หลังสายฝนพรำ....เราจะเห็นความอบอุ่นของแสงอาทิตย์
วันก่อนได้คุยกับน้องคนนึงซึ่งอยู่ทางใต้ไกลโพ้นจากเมืองที่ผมอยู่ตอนนี้เหลือเกิน หาดใหญ่กับเชียงรายแหน่ะ
คุยกันประสาพี่น้อง ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ
แต่ช่วงนี้รู้สึกได้ถึงรังสีความ"ระทมทุกข์"ในตัวของน้องเค้าได้อย่างชัดเจน
ผมก็ไม่สามารถรับทราบได้ว่าก่อนหน้านี้น้องคนนี้เค้าเคยมีความสุขมามากขนาดไหน ทราบแต่เพียงว่าตอนนี้น้องเค้ากำลังอินเลิฟ
แต่ความรักที่น้องเค้ามีอยู่ในทุกวันนี้ มันเป็นดาบสองคม คมหนึ่งก็คือ มันเป็นแรงผลักดันให้น้องเค้ามีชีวิตไปข้างหน้า เพราะน้องมี"ความหวัง"
แต่อีกคมหนึ่งก็คือ บางครั้งถ้าหากความรักของน้องเค้าไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ มันก็ทำให้น้องดูหดหู่ หรือความรักกลับกลายเป็นมีดมาบาดตัวเราซะเอง
หากรูปในบล๊อกโหลดช้า เพราะคอมต้องเสียเวลาอ่านโค๊ด ก็เข้าไปดูรูปได้ที่ลิงค์ข้างล่างน่ะครับ
//www.pantip.com/cafe/gallery/topic/G6653347/G6653347.html
ช่วงที่เราได้คุยกับน้องเค้าตอนที่น้องเค้ามีความสุข เราก็พลอยดีใจไปด้วย
แต่ช่วงที่น้องเค้ามีความทุกข์ อันสืบเนื่องมาจากผิดหวังในการคาดหวังจากความรัก มันก็พลอยทำให้เรารู้สึกสงสาร
ทำได้แค่เป็นที่ปรึกษา
การที่ผมให้คำปรึกษาน้องเค้า บางทีผมก็ทำอะไรได้ไม่มากหรอกครับ แต่ถึงแม้ผมทำอะไรให้ได้ไม่มากนัก อย่างน้อย การที่น้องเค้าได้มีที่ระบายความรู้สึก ที่มันอัดอั้นออกมา ก็อาจจะทำให้อะไรที่มันอึดอัด ผ่อนเบาลง
ผมไม่ได้อ้างว่าผมเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตที่ดีที่สุด
แต่ผมสามารถรับฟังปัญหาของเค้าได้
และผมก็อาจให้คำแนะนำได้บ้างในบางกรณี โดยอ้างอิงจากที่ผมเคยประสบกับปัญหานั้นๆมาก่อน หรือว่าเคยอ่านวิธีการแก้ปัญหาจากผู้ที่มองเห็นวิธีแก้ปัญหาเหล่านั้น"อย่างเป็นกลาง"
อย่างในบล๊อกของคุณกะว่าก๋าตามลิงค์ข้างล่างนี้
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kawaka&month=05-2008&date=29&group=59&gblog=62
ผมยอมรับว่าบางครั้งผมเองก็เจอปัญหามารุมเร้า จนบางทีแทบเอาตัวไม่รอด
แต่ที่ผมหายเร็วขึ้น ก็เพราะว่าบางทีเรามีที่ในการระบายปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับพี่น้องที่เราสนิทด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อนสนิท ที่พร้อมจะรับฟังปัญหาของเรา
การระบายมันออกมาโดยไม่"กั๊ก"ทำให้เรารู้สึกโล่ง มันทำให้เราไม่หนักจากการแบกมันเอาไว้เพียงลำพัง
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
ตอนที่เรามีปัญหา มันก็เปรียบเสมือนตอนมีพายุฝน
หากเราจะฝ่าฟันปัญหาช่วงที่มีพายุพัดเข้ามา มันก็เปรียบเสมือนการวิ่งฝ่าไปท่ามกลางสายฝน
ซึ่งฝนนั้นอาจไหลเข้ามาทำให้เราระคายเคืองแสบตา อาจทำให้เราหกล้มก้นกระแทก เพราะเราเร่งรีบในการวิ่งฝ่ามันไปให้ถึงปลายทาง
บางทีเราอาจต้องรอให้ฝนซาก่อน เราถึงจะเห็นหนทางในการที่เราจะก้าวเดินไปชัดเจนขึ้น และเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น
หลายคนเคยคิดว่าช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของโลกใบนี้คือเวลาที่ฝนตก
เพราะว่าไม่ชอบบรรยากาศตอนที่ฝนมันตก
มันมีทั้งความหม่นหมอง
ความเปียกชื้นแฉะ
ความน่าสะพรึงกลัวของสายฟ้า และเสียงคำรามของฟ้าร้อง . . . . แต่เราเคยคิดกันมั่งไหมว่า
การที่เราผ่านพ้นช่วงที่ฝนตกหนักมาได้ แล้วเราเห็นแสงอุ่นๆของแดดยามเย็นที่ส่องมากระทบผิวกายของเรา
มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่น และเห็นคุณค่าของความสดใส ที่เราเคยมองข้ามมันก่อนหน้าที่ฝนจะตก
ชีวิตของคนแต่ละคนมีช่วงเวลาที่ฝนตกไม่เท่ากัน
บางคนฝนตกกินเวลาไปส่วนใหญ่ของช่วงชีวิตเค้า
บางคนก็มีช่วงเวลาที่แดดออกมากกว่า
ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับเราที่จะเลือกว่าอยากให้ชีวิตเราเป็นไปในทางไหน
บางคนเค้าอาจมีชีวิตที่ลำบากกว่าเรามากมาย แต่เค้ายิ้มให้กับชีวิตได้ เพราะอะไร
บางคนมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งเงินทองชื่อเสียง แต่เค้ากลับเปียกปอนอยู่ใต้สายฝนแห่งความหม่นหมองตลอดเวลา เพราะอะไร
เป็นเพราะ"ความคิด"ของเราเองเท่านั้น สูข หรือ ทุกข์ มันอยู่ที่ความคิดของเรา
ความคาดหวังก็เช่นกัน
มันเป็นศัตรูที่ร้ายกาจสำหรับเราเป็นอย่างมาก
อย่างที่ในบล๊อกของพี่กะว่าก๋าว่าเอาไว้
บางครั้งเราต้องคิดทบทวนใหม่ว่าเรา"คาดหวัง"มากเกินไปหรือเปล่า
เรารักคนๆนึง แล้วเราคาดหวังว่าต้องให้คนๆนั้นมารักเราตอบ เราจึงจะมีความสุข อันนั้นเป็นวิธีคิดที่ผิดอย่างมหันต์
เพราะจริงๆแล้วความสุขของการที่เราได้รักใครคนหนึ่งนั้น คือการที่เราได้ให้ความรักแก่เค้าอย่างเต็มความสามารถของเรา
คือการที่เราได้เห็นเค้ามีความสุข
คือการที่เราสบายใจที่เราได้"ให้ความรัก" ต่างหาก
ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปคาดหวังว่าเค้าคนนั้นจะมารักเราตอบ
เพราะถ้าหากว่าเค้าไม่รักเรา หรือว่าเค้าไม่ใส่ใจเรา ยังไง เราก็จะไปเปลี่ยนแปลงให้เค้ามารักเราได้ยาก
มันจะทำให้เราเกิดความทุกข์ว่า...ทำไมเรารักเค้ามากขนาดนี้ แล้วเค้ามอบความรักกลับคืนให้เรามาเพียงเท่านี้ มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้มอบให้เค้าไปอย่างนั้นหรือ?
แต่ถ้าหากว่าเราเปลี่ยนความคิดใหม่ ว่าฉันขอแค่ให้ได้มอบความรัก ความหวังดีให้กับเค้า แล้วเห็นเค้ามีความสุข มีการดำเนินชีวิตที่สวยงาม เราได้มองเค้าตรงจุดนั้น อันนั้นมันก็จะทำให้เราได้รับความสุขกลับคืนมามากกว่า
เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบที่น้องเค้าเป็นอยู่ตอนนี้
เรามีเวลาหมกมุ่นอยู่กับตัวเองมาก เราเอาใจไปผูกไว้กับคนที่เรารักมาก จนเราสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เค้าพึงพอใจ จนเราเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง ขาดซึ่งความสดใส ขาดซึ่งความสุข
และในระหว่างที่่เรากำลังทนทุกข์กับความคิดเหล่านั้น เราหารู้ไม่ว่า คนที่เรากำลังคิดถึง หรือคนที่เราหลงไหลอยู่นั้น เค้าก็มีความสุขตามประสาของเค้า เค้าไม่ได้มานั่งทนทุกข์อยู่กับเรา
ชีวิตของผมขณะนั้น มันเหมือนกับเราเป็นก้อนๆนึง ที่เรานำไปผูกไว้กับขาของคนที่เราหลงไหล
เค้าพาเราลากถูไปตามพื้น บางทีถ้าเค้ารำคาญ เค้าอาจจะจับเราขึ้นมา แล้วพาเดินไปด้วยกัน แต่ถ้าเค้าเห็นของใหม่ ที่สดใส น่าประคับประคอง เค้าก็พร้อมที่จะโยนเราทิ้ง แล้วไปโอบอุ้มสิ่งใหม่แทน ปล่อยให้เราถูลู่ถูกังกับพื้นดินจนถลอกปอกเปิก
เราควรทำให้ความรักที่เรามีต่อคนอื่นเป็นแบบ Mutualism หรือเป็นแบบ"พึ่งพาอาศัย"
จงทำความสัมพันธ์นั้นๆให้กลมกลืนกันอย่างเหมาะสม เสมือนหนึ่งเราเป็นกอกล้วยไม้ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ใช้ชีวิตเคียงคู่ไปกับเขา ไม่ไปรุกรานชีวิตเขาเฉกเช่นต้นไทร หรือกาฝากที่กัดกร่อนไปในต้นไม้
เมื่อเรามีความสุขกับการที่เราได้อยู่เคียงข้างเขา โดยที่เราไม่ไปคาดหวังในตัวเขามาก หรือเราไม่ไปรุกรานความเป็นปัจเจกของเขา เราก็จะเป็นเสมือนกอกล้วยไม้ห่อหุ้มให้ความชุ่มชื้นแก้ต้้นไม้ฉันได เราก็จะสามารถผลิดอกอันสวยงาม ออกมาเพิ่มเติมความสดใสให้โลกใบนี้ต่อไป
ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนมีความ"สวยงาม"ในแบบของตนเอง
มีเสน่ห์ในตัวของเราเอง
เราไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนตัวเราเอง เพื่อให้คนอื่นพึงพอใจ
หากว่าใครที่ไม่สนใจมองความงามในด้านที่เราเป็น ทำอย่างไร เค้าก็ไม่สนใจ อย่างมากบางทีเค้าก็อาจแค่มาชำเลืองมองดู แล้วก็หันกลับไป
เคยฟังเพลง"ไม้ขีดไฟ"กันหรือไม่ ไม้ขีดไฟ มันพยายามจุดตัวเองให้เกิดแสงสว่าง เพื่อให้ดอกทานตะวันที่ดูสวยงาม หันมามองมัน แต่ผลที่สุด ไม้ขีดไฟก็ต้องดับสูญ เพราะมันอยากมีความสุขในการที่เห็นดอกทานตะวันหันมามองมันบ้าง
เราต้องการให้มันเป็นแบบนั้นหรือ?
หากคนๆนึง มองข้ามความสวยงามในตัวเราไปแล้ว
ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทั้งโลกจะมองไม่เห็นความสวยงามของเรา
มีคนอีกมากมายที่ชื่นชมความสามารถ ชื่นชมความสดใสในความเป็นตัวของเราเอง เพียงแต่ว่าเราพร้อมที่จะกราดตามองดูคนเหล่านั้นหรือไม่ เพราะตอนนี้เราเอาหน้าของเราเข้าไปจ่อประชิดกับคนที่เราแอบรักแอบหลง จนภาพของคนนั้นมันมาบดบังคนอื่นอีกเยอะแยะที่ยืนอยู่ข้างหลัง
พี่มองเห็นความงามความสดใสและความมีเสน่ห์ในตัวของน้อง และพี่ก็เชื่อว่าถ้าน้องเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น น้องจะเป็นคนที่มีเสน่ห์มากขึ้นอีกทวีคูณ
ท่ามกลางคนนับหมื่นนับล้านที่อยู่รอบตัวเรา
หากเรามีความเป็นตัวของตัวเองแล้ว
เราก็จะดูสุขสดใส
แต่ถ้าหากเราขาดความเป็นตัวของตัวเอง เพราะเราไปคาดหวังในความรักที่เราให้คนอื่นไป โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ความรักนั้นกลับคืนมา
มันก็รังแต่จะทำให้เราเหี่ยวแห้ง เสมือนหนึ่งลูกไม้ที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยง รอวันร่วงหลุดจากขั้ว หล่นลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง
โลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่"เรากับเขา"แต่เพียงสองคน
เพราะถ้าเราคิดอย่างนี้เราก็จะรู้สึกถึงความโดดเดี่ยว
เวลาที่เราผิดหวังจากคนนั้น เราก็จะเป็นเสมือนเราร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นเบื้องล่าง
กลับมาเกลือกกลิ้งอยู่กับความสกปรกและหม่นหมองของพื้นดิน
จริงๆแล้วโลกใบนี้มี "เราและคนอื่นๆ"ต่างหาก
และมีหลายคนที่พร้อมจะโอบอุ้มเรา เมื่อถึงคราวที่เราหมดพลัง
ขอเพียงเราเปิดตา และเปิดใจมองมันบ้าง...
สุดท้ายนี้พี่ก็ขอให้น้องได้พบกับความสดใสของแสงแดดอุ่น หลังวันที่ฝนพรำ
และขอให้น้องมีพลังที่จะเบ่งบาน ผลิกลีบใบแห่งความสดใส พร้อมรับกับสายฝนระลอกใหม่ ที่จะเข้ามาเยือนเราในอนาคต
สวัสดีครับ
...................
พี่อาจหายไปหลายวันน่ะ
แต่ถ้าเป็นไปได้ จะแวะเข้ามาดูน้องเป็นพักๆน่ะครับ
Create Date : 29 พฤษภาคม 2551 |
Last Update : 23 สิงหาคม 2552 17:05:07 น. |
|
90 comments
|
Counter : 2259 Pageviews. |
|
|
|
ความรัก..
ทำให้คนเราเป็นอะไรได้หลายอย่าง
บางครั้ง..ความรักก็ทำให้เรายิ้มหรือหัวเราะได้ทั้งวัน
บางครั้ง..ความรักก็ทำให้เราไม่ใส่ใจเรื่องอะไรเลยนอกจากเรื่องของคนที่เรารัก
บางครั้ง..ความรักก็ทำให้เราทุ่มเทมากจนลืมไปว่าคนที่รับไปนั้นเห็นค่าของมันบ้างหรือเปล่า
บางครั้ง..ความรักก็ทำให้เราเศร้าซะจนทำอะไรไม่ได้เลย..
แต่อย่างไรก็ตามความรักก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมันไม่มีคำว่าถูกหรือผิดที่เรา..ให้หรือทุ่มเทกับความรักหรือกับคนที่เรารัก
เพียงแต่ว่าเราเข้าใจกับคำว่า ''รัก'' มากน้อยแค่ไหนและเราจะอยู่กับความรักที่เรามีได้อย่างไร...ที่จะทำให้เรามีความสุข
ทุกอย่างมักจะมีสองด้านเสมอ