Bago - หงสาวดี
คราวที่แล้วเล่ามาถึงตอนที่นั่งรถแท็กซี่ออกจากย่างกุ้ง ระหว่างทางก็มองโน่นมองนี่ไปเรื่อย ๆ ผู้คนตอนเช้าของที่นี่ก็ต้องโหนรถเมล์และสองแถวเหมือนบ้านเราเลย เสียแต่ว่าของเค้าเก่าและขลังกว่าเรามาก .. เพราะรถส่วนใหญ่ก็ขึ้นสนิมกรัง ผู้คนใส่ลองกีและเบียดเสียดห้อยโหนกัน เรียกว่าเป็นกุ้งกระป๋องเลยทีเดียว

ถนนหนทางจากย่างกุ้งไปหงสาเรียกว่าค่อนข้างโอเคเลย สองข้างทางก็มีร้านริมทาง หรือเรียกให้หรูว่า entrepreneur เล็ก ๆ ตั้งเต็มไปหมด.. บางคนก็หาบเร่มาแล้วก็ตั้งขายกันเลย ไม่รู้ว่าที่นี่มีส่วยเก็บค่าเช่าพื้นที่ริมถนนเหมือนกรุงเทพหรือเปล่า

ซักพัก Steven (คนขับแท็กซี่) ก็แวะเติมน้ำมัน เค้าเล่าให้ฟังว่าการเติมน้ำมันที่นี่มีแบบปั๊มของทางราชการกับตลาดมืด (เหมือนการแลกเงินเลย) ถ้าเป็นปั๊มก็จะมีธงชาติปักอยู่ ซึ่งราคาที่ปั๊มจะแพงกว่าที่ซื้อตามตลาดมืด รถที่นี่มีแบบใช้น้ำมันและใช้แก๊ส (ไม่รู้ว่าโซฮอลหรือเปล่า)

แต่รถเมล์กับสองแถวส่วนมากจะใช้แก๊สกัน ซึ่งการเติมแก๊สที่นี่จะช้ามาก คันนึงใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการเติมแก๊ส ซึ่งจะได้ว่าหน้าปั๊มจะมีรถเข้าคิวกันยาวเหยียด Steven เล่าว่าส่วนมากเค้าต้องมารอคิวกันเกือบสามชั่วโมงกว่าจะได้เติมแก๊ส

พอรถของเราจะเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมัน Steven ก็รีบบอกว่า “ห้ามถ่ายรูปนะครับ” .. ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งหรอก.. พอจอดในปั๊ม เค้าก็ถือสมุดลงไปหาเคาน์เตอร์แล้วก็มีเด็กปั๊มมาเติมน้ำมันให้ แปลกดีเหมือนกัน

ขับออกมาจากปั๊มซักพัก Steven ก็หยุดรถอีกละ เพราะว่าเค้าจะซื้อพุ่มไม้อย่างในรูป นัยว่าเป็นการอวยพรขอให้โชคดี



พอออกนอกตัวเมืองย่างกุ้ง ก็เห็นทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ริมถนนก็มีชาวนาที่เก็บข้าวเปลือกมาตากแห้งเต็มไปหมด.. กลางถนนตรงที่กลับรถก็ยังมี สีข้าวก็สีกันตรงริมถนนนั่นแหละ แล้วก็จะมีรถมารับซื้อข้าวไป..

นั่ง ๆ หลับ ๆ ตื่น ๆ มาซักพัก Steven ก็ชะลอรถชี้ให้ดูขวดโหลที่ตั้งขายอยู่ริมข้างทาง บอกว่าเป็นพวกตัวกิ้งกือแมงป่องอะไรพวกนี้ โดยเค้าเชื่อกันว่าพอเอามาดองผสมส่วนผสมของยาในขวดแล้ว น้ำนั้นสามารถนำมาทาตัวเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ .. มองแล้วน่าสยองอ่ะ



พอขับผ่านสองสิงห์นี่ ก็คือสัญลักษณ์ว่าเรากำลังเข้าเขตหงสาวดีกันแล้ว

ป.ล. รูปนี้ถ่ายตอนขากลับเลยเห็นว่าอยู่ทางขวา ..จริงขามาสองสิงห์นี้ต้องอยู่ทางซ้ายนะจ๊ะ



พอขับผ่านไปซักพัก ก็เลี้ยวเข้าบ้าน ๆ หนึ่ง บอกว่าเป็นช่างไม้.. ฮั้วก็นึกในใจ “อะไรเนี่ย จ้างส่วนตัวยังต้องเข้าไปช็อปปิ้งอีกเหรอ”.. แต่กลับเป็นร้านส่วนตัวเล็ก ๆ ของชาวบ้าน ไม่ใช่โรงงานที่พวกทัวร์มักพาเราไปทิ้งให้ช็อปปิ้ง สามีเป็นช่างไม้แกะสลัก นำไม้ต่าง ๆ มาแกะอย่างสวยงามมาก มีของตกแต่งบ้านที่ทำจากไม้เต็มไปหมด แถมภรรยาก็ม้วน cheroot ขาย ดูเป็นอุตสาหกรรมภายในครอบครัวอย่างแท้จริง ..

ป.ล. Cheroot เป็นเหมือนบุหรี่ม้วน (บุหรี่ชัยโย) พันด้วยใบไม้.. มีหลายรส.. รสธรรมชาติ รสมิ้นต์



น้องคนนี้น่าจะอายุประมาณสามสี่ขวบ เป็นเด็กที่น่ารักมาก .. ร้องเรียกฮั้วว่าอะไรไม่รู้เป็นภาษาพม่าใหญ่เลย แถมหัวเราะคิกคักตลอดเวลา ..สุดท้ายเลยอุดหนุนของตกแต่งบ้านมาสองอย่าง เป็นพวกชามไม้ใส่ผลไม้ งานไม้แกะสลักติดผนัง.. สวยงามมาก ๆ แถมถูกสุด ๆ อีกต่างหาก ราคาที่ K14,000 (= 400 บาท) .. ถ้าเป็นบ้านเรา ราคาคงพุ่งกระฉูดมากกว่านี้



หลังจากนั้น เราก็มาถึงวัดแห่งแรกที่ควรแวะเข้าไปสักการะ คือ Kyaik Pun Paya เป็นพระพุทธเจ้าสี่องค์หันสี่ทิศ แต่ละองค์สูงประมาณ 30 เมตร เท่าที่ดูแต่ละองค์จะมีหน้าตาและการห่มจีวรที่แตกต่างกันด้วยนะ.. นับว่าสวยงามมาก



ที่หงสาวดีนี้ นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ USD10 โดยที่เค้าจะมีใบเสร็จไว้ให้ ซึ่งต้องเก็บไว้ให้ดี ๆ นะคะ .. เพราะค่าเข้าชมนี้จะจ่ายครั้งเดียวสำหรับการเข้าชมวัดต่าง ๆ ภายในหนึ่งวัน การเข้าวัดที่นี่จะต้องถอดรองเท้าเช่นกันค่ะ ..ที่นี่จะมีตู้ฝากรองเท้าไว้ให้



สิ่งที่ฮั้วประทับใจผู้คนที่นี่คือ ศาสนาถือเป็นสิ่งสำคัญและปัจจัยในการดำรงชีวิต (ประจำวัน) ของผู้คนที่นี่ การมาวัดที่พม่าจะเห็นภาพแบบนี้จนชินตาเลยค่ะ คนพม่าจะเข้าวัดทำบุญ ไหว้พระ นั่งสมาธิ สวดมนต์ และแม้กระทั่งนั่งเล่นกันอยู่เต็มวัดเลยค่ะ.. ทำให้รู้สึกว่าคนไทยเราเข้าวัดเพื่อทำบุญกันอย่างเดียว ..หรือว่าฮั้วคนเดียวที่ทำอย่างนั้นก็ไม่รู้



กว่าจะเดินทางมาถึงหงสาวดีก็เกือบเที่ยงโน่นแน่ะค่ะ ..เราจึงตัดสินใจไปอีกวัดหนึ่งก่อนที่จะแวะไปกินข้าว.. พอ Steven เลี้ยวเข้าที่นี่ เค้าอธิบายว่าเป็นพระนอนอันใหม่ที่ชาวบ้านสร้างขึ้นเอง.. เพราะว่าที่นี่ศาสนาคือสิ่งเดียวที่รัฐบาลไม่สามารถเอาไปจากคนพม่าได้ ฟังแล้วซึ้งมาก ๆ ค่ะ ลองคิดดูคนที่นี่ก็ไม่ได้ร่ำรวยนักหนา แต่ทุกคนมีใจรักที่จะทำนุบำรุงศาสนา แล้วเก็บสะสมเงินเพื่อจะสร้างวัดในแต่ละหมู่บ้าน...



ส่วนวัดพระนอนของเมืองหงสาวดีจริง ๆ ชื่อ Shwethalyaung Buddha .. ที่นี่ถุงรองเท้าที่เตรียมมาก็มีประโยชน์เพราะใช้ใส่รองเท้าหิ้วเข้าไปได้เลย.. ข้างในเต็มไปด้วยร้านค้าเต็มไปหมด.. แม่ค้าตะโกนเป็นภาษาไทยกันใหญ่เลยค่ะ.. ฮั้วนึกในใจว่ารู้ได้ยังไงว่าเป็นคนไทย.. เดี๋ยวค่อยมาเฉลยค่ะ

การเข้าที่นี่ก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าอีกแล้วค่ะ เพราะเราจ่ายไปแล้ว.. ต้องเสียแค่ค่ากล้องถ่ายรูป K200 (= 6 บาท) .. วัดพระนอนที่นี่ใหญ่มาก ๆ ค่ะ .. ที่นี่สูง 16 เมตรและยาวถึง 55 เมตร..เค้าว่าที่นี่ยาวกว่าพระนอนที่วัดโพธิ์ของไทยถึง 9 เมตรแน่ะค่ะ ..ที่นี่ยังเป็นที่ปิคนิกของชาวบ้านด้วยนะคะ..จะเห็นได้ว่าคนพม่าเอาปิ่นโตมากางออกแล้วล้อมวงกินกันข้างหลังพระเลยค่ะ



พอเดินออกมา แม่ค้าก็ตะโกนขายของกันอีกแล้วค่ะแถมเป็นภาษาไทยด้วย.. ฮั้วงงมาก ๆ ค่ะ ว่าเค้ารู้ได้ยังไงว่าเราเป็นคนไทย... พอเดินออกมาจะถึงรถเท่านั้นแหละ .. แม่ค้าและเด็ก ๆ มาจากไหนไม่รู้มากมายรุมล้อมเราให้ซื้อของกันใหญ่เลยค่ะ..ส่วนเด็ก ๆ ก็ของตังค์บ้าง .. ต้องใจแข็งปฏิเสธอย่างเดียวค่ะ.. ไม่งั้นซื้อคนนึงก็ต้องมีซื้อทั้งหมดแน่ ๆ

เราไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารแสนสงบเลยตัวเมืองไปนิดนึง ชื่อว่า Hanthawaddy .. สั่งอาหารมาสี่อย่าง ..ตอนแรกคิดว่ากินหมดแน่ ๆ แต่แต่ละจานมาแบบขนาดบิ๊กเลยค่ะ สำหรับสองสามคนกินได้.. แต่ราคาถูกมาก ๆ อยู่ที่ K14,000 (= 400 บาท) ในที่สุดก็กินไม่หมดค่ะ Steven ก็เลยบอกว่าให้ห่อใส่ถุงแล้วค่อยนำไปให้คนขอทานค่ะ..

ฮั้วนึกในใจว่าผู้คนที่นี่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียงจริง ๆ น่าประทับใจมาก ๆ .. นำปิ่นโตไปกินตอนกลางวัน .. กินเหลือแล้วให้คนอื่น .. ถึงแม้ประเทศจะยากจน แต่ผู้คนที่นี่รวยน้ำใจจริง ๆ ค่ะ..

เราได้ค้นพบความจริงที่ว่าทำไมแม่ค้าทั้งหลายถึงพูดภาษาไทยกับพวกเรา.. เพราะพอลงจากรถที่หน้าร้านอาหาร ก็มีอีกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาขายโปสการ์ด (สินค้าสุดฮิตของพม่า) .. แต่กลุ่มนี้บางคนพูดภาษาอังกฤษใส่ (นัยว่าคงพูดไทยไม่ค่อยได้มั้ง).. เค้าถามว่า “มาจากไหน” เลยอำเค้าไปว่า “มาจากเกาหลี” .. เพราะเห็นคนที่นี่ชอบดาราเกาหลีกัน.. โดนเค้าตอกกลับมาว่า “แล้วนี่อะไร.. ยูมาจากเมืองไทยต่างหาก”.. แล้วชี้ไปที่ wristband “เรารักพระเจ้าอยู่หัว” ที่เพื่อนฮั้วใส่อยู่... คราวนี้ก็ถึงบางอ้อ ว่าเค้ารู้กันได้ยังไงว่าเราเป็นคนไทย..อืม.. อึ้งไปเลย

ที่ต่อไปคือ Shwemawdaw Paya เป็นเจดีย์ที่สูงกว่าชเวดากองที่ย่างกุ้ง.. แต่ที่ย่างกุ้งดูสูงกว่าก็เพราะว่าถูกสร้างอยู่บนเนินเขาอีกที ที่นี่มีฟันของพระพุทธเจ้าประทับอยู่ (เรียกราชาศัพท์ไม่ค่อยถูกต้องขออภัย) .. มาที่นี่จะพบกับยอดพระปรางค์ที่หักโค่นลงมาเนื่องจากแผ่นดินไหวด้วยค่ะ



ที่นี่ต้องเสียค่ากล้องถ่ายรูปอีก K100 (= 3 บาท)..อ๊ากก..ถูกมาก ๆ



ระหว่างที่เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ก็มีลุงคนนึงตรงเข้ามา แล้วพูดภาษาพม่าใส่ใหญ่เลย พร้อมทั้งทำไม้ทำมือเป็นสี่เหลี่ยม.. เราสองคนก็งงกันใหญ่ จะทำอะไรเนี่ย... จนในที่สุดเค้าชี้มาที่กล้อง ประมาณว่าช่วยถ่ายเค้าให้หน่อย..

แหม.. request มาขนาดนี้ก็ต้องถ่ายสิคะ.. แล้วคุณลุงก็วิ่งกลับไปเข้ากลุ่ม จัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ยืนเรียงแถวกันด้วย พวกฮั้วก็ถ่ายด้วยอาหารงง ๆ ..และนี่คือผลงานที่ออกมา .. คุณลุงคนที่สามจากซ้ายเป็นคนวิ่งเข้ามาขอให้ถ่ายรูป



ตอนขากลับระหว่างนั่งผ่านตัวเมืองหงสาวดี .. ก็มีเด็กวิ่งเข้ามาขอตังค์ .. อะฮ่า.. เลยได้จังหวะให้อาหารที่ห่อมาไปแทน.. เค้าก็ยิ้มแฉ่ง ..วิ่งกลับไปบอกแม่ค้าแถวนั้นใหญ่เลย.. รู้สึกดีในที่อย่างน้อย สิ่งนั้นก็มีประโยชน์กับคนที่ต้องการดีกว่าทิ้งไปอย่างไร้ค่า



เนื่องจากเราเหนื่อยกันมาทั้งวัน .. ฮั้วหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทาง.. เลยบอกไกด์ว่าเราคงไม่ไหวแล้วล่ะ กลับย่างกุ้งเลยดีกว่า.. แต่เราอยากขอแวะสุสานของทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ผ่านตอนขามาซักหน่อย...อารมณ์เดียวกันสุสานที่กาญจนบุรีเลย



ป้ายหลุมศพของบางคนไม่มีแม้กระทั่งชื่อ ช่างน่าสงสารจริง ๆ ที่ต้องมาตายต่างบ้านต่างเมือง ห่างจากครอบครัวอันเป็นที่รัก.. โดยที่เค้าเหล่านั้นไม่สามารถมาเยี่ยมเราได้..



เราใช้ระยะเวลาประมาณสองชั่วโมงในการขับรถระหว่างย่างกุ้งกับหงสาวดี ฝ่าแดด ฝ่าฝน จนกลับมาถึงย่างกุ้งประมาณห้าโมงครึ่ง.. นับว่า Steven ทำหน้าที่ของเค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมคอยชี้โน่นชี้นี่ให้เราดู และอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างดีมาก

ป.ล. ถ้าใครสนใจก็ค่อยมาถามแล้วกันนะคะ จะให้เบอร์ไว้ให้

พอกลับถึงโรงแรม สิ่งแรกที่ต้องทำคืออาบน้ำและพักผ่อน เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ในรถซะเป็นส่วนใหญ่ แต่อากาศของที่นี่ค่อนข้างจะไม่ค่อยดี ตัวเหนียวเหนอะหนะ เต็มไปด้วยฝุ่น พออาบน้ำเสร็จก็ลองเช็คทีวีดู ปรากฏว่าที่ Park Royal นี้รับ True Visions ได้ด้วยนะ .. แถมมีช่อง 3 อีกต่างหาก .. เผื่อใครติดหนังจะได้ไม่พลาด

อย่างที่บอกว่าโลเกชั่นที่โรงแรมนี้ถือว่าค่อนข้างดีมาก เพราะอยู่ในตัวเมือง มี mall เล็ก ๆ ซึ่งมี supermarket อยู่ข้าง ๆ .. แต่เราก็ตัดสินใจเดินเลยเข้าไปในซอยอีกนิดตามแผนที่ใน Lonely Planet ที่ระบุว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ใกล้ ๆ “Aung Mingalar Shan Noodle Shop”.. เราก็เลยลองเดินไปดู

ประมาณห้านาทีก็ถึงร้านนี้... ขอบอกว่าก่อนมาพม่า ฮั้วห่วงเรื่องอาหารเป็นที่สุด เพราะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของอาหารพม่าเลย แถมตามพวกรีวิวต่าง ๆ ก็โชว์เห็น ๆ ว่าเค้าใช้มือคลุกอาหาร.. ก็ออกเสียวนิด ๆ กลัวจะท้องเสีย

แต่พอมาจริง ๆ อาหารที่นี่กลับคล้าย ๆ อาหารบ้านเรา... ออกเผ็ดนิด ๆ อร่อยมาก.. ส่วนตัวก๋วยเตี๋ยวก็นุ่มลิ้น หนึบหนับ ..



พอมาถึงร้านนี้.. ออกแนวมืดไปนิด แต่ก็ยังพอมองเห็นอาหาร แต่ไฟจะไม่สว่างโล่งโจ้ง.. พนักงานก็เอาเมนูมีรูปประกอบมาให้.. เราก็แค่ชี้ ๆ ว่าอยากกินอะไร .. ผลปรากฏออกมาเป็นเช่นนี้ และค่าเสียหายของมื้อนี้อยู่ที่ K3,800 (= 109 บาท)



กินอิ่มแปร์แล้วเราก็ไปซื้อของกินเพื่อเก็บในสต๊อก.. เพราะว่าราคาน้ำอัดลมกระป๋องในโรงแรมตั้ง USD4 แน่ะ.. แล้วก็พักผ่อนเพื่อเตรียมตัวลุยย่างกุ้งในวันรุ่งขึ้น...

ไว้จะมาเขียนต่อค่ะ

รูปภาพเพิ่มเติมดูได้ที่นี่ค่ะ
//huaphotos.multiply.com/photos/album/20



Create Date : 20 พฤษภาคม 2550
Last Update : 20 พฤษภาคม 2550 22:16:51 น.
Counter : 1480 Pageviews.

11 comments
  
มาเที่ยวพม่าด้วยคนค่ะ

สวยดีจังเลยนะคะ อยากไปเที่ยวบ้างจัง เรามีเพื่อนคนพม่าเยอะเลย ทุกคนน่ารัก ๆ ทั้งนั้น แล้วพวกเขาชอบคนไทยกันทุกคนเลย ทุกคนล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบเมืองไทยมาก

ขอให้มีความสุขทุกวันค่ะ
โดย: ผ้าเช็ดหน้า วันที่: 20 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:24:38 น.
  
สวยมากๆ เลยครับ ผมเพิ่งกลับจากพม่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20/5/50) แต่ผมเจอฝนภาพเลยไม่สดใสเท่าไรนัก แต่ความประทับใจเต็มร้อยเช่นกันครับ

ไว้ลงภาพผมจะมาเชิญนะครับ
โดย: DAN_KRAB วันที่: 22 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:57:07 น.
  
ขอบคุณที่เข้ามาดูกันนะคะ.. ยังไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ ไว้ครบทุกตอนจะกริ๊ง ๆ ไปบอกอีกทีนะคะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 22 พฤษภาคม 2550 เวลา:9:35:02 น.
  
ไปที่ลาว เขาก็บอกว่าคนไหนคนไทยดูง่ายมาก
ดูที่เสื้อเหลืองกับสายรัดข้อมือ
โดย: mrguide วันที่: 24 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:25:20 น.
  

โดย: โสมรัศมี วันที่: 27 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:07:22 น.
  
ข้อมูลยังเต็มเพียบเหมือนเดิม ชอบจังค่ะ
ล่าสุดไปพุกามมา มีคุณลุงคนขายของขอสายรัดข้อมือไปด้วย
น่ารักจริง ๆ
อย่างพม่านี่ถือว่าเป็นเมืองพุทธจริง ๆ นะคะ
ของเรายังแค่เป็นแค่คำว่าเมืองพุทธเท่านั้นเอง
โดย: หมาเลี้ยงแกะ วันที่: 7 มิถุนายน 2550 เวลา:17:22:04 น.
  
คุณหมาเลี้ยงแกะพูดถูกใจมาก ๆ ค่ะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:22:55:04 น.
  
มาพาไปรำลึกความหลังกันที่พะโคครับ อิอิ
โดย: DAN_KRAB วันที่: 9 มิถุนายน 2550 เวลา:23:53:15 น.
  
ไปไหนไปด้วย ติดตามตอนต่อไป
โดย: บักมี่ IP: 203.147.21.126 วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:9:04:50 น.
  
ตามมาอ่านต่อค่ะ

ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากไป

ป.ล.ชอบที่คุณหมาเลี้ยงแกะพูดจัง
โดย: ลิปดา-พิลิปดา (ไม่ได้ล็อคอิน) IP: 161.200.255.162 วันที่: 19 มิถุนายน 2550 เวลา:23:38:36 น.
  
ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:23:46:18 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gorgeous Girl
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
พฤษภาคม 2550

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
21
22
23
24
25
26
27
29
30
31
 
 
20 พฤษภาคม 2550
  •  Bloggang.com