Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
17 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 

Balzac and the Little Chinese Seamstress - Dai Sijie



รู้จักหนังสือเล่มนี้ก็เพราะหนังก่อนค่ะ ได้ดูหนังเรื่องนี้โดยบังเอิญแท้ๆ เมื่อออกอากาศช่อง Sundance



ในหนังตอนต้นๆ เรื่องก็ดูได้เรื่อยๆ ดูผ่านๆ แต่นั่งดูไปๆ เหมือนถูกดูดเข้าหาเรื่องราวซึ่งเหมือนราบเรียบ ไปเรื่อยๆ แต่พอจบปุ๊บ ดีที่เป็นวันหยุด คือไม่ทำอะไรแล้ว ออกจากบ้านไปหาหนังสือมาอ่านเดี๋ยวนั้นเลย

เป็นเรื่องซึ่งเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสก่อน ใช้ชื่อว่า Balzac et la petite tailleuse chinoise แล้วมาแปลเป็นภาษาอังกฤษในภายหลัง คนเขียน Dai Sijie เป็นชาวจีน เห็นว่าเรื่องนี้เป็นกึ่งอัตชีวประวัติ เป็นเรื่องของเด็กหนุ่ม 2 คนซึ่งถูกส่งไป re-educated ในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลความเจริญ ตั้งอยู่บนภูเขา ช่วงนั้นเป็นสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมของ เมาเซตุง เหตุที่เด็กหนุ่ม 2 คนนั้นถูกเลือกส่งไปก็เพราะรัฐถือว่าเป็นเด็กในครอบครัว bourgeois ซึ่งมีการศึกษา คือพ่อแม่เป็นหมอและหมอฟันทั้งคู่ และก่อนจะถูกส่งไปห่างไกลความเจริญเพื่อใช้แรงงานแบบนั้น เด็กทั้งคู่เริ่มเรียนหนังสือตามแบบแผนของชนชั้นกลางที่มีการศึกษาแล้ว

ตลอดทั้งเรื่องมีตัวละครตัวเดียวที่มีชื่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราว คือ Luo หนึ่งในสองเด็กหนุ่มนั่น เรื่องเล่าจากปากคำของเด็กหนุ่มอีกคน (มีชื่อเอ่ยถึงบ้างนิดหน่อยว่า Ma)



หน้าที่ของ Luo กับ Ma คือขนของเน่าเสียในส้วมประจำหมู่บ้านขึ้นเขาไปใช้รดน้ำผัก และงานใช้แรงงานอื่นๆอีก โดยรัฐอ้างว่านั่นเพื่อความดีงามของการปฏิวัติ และเพราะทั้งคู่เคยเรียนหนังสือ คนในหมู่บ้านจึงมอบอีกหน้าที่ให้คือเล่าเรื่องที่ทั้งคู่เคยเรียนมาด้วยปากเพราะผู้คนในหมู่บ้านนั้นอ่านหนังสือกันไม่ออก เล่าจนหมดเรื่องจะเล่า และเมื่อไม่ได้อ่านหนังสืออีกเลย ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องที่ไหนมาเล่าอีก

ที่นั่นทั้งคู่พบเด็กสาวซึ่งเป็นลูกของช่างเย็บเสื้อ และก็ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นสวยขนาดเห็นแล้วตะลึง



ในช่วงเวลานั้น มหาวิทยาลัยและโรงเรียนถูกสั่งปิด คนมีการศึกษาถูกสั่งห้ามอ่านหนังสือ หนังสือประเภทเดียวที่อ่านได้คือหนังสือซึ่งเขียนโดยเมาเซตุง เพราะเหตุที่ว่า Luo และ Ma มีการศึกษา และมีความต้องการจะเรียนรู้ และต้องการเรื่องเอามาเล่าให้ชาวบ้านฟังอีก จึงแอบไปขโมยหนังสือมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มอีกคนซึ่งกำลังจะเดินทางไปเรียนหนังสือ เด็กหนุ่มคนนั้นมีแม่เป็นนักเขียนและกวี ก็เลยมีหนังสืออยู่หลายเล่ม

Luo และ Ma แอบขโมยหนังสือทั้งหมดไปซ่อนไว้ในถ้ำ หนังสือเหล่านั้นเป็นหนังสือของนักเขียนตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น Balzac, Gogol, Flaubert เป็นเหมือนหน้าต่างไปสู่โลกอีกโลก Luo และ Ma แอบอ่านหนังสือพวกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย และคนหนึ่งที่ทั้งคู่ดึงเข้ามาร่วมรับรู้กับโลกใหม่นั้นด้วยคือลูกสาวช่างตัดเสื้อนั้น

ทั้ง Luo และ Ma หลงรักเด็กสาวคนนั้น และเด็กสาวก็รักทั้งคู่ด้วยเช่นกัน แต่ในที่สุดก็มีความสัมพันธ์กับ Luo ในขณะที่ Ma ได้แต่รับรู้อยู่ห่างๆ ทั้งพยายามเปลี่ยนความรู้สึกมาเป็นยอมรับและปฏิบัติต่อเด็กสาวเหมือนน้องสาวแทน

ต่อมา Luo ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมแม่ที่กำลังจะตายเป็นเวลาเดือนหนึ่ง ทางหมู่บ้าน Ma ยังคงอ่านหนังสือของ Balzac ให้เด็กสาวช่างตัดเสื้อฟัง และทำหน้าที่ปกป้องเด็กสาวไว้ให้เพื่อน

ในช่วงเวลานั้นเด็กสาวรู้ว่าตัวท้องกับ Luo และรู้ว่าจะเก็บเด็กไว้ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องน่าอับอาย Ma รับเอาเรื่องนี้มาเหมือนเป็นภาระของตัวเอง ทำทุกทางเพื่อให้เด็กสาวได้ทำแท้ง Ma มีไวโอลินอยู่ตัวหนึ่ง คือเป็นคนชอบเล่นดนตรี และเล่นไวโอลินได้เพราะมาก ก็เอาไวโอลินตัวนั้นไปจำนำมาเป็นค่าทำแท้ง

ตอนจบของเรื่องเป็นตอนที่ประทับใจมากที่สุด เมื่อ 20 กว่าปีผ่านไป ทั้ง Luo และ Ma เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็แยกย้ายไปคนละทิศละทาง และประสบความสำเร็จในชีวิต Ma ได้ข่าวว่าจะมีการสร้างเขื่อนซึ่งผลก็คือหมู่บ้านที่ตัวเคยไป re-educate จะจมอยู่ใต้น้ำ ก็เลยเดินทางไปที่นั่นเพื่อตามหาเด็กสาวช่างตัดเสื้อคนนั้น ถ้าเป็นเรื่องทั่วๆไปก็คงหาพบ และทั้งคู่ก็คงใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข แต่เปล่าเลย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องทั่วๆไป

Ma กลับมาอย่างผิดหวัง และได้เดินทางไปเยี่ยมเพื่อนเก่าคือ Luo ที่เซี่ยงไฮ้ Luo ในเวลานั้นแต่งงานมีลูกแล้ว และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คือเป็นอาจารย์สอนคณะทันตแพทย์ที่วิทยาลัย ทั้งคู่นั่งดูหนังซึ่ง Luo ถ่ายไว้ตอนที่ตัวเองกลับไปเยี่ยมหมู่บ้านแห่งนั้น และรำลึกถึงความหลังเมื่อภาพสุดท้ายที่เห็นคือทั้งหมู่บ้านจมอยู่ใต้น้ำ คนหนึ่งซึ่งทั้งคู่ไม่มีวันลืมคือเด็กสาวช่างตัดเสื้อคนนั้น

เป็นเรื่องเล่าที่หมดจดงมงามมากเลย เล่าอย่างเรียบง่าย มีบทตลกแทรกเป็นระยะๆ อย่างตอนที่ Luo และ Ma พยายามช่วยอุดฟันให้หัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อไม่มีเครื่องมืออะไรเลย ก็ใช้แรงจักรเย็บผ้ามาปั่นเครื่องกรอฟันซึ่งทำกันขึ้นมาเอง หรือนาฬิกาปลุกซึ่งมีตัวการ์ตูนรูปไก่อยู่ข้างในที่ Luo เอาติดตัวมาด้วย แล้วตั้งเวลาให้ช้ากว่าปกติเพื่อจะได้ไม่ถูกปลุกให้ไปทำงานเร็วเกินไป ชาวบ้านไม่เคยเห็นนาฬิกาแบบนั้น ก็พากันตื่นเต้น เด็กสาวๆ เอาไปแกะออกดูว่าไก่บนนาฬิกาเคลื่อนไหวได้ยังไง

เรื่องเริ่มต้นเหมือนเป็นการวิจารณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมและรัฐบาลคอมมิวนิสต์สมัยนั้น แต่จริงๆแล้วเป็นการพูดถึงความเป็นจริงของคนเรามากกว่า ความเป็นจริงที่ว่าท้ายที่สุดแล้วคนเราแต่ละคนล้วนถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยสภาพแวดล้อมของตัวเราเอง และเรามีทางเลือกถ้าเราจะเลือก เหมือนเด็กสาวช่างตัดเสื้อเลือกที่จะไปเสียจากหมู่บ้านแห่งนั้น ทั้งๆ ที่ที่นั่นคือโลกทั้งโลกที่ตัวรู้จัก แต่เมื่อหนังสือของ Balzac ที่เด็กหนุ่มทั้งคู่อ่านให้ฟังได้เปิดโลกใหม่ให้ เธอก็พร้อมที่จะก้าวออกไปจากสถานที่ซึ่งเป็นเหมือนทั้งที่ปกป้องคุ้มภัยจากโลกภายนอก และในเวลาเดียวกันก็กักขังเธอเอาไว้ด้วย

เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งเท่าที่เคยอ่านเลยค่ะ ซื้อมาทั้งเล่มภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ฉบับภาษาอังกฤษอ่านรวดเดียวจบ คือวางไม่ลงเลย ส่วนเล่มภาษาฝรั่งเศสคิดว่าจะเก็บไว้ก่อน ขืนเอามาอ่านตอนนี้คงเป็นเดือนกว่าจะจบ สงสัยคงเปิดพจนานุกรมกันจนขาดไปเป็นเล่มๆ แน่ๆ

* เครดิตภาพจากหนัง //www.rottentomatoes.com




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552
8 comments
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2552 5:19:42 น.
Counter : 2225 Pageviews.

 

เล่มนี้จัดเข้าคิวอยู่ในลิสต์เหมือนกันครับ

 

โดย: BlueWhiteRed 17 กุมภาพันธ์ 2552 18:06:18 น.  

 

เรื่องนี้ดีจริงๆค่ะ ไม่หวือหวา ไม่โลดโผน แต่ซาบซึ้งมากๆ

 

โดย: กุลธิดา IP: 68.216.104.3 18 กุมภาพันธ์ 2552 3:07:03 น.  

 

อ่านรีวิวของคุณกุลธิดาแล้วย้อนไปอ่านที่ตัวเองเคยรีวิวสั้น ๆ ไว้ แหะ ๆ คนละเรื่องทีเดียว

สงสัยต้องหยิบมาอ่านใหม่อีกรอบ ?

 

โดย: แม่ไก่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 10:34:04 น.  

 

คุณแม่ไก่เคยรีวิวเรื่องนี้หรือคะ ต้องไปตามอ่านโดยด่วนเสียแล้วค่ะ

รีวิวไม่เหมือนกันคงเป็นแบบมองต่างมุมมั้งคะ คือเท่าที่สังเกตๆเห็น เรื่องซึ่งมีความลึก คนอ่านมองได้ต่างๆกันจริงๆเลยค่ะ

 

โดย: กุลธิดา IP: 68.216.104.3 19 กุมภาพันธ์ 2552 2:07:48 น.  

 

มาเยี่ยมค่ะพี่กุลธิดา

 

โดย: teansri 20 กุมภาพันธ์ 2552 7:41:54 น.  

 

เรื่อยๆ แต่กินใจ..

เล่มใหม่ของแกก็น่าอ่านเหมือนกันนะครับ Once on a moonless night (ไม่แน่ใจว่าใช่รึป่าว? หน้าปกสีดำ) อาทิตย์ก่อนยืนอ่านแบบผ่านๆที่คิโนฯ ..

 

โดย: Tentty 21 กุมภาพันธ์ 2552 8:25:33 น.  

 

น่าดูจังเลยครับ

 

โดย: Mr.Feynman 9 มกราคม 2554 22:55:54 น.  

 

มาเจอรีวิวเล่มนี้เข้าโดยบังเอิญนะคะ เราเองมีร้านมือสองร้านประจำอยู่ค่ะ วันนั้นไปเจอเข้าพอดี อยู่ในกระบะ blow-out เลยค่ะ เล่มละ 19 บาทไทยเท่านั้น สารภาพว่าไม่รู้จักมาก่อนเลยค่ะ ยอมรับว่าตัดสินที่หน้าปกล้วนๆกับคียืเวิร์ดอีก 2 คำคือ เหมา เจ๋อตุง กับ Sundance ค่ะ เห็นเท่านี้ก็คว้าไว้แล้ว เชื่อมั่นมากๆว่ายังไงต้องเป็นหนังสือที่ดีแน่นอน

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ

 

โดย: เทเลทับขี้ (ไม่ได้ล็อกอิน) IP: 124.122.120.91 18 พฤษภาคม 2557 21:30:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


kdunagin
Location :
South Carolina United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




จำหลักไว้ในสายลม
กุลธิดา
www.mebmarket.com
แม้เป็นรักที่แอบเร้น หากก็ขออย่าเลือนไปกับสายลม
บาเคอร์
กุลธิดา
www.mebmarket.com
ราณียิ้มขมขื่น คำนั้นมีความหมายอย่างที่สุด บาเคอร์…วันพรุ่งนี้…ตามการออกเสียงของคนอิรัก เป็นสิ่งที่เธออยากเก็บไว้กับตัวแต่เพียงผู้เดียวตลอดไป…หรือจนกว่าจะได้พบเขาอีก เพราะนั่นคือคำสุดท้ายที่เขาบอกก่อนจะจากกันในเช้าวันนั้น ที่บ้านย่าของเขา และเธอกำลังร้องไห้แทบขาดใจ ‘มีวันพรุ่งนี้เสมอนะราณี’ และเธอก็ยึดถือคำพูดนั้นของเขาเป็นสรณะนับแต่นั้นมา เป็นความหวังเดียวที่มี ว่าวันหนึ่งเธอและเขาจะได้พบกันอีก แม้อาจไม่ใช่ในโลกนี้ก็ตาม
Friends' blogs
[Add kdunagin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.