คุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน?
นักลงทุนมีหลายประเภท ถ้าแบ่งรูปแบบของการลงทุนเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์ก็จะมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ นักลงทุน กับ นักพนัน
แต่ถ้าแบ่งประเภทของการเป็นนักลงทุนโดยภาพรวม เช่น นักลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนในธุรกิจส่วนตัว เราสามารถแบบได้ 4 ประเภท ได้แก่
1. นักลงทุนประเภทติดลบ นักลงทุนประเภทนี้จริงๆ แล้วไม่จัดเป็นนักลงทุน อาจจะจัดเป็นนักก่อหนี้มากกว่า เพราะมักจะสร้างหนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของชีวิต ถ้ามีความสุขกับมันก็คงไม่ผิดอะไร อย่างที่หลายคนเรียกว่า "หนี้แห่งความสุข" (ผมเองก็มีหนี้แห่งความสุขเช่นกัน)
2. นักลงทุนประเภทนักออม นักลงทุนแบบนี้จะเน้นการเก็บออมเป็นหลัก ธนาคารไหนให้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงนักลงทุนประเภทนี้จะสนใจเป็นพิเศษ เงินที่หามาได้ก็จะเก็บออมเกือบหมด มีความสุขกับตัวเลขในสมุดบัญชี คนรอบข้างคุณใครเป็นนักลงทุนประเภทนี้บ้าง?
3. นักลงทุนประเภทนำเงินไปต่อเงิน นักลงทุนแนวนี้มักจะเป็นนักธุรกิจ อาจเริ่มต้นธุรกิจด้วยการกู้ ถ้าโชคดีประสบความสำเร็จก็จะนำกำไรที่ได้จากการทำธุรกิจมาต่อธุรกิจ เรียกว่าเงินต่อเงิน การลงทุนประเภทนี้ใช้ได้ดีในยุคอุตสาหกรรม และถ้าประสบความสำเร็จก็อาจจะต้องคอยดูแลธุรกิจของตนเองไปจนแก่
4. นักลงทุนประเภทสร้างเงินจากความว่างเปล่า นักลงทุนประเภทนี้จะไม่ใช้เงินต่อเงิน แต่ก็อาจใช้บ้างถ้าให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามโดยส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนประเภทนี้จะใช้ความคิดสร้างเงิน ความคิดที่มาจากสมอง ไม่มีต้นทุนทางการเงิน หรือสร้างเงินจากความว่างเปล่า นักลงทุนเหล่านี้ได้แก่ นักสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (บิลเกตต์) นักสร้างสังคมออนไลน์ (FaceBook) สร้างธุรกิจจากความคิด และขายธุรกิจเปลี่ยนเป็นความมั่งคั่ง
คุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน?
สำหรับผมกำลังพยายามเป็นนักลงทุนประเภทสุดท้าย "ความคิด" เป็นสิ่งสำคัญที่สุด และสามารถแปลงเป็นความมั่งคั่งได้ ถ้าคุณมีความคิดดีๆ ความร่ำรวยก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน..
คุณสามารถทิ้งงาน หรือธุรกิจไว้ 1 ปี ไปเที่ยว แล้วกลับมายังพบว่างานยังเดินได้เป็นปกติหรือไม่? //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=greenpluss&month=04-2011&date=24&group=16&gblog=100
อาหารพืชชีวภาพ //whole--sale.blogspot.com/2011/04/blog-post_24.html
Home Decor Garden //rascal-shop.blogspot.com/
Create Date : 25 เมษายน 2554 |
Last Update : 25 เมษายน 2554 15:35:25 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1371 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
* กำไรสุทธิคือกำไรที่หักดอกเบี้ยออกไปแล้ว ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นกำไรของผู้ถือหุ้นสามัญนั่นเอง
แต่สำหรับ EV/EBITDA มาจาก มูลค่ากิจการ/EBITDA
* EV ย่อมาจาก Enterpise Value ซึ่งคือมูลค่าของกิจการที่ไม่รวมส่วนของ non operating
* Value of firm = Value of operating + Value of nonoperating
* Value of operating คือ มูลค่าของกิจการทีี่เกิดจากการดำเนินธุรกิจของบริษัท
* Value of nonoperating คือ มูลค่าของกิจการทีี่ไม่เกิดจากการดำเนินธุรกิจของบริษัท
เช่น เงินลงทุนในหุ้นระยสั้น,เงินลงทุนในตราสารหนี้
* EBITDA นั้นคือกำไรที่เป็นนักลงทุนทั้งผู้ถือตราสารหนี้(ผู้ให้กู้) และ ผู้ถือหุ้นสามัญ
การคำนวณ EV ในกรณีเพื่อหา อัตราส่วนการเงินนี้
EV = Equity + Debt - Value of non operating
* Equity ที่กล่าวถึงนี้จะใช้มูลค่าตลาดของ Equity ซึ่งเท่ากับ ราคาหุ้นคูณจำนวนหุ้น
* Debt ที่กล่าวถึงนี้จะใช้มูลค่าตลาดของ Debt ซึ่งโดยทั่วไปจะมีมูลค่าไม่ต่างจาก Book มากนักดังนั้นสามารถใช้ Book แทนได้
* Book หมายถึงมูลค่าที่อยู่ในบัญชี (งบดุล)
EBITDA คือ กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย