Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
24 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
Tess Gerritsen



ตอนนี้กำลังหลงใหลหนังสือของ Tess Gerritsen อย่างแรง ยืมจากห้องสมุดสาธารณะใกล้ๆ บ้านมาอ่านเกือบหมดทุกเล่มแล้วค่ะ เหลืออีก 2 เล่มเท่านั้นที่ยังไม่ได้อ่าน หลงขนาดงานการไม่เป็นอันทำ อ่านจบเล่มหนึ่งก็ต่ออีกเล่มทันที

หนังสือของ Tess Gerritsen ที่พิมพ์มาทั้งหมดจนถึงวันนี้มี 21 เล่มค่ะคือ

แบ่งเป็นซีรีย์ที่เรียกว่า Rizzoli/Isles seriesตามชื่อตัวเอกในเรื่อง ก็มี

The Surgeon
The Apprentice
The Sinner
Body Double
Vanish
The Memphisto Club
The Keepsake

ที่เป็น medical thriller ก็มี

Harvest
Life Support
Bloodstream
Gravity
The Bone Garden

ประเภท romantic suspense

Call After Midnight
Under the Knife
Whistleblower
Never Say Die
Presumed Guilty
Peggy Sue Got Murdered
In Their Footsteps
Thief of Hearts
Keeper of the Bride

ที่ยังไม่ได้อ่านคือ Gravity เรื่องนี้ยังลังเลที่จะอ่านเพราะเกี่ยวกับนอกโลก ในห้วงอวกาศ อะไรประมาณนั้น ให้ความรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ กับอีกเล่มคือ The Memphisto Club เรื่องนี้ตั้งใจเก็บไว้อ่านเป็นเรื่องหลังๆ เพราะไม่มีอะไรของนักเขียนคนนี้เหลือให้อ่านแล้วค่ะ ไม่รู้จะต้องคอยนานแค่ไหนกว่าเรื่องใหม่จะมีออกมา

เอาเป็นว่าเท่าที่อ่านไปเกือบหมดแล้ว ยกแต่ที่ชอบมากที่สุดใน 2 ประเภทแรกมาพูดถึงนะคะ เพราะเรื่องที่เป็นประเภท romantic suspense ก็งั้นๆ

เรื่องแรกที่ชอบมาก และก็เป็นเรื่องแรกๆ ของ Tess ที่ได้อ่านคือ

Life Support





เป็นเรื่องของ Dr. Toby Harper แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินเวรดึกซึ่งบังเอิญไปเกี่ยวพันกับการทดลองเพี้ยนๆ เพื่อยืดอายุคนแก่ให้ยืนยาวและแข็งแรงเหมือนคนหนุ่มสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อคืนวันหนึ่งมีผู้ชายแก่ๆ ถูกพบตอนกำลังเดินสะเปะสะปะอยู่ในสวนสาธารณะ คนแก่คนนั้นจำอะไรไม่ได้เลย Dr. Toby รับเข้ารักษา แต่ระหว่างคอยตรวจ ผู้ชายแก่คนนั้นก็หายไปเฉยๆ Toby กลายเป็นที่เพ่งเล็งของฝ่ายบริหาร เมื่อพยายามเคลียร์ตัวเอง เรื่องกลับยุ่งหนักเข้าไปอีกเมื่อไปรู้ว่ามีคนแก่ที่สถานรับดูแลคนชราแห่งหนึ่งล้มตายหรือไม่ก็หายสาบสูญไปทีละคนสองคน

เรื่องนี้เริ่มต้นก็ชวนสงสัยแล้ว คือเริ่มในห้องผ่าตัดขณะกำลังมีการผ่าตัดไส้ติ่งธรรมดาๆ นี่เอง แต่ศัลยแพทย์สูงอายุเกิดมีอาการเพี้ยนๆ หั่นคนไข้บนเตียงผ่าตัดเสียเองจนตาย วิสัญญีแพทย์เข้าช่วยคนไข้ ก็ถูกเฉือนคอ ตัวศัลยแพทย์เองกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่าง

เรื่องที่ชอบมากที่สุดเรื่องที่ 2 คือ

The Sinner




เรื่องนี้มี Detective Jane Rozzoli กับ Dr. Maura Isles ซึ่งเป็น medical examiner เป็นตัวนำเรื่อง 2 คนนี่เป็นตัวเอกในซีรีย์ Rizzoli/Isles ค่ะ

The Sinner เริ่มเมื่อมีฆาตรกรรมในวัดนางชี (abbey) แม่ชีสาวคนหนึ่งตาย แม่ชีสูงวัยอีกคนอาการสาหัส ใครจะคิดว่าจะมีการฆ่ากันตายในสถานที่แบบนั้น วัดนั้นก็เป็นเพียงวัดเก่าๆ มีแต่แม่ชีแก่ๆ Det. Rozzoli เป็นเจ้าของคดีนี้คนหนึ่ง และ Dr. Isles ก็เป็นผู้ชันสูตรศพ เรื่องยิ่งยุ่งเหยิงหนักเข้าไปอีกเมื่อมีคนพบศพผู้หญิงซึ่งดูเหมือนผู้หญิงต่างชาติ ศพนั้นถูกตัดมือตัดเท้าออกไป หน้าถูกลอกออกไปส่วนหนึ่ง คือเพื่อลบหลักฐานที่จะค้นหาได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร สภาพผิวหนังของคนตายมีรอยเหมือนเป็นโรคผิวหนังอะไรบางอย่าง ต่อมาก็มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทข้ามชาติบริษัทหนึ่งถูกยิงตาย แรกๆ ดูเหมือนกรณีเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ต่อมาเมื่อตัวเอกทั้ง 2 คนช่วยกันสืบสาวเรื่อง ก็พบว่าทุกอย่างโยงถึงกันหมด

ถ้าว่ากันถึงเนื้อเรื่องนะคะ อาจไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้งานของ Tess Gerritsen โดดเด่นออกมา (ในความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ) เท่าที่ประมวลได้ก็มี

1.
การใช้ศัพท์ Tess Gerritsen เป็น Internist ค่ะ ในพจนานุกรมแปลไว้ว่า อายุรแพทย์ คือแพทย์ซึ่งรักษาโรคในช่องท้อง ปกติเป็นคนชอบอ่านเรื่องที่ผู้เขียนทำอาชีพนั้นจริงๆ อย่างถ้าเกี่ยวกับคดีความ เกี่ยวกับศาล ก็ชอบของ John Grisham (นักเขียนคนโปรดชั่วกัลปาวสาน ) กับ Scott Turow เรื่องที่เกี่ยวกับแพทย์และวงการแพทย์ เคยชอบของ Robin Cook เพราะรู้สึกว่าคนเขียนเข้าใจวงการนั้นๆ จริงๆ ศัพท์ที่ใช้ก็สมจริง และไม่จำเป็นต้องเอาฉากหวือหวามาดึงคนอ่าน แค่เขียนถึงภาพและสถานการณ์ที่เกี่ยวกับวิชาชีพของตัวก็ดึงคนอ่านได้ไม่ไปไหนแล้ว

แต่พอมาเจอ Tess Gerritsen เข้า Robin Cook กับ Michael Chrichton คือใครนี่ลืมไปแล้ว คิดว่า Tess ทำได้ดีกว่า หมายถึงในความชอบส่วนตัวนะคะ คือใส่ศัพท์ทางการแพทย์ได้แบบไม่มีการเกรงใจคนอ่านซึ่งเป็นประชากรโลกปกติธรรมดาเลยค่ะ ในขณะที่นักเขียนซึ่งโดยอาชีพเป็นหมอคนอื่นๆ ยังยั้งๆ เอาไว้บ้าง แต่ในเรื่องของนักเขียนคนนี้ โอ้! เอาแค่ตัวอย่างพอสันฐานประมาณนะคะ

"This is DIC. He needs antigoagulation."
"Go for a subclavian."
"You going to re-anastomose?"
"She'll develop collateral drainage."
"Systolic's barely palpable at sixty! She's in sinus tach--"
"ETA two minutes!"

นี่ขนาดเรียกว่าง่ายที่สุดแล้วนะคะ ตอนที่อ่านๆ ไปก็คิดว่าถ้ามีใครเอาหนังสือพวกนี้มาแปลแล้วจะเป็นยังไง แต่ชอบค่ะ ชอบที่ว่ามันให้บรรยากาศในห้อง emergency จริงๆ โชคดีที่ตัวเองก็โตมากับศัพท์ในภาษามนุษย์ต่างดาวพวกนี้เพราะคุณพ่อเป็นหมอห้อง emergency คุณแม่เป็นพยาบาลแผนกเดียวกัน ตอนอ่านเลยไม่ค่อยเหวอเท่าไหร่เพราะหลายๆ คำเคยฟังมาจนค่อนข้างจะคุ้นแล้ว

2.
แต่ละบทของ medical suspense ของนักเขียนคนนี้เรียกได้ว่า ยังไงล่ะ adrenaline pumping อย่างแท้จริงค่ะ คือรวดเร็ว เฉียบ อ่านไปก็ตื่นเต้นไป การดำเนินเรื่องรวดเร็ว ส่วนที่ขยักๆ เอาไว้ก็ไม่เป็นแบบเสแสร้ง คือประเภทเสแสร้งนี่อ่านดูรู้ ก็ในเมื่อบอกออกมาตรงๆ ก็ได้ จะขยักไว้ทำไม แต่ของนักเขียนคนนี้ เรียกว่าไม่จำเป็นต้องขยักอะไรไว้เลยก็ยังได้ในเมื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันตื่นเต้นในตัวของมันเองอยู่แล้ว

3.
ฉากที่เกี่ยวกับความรักหรือความพึงพอใจระหว่างหญิงชาย ลักษณะการนำเสนอเรื่องแบบนี้ของนักเขียนคนนี้เป็นแบบที่คิดว่าเซ็กส์ซี่ที่สุดค่ะ ตั้งแต่อ่านมาจนเหลืออีกแค่ 2 เล่ม ยังไม่เจอฉาก (เรียกตรงๆ เลยแล้วกัน) ร่วมเพศแบบโจ๋งครึ่มเลยแม้แต่เรื่องเดียว เพราะไม่จำเป็นเลยค่ะ ฉากประเภทนั้นที่เซ็กส์ซี่อย่างแท้จริงคือบอกให้รู้เป็นนัยๆ แค่นั้นเอง แล้วปล่อยให้คนอ่านจินตนาการที่เหลือเอาเอง เพราะแท้จริงแล้ว จินตนาการของคนเราไปเติมเต็มส่วนที่ผู้อ่านเปรยไว้เป็นนัยๆ ได้อย่างสวยงามและชัดเจนเสียยิ่งกว่า

อีกอย่างที่ว่าเซ็กส์ซี่คือการไม่อธิบายอะไรออกมาตรงๆ อย่างตัวอย่างในเรื่อง The Sinner นะคะ มีแรงดึงดูด (physical attraction) ระหว่าง Dr. Isles กับบาทหลวงหนุ่มซึ่งเป็นผู้ดูแลวัดที่เกิดเหตุ ชื่อ Father Brophy แต่ก็เป็นความพึงพอใจที่มีต่อกันในลักษณะต้องห้ามเพราะถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ ในเรื่องคนเขียนพูดถึงสายตาที่มองกันและกัน ความร้อนจากร่างกายที่ส่งผ่านถึงกันเมื่อเฉียดเข้ามาใกล้กัน การที่บาดหลวง Brophy เอาชีวิตตัวเองเข้าแลกเพื่อป้องกัน Dr. Isles แค่นั้นคนอ่านก็เอาส่วนที่ขาดไปไปเติมเอาเองได้ไปถึงไหนๆ แล้วค่ะ มันเซ็กส์ซี่เสียยิ่งกว่าอธิบายฉากบนเตียงเป็นขั้นเป็นตอนชนิดเทียบกันไม่ติดเลยจริงๆ

หรืออย่างในเรื่อง The Surgeon ที่ Dr. Cordell ศัลยแพทย์ประจำแผนกฉุกเฉินกับ Det. Moore มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน เริ่มสนใจกัน ไม่ต้องถึงกับแสดงว่ากระโดดขึ้นเตียงด้วยกัน แค่พูดถึง Det. Moore ยืนดูจอคอมพิวเตอร์ทางด้านหลัง Dr. Cordell แล้วรู้สึกถึงไออุ่นของกันและกัน ได้กลิ่นหอมจากผมของหมอ Cordell หรือตอนที่จะคุยกันถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น แต่เมื่อที่นั่นเป็นแผนกฉุกเฉิน ไม่รู้ว่าควรไปคุยกันที่ไหนดี ก็เข้าไปในห้องพักแพทย์ซึ่งมีขนาดเล็ก คือเพื่อให้เป็นส่วนตัวหน่อยเท่านั้นเอง ประตูห้องปิดแล้วรู้สึกว่าต้องอยู่กันตามลำพังในห้องแคบๆ นั้น ทั้งๆ ที่มีเตียงตั้งอยู่ด้วยนะคะ แต่ในตอนนั้นไม่พูดถึงเตียงเลย แค่ความรู้สึกของคน 2 คนที่เริ่มมี physical attraction ต่อกัน อยู่ดีๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เข้ามาอยู่ในห้องแคบๆ กันสองต่อสองเป็นครั้งแรก และประตูปิด ต่างฝ่ายต่างก็รู้ตัว พอรู้ตัวก็รู้สึกอึดอัด บอกไว้แค่นั้นเองค่ะ คนอ่านก็จินตนาการล่วงหน้าไปไกลแล้วเพราะรู้ว่าเบื้องลึกของความอึดอัดนั้นเกิดจากอะไร

ด้วยเหตุฉะนี้ Tess Gerritsen หมอและนักเขียนชาวอเมริกันเชื้อสายจีนผู้นี้ก็กลายเป็นนักเขียนในดวงใจไปอีกคน คราวนี้แซงหน้า Scott Turow ไปไกลเลย


Create Date : 24 มิถุนายน 2552
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 5:05:52 น. 4 comments
Counter : 3913 Pageviews.

 
แวะมาทักทายค่ะ


โดย: Elbereth วันที่: 25 มิถุนายน 2552 เวลา:8:02:54 น.  

 
สวัสดีค่ะ ยังจำกันได้มั๊ยเอ่ย คิดถึงนะค๊ะ พี่

จาก คนไทยบ้านไม่ไกลกันค่ะ



โดย: ตุ๊กตา IP: 74.242.88.253 วันที่: 25 มิถุนายน 2552 เวลา:9:51:32 น.  

 
มีแปลไทยกี่เล่มแล้วคะ ? ?


โดย: น้ำหวาน IP: 1.1.194.175 วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:23:53:30 น.  

 
เหมือนกันเลยค่ะ ถึงขั้นเฝ้ารอกันเลยทีเดียว


โดย: กระเพรา IP: 27.55.16.115 วันที่: 7 กรกฎาคม 2559 เวลา:22:21:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kdunagin
Location :
South Carolina United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




จำหลักไว้ในสายลม
กุลธิดา
www.mebmarket.com
แม้เป็นรักที่แอบเร้น หากก็ขออย่าเลือนไปกับสายลม
บาเคอร์
กุลธิดา
www.mebmarket.com
ราณียิ้มขมขื่น คำนั้นมีความหมายอย่างที่สุด บาเคอร์…วันพรุ่งนี้…ตามการออกเสียงของคนอิรัก เป็นสิ่งที่เธออยากเก็บไว้กับตัวแต่เพียงผู้เดียวตลอดไป…หรือจนกว่าจะได้พบเขาอีก เพราะนั่นคือคำสุดท้ายที่เขาบอกก่อนจะจากกันในเช้าวันนั้น ที่บ้านย่าของเขา และเธอกำลังร้องไห้แทบขาดใจ ‘มีวันพรุ่งนี้เสมอนะราณี’ และเธอก็ยึดถือคำพูดนั้นของเขาเป็นสรณะนับแต่นั้นมา เป็นความหวังเดียวที่มี ว่าวันหนึ่งเธอและเขาจะได้พบกันอีก แม้อาจไม่ใช่ในโลกนี้ก็ตาม
Friends' blogs
[Add kdunagin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.