จิตชำนาญสิ่งใด ก็จะอยู่กับสิ้งนั้น
ในจิตปุถุชน ที่ยังอ่อนหัดในสัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ อุดมเต็มไปด้วย ความหลง (ภาษาพระเรียกว่า โมหะ) และการยึดติดด้วยตัณหา จิตก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของความหลง การยึดติด ถ้าจิตไปยึดสิ่งใดเข้า ถ้าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ จิตก็จะเป็นทุกข์ไปด้วยเสมอ และจิตที่ยังอ่อนหัดในสัมมาสติ จะยึดทุกข์อยู่นั้นแหละ ไม่ยอมปล่อยทิ้ง ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวรู้ว่าทุกข์ แต่ทำไมจิตจึงยึดทุกข์ไม่ปล่อย นี่ก็เพราะว่า การรู้ว่าทุกข์นี้ เป็นการรู้ด้วยจิตตสังขาร ไม่ใช่รู้ด้วยจิตรู้ จิตรู้ยังไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ จึงหลงเข้าไปยึดแน่นกับทุกข์นั้น ๆ
ผมอ่านในกระทู้ที่พวกหนุ่มสาว (ส่วนมากมักเป็นสาว) ที่เข้ามาขอคำปรึกษาว่า กำลังอกหัก ทำใจให้ลืมไม่ได้ จะทำอย่างไรให้ลืม เพื่อจะได้หายจากทุกข์ ก็จะมีผู้เข้ามาตอบเสมอ ๆ ว่า ให้ .ปล่อบวาง. เสีย จะได้ไม่ทุกข์ แต่ในความป็นจริง ผู้ที่อกหักอยู่จะไม่สามารถ .ปล่อยวาง.เรื่องทุกข์จากความรักได้เลย เพราะว่า จิตที่มีรัก นี่คือการยึดติดอย่างหนึ่ง จิตเข้ายึดติดกับรัก ยึดติดกับคนรัก จิตก็จะคุ้นเคยกับการยึดติด ยึดจนชำนาญ เมื่อ อกหัก จิตก็จะเข้ายึดกับการเสียใจ การอกหัก เพราะจิตคุ้นและชำนาญกับการยึดติดสมัยที่ยังมีรักอยู่แล้ว ดังนั้น การปล่อยวางในอกหัก จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก ๆ
ในขบวนการฝึกฝนเพื่อการพ้นทุกข์ ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นฝึกฝนให้จิตปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับสิ่งใด ๆ ฝึกแบบนี้บ่อย ๆ ฝึกจนชำนาญ จิตก็จะแม่นและมั่นคงกับการไม่ยึดติด เมื่อไม่ยึดติด จิตก็ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
นักปฏิบัติอาจมีคำถามตามมาว่า ถ้าฝึกจิตไม่ยึดติด ฝึกให้ปล่อยวาง แล้วทำไม จึงให้ตามรู้ ตามดู กาย ใจ ละ
ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่า ธรรมชาติของ กาย และของใจ มันเป็น ไตรลักษณ์ มันเป็นอนัตตา อยู่แล้วโดยธรรมชาติของมันเอง การตามรู้ กาย ใจ จึงเป็นการตามรู้ธรรมชาติ อันเป็นไตรลักษณ์ อันเป็นของว่าง และการยึดติดที่ทำให้ทุกข์ ก็คือการยึดติดที่กาย ทีใจ นั้นเอง
เมื่อผู้ฝึกฝน ฝึกให้ตามรู้ ตามดู กายใจ อันเป็นธรรมชาติที่เป็นของว่างแล้ว จนจิตรู้ เห็นความจริงได้แล้ว การปล่อยวางก็จะตามมาเอง เพราะจิตชำนาญในการปล่อยวางและรู้เห็นความจริงแล้วว่า กาย ใจ มันยึดไม่ได้ มันเป็นของว่าง
แต่การฝึกฝนที่ถูกต้องที่ให้เห็นกายใจ เป็นของว่าง ยึดถือไม่ได้นั้น ต้องเป็นการฝึกให้ .จิตรู้ . เห็น การฝึกฝนจึงจะได้ผลแห่งการปล่อยวางทีแท้จริง แต่ถ้าการฝึกเพียงให้ .จิตตสังขาร. รู้ การฝึกจะไม่มีทางได้ผลเลย
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมนักปฏิบัติจำนวนมาก ที่มีความเพียรมากเป็นหลาย ๆ ปี จึงไม่อาจจะได้ผลจากการฝึกฝน เพราะเขาไม่รู้วิธีที่จะทำให้ จิตรู้ เป็นผู้รู้ความจริงของกายใจ นี่เอง
เขียนไปเขียนมา มันก็วนอยู่ที่เก่า เพราะเรื่องการปฏิบัติมีเพียงเท่านี้ แต่ที่เขียนขึ้น เพื่ออธิบายให้เห็นในรูปแบบต่าง ๆ กัน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อนักปฏิบัติบางท่าน ที่อ่านบทความเก่า ๆ ของผมใน blog แล้วไม่เข้าใจ แต่พอมาอ่านบทนี้ อันเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ก็อาจทำความเข้าใจได้
การปฏิบัติที่ถูกทาง ให้ จิตรู้ เห็นความเป็นจริงแห่งกายใจ ต้องเริ่มจากที่นี่ก่อน คือความเข้าใจ ถ้ายังเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็ไม่มีทางปฏิบัติได้ผลเลย เพราะการไม่เข้าใจ จะใช้ จิตตสังขาร ปฏิบัติ แต่ผู้เข้าใจ จะใช้ จิตรู้ ปฏิบัติ
อย่าหลงกับรูปแบบ การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิ ที่เห็นครูบาอาจารย์ ท่านทำกัน ก็ทำตามบ้าง แต่ครูบาอาจารย์ ท่านเข้าใจ แต่ท่านละ เข้าใจแบบครูบาอาจารย์หรือเปล่า
ผมเห็นกระทู้ถามในเวปบอร์ด มักจะถามว่า การปฏิบัติต้องทำสมถะก่อน หรือ ทำวิปัสสนาก่อน หรือ ทำสมถะ หรือ วิปัสสนา พร้อมกัน คำถามประเภทนี้มีมากสำหรับมือใหม่ ในอดีต ผมก็เป็น ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร ผมจึงบอกท่านมือใหม่ทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่เข้าใจ ท่านต้องศึกษาให้เข้าใจก่อน ถ้าท่านลงมือฝึกโดยไม่เข้าใจ ท่านก็จะไม่ได้ผลครับ
ผมไม่ได้บอกท่านมือใหม่ว่า ท่านสมควรอ่านใน blog ของผม ท่านศึกษาที่ไหนก็ได้ ถ้าสิ่งที่ท่านศึกษาถูกต้อง วิธีการก็จะออกมาเหมือนกันหมด คือ พอท่านเข้าใจ ท่านปฏิบัติอย่างไหน ก็ถูกทั้งสิ้น ท่านจะนั่งสมาธิ ก็ถูก ท่านจะดูลมหายใจก็ถูก ท่านจะบริกรรมพุทโธ ก็ถูก ท่านจะเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ก็ถูก ท่านจะเดินจงกรม ก็ถูก แต่ถ้าท่านไม่เข้าใจ ท่านปฏิบัติอย่างไร ก็ผิดทั้งหมดครับ (ที่ว่าผิด คือ ไม่ได้ผลที่ให้จิตไม่ยึดติดกับอารมณ์)
ผมฝากอีกอย่าง สำหรับท่านมือใหม่ การที่ท่านเข้าไปถามอะไรในเวปบอร์ด แล้วมีคำตอบมาหลากหลายแนวทาง เมื่อท่านยังไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไร ว่า คนที่เขามาตอบ ตอบได้ตรง ตอบได้ถูกต้อง ถูกทาง ถ้าท่านเกิดในสมัย กาลิเลโอ แล้วท่านถามว่า โลกนี่แบนหรือกลม จะมีผู้ตอบเป็นแสน เป็นล้านว่า โลกแบน แต่กาลิเลโอ เพียงคนเดียว กลับตอบว่า โลกกลม ท่านจะเชื่อคนเป็นแสนเป็นล้าน หรือ เชื่อกาลิเลโอ ครับ
ดังนั้น ด่านแรก ที่สุดในการปฏิบัติก็คือ ท่านต้องเข้าใจก่อนครับ การปฏิบัติจึงจะได้ผล
สำหรับท่านที่เข้าใจแล้วว่าจะฝึกอย่างไร ก็ขอให้ลงมือฝึกมาก ๆ (ภาษาพระเรียกว่า วสี ) ฝึกให้ชำนาญ แล้วจิตรู้จะเข้าใจ และเกิดการปล่อยวางมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ได้เอง ยิ่งจิตรู้ปล่อยวางมากเท่าใด จิตรู้ก็จะยิ่งมีปัญญาตามมา เพราะจิตรู้ประจักษ์แจ้งแห่งความจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ
Create Date : 22 ธันวาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:29:47 น. |
Counter : 1000 Pageviews. |
|
|
|
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog
ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com
หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน