เลือกวิธีประเมินมูลค่าหุ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เลือกวิธีประเมินมูลค่าหุ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร | | Link : //board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=54358 Credit : ขอบคุณคุณ Thai VI Article และคุณ ดร.นิเวศน์ครับ
เลือกวิธีประเมินมูลค่าหุ้น โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การประเมินมูลค่าหุ้นนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์ที่ชัดเจนและมีการสอนกันทั่วไปก็คือการใช้ตัวเลขและอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ มาคำนวณหามูลค่าของหุ้น ในทางปฏิบัติมีตัวเลขหรืออัตราส่วนอย่างน้อย 4-5 อย่างที่สามารถนำมาใช้ได้ เช่น การใช้ค่า PE หรือราคาเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้น ค่า PB หรือราคาเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี ค่า DP หรือปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น หรือการหา DCF หรือการหาค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่บริษัทจะสามารถสร้างได้ในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีความรู้ทางการเงินขั้นสูง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หุ้นและนักลงทุนที่อิงกับแนวพื้นฐานทั้งหลายซึ่งรวมถึง VI ส่วนใหญ่ก็มักจะประเมินมูลค่าหุ้นโดยใช้ค่า PE เป็นหลัก โดยอาจจะมีค่า PB เป็นตัวประกอบบ้าง ดูเหมือนว่าค่า PE จะเป็น กฎเหล็ก ที่จะบอกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นควรจะเป็นเท่าไรสำหรับนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ถ้าหุ้นตัวไหนมีค่า PE ที่สูงลิ่วแล้ว หุ้นตัวนั้นก็มักจะถูกบอกว่าเป็นหุ้นที่แพงเกินพื้นฐาน ส่วนที่มีค่า PE ต่ำก็กลายเป็นหุ้นถูก และนี่คือการเน้นใช้แต่ศาสตร์ ไม่ได้ใช้ศิลป์ในการประเมินมูลค่าหุ้นเท่าที่ควร
ศิลป์ที่สำคัญในการประเมินมูลค่าหุ้นนั้น มีมากมาย แต่ที่ผมจะพูดนั้นเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญและมีความผิดพลาดเกิดขึ้นตลอดเวลา ศิลป์ที่ว่านี้ไม่ใช่เรื่องว่าเราจะให้ค่า PE เท่าไรสำหรับหุ้นแต่ละตัว เพราะนี่อาจจะเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ศิลปะในการเลือกเครื่องมือหรืออัตราส่วนหรือเทคนิคที่จะใช้ประเมินมูลค่าหุ้นต่างหาก นั่นก็คือ ผมกำลังบอกว่าเวลาจะประเมินมูลค่าหุ้นนั้น อย่าเริ่มจากการดูค่า PE เพราะค่า PE นั้น ถ้าเราจะใช้เราควรจะต้องมั่นใจว่า E หรือกำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอและจะไม่ลดลงในอนาคต ดังนั้น ถ้าเราไม่แน่ใจว่ากำไรของบริษัทจะมีลักษณะแบบนั้นหรือไม่ เราก็ไม่ควรใช้ค่า PE เป็นหลักในการประเมินมูลค่าหุ้น ประเด็นก็คือ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากและน่าจะเป็นส่วนใหญ่ด้วย ไม่ได้มีคุณสมบัติอย่างนั้น บริษัทในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตและขายสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์มักจะมีกำไรขึ้น ๆ ลง ๆ ตามราคาสินค้าในตลาดโลก ดังนั้น การใช้ค่า PE จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม บริษัทที่เพิ่งฟื้นตัวและเพิ่งจะมีกำไรนั้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ากำไรนั้นจะต่อเนื่องและไม่ลดลงมาในอนาคต? ดังนั้น จะใช้ค่า PE ได้อย่างไร? แต่ถ้าไม่ใช้ค่า PE แล้ว เราจะใช้ค่าไหน?
ประเด็นก็คือ ถ้าเราใช้ค่า PB เราจะตีมูลค่าของหุ้นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามูลค่าทางบัญชีเท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น หุ้นตัวนั้นควรจะมีราคาเป็นกี่เท่าถึงจะเรียกว่าเหมาะสม 2 เท่า หรือ 3 เท่า หรือ 10 เท่า? เหนือสิ่งอื่นใด มูลค่าทางบัญชีนั้น อาจจะไม่ใช่ ของจริง เพราะสินทรัพย์อาจจะได้มานานและอาจจะเป็นที่ดินที่มีราคาตลาดสูงกว่านั้น หรือตรงกันข้าม ทรัพย์สินอาจเป็นโรงงานที่ล้าสมัยและมีค่าน้อยลงมาก ดังนั้น มูลค่าทางบัญชีก็อาจจะมีความหมายน้อย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทอาจจะไม่ได้อาศัยทรัพย์สินที่จับต้องได้มาทำมาหากิน บริษัทอาจจะหาเงินหรือสร้างรายได้จากยี่ห้อหรือความนิยมอื่น ๆ ดังนั้น การประเมินมูลค่าหุ้นจากทรัพย์สินทางบัญชีของบริษัทจึงอาจจะไม่เหมาะสมสำหรับหลาย ๆ บริษัท สรุปว่า การใช้ค่า PB สำหรับหลาย ๆ บริษัทก็อาจจะเป็นความผิดพลาดเช่นกัน และอาจจะยิ่งแย่กว่าการใช้ค่า PE
ถ้าเราจะถกเถียงถึงเทคนิคแต่ละอย่างในการใช้ประเมินมูลค่าบริษัทไปเรื่อย ๆ เราก็จะพบว่าแต่ละอย่างก็มีจุดดีและจุดด้อยถ้าเราใช้กับทุกบริษัทโดยไม่แยกแยะก่อนว่าบริษัทที่เรากำลังวิเคราะห์หรือประเมินนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร ดังนั้น วิธีที่ดีกว่าก็คือ เราต้องวิเคราะห์ธรรมชาติของธุรกิจแต่ละบริษัทว่าเป็นอย่างไร จากนั้นจึงมาดูว่าเราจะใช้เครื่องมืออะไรเป็นหลักในการประเมินมูลค่าหุ้น และจะใช้อัตราส่วนไหนเป็นตัวประกอบที่จะทำให้การประเมินของเราถูกต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และนี่ก็คือศิลปะที่ VI จำเป็นต้องมี และต่อไปนี้ก็คือ ตัวอย่างที่ VI อาจจะลองนำไปพิจารณาใช้
หุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการสม่ำเสมอและกำไรไม่ลดลงในอนาคต เช่น หุ้นในกลุ่มที่อิงกับการบริโภคและบริษัทเป็นผู้นำ สินค้าของบริษัทไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาอิงกับตลาดโลก ซึ่งน่าจะรวมถึงกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ โรงพยาบาล กลุ่มสาธารณูปโภค เช่น รถไฟฟ้า ทางด่วน การผลิตและจำหน่ายน้ำหรือไฟฟ้า ต่าง ๆ เหล่านี้ เราน่าจะสามารถใช้ค่า PE เป็นหลักได้ หุ้นสถาบันการเงิน เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ นั้น เราอาจจะใช้ค่า PE ประกอบกับค่า PB ในการประเมินมูลค่าหุ้นได้ ค่า PE นั้นพูดถึงการทำกำไร แต่ค่า PB เองก็มีประโยชน์ เพราะทรัพย์สินส่วนใหญ่ของธนาคารเป็นเรื่องของเงินที่น่าจะมีมูลค่าตลาดใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชี ดังนั้น PB ที่ต่ำหรือสูงก็สามารถบอกถึงความถูกความแพงได้พอสมควร หุ้นของบริษัทที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพที่จะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกนั้น บางทีการใช้ค่า PE และ PB ก็อาจจะไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอ เราอาจจะมองถึง Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นว่าในระยะยาวมันควรจะเป็นเท่าไร หรือไม่ก็เทียบกับหุ้นขนาดใหญ่อื่น ๆ ในตลาดว่าในที่สุดมันจะมีมูลค่าถึงแค่ไหนเป็นต้น
หุ้นที่มีกำไรไม่สม่ำเสมอหรือเป็นวัฎจักรนั้น การใช้ค่า PE คงไม่เหมาะสม การใช้ค่า PB เองก็จะต้องดูว่ามูลค่าทางบัญชีนั้นใกล้เคียงกับมูลค่าตลาดของทรัพย์สินหรือไม่ ถ้าใช่ หรือเราสามารถปรับมูลค่าทางบัญชีให้ใกล้เคียงกับราคาตลาด การใช้ค่า PB ก็อาจจะมีประโยชน์และดีกว่าค่า PE อย่างไรก็ตาม การประเมินด้วยวิธีการแบบนี้ความแม่นยำก็อาจจะน้อย ดังนั้น ในกรณีส่วนใหญ่แล้ว เราก็อาจจะต้องยอมรับอย่างที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยพูดไว้ว่ามัน Too Hard หรือ ยากเกินไป ดังนั้น เราไม่ประเมินดีกว่า
การใช้ตัวเลขหรืออัตราส่วนหลาย ๆ ตัวมาช่วยประกอบกัน รวมถึงการให้น้ำหนักของปัจจัยในการกำหนดมูลค่าของหุ้น เช่น ปันผล การเติบโตของกิจการ กระแสเงินสดที่ได้รับ และองค์ประกอบอื่น ๆ ทั้งที่ดีและไม่ดีของบริษัท จะช่วยให้เราสามารถประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะใช้เทคนิคและความรู้ความเข้าใจแค่ไหนก็ตาม พึงระลึกเสมอว่า ศาสตร์และศิลป์ของการประเมินมูลค่าของกิจการนั้นให้ผลสูงสุดแค่ว่ามัน Approximately Right หรือถูกแบบ ประมาณว่า.. ไม่ใช่ถูกแบบตรงเป้า ดังนั้น การเผื่อความปลอดภัยโดยการซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างน้อยอีก 20-30% จึงเป็นสิ่งจำเป็น และถึงกระนั้นแล้วก็ยังไม่เพียงพอ เราจำเป็นที่จะต้องลดความเสี่ยงลงไปอีกโดยการกระจายการถือหุ้นหลาย ๆ ตัว อย่างน้อย 5-6 ตัวในกรณีพอร์ตไม่ใหญ่นัก และ กว่า 10 ตัวขึ้นไปในกรณีที่พอร์ตค่อนข้างใหญ่ เพื่อที่จะสามารถรักษาเงินต้นไว้ได้แม้จะเกิดสถานการณ์ที่ร้ายแรงในตลาดหุ้นและหุ้นที่เราลงทุน
Create Date : 29 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 29 ตุลาคม 2555 11:35:04 น. |
|
4 comments
|
Counter : 4206 Pageviews. |
|
|
|
28 October 2012 364 views No Comment
Written by: gobkung
นพ. พงศกร เอื้อชวาลวงศ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น รพ.ศูนย์อุดรธานี
ผมได้สรุปเนื้อหาที่ผมได้บรรยายในงานสังสรรค์ VI ไตรมาส 2 ลงในบทความนี้นะครับ ต้องขอบคุณทางสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าที่ให้เกียรติเชิญผมไปเป็นวิทยากรในงานนี้ ขอบคุณผู้ฟังทุกท่านที่ตั้งใจฟัง ไม่มีใครคุยกันเลย หลายตั้งใจจดมากแม้ว่าผมบอกแล้วว่าจะแจกใน Blog หลายคนถึงขึ้นอัด VDO กันเลยทีเดียว
ขอบคุณภรรยาที่ช่วยตัด Slide ให้เพราะว่าผมงานประจำเยอะมากจนแทบไม่มีเวลาทำ แถมยังมาเป็นกำลังใจให้ถึงขอบเวทีด้วยครับ ขอบคุณครับ
ผมได้พยายามเต็มที่แล้วที่จะให้เนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นเติบโตครบถ้วน เข้าใจง่ายที่สุดภายในเวลา 2 ชม. เริ่มตั้งแต่ง่ายไปยาก พยายามจะใส่จุดที่นักลงทุนหลายคนยังเข้าใจผิดและทำให้ภาพเหล่านี้ชัดเจนขึ้น และนำหลักการที่ผมให้ไปใช้จริงได้ครับ
ต่อไปนี้จะเป็นเนื้อหาใน Slide ที่จะไปบรรยายนะครับ และผมจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นเติบโต (Growth investing) แบบในรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อนนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามได้ครับ
การลงทุนใน Growth stock และจิตวิทยาการลงทุน
Outline
- ทำไมต้องลงทุนในหุ้นเติบโต?
- ความเข้าใจเรื่องหุ้นเติบโต
- ความสำคัญของเวลา / ความเข้าใจเรื่องอนาคต / มองอนาคตโดยใช้จินตนาการและเหตุผล
- ภาพลวงตาของ PE / คุณภาพและอนาคตของกำไร
- พฤติกรรมผู้บริโภค
- การมอง Business model ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจโดยรวม / Natural selection ในระบบทุนนิยม / Megatrend
- ความสามารถในการแข่งขัน (DCA) สิ่งที่สำคัญต่อการอยู่รอดและเติบโต
- การเลือกหุ้นจากชีวิตประจำวัน / Systemic approaching
- ช่องทางการเติบโตของกำไร
- ที่มาของการขยายธุรกิจ / เอาเงินมาจากไหนมาขยายการเติบโต?
- การพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ
- การพัฒนาจิตใจของนักลงทุนหุ้นเติบโต / จิตวิทยาการลงทุน
ทบทวนหลักการของ VI กันก่อน
- ซื้อหุ้นด้วยมุมมองของการซื้อธุรกิจ เพราะหุ้นคือส่วนหนึ่งของเจ้าของบริษัทสัดส่วนการถือหุ้น
- ซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic value)
การลงทุนหุ้นเติบโต
- มองที่การเติบโตของบริษัทเป็นหลัก แล้วจึงมาดูว่าราคาที่ตลาดให้น่าซื้อ มีส่วนลดราคาหรือไม่?
- ไม่ใช่การมองที่ราคาถูกกว่ามูลค่าแล้วตัดสินใจซื้อเลย
- บ้านต้องมีเสา การลงทุนต้องมีหลักการหรือโครงสร้างทางความคิด
- แต่ละคนมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ให้ฟังในสิ่งที่นำไปใช้ประโยชน์กับตนเองได้
การแบ่งหุ้นเป็น 6 ประเภทตามแบบฉบับของ Peter Lynch
- ประเภท 1 3 ( หุ้นโตช้า, หุ้นแข็งแกร่ง, หุ้นโตเร็ว ) ใช้การเติบโตเป็นตัวแบ่ง ดังนั้นความสามารถในการเติบโตของธุรกิจหรือการเติบโตของกำไรเป็นที่สิ่งสำคัญมาก
- ชนิดของการจำแนกหุ้นเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา
- หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้นปันผล (ธุรกิจอิ่มตัว ไม่เติบโตแล้ว) ..หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้นวัฎจักร (กำไรขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ) ..หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้น Asset play ได้ (สินทรัพย์ที่ซื้อมาในช่วงธุรกิจเติบโตมีมูลค่าสูงขึ้นมาก)
- ในขณะเดียวกันหุ้นชนิดอื่นอาจจะกลายเป็นหุ้นเติบโตได้เช่นกันถ้าปัจจัยพื้นฐานเอิ้ออำนวย หุ้น turn around บางตัวพอ turn จบกลายเป็นหุ้นเติบโตต่อเนื่อง หุ้นวัฎจักรบางตัวมีแผนการเติบโตที่ชัดเจนและ Demand สินค้าสูงอย่างต่อเนื่องระยะยาว เราจะมองหุ้นเหล่านี้ด้วย Model ของหุ้นเติบโต หุ้น Asset play บางตัวมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำธุรกิจใหม่ แล้วปรากฎว่าเข้าได้กับ Model ของหุ้นเติบโต
- ดังนั้น อย่ายึดติด ชื่อหุ้น กับชนิดของหุ้น เพราะชนิดของหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเหตุของมันเปลี่ยน (พื้นฐานเปลี่ยน)
ความเข้าใจเรื่องหุ้นเติบโต
ลักษณะของหุ้นเติบโต
- หุ้นเติบโตเป็นหุ้นที่มองไปยังอนาคต (หุ้นบางชนิดจะมองปัจจุบันเป็นหลัก เช่น หุ้น Asset play, หุ้นปันผล)
- เวลาเป็นตัวแปรสำคัญของมูลค่าหุ้นเติบโต ทั้งด้านปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณ
- ขอให้ ลืม ราคาหุ้น ลืม PE ratio ลืมตลาดหุ้นไปก่อน แล้วมองดู Core business ว่าบริษัทมีการเจริญเติบโตหรือไม่? ถ้ามีบริษัทมีการเติบโตของธุรกิจ กระแสเงินสดและกำไร บริษัทนั้นคือบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต หุ้นของบริษัทเติบโตที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์คือ หุ้นเติบโต ครับ
- หุ้นเติบโตต้องดูจากโครงสร้างธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth potential) ไม่ใช่ดูจากค่า PE สูง แม้ว่าหุ้นเติบโตส่วนใหญ่ค่า PE จะสูงก็ตาม หุ้น PE ต่ำบางตัวเป็นหุ้นเติบโตได้เช่นกัน ค่า PE คือการให้มูลค่าของตลาดหุ้น ไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวนี้คือหุ้นเติบโต
ทำไมต้องลงทุนในหุ้นเติบโต?
- เป็นหุ้นที่เหมาะต่อการถือระยะยาว เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาเฝ้าจอหุ้น ไม่มีเวลาตามข่าวระยะสั้นทุกวัน แต่ต้องการผลตอบแทนที่ชนะตลาด (เช่น ผม เป็นต้น)
- เป็นหุ้นที่ไม่ต้องเชียร์เลย ผมไม่เคยเชียร์หุ้น ชอบถือหุ้นเงียบๆ แต่หุ้นเติบโตราคาจะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องไปนั่งเชียร์เพราะมีตัว Driver ราคาหุ้นตลอด นั่นคือการพัฒนาของกิจการในเชิงคุณภาพ รายได้และกำไรที่เติบโตขึ้นในเชิงปริมาณ รวมถึงปันผลที่เพิ่มขึ้นจากกำไรที่เพิ่มขึ้นอีกด้วยครับ
- ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุน VI สไตส์ไหนก็ตาม เช่น หุ้นปันผล หุ้น Turn around หุ้นคอมโม ต้องเข้าใจเรื่องการเติบโตทั้งสิ้น
- นักลงทุนควรมีหุ้นเติบโตติดพอร์ตเอาไว้บ้างจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้น ไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนก็ตามครับ
ตลาดหุ้นในปัจจุบันควรสนใจหุ้นเติบโตหรือไม่?
- ตลาดหุ้นขึ้นมาสูงขึ้นส่วนใหญ่ราคาแพงแล้วแสดงว่าเราไม่ควรลงทุนในหุ้นเติบโตจริงหรือ?
- ช่วงนี้หุ้นราคาแพง หาหุ้นดีราคาถูกยาก หลังวิกฤติต้มยำกุ้งและวิกฤติซับไพรม์มีหุ้นดีราคาถูกมากมาย แค่นั่งขุดหุ้นแล้วเชียร์สร้าง story ก็ได้กำไรหลายรอบแล้ว (ไม่แนะนำให้ทำครับ ผมไม่ทำแน่นอน) แต่ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ดังนั้นมี 2 วิธีคือ
1. รอให้เกิดวิกฤติซึ่งไม่รู้อีกนานแค่ไหนเพื่อที่จะได้ซื้อหุ้นถูกสุดๆ
2. หาธุรกิจที่เติบโตได้สูงกว่าตลาดแล้วซื้อในขณะที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าและถือหุ้นเติบโตไว้ตราบที่บริษัทยังเติบโตอยู่
- นักลงทุนแนว VI หลายคนเข้าใจว่า ลงทุนแบบ VI คือซื้อหุ้นถูก PE ต่ำ, PBV ต่ำ ซึ่งอาจจะทำให้ไปซื้อหุ้นที่คุณภาพไม่ดีเพราะไม่ได้ประเมินลักษณะการทำธุรกิจ Business model และทำให้ผลตอบแทนไม่ดีในที่สุด
- อย่างน้อยถึงแม้ว่าเราจะหาหุ้นเติบโตที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาไม่ได้เลย ไม่มี MOS เราก็สามารถศึกษาข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้ว่า บริษัท ใดมีการเติบโตระยะยาว เพื่อว่าความ เตรียมพร้อม ที่เราศึกษาไว้ก่อนจะทำให้เรา กล้าซื้อ หุ้นเมื่อตลาดตกหนักในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน บริษัทยังมีการเติบโตระยะยาวต่อเนื่อง
- สรุปว่า ไม่ควรหยุดที่ศึกษาเรื่องธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตไม่ว่าจะอยู่ในภาวะตลาดใดก็ตาม (แต่การซื้อขายเป็นคนละเรื่องครับ ไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่สามารถทำได้ทุกวันครับ)
ความเข้าใจเรื่องอนาคต
- นักลงทุนต้องทำความเข้าใจกับเรื่องอนาคตเพราะการลงทุนในหุ้นเกี่ยวข้องกับอนาคตโดยตรง เพราะหุ้นจะขึ้นเมื่อผู้คนส่วนใหญ่ เชื่อ ว่า หุ้นตัวนี้ผลกำไรจะดีขึ้นในอนาคต (เช่น ไตรมาสหน้า ปีหน้า สิบปีข้างหน้า แล้วแต่ความไกลของสายตาตลาดและความแรงของข่าว หรือการเติบโตของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว) และนักลงทุนส่วนใหญ่หวังผลที่ได้จากการเพิ่มของราคาหุ้น (Capital gain) เมื่อเวลาผ่านไปในอนาคต
- การลงทุนหุ้นหรือการเก็งกำไรหุ้น เกี่ยวข้องกับมองอนาคตโดยตรง
- เราจึงต้องมาเรียนรู้เรื่องอนาคตครับ
เรามีความเข้าใจเรื่องอนาคตอย่างไรบ้าง?
1. อนาคตเป็นภาพเดียวที่เกิดแน่นอน อนาคตเป็นความน่าจะเป็น
2. อนาคตถูกกำหนดมาแล้ว อนาคตเป็นไปตามเหตุและผล
3. ทำนายอนาคตได้ ทำนายอนาคตไม่ได้
- Einstein VS Quantum physics (เช่น ไฮเซนเบริก) พระเจ้าไม่โยนลูกเต๋ากับจักรวาล VS เราไม่สามารถระบุตำแหน่งของอนุภาคและโมเมนตัมได้อย่างแม่นยำพร้อมกัน
ความเห็นของผมในเรื่องอนาคต- เรารู้อนาคตได้จริงเหรอ? ทั้งที่สิ่งที่เรา perceive คือปัจจุบันล้วนๆ (ข้อมูลอดีตในสมองและประสาทสัมผัสในปัจจุบัน) หรือว่า จริงๆแล้วอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย (Unknowable)
- ลองทายสิ่งที่เกิดขึ้นอีก 1 นาทีข้างหน้าเราแทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำ (เช่น ทายผู้ชนะของนักวิ่ง 100 เมตร, การแข่งม้า, ราคาหุ้นระยะสั้น, ไพ่ที่เราจะได้รับในการแข่ง Poker เป็นต้น)
- ผมเคยลองซื้อหวย เจ๊งครับ (คนส่วนใหญ่จะเจ๊งตามความน่าจะเป็น และไม่มีใครทำนายอนาคตได้)
- ดังนั้นเวลาทำนายอนาคตถูกอย่ามั่นใจในตัวเองเกินไปเราอาจจะแค่โชคดี เพราะไม่มีใครรู้แน่นอนว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นครับ
Future prediction
- เราทุกคนอยากรู้อนาคต มีศาสตร์มากมายที่อ้างว่าทำนายอนาคตได้ (โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิปซี) มีกูรูมากมายที่เชื่อว่าผู้คนเชื่อว่าทำนายอนาคตได้ แต่ความจริงแล้ว อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้
- เรามักจะชอบฟังความของผู้เชี่ยวชาญ กูรูทั้งหลายเรื่องอนาคต เพราะเรากลัวและไม่มั่นใจกับอนาคต
- ดังนั้นไม่มีประโยชน์ในการทำนายอนาคต โดยเฉพาะการทำนายเรื่อง Macroeconomic ครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ครับ
- แต่สำหรับพื้นฐานของกิจการและการเติบโตในอนาคตเราพอคาดการณ์ได้ โดยคิดแบบจำลองสถานการณ์หลายเหตุการณ์และเข้าใจถึงเหตุปัจจัยทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลต่อธุรกิจครับ
การพยายามคาดการณ์อนาคตนำมาซึ่ง
- นักลงทุนหลายคนพยายามเก็งกำไรงบการเงินเพื่อหาว่าไตรมาสหน้าบริษัทใดจะมีกำไรเติบโตขึ้น โดยไม่ได้ประเมินว่ากำไรที่เติบโตขึ้นจะเป็นอย่างไรในระยะยาว ต่อให้เดาถูก ราคาตลาดอาจจะไม่ขึ้นหรือแม้กระทั่งลดลง (เนื่องจาก Sell on fact) นักลงทุนลักษณะนี้มีอยู่มากมายทำให้ซื้อรับความคาดหวังไปกันหมดแล้ว ยิ่งถ้าเดาผิด ราคาตลาดจะลดลงอย่างมากเพราะตลาดผิดหวังรุนแรง
- ตัวอย่างการคาดเดาอนาคต ซื้อดักงบการเงิน ซื้อดัก Opportunity day ซื้อดัก Company visit เป็นต้น
- แล้วอย่างนั้นเราจะมีมุมมองอนาคตอย่างไรดี?
ผมคิดว่า
- อนาคตไม่ได้มีแค่ภาพเดียว เพราะมนุษย์เรามีสิทธิเลือกที่จะตัดสินใจกระทำในปัจจุบันได้ ขอให้มองอนาคตเป็นหลายเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยความน่าจะเป็นขึ้นกับเหตุปัจจัยที่ส่งผลลัพธ์ในอนาคต มองทั้งด้านดี ด้านร้าย โอกาสและความเสี่ยง ถ้ามองแต่ด้านดีอย่างเดียวแล้วเหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเราจะเสียหลักรับมือไม่ถูกครับ
- ดังนั้นขอให้มองอนาคตตามภาพของความน่าจะเป็น ด้วยการศึกษาข้อมูล เหตุและปัจจัยในปัจจุบันที่มีผลต่ออนาคต
เราได้อะไรบ้างจากความเข้าใจเรื่องอนาคต
1. ไม่ปักใจเชื่อผู้เชี่ยญชาญหรือเซียนโดยไม่ไตร่ตรองด้วยตนเองเพราะเข้าใจว่าไม่มีใครรู้อนาคต
2. มองหาเหตุปัจจัยในปัจจุบันที่จะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต ทั้งปัจจัยภายนอก Demand trend ปัจจัยภายในทั้งปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณ
3. การรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่า มี MOS การรู้จักกระจายความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม
4. เข้าใจการประเมินบริษัทว่าเป็น Dynamic ไม่ใช่ Static ปัจจัยที่ส่งผลต่ออนาคตของบริษัทไท่ได้อยู่นิ่งกับที่ เราต้องประเมินคุณภาพของกิจการเป็นระยะ (เช่น ปีละครั้ง)
5. ไม่ปักใจว่ามูลค่าของบริษัทว่ามีเพียงตัวเลขเดียว (เพราะหุ้นเป็น Dynamic) ขอให้มองเป็น Range (ช่วงราคา) จะทำให้ดีต่อการตัดสินใจซื้อขายมากกว่าครับ
ความสำคัญของ เวลา กับหุ้นเติบโต
- เวลา คือ สิ่งที่มีพลังที่สุดในจักรวาลเพราะ เวลาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แต่ในความไม่แน่นอนคือ ทุกอย่างต้องเกิดจากเหตุไปสู่ผล ผลเกิดจากเหตุและปัจจัย
- ถ้าเราไม่รู้เหตุและปัจจัยเราจะไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเราทราบเหตุปัจจัยที่มีผลในทุกเหตุปัจจัย เราจะทำนายผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำครับ เช่น การคาดการณ์การเคลื่อนที่ของดวงดาวบนท้องฟ้า เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างดาวต่างๆ (แรงโน้มถ่วง gravitation force)
- เมื่อเวลาผ่านไป กิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต (growth potential) จะแสดงพลังออกมา ทั้งที่ตอนแรกเราอาจจะมองไม่เห็น เหมือนเด็กทารกที่เริ่มจากเซลเดียวแล้วเมื่อเวลาผ่านใน 9 เดือนในครรภ์ กลายเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหมือนต้นไม้ที่เริ่มจากเมล็ดพันธ์เล็กๆที่เมื่อปลูกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะแสดงศักยภาพเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต ซึ่งการเติบโตต้องอาศัยเวลา จะไปเร่งไม่ได้ เราต้องอดทนรอคอย
หุ้นเติบโตกับค่า PE
- ตลาดหุ้นไม่ให้ค่า PE ของหุ้นทุกตัวเท่ากันเพราะหุ้นแต่ละชนิดคุณภาพไม่เหมือนกัน หุ้นที่มีอนาคต สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเป็นระยะเวลานาน อนาคตสดใสย่อมได้รับค่า PE สูง หรือ หุ้นดีราคาแพงนั่นเอง
- ของดีมักจะมีราคาสูง ของที่เกรดต่ำกว่าราคาจะถูก แต่ก็ไม่เสมอไป การใช้ค่า PE แบ่งคุณภาพหุ้นจึงไม่สามารถทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์
- สำหรับหุ้นเติบโตที่มีคุณภาพ PE ปัจจุบันอาจจะดูสูง แต่เมื่อใช้ Earning ของอนาคต เช่น 1 ปีข้างหน้า หรือ 5 10 ปีข้างหน้าจะพบว่า Forward PE เมื่อใช้ราคาปัจจุบันหารด้วยกำไรของอนาคตจะมีค่าน้อยลงมากทีเดียวครับ
*** หุ้นเติบโตที่ราคาแพงเกินไปไม่เหมาะกับการเข้าซื้อเช่นกัน เช่น iphone แม้ว่าจะเป็นโทรศัพท์ที่ดีแต่การซื้อเครื่องละ 1 ล้านย่อมนับว่าไม่คุ้มค่าครับ ***
ยกตัวอย่าง ความสัมพันธ์ของเวลาและหุ้นเติบโต
ลองเปรียบเทียบหุ้น 2 ตัว ดูนะครับ
หุ้น A เป็นหุ้นโตช้าเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
หุ้น B เป็นหุ้นเติบโตที่มีศักยภาพเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เติบโตเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลา 10 ปี
สมมุติว่า กำไรสุทธิ = 1 บาท ที่จุดเริ่มต้น
หุ้น A จะมีกำไรปีที่ 10 เท่ากับ 1 x (1+0.05)ยกกำลัง 10 = 1.63 บาท
หุ้น B จะมีกำไรปีที่ 10 เท่ากับ 1 x (1+0.20)ยกกำลัง 10 = 6.19 บาท
จะเห็นได้ว่าหุ้น B มีกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีครับ มากกว่าหุ้น B ถึง 3.8 เท่า
ถ้าการเติบโตยิ่งต่อเนื่องยาวนานขึ้นเท่าใด หุ้นเติบโตยิ่งทิ้งห่างหุ้นปันผลมากขึ้นเท่านั้น
สมมุติถ้าหุ้น A ตลาดให้ PE แค่ 7 ราคาหุ้น A ปัจจุบันเท่ากับ 7 บาท ราคาหุ้น A ที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 11.40 บาท (7 -> 11.40 กำไร 63 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี)
สมมุติหุ้น B เป็นกรณี
กรณีที่ 1 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หุ้น B เติบโตยังมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่อง สมมุติตลาดให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 20 (เท่ากับการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 20 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 123 บาท (20 -> 123 กำไร 515 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี)
กรณีที่ 2 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีหุ้น B หมดศักยภาพในการเติบโตแล้วกลายเป็นหุ้นโตช้า สมมุติตลาดให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 20 (เท่ากับการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 20 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลัง ตลาดลดค่า PE ลงเนื่องจากลายเป็นหุ้นโตช้าเท่ากับ PE 7 (เท่าหุ้น A) ราคาหุ้น B ในอีก 10 ปีให้หลังเท่ากับ 7 x 6.19 = 43.33 บาท (20 -> 43.33 กำไร 116 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี) แม้ว่าตลาดได้ลดค่า PE ลงแล้วยังได้กำไรมากกว่าการซื้อหุ้นโตช้าอยู่ดีครับ
กรณีที่ 3 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หุ้น B หมดศักยภาพในการเติบโตแล้วกลายเป็นหุ้นโตช้า แต่ตลาดคาดหวังสูงให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 30 (มากกว่าการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 30 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 43.33 บาท (30 -> 43.30 กำไร 44 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี) แสดงว่าการซื้อหุ้นเติบโตที่ราคาแพงเกินไปจะทำให้ได้กำไรน้อยลงได้
(ตัวอย่างใช้การสมมุติตัวเลขเพียง 3 ชุดเพื่อแสดงให้เห็น พลังของเวลา แต่การจำลองสถาณการณ์ของจริงทำได้มากกว่านี้ได้หลายรูปแบบครับ เช่น การเติบโตของกำไรที่มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี, การที่ตลาดให้ค่า PE หุ้นเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในการเติบโต, การให้ค่า PE ของหุ้นโตช้าสูงกว่านี้ เช่น ให้ PE = 10 เป็นต้น)
ดังนั้นจากตัวอย่างนี้ เราจะเห็นได้ว่า
1. การซื้อหุ้นเติบโตระยะยาวยิ่งถือนานกำไรยิ่งเพิ่มพูน เพราะ เวลา เป็นเพื่อนของกิจการที่ยอดเยี่ยม ยิ่งถือหุ้นนานยิ่งเสี่ยงน้อยลงเพราะหุ้นเติบโตมีขนาดของ Upside ที่สูงพอที่จะกลบความผันผวนระยะสั้นได้อย่างสบายๆ
หุ้นประเภทอื่นยิ่งถือนานยิ่งเสี่ยง เช่น
- หุ้น Turnaround ถ้า turn จบแล้วปัจจัยพื้นฐานไม่เติบโตต่อเนื่อง อาจจะกลับไปฟุบซ้ำด้วยเหตุว่าพื้นฐานบริษัทไม่ดีมาตั้งแต่ต้น
- หุ้น Cycle กำไรขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ ถ้าถือยาวตอนขาลงจะขาดทุนมาก ถ้าถือขาขึ้นแล้วถือยาวไม่ยอมขาย อาจจบขาขึ้นโดยไม่ได้ขายทำให้ไม่ได้กำไรหรือถือจนขาดทุนได้ในที่สุด
2. การซื้อหุ้นเติบโตต้องประเมินราคาเทียบกับการเติบโตด้วย ถ้าซื้อหุ้นเติบโตที่ราคาแพงมากๆ โดยที่หุ้นไม่ได้มีศักยภาพในการเติบโตขนาดนั้น อาจจะขาดทุนในระยะสั้น แม้ในระยะยาวอาจจะได้กำไรน้อยหรือกระทั่งขาดทุนได้ครับ ควรซื้อหุ้นเติบโตเมื่อราคาถูกกว่าการเติบโต ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง ต้องมี Margin of safety ครับ
(ผมจะพูดถึงเรื่อง PE อีกครั้งว่าทำไมหุ้นแต่ละตัว PE สูงต่ำไม่เท่ากันเอาอะไรมาวัดครับ)
การเติบโตระยะยาว VS การเติบโตระยะสั้น
- นักลงทุนบางคนบอกว่า ยิ่งถือหุ้นยาวยิ่งเสี่ยงเพราะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากมายที่คาดเดาไม่ได้ การถือหุ้นยาวยิ่งทำให้เสี่ยงมากขึ้น สิ่งคำกล่าวนี้จริงหรือไม่?
- บางคนบอกว่าเราคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดได้แม่นยำกว่า สิ่งที่จะเกิดในอีกหลายปีข้างหน้า
- ผมคิดว่าการมองแบบนี้เป็นจริงบางส่วน ไม่จริงบางส่วน และเป็นการด่วนสรุปเกินไป การคาดการณ์อนาคตมีภาพกรอบของเวลาที่เหมาะสมกับสิ่งต่างๆที่ไม่เหมือนกัน
- การมองภาพ ต้องมีระยะที่เหมาะสมกับการมอง การมองเชื้อโรคต้องใช้กล้องที่มีกำลังขยายสูง การมองไกลต้องใช้กล้องส่องทางไกล การมองภาพปกติในการขยายระดับละเอียดจะไม่เห็นภาพรวม เปรียบเหมือนมอง TV แบบขยายจะเห็นแต่จุดเล็กๆ ไม่เห็นไม่เข้าใจเนื้อหาใดๆที่แสดงใน TV เลย การคาดการณ์ลมฟ้าอากาศถ้ามองในระดับรายวันอาจจะคาดยาก แต่ถ้ามองเป็นฤดูจะพอคาดเดาได้ว่าช่วงไหนน่าจะเป็นฤดูใด
- ดังนั้นการมองธุรกิจในรายวัน หรือแม้แต่รายไตรมาส เราจะมองไม่เห็นการเติบโตของธุรกิจในภาพรวม การคาดการณ์การเติบโตจะมีกรอบเวลาที่มองเห็นภาพชัดของแต่ละธุรกิจ เห็นภาพชัดที่กรอบเวลาใดให้ลงทุนที่กรอบเวลานั้น
- ใครจะเก่งคาดการณ์ในกรอบระยะเวลาใด ให้ลงทุนในกรอบระยะเวลาที่เราคาดการณ์ได้ ในกรอบเวลาที่เรามองเห็นความน่าจะเป็นของอนาคต
แต่ถ้าเป็นการคาดการณ์ในเรื่องการเติบโตของธุรกิจ ผมคิดว่าต้องเป็นระดับหน่วย ปี ขึ้นไป
และที่สำคัญกว่านั้น ถ้าบริษัทนั้นมีศักยภาพในการเติบโต เวลาจะเป็นเพื่อนของเราครับ
ดังนั้น งานของนักลงทุนหุ้นเติบโตคือการค้นหาบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวครับ
การคาดการณ์การเติบโตในอนาคตของบริษัทจากการเติบโตในอดีต ???
- ไม่แน่เสมอไป เพราะเราต้องเข้าใจเหตุปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของบริษัท แล้วประเมินว่าเหตุปัจจัยเหล่านั้นยังคงอยู่หรือไม่?
- บางคนรองบการเงินออก มานั่ง check กำไร ROA ROE นั่งแกะงบ ผมคิดว่าช้าเกินไป เพราะส่วนใหญ่กว่างบการเงินจะออกราคาจะตอบรับแนวโน้มการเติบโตไปเรียบร้อยแล้วจากการประเมินปัจจัยเชิงคุณภาพ
ในมุมมองของผมจะวิเคราะห์ Business model แล้วลองตั้งสมมุติฐานเรื่องความก้าวหน้าของกิจการที่มีผลต่อกำไร และตรวจสอบตัวเลขในงบการเงินที่สำคัญเป็นระยะ
มองอนาคตโดยใช้จินตนาการและเหตุผล
การพัฒนาการคาดการณ์อนาคต
- ภาพยนต์ต่างประเทศ การอ่านหนังสือ การไปเที่ยวต่างประเทศ การมองวิถีชีวิตของผู้คน
- ลงทุนในธุรกิจที่เราเข้าใจ เราทุกคนมีความเข้าใจอุตสาหกรรมบางอย่างมากกว่าคนอื่น ตามความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมา ถ้าสนใจธุรกิจที่ยังไม่เข้าใจ ให้เข้าไปศึกษาคลุกคลีจนเข้าใจธุรกิจ เพื่อเพิ่ม Circle of competence ในการลงทุนครับ
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหมกมุ่นกับอนาคตจนละเลยปัจจุบัน เพียงแค่ให้รู้ว่าบริษัทที่เราลงทุนกับกำลังจะเดินไปในแนวทางไหน คอยเฝ้าดูว่า ตอนนี้ถึงจุดไหนของเส้นทางของการเติบโต
การมองอนาคตในการเติบโตของหุ้นเติบโต
1. การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรมผู้บริโภค (เข้าใจการเติบโตของ Demand Demand trend)
2. การเข้าใจการบริษัทที่เราลงทุน (เข้าใจการเติบโตของ Supply ที่มีต่อ Demand รวมถึงเข้าใจการสร้าง Demand)
กรณีศึกษาเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ การใช้กล้องถ่ายรูปแบบฟิลม์ เพจเจอร์ อินเตอร์เนต โทรศัพท์มือถือ ชาเขียว การเดินห้าง
เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค (เราทุกคน)
- พฤติกรรมผู้บริโภคมีความสำคัญอย่างไร?
ยกตัวอย่าง ความเชื่อมโยง
ความต้องการของมนุษย์บางคน -> Demand ของ End product -> Demand ของสายการผลิตที่เกี่ยวข้องกับ End product นั้น -> ความต้องการของมนุษย์ในสังคม (Critical mass) -> Demand trend -> Megatrend
- ความต้องการของมนุษย์คือตัวกำหนดราคาของสิ่งต่างๆ
- ความต้องการ = Demand
- ธุรกิจคือการพยายามตอบสนอง Demand ของมนุษย์โดยแลกกับเงินตรา
แล้วมนุษย์ต้องการอะไร?
- ความต้องการทางร่างกาย ปัจจัย 4 (อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม บ้าน คอนโด ยา โรงพยาบาล)
- ความต้องการเป็นที่ยอมรับ (ธุรกิจความงาม, เครื่องประดับ, สินค้า brand name, การสร้าง brand, Smart phone)
- ความต้องการค้นหาตนเอง (การสัมมนาพัฒนาตนเอง, หนังสือ)
- ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Social network, Communication)
- ความง่าย มนุษย์มีแนวโน้มเข้าหาความง่าย ไม่ชอบความยุ่งยาก
- ความเป็นหมู่คณะ มนุษย์ชอบทำตามกัน
- ราคาถูก (มูลค่าในใจเทียบราคาที่ขาย)
- ความสะดวกรวดเร็วทันใจ (การเสริมแรงทันทีเป็นกลไกของธรรมชาติ)
- หลีกหนีความทุกข์
- เข้าหาความสุข
เราสามารถเอาความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในการมอง Demand trend, การทำการตลาด, การประเมินความสามารถในการแข่งขันของสินค้าและบริการที่จะเอาชนะใจผู้บริโภคทั้งระดับ End product และกระบวนการผลิต
- เริ่มจากความเข้าใจตนเอง สำรวจตนเอง สุดท้ายจะนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์โดยทั่วไปที่สุด
- เริ่มจากการศึกษาพฤติกรรมของคนใกล้ตัว คนในสังคม รวมถึงคนในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว
การสร้าง Demand
- ธุรกิจจำเป็นต้องตอบสนอง Demand ของมนุษย์เสมอไปหรือไม่?
- มนุษย์หลายคนไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร ส่วนใหญ่ต้องให้คนอื่นมาบอกให้ ว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี
- ประเมินว่าธุรกิจที่เราสนใจมีการสร้าง Demand หรือไม่? เช่น การโฆษณา การตลาดที่มีประสิทธิภาพ สินค้าที่โดนใจผู้บริโภค
Megatrend
(มาจาก Demand trend ที่เป็นภาพใหญ่และใช้ระยะเวลานาน)
ขอบคุณข้อมูลจากเว็ป : //fundmanagertalk.com/growth-stock-psychology/