สำหรับคนที่อยากดูหนังระทึก ชวนใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ ...นี่คือ อีกหนึ่งหนังแผ่นดูบ้านที่ขอแนะนำครับ






The 11th Hour -> เกรด B+



อีกหนึ่งหนังสารคดีที่ว่าด้วยเรื่อง ภาวะโลกร้อน กับการทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ (พ่วงบทผู้บรรยาย) ของ ดาราหนุ่มหล่อฝีมือจัดจ้าน "ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ"... เป็นการมาตอกย้ำความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้หนักขึ้น ด้วยข้อมูลที่แน่นเปรี๊ยะ กับการสัมภาษณ์บุคคลที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมากล่าวอ้าง ...ถ้าคุณเคยได้ดู An Inconvenient Truth แล้วยังเข้าใจไม่ทั่วถึง ก็ควรหา The 11th Hour เรื่องนี้ มาเพิ่มเติมเป็นอย่างยิ่ง

แต่ถึงหนังจะทำการบ้านในการศึกษาจากการสัมภาษณ์ หาข้อมูลเนื้อหา ไปถึงภาพมาประกอบอีกยังมีกราฟฟิก ควบคู่เพื่อให้เห็นภาพจริง ...กระนั้นแล้ว
ตัวหนังก็ค่อนข้างจะน่าอึดอัดอยู่ ที่มันพูด พูด และพูด ในเรื่องที่เราไม่อาจเข้าใจได้หมด เพียงแค่ดูรอบแรกรอบเดียวเท่านั้น ...และอีกอย่างหนังก็จับเอาบุคคลแต่ละคนมาพูดแบบรัวเร็วมาก จนถ้าหลุดสายตาไป ก็พร้อมจะหลุดเนื้อหาดีๆไปได้เลย ...ส่วนจังหวะที่ลีโอนาร์โด ออกฉากก็มีอยู่หลายห้วง ที่มันทำให้หนังหลุดๆชอบกล ถึงจะไม่เป็นส่วนเกิน แต่จังหวะเข้ามันมาแบบไม่แนบเนียนดีเท่าไหร่

ถ้าเทียบกับ An Inconvenient Truth แล้ว ...ชั่วโมงที่ 11 อาจจะให้ข้อมูลดีๆกับเราได้มากกว่าเยอะแยะก็จริง แต่ในแง่ของความลงตัวทางภาษาหนัง คงต้องยกให้เรื่องของ อัล กอร์ ชนะไป ...ถึงแม้ประวัติของกอร์จะไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้ความสนใจนัก แต่การตัดสลับเข้ามา ก็ช่วยให้หนังราบรื่นกว่า ไม่จำเป็นอึดอัดที่ต้องคอยจับจดใส่ใจกับคำพูดในทุกฉากทุกตอนเช่นเรื่องหลัง

แต่ยังไงๆ หนังภาวะโลกร้อนทั้ง 2 ต่างก็เป็นหนังสารคดีที่ดีทั้งคู่... และก็ควรจะหามาดูเป็นคู่ อย่างจำเป็น และจะให้ดีมากๆกว่า ก็ควรซื้อมาเก็บเอาไว้ในบ้านของคุณ เพื่อคอยเตือนใจถึงสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในวันนี้

"โลกยังมีเวลาอีกมาก แต่สำหรับเรา(คน)...มันไม่มี" (ประโยคเด็ด..ที่ผมจำได้แม่นจากหนังเรื่องนี้)






สี่แพร่ง -> เกรด B+

เหงา -> 9.5 คะแนน

"พี่สิน-ยงยุทธ" ได้เวลาแจ้งเกิดกับหนังผี(ที่ไม่ใช่ ผีเห็นผี)ตั้งแต่ครั้งแรกเลยทีเดียว ...กับช่วงเวลา 20 นาทีที่เอาคนดู(ผม)ได้อยู่หมัด อีกทั้งการแสดงของ เอ๋ เพื่อนสนิท ก็ยอดเยี่ยม ...ถึงเรื่องทั้งเรื่องจะไม่มีบทพูด นอกไปร้องกรี๊ด และร้องห่มร้องไห้ แต่เธอใช้สีหน้าและแววตา ได้อย่างน่าลุ้นจนอึดอัด

ยันต์สั่งตาย -> 4 คะแนน

นี่คือตอนเดียวที่ไม่น่านำมาทำเป็นหนังสั้นเลย ...เพราะเรื่องราวมีอะไรให้เล่นได้เยอะ ประมาณเดียวกับ "ลองของ" ภาคแรก ...แต่ถ้ามาพิจารณาในเวลา 20 นาทีที่มีอยู่ หนังก็ไม่สามารถทำให้เราสนุกได้เลย มันถูกทำให้ 'ป่นปี้' และ 'เลอะเทอะ' ด้วยงานกำกับของ "กอล์ฟ-ปวีณ" ที่เอาไม่อยู่ บทที่เขียนมาอ่อน การแสดงก็ยกพวกงั้นๆ ...แต่ก็ไม่อาจเลวร้ายเท่า งานซีจี ที่ต่ำคุณภาพจากมาตรฐาน บอดี้ ศพ #19 อย่างหวบหาบ

คนกลาง -> 8.5 คะแนน

ตัวอย่าง กับตัวหนังจริง แตกต่างแทบจะกลับกัน 360 องศา... เมื่อพลอตที่น่าจะเป็น ผีดรามา ได้ ถูกทำให้กลายพันธุ์เป็น ผีตลก ซะงั้น... "โต้ง-บรรจง" กล้าคิดและกล้าทำ ให้ตอนนี้ผ่อนความเครียดลง ผสมกับมุขฮาที่ปล่อยแบบมีความคิดฉลาดและเฉลียว แต่พอถึงทีสยองกับทำเอากรี๊ดหัวหด เปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน ...เสียดายแต่ว่า มันไม่อิ่ม เมื่อรู้สึกว่า ฉากจบมันเฉลยได้ไม่ถึงจุดช็อคสุดขั้ว เช่น แจ๊คขี่คอโรส ใน ชัตเตอร์ (ตะลึ่งตึ่งโป๊ะ!!!)

เที่ยวบิน 224 -> 7 คะแนน

ระทึกสุดขีด กับตอนสุดท้ายที่ให้อารมณ์กดดันได้ตลอด ด้วยการแสดงของ "พลอย-เฌอมาลย์" ที่อุ้มหนังไว้ได้ตลอด 20 นาที อีกทั้งการกำกับของ "โอ๋-ภาคภูมิ" ที่อยู่ในมาตรฐาน ...น่าเสียดายที่หนังตอนนี้ เล่าได้เรียบ เฉลยกันง่ายและเร็ว อีกทั้งตัวบทก็มีจุดผิดพลาดให้จับผิดได้มาก ...แต่กระนั้นฉากจบของมันก็หลอนติดตาจนยากจะลบเลือน

ถ้าเฉลี่ยทั้ง 4 ตอนออกมาจะเป็นคะแนน 7.25 ...แต่ผมขอแถมให้อีก 0.25 ด้วยเทคนิคการเชื่อมโยง ใส่กิมมิคเล็กๆน้อยๆ ในเรื่องราวทั้ง 4 ให้เชื่อมโยงถึงกันได้ Work ...เป็นความสร้างสรรค์ที่ถูกใจ






Tokyo Towers -> เกรด A <- {Super Recommended}



นี่คือ หนังอุ่นไอรักสุดงดงามแห่งปี สำหรับลูกที่รักและเทิดทูนแม่ ...และนี่คือ หนังดรามาความสัมพันธ์แม่-ลูก ที่ทำได้กัดกินเซาะใจได้ถึงที่สุด ต่อให้คุณอาจจะเป็นคนที่ชอบทำร้ายจิตใจแม่ ก็ต้องรู้สึกรู้สานึกถึงบุญคุณความห่วงใยที่ผู้เป็นแม่เคยมีถึงคุณเสมอมา

แม้แม่ในหนังเรื่องนี้ ออกจะเป็นคนที่ใจดี ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวอะไรลูกชาย(พระเอก)เลย ...แต่สิ่งหนึ่งที่แม่ของทุกๆคนต้องเป็นเหมือนๆกัน คือ ความปรารถนาดี ที่พร้อมจะทุ่มเททุกอย่าง ให้ลูกเติบโตไปเป็นคนดีที่น่าภาคภูมิใจ ...นี่คือ สิ่งที่หนังสื่อสารได้อย่างเต็มเปี่ยมด้วยรายละเอียดความเป็นจริง และไม่พยายามบิวต์อารมณ์แบบรู้สึกได้ เหมือนเช่น Always ทั้งสองภาค

สรุปว่า... นี่คือ หนัง"ต้องดู" สำหรับทุกๆคน ครับผม






Three Kingdoms : Resurrection of the Dragon -> เกรด B

ในปีนี้ มีหนังที่ว่าด้วยเรื่องของ "สามก๊ก" ฉายพร้อมกัน 2 เรื่อง ...แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของฟอร์มที่น่าเตรียมตาเตรียมใจมากกว่าก็คงต้องยกธงชนะให้ "Battle of Red Cliffs" ของ ผู้กำกับบู๊กระจัดนกพิราบกระจาย "จอห์น วู" ...เพราะพี่แกรวมทีมดาราเจ๋ง อย่าง "เหลียงเฉาเหว่ย", "ทาเคชิ คาเนชิโร", "เจ้าเหว่ย" ฯลฯ ...นี่ถ้ามี เฮีย "โจวเหวินฟะ" เหมือนเช่นที่เคยทาบทามไว้ด้วย คงจะไม่ต้องสรรหาคำใดมาบรรยายความน่าดูอีกต่อไป

แม้ว่า "Resurrection of the Dragon" จะมี "หลิวเต๋อหัว", "หงจินเป่า", "แม๊คกี้ คิว" ชวนเชื้อให้น่าดู แต่ก็ต้องยอมรับว่าฟอร์มหนังยังเป็นรองมากกว่ากันอยู่ ...แต่ถึงกระนั้น เรื่องของฟอร์ม ก็มิใช่ปัญหาน่าหนักอก เพราะเรื่องความสนุก และการดัดแปลงสิ ที่จะวัดว่าใครแน่กว่าใคร

สำหรับ สามก๊ก เรื่องแรกเรื่องนี้ ในความคิดผม... มันทำการดัดแปลงเรื่องราวของ จูล่ง มาเป็นหนังได้ดีพอสมควร ...ถึงจะเปลี่ยนความเป็นจริงที่ในประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีหลานสาวของโจโฉ นาม "โจอิง" มีตัวตน และไม่เคยมีผู้หญิงคนใดหมายจะฆ่า จูล่ง ...แต่การใส่เข้ามาก็เชิงจะมีเหตุและผล ไม่ีดัดมักง่ายให้เสียรูปกระบวนความงามของตัวตำนานจริง

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการดัดแปลง ก็ยังมี และเป็นปัญหาใหญ่ ที่ส่งให้หนังไม่มีฉากใดพีคหรือประทับใจเป็นที่สุด ...เพราะหนังเล่นตัดตอนเรื่องราวของประวัติ จูล่ง แบบปล่อยผ่านในตอนต้น ไปถึงกลาง ชนิดที่ถ้าไม่ได้ระดับเขี้ยวลากดินอย่าง หลิวเต๋อหัว มารับบทนี้ ก็อาจจะไม่เกิดความผูกพันใดๆกับ จูล่ง ผู้เกรียงไกรคนนี้เลยก็ได้ ...ฉะนั้นแล้ว ความน่าสนใจของหนัง จึงขึ้นอยู่กับ หลิวเต๋อหัว เป็นหลัก ...และเขาก็ทำได้ดีในระดับมาตรฐาน

บทของลุง หงจินเป่า ก็เป็นอีกคนที่น่าจะถูกลืมไปได้เลย ...ซึ่งถ้าเกิดไม่ได้ ความรู้สึกน่าเห็นใจในดวงตา บวกกับภาพคาแรกเตอร์ที่โดนมองข้ามความสำคัญ ช่วยทำให้เราสงสารเอาไว้ ก็คงไม่มีความหมายต่อตัวหนัง (น่าจะเกิดฉากสุดซึ้งทึ้งใจ ในตอนท้ายระหว่าง เฮียหลิว และลุงหง ได้แน่...ถ้าไม่เสียที่บทแต่แรกเริ่มมานี่แหละ) ... แม็กกี้ คิว ถือว่าดูดีในชุดนักรบ แต่มาดตัวร้าย กลับเด่นติดตาจากงานโกฮอลลีวู้ด Die Hard 4.0 มากกว่าแหะ

ส่วนเรื่องของความสนุก ...ได้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างใช้ได้ กับฉากสงคราม ที่ตื่นเต้นเร้าใจประมาณหนึ่ง ...แต่อุตส่าห์เป็นหนัง สามก๊ก ทั้งทีก็น่าจะมีอะไรที่หลักแหลมในเชิงกลยุทธ์พ่วงเข้ามาให้มากซะหน่อยก็ยังดี (มีก็เพียงแต่ฉากรบตอนต้น ที่ "จูกัดเหลียง" มาโชว์เก๋าคิดแผนช่วยไว้) ...มันจะได้สมน้ำสมเนื้อกับคำกล่าวที่ว่า "ดูสามก๊กครบสามจบ คบไม่ได้"

ตอนนี้ก็รอจะเห็น ศึกผาแดง ของป๋าวู อย่างใจจดจ่อ ...หวังว่ามันจะสนุกบนความหลักแหลมมากกว่า จูล่งโชว์ นะ






Iron Man -> เกรด B+

ถ้าถามว่า ฤดูกาลหนังซัมเมอร์ปีนี้ ผมรอคอยซูเปอร์ฮีโร่คนใดมากที่สุด ...รายหนึ่งรายเดียวที่ต้องการเจอ ก็มีแต่ Batman เท่านั้น

แต่ถึงกระนั้น ซูเปอร์ฮีโร่รายอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะมองข้ามกันไปหมด ..ถึงจะไม่ได้เกิดความอยากจะรับรู้อะไรอย่างตื่นเต้น แต่ถ้าดูเอาสนุก ก็นับว่าพอเพียง ...อย่างอีกหนึ่งมาร์เวล นาม "Iron Man" ที่มาก่อนใครเพื่อน ประเดิมเปิดฤดูหนังร้อนหน้าทัพโปรแกรมเรียกเงิน

จุดที่น่าสนใจของ ไอร์ออน แมน (ใครจะแก้เป็น ไอรอน แมน ..ก็สุดแล้วแต่เน้อ) สำหรับผม ...คือ ลักษณะนิสัยใจคอของคาแรกเตอร์ ที่มีมาดกวนๆยียวน แต่แอบขรึมได้ตลอด ผิดแผกจากบรรดาฮีโร่มีวุฒิภาวะทั่วไป ที่ต้องขรึมไว้ก่อน พ่อสอนไว้ ...มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจอะไรนักหรอก แต่ผมเรียกว่าเป็นเสน่ห์ที่ล่อลวงให้ผมเกิดความอยากรู้จักกับ ฮีโร่คนนี้ สักหน่อย

นอกเสียจากคาแรกเตอร์ของ โทนี่ สตาร์ค ที่อาจได้ใจไปแต่แรก ..ตัวหนังเต็มๆเองกลับยังทำได้ไม่ประทับใจซะเท่าไหร่ ...ถึงแม้มันจะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกเรื่องที่ดูเอาสนุก ให้ความหรรษาได้ดี กับบทที่แพรวพราวมุขขำ หยอดและตบได้หมดทุกเม็ด (ในบรรดาฮีโร่ มาร์เวล...จะมีใครขายหัวเราะได้เท่าเฮียไอร์ออน แมน ..เห็นไม่มี) ทั้งยังเป็นการเกริ่นที่มาของมนุษย์เกราะเหล็กได้น่าติดตาม ที่ทำให้เราอยากรู้จักสนิทสนมกับเขาไปเรื่อยๆ (ถ้ามีภาคต่อ ก็จะรอตามดูแน่นอน) ...แต่ในมุมของหนังแอ๊คชั่นสักเรื่อง ช่วงเวลาที่เป็นฉากบู๊ค่อนข้างจะเร้าอารมณ์แบบชิลๆมากไปนิด ทั้งที่น่าจะอัดใส่สีแดงแรงฤทธิ์ เพิ่มความเร้าใจให้มากกว่านี้ได้อีก ...เสียดาย ที่ศักยภาพความเป็นฮีโร่ของไอร์ออน แมน อาจจำยอมต้องถูกผมเรียก ไอ้อ่อน ในตอนนี้ไปก่อน

"โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์" เนียนมากกับมาดฮีโร่ขายขำ... "กวินเน็ธ พัลโทรว์" อาจโชว์หน้ากระเยอะไปหน่อย แต่ก็กลับมาเฉิดฉายบนจอให้หายคิดถึงไปได้พอสังเขป ...ส่วน "เจฟฟ์ บริดเจส" กับ "เทอเรนซ์ ฮาวเวิร์ด" โดดเด่นแค่หัว(ล้านโล่ง) กับความดำ เท่านั้นเอง อิอิ (ก็ถือว่ามาเล่นอะไรที่ผ่อนคลายบันเทิงๆกันไป)

ปล. ดูจนจบ ขึ้นเครดิตปิดท้าย ก็อย่าเพิ่งออกจากโรง ...เพราะมีอะไรน่าสนใจให้ดูต่อ โดยเฉพาะแฟนพันธุ์แท้ มาร์เวล มิควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง











ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ...ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ


Create Date : 03 เมษายน 2551
Last Update : 1 มิถุนายน 2551 20:45:04 น. 6 comments
Counter : 1316 Pageviews.

 

ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ภาพยนตร์รัก 4รุ่น วุ่น4วัย

อากาศร้อนๆ แบบนี้แวะมาชวนไปเที่ยวทะเลด้วยกันครับ
คลิกที่ภาพได้เลยนะคร้าบบบบบ

มิสเตอร์ฮองพาเที่ยวทั่วไทยครับ

ตอนนี้อยากดู สี่แพร่ง ที่สุดครับ ท่าทางจะสยองดี



โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:0:31:08 น.  

 
+ โปรเจ็คท์ปิดไฟ พี่ว่ามันแค่นโนบายการตลาดไฟไหม้ฟาง เหมือนตอนที่ใครบางคนก้มลงกราบแผ่นดินต่อหน้ากล้องหลายๆ ตัวนั่นแหละครับ (เอ๊! วกมาเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย อุๆ ) ... ทำแค่นี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ที่จะให้ยั่งยืนมันควรช่วยกันรณรงค์ปลูกฝังจิตสำนึกประชากรทั้งโลก และโดยเฉพาะเด็กๆ รุ่นใหม่ ให้หันมาประหยัดพลังงานกันอย่างจริงจังมากกว่าอ่า

+ หนังเดือนเมษา ของพี่ ตามลิสต์ที่นัทมาร์คไว้ และเรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ ...
* ดูแหงมๆ - Horton Hears a Who
* ฟังเสียงวิจารณ์แล้ว คิดว่าคงดู - นาค
* ดูจากหนังตัวอย่างแล้ว ว่าจะดู - สี่แพร่ง
* รอฟังคำวิจารณ์ก่อน ค่อยตัดสินใจอีกที - ดรีมทีม, Vantage Point, Street Kings, The Forbidden Kingdom, Three Kingdoms, Nim's Island
* อ่านวิจารณ์มาแล้ว อาจเปลี่ยนใจเป็นไม่ดู - Love in the Time of Cholera
* คิดว่าไม่ดู - ลองของ 2


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:48:23 น.  

 
^
^
แหม นอกจากมีคนก้มกราบแผ่นดิน ยังมีคนป่วยกราบแจกันดอกไม้ด้วยนะ ทำไปได้ ฮุๆๆๆ แพ็คเกจนี้ใช้งานได้ผลเสมอ 5555

อยากดู Nim's Island ยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้คิดว่าหนังจะออกมาดีหรอก แต่แค่เห็น Jodie Foster มาทำอะไรเวอร์ๆ บ้าๆ หลุดๆ ก็น่าจะคุ้มแล้ว

ปล. ร้อนวุ้ย


โดย: nanoguy IP: 125.24.71.218 วันที่: 5 เมษายน 2551 เวลา:17:48:20 น.  

 


โดย: CrackyDong วันที่: 9 เมษายน 2551 เวลา:3:57:11 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: จูริง วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:19:59:36 น.  

 
แวะมาเยี่ยมเจ้าค่าาาา


โดย: จูริง วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:23:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
3 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.