KK Trip Journal (Day 4)
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2550

วันนี้ตื่นขึ้นเช้า (อีกแล้ว) ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ตื่นเช้าทุกวันเลย... เพราะต้องเช็คเอ้าท์ตั้งแต่เช้าแล้วรีบไปจองตั๋วเรือเที่ยวที่ออก 10.30 น... เนื่องจากพวกเราจองโรงแรมผ่านทางเน็ตมาก่อนหน้านี้ ค่าห้องทุกอย่างจึงถูกจ่ายไปหมดแล้ว .. แต่ว่าพอเราเช็คเอาท์ออกจากที่นี่ ก็มีค่าน้ำขวด (สองขวด) โผล่ขึ้นมา เราจึงถึงบางอ้อว่า “เค้าชาร์จค่าน้ำขวดเราแฮะ” .. เป็นอันโชคดีที่อีกขวดหนึ่งยังไม่ได้เปิด.. ฮั้วจึงคืนเค้าไป.. ทำไงได้ ไม่อยากจ่ายค่าน้ำขวดกะจิ๊ดริ๊ดด้วยราคาแพงหู่ฉี่ที่ 3 ริงกิตหนิ.. ไรฟะ คุณน้องพนักงานก็ยังอุตส่าห์หมุน ๆ ดูที่ฝาเพื่อให้แน่ใจว่าขวดยังไม่ได้เปิดด้วยนะ... โห ไม่ไว้ใจกันสุด ๆ

เช้านี้เรากินอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารเช้าที่โรงแรมนี้อัตคัตมาก ๆ มีแค่หมี่ผัด ไส้กรอก ขนมปังปิ้ง และซีเรียล .. สลัดยังไม่มีเลย.. สงสัยคนที่นี่ไม่ชอบกินผัก แต่อันนี้ฮั้วสงสัยมานานแล้ว อาหารที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีผักเลย จะเน้นแป้ง (หมี่ ข้าว) และเนื้อสัตว์เป็นหลัก พวกเราต้องสั่งผัดผักกันต่างหากถึงจะมีให้ ไม่งั้นพวกหมี่หรือข้าวจะมีผักแซมโหลงเหลงมาก ๆ .. รู้สึกขัดใจจริงที่ผักน้อยจัง

พอเริ่มแบกเจ้าเป้ใบใหญ่ขึ้นหลัง ฮั้วรู้สึกได้ถึงความหนักของกระเป๋า .. อาการปวดเข่าที่หายไปนานก็เริ่มกลับมา อาจเป็นเพราะทริปนี้เดินเยอะ แถมยังแบกของหนักอยู่ตลอดเวลา .. แต่คราวนี้แย่หน่อยตรงปวดเข่าและปวดไหล่มาก ๆ คิดดูว่าถ้ายืนไม่บาลานซ์นะ ตัวฮั้ว (ที่ว่าใหญ่แล้ว) สามารถหงายหลังได้เลยอ่ะ ตอนนั้นนะใจไปรออยู่ที่ท่าเรือแล้ว เพราะอยากวางกระเป๋าลงมาก ๆ เลย นึกในใจว่า “รู้งี้เอากระเป๋าแบบมีล้อมาดีกว่า”.. แต่ก็นะ.. ต้องขึ้นรถลงเรือกันทุกวัน ถ้าใช้กระเป๋าแบบมีล้อคงได้ตกทะเลแน่ ๆ

ช่วงเช้า ลาบวนเริ่มคึกคักขึ้นมาบ้างแล้ว ร้านค้าก็เริ่มเปิดให้บริการ ร้านอาหารที่ส่วนมากดูเป็นของคนจีน ก็จะมีคนมานั่งกินกาแฟกัน เราใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงท่าเรือ ก่อนอื่นเลยก็ต้องไปซื้อตั๋วเรือเพื่อกลับโคตาฯ ค่าตั๋วอยู่ที่ 36 ริงกิตสำหรับ Business Class ฟังดูหรูมะ..

จริง ๆ ราคาตั๋ว eco กับ biz ก็ไม่ต่างกันหรอก ห่างกันไม่กี่ริงกิต แต่เนื่องจากรอบที่มานั่ง eco แล้ว ก็เลยอยากลองนั่ง biz บ้าง.. อีกอย่างนั่ง biz เนี่ยวิวดีด้วย อย่างน้อยก็ได้เห็นอะไรรอบ ๆ ตัวบ้าง.. คนนั่งน้อยกว่าด้วยล่ะ.. การออกจากเกาะลาบวนก็ต้องเสียค่า terminal อีก 3 ริงกิต .. รวมทั้งหมดเป็น 39 ริงกิต

ก่อนเรือออกครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลา boarding คราวนี้ไม่ค่อยยุ่งยาก ไม่มีการตรวจพาสปอร์ต เพราะเป็น domestic route .. แต่ก็ยังวุ่นวายอยู่ดี เพราะทุกคนแบกถุงและกระเป๋าใบใหญ่กันคนสองถุงขึ้นไป .. อืม.. แสดงว่ามาช็อปกันจนหนำใจ .. น่าอิจฉาจริง ๆ .. ถ้าฮั้วกระเป๋าไม่เอี๊ยดและหนักซะขนาดนั้น สงสัยคงได้มีช็อปกระจายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องเปิดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ตรวจ.. ฮั้วว่าไม่ได้ตรวจอาวุธหรอก แต่คงตรวจว่าเอาของออกไปเกินพิกัดหรือเปล่า... พอถึงตาฮั้ว .. เค้าก็ให้เปิดกระเป๋าแล้วแหวก ๆ ของให้ดู... ดีนะ ที่เค้าไม่ได้ให้ฮั้วรื้อของออกมา .. ไม่อย่างงั้นต้องมีโวยแน่ ๆ (กว่าจะยัดทุกอย่างได้ลงตัว..จะให้รื้อออกมาได้งัย.. ฮึ)



ว้าว.. business class นี่มันนั่งสบายจริง ๆ แฮะ คนก็ไม่เยอะ วางกระเป๋าก็ไม่ต้องโดนของคนอื่นทับ (จริง ๆ ถ้าไม่มีแล็ปท็อปในเป้ก็ไม่ซีเรียสหรอก.. ตอนขามาเครียดแทบตาย.. อุตส่าห์บอกคนเรือว่าวางเบา ๆ หน่อยนะคะ.. ตอนวางก็เบาอยู่ แต่หลังจากนั้นก็มีกระเป๋าใบใหญ่ ๆ มาทับเยอะแยะเลย.. เห็นแล้วห่วง my precious จะเป็นอะไรไป.. มันไม่คุ้มเลย) ที่วางกระเป๋าเหลือเฟือ วิวก็สดใสดีกว่าเป็นกอง.. รอซักพัก เราก็บ๊ายบาย Pulau Labuan…

สามชั่วโมงต่อมา (13.30 น.) เรือก็เริ่มเทียบท่าที่ Jesselton Point .. ท่าเรือที่คุ้นเคย รอบนี้เราต้องจองเรือเพื่อไป Tunku Abdul Rahman National Park (TAR) กับพ่อคนขายที่คุยกันไว้ตั้งแต่วันแรก ๆ โดยที่เรายังไม่ต้องวางมัดจำอะไรทั้งนั้น จะไปจ่ายเอาวันพรุ่งนี้เลย เพียงแต่แค่บุ๊คที่ไว้ว่าเราจะไปกี่โมงและไปกี่เกาะ

เราเรียกรถแท็กซี่จากท่าเรือไปยังโรงแรมที่เราจองไว้ (Beverly Hotel) อยู่ที่ประมาณ 15 ริงกิต .. หลังจากอยู่หลาย ๆ วัน.. พวกเราก็จะเริ่มเดาค่าแท็กซี่ได้ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่.. อ้อ.. แท็กซี่ที่นี่ไม่ใช้มิเตอร์นะ.. แต่ถ้าใครต่อเก่ง ๆ ราคาอาจจะลดลงมาก็ได้.. ส่วนพวกเราใช้กะ ๆ เอา และบางทีก็ใช้ถามคนแถวนั้นดูก่อนว่าราคาน่าจะอยู่ที่เท่าไหร่ จะได้ไม่โดนแท็กซี่โก่งราคา

พวกเราค้นพบ Beverly Hotel จากการอ่านรีวิวตามที่ต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจและราคาก็ไม่แพงจนเกินไปนัก เป็นโรงแรมสี่ดาวที่ใช้ได้ทีเดียว ห้องกว้างขวาง สะอาดสะอ้าน มีทีวี ตู้เย็น ตู้เซฟ ห้องน้ำก็โอเค (แต่มีกระป๋องตักน้ำ.. แปลกมะ..) มีน้ำเปล่า complimentary ให้สองขวด (ในที่สุด.. ก็มีน้ำเปล่าในห้องซักที) และที่เด็ดที่สุด Wifi ทั้งโรงแรมค่า... ฮ่า ฮ่า ..ถูกใจเป็นที่สุด.. แต่หารู้ไม่ว่า.. เราจะเจอกับเรื่อง surprise มากมายภายในระยะเวลาสองวันที่พักอยู่ที่นี่

หลังจากเก็บข้าวของกันซักพัก ก็ถึงเวลาหาของข้าวกลางวันกัน แถวโรงแรมไม่มีร้านอาหารเลย แต่มีห้างชื่อ Plaza Wawasan อยู่แยกตรงข้าม เราเลยต้องใช้ skill ในการข้ามถนนใหญ่แบบคนไทย รีบ ๆ วิ่งข้ามสี่แยกใหญ่มาก ไปยังฝั่งตรงข้าม .. เราตัดสินใจไปกิน food court ของห้าง ซึ่ง ณ เวลาบ่ายสองกว่า ๆ คนก็โหรงเหรง แต่ร้านค้าเปิดกันเต็มพรึด

เราเลือกที่จะกินอาหารจีนมาเลย์ วิธีการสั่งก็คือบอกเค้าไปว่าจะกินอะไรแล้วก็ไปนั่งรอที่โต๊ะ ซักพักพนักงานก็จะมาเสิร์ฟอาหารให้ถึงที่ .. ไม่รู้ว่าถ้าคนเต็ม food court เค้าจะหาเราเจอได้ยังไงกัน ..

ฮั้วสั่ง Penang Style Kuay Tiew ซึ่งหน้าตาก็คือผัดซีอิ๊วนั่นเอง แต่ปริมาณสำหรับสองคนกินและให้เนื้อเยอะมาก ๆ รอบนี้เราหิวกันมาก เลยสั่งกันคนละจาน .. สุดท้ายอิ่มมาก ๆ เพราะหิวจัดจนกินหมดจาน (ปกติปริมาณขนาดนี้ต้องแบ่งเท่านั้น).. พุงกางสุด ๆ จนไม่อยากไปเที่ยวต่อเลยอ่ะ ส่วนเครื่องดื่มเราสั่งเป็น Kit Chai ซึ่งเป็นน้ำมะนาวผสมบ๊วย ..ชื่นใจมาก ๆ กับชาเย็นใส่เฉาก๊วย (จำชื่อไม่ได้แล้ว)



กินอิ่มพุงป่องแล้วก็ไปเที่ยว Sabah Museum ..มองจากแผนที่นั้น ก็เห็นได้ว่าเราไม่สามารถที่จะเดินไปได้แน่ ๆ เราจึงเรียกแท็กซี่ไป ซึ่งค่าแท็กซี่อยู่ที่ไม่เกิน 10 ริงกิต ที่นี่จะมีหลาย museum รวมกันในที่เดียว เช่น State museum, Sabah Art Gallery และ Heritage Village โดยที่ต้องจ่ายค่าเข้าเป็นเงิน 15 ริงกิต เปิดตั้งแต่ 9.00 – 17.00 เฉพาะวันเสาร์ – พฤหัส

ที่นี่เค้าห้ามไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน เพราะฉะนั้นเราต้องฝากกล้องไว้ที่ counter โดยที่มีป้ายให้ (เหมือนเวลาฝากของที่ห้าง) เดินวน ๆ อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง ในพิพิธภัณฑ์ประมาณเกือบชั่วโมง ข้อมูลข้างในกับการจัดวางค่อนข้างใช้ได้ทีเดียว ฮั้วชอบส่วนเล็กส่วนนึงเรียกว่า Bamboo Technology ฟังแล้วหรูมะ.. แต่จริง ๆ คือว่า เค้าโชว์ถึงประโยชน์ของไม้ไผ่ว่าเอามาทำอะไรได้บ้าง มีเป็นสามสิบกว่าอย่าง ไล่ตั้งแต่ตะกร้าธรรมดาไปจนถึงที่จับปลา.. เจ๋งดีอ่ะ เหมือนหยิบเอาของเรียบง่ายมาสรุปให้เห็น อ้อ.. เค้ายังเก็บโต๊ะที่ลงนามการทำสัญญาสมัยสงครามโลกครั้งที่สองไว้ด้วย.. ฮั้วยังนึกในใจเลยว่า ถ้าทำหักขึ้นมา สงสัยจะไม่ได้กลับบ้านแน่ ๆ เพราะมันเหมือนจะหักอยู่แล้วด้วยหล่ะ..



หลังจากนั้น เราก็ข้ามไปเที่ยวในส่วนของ heritage village โดยที่เค้าจะแสดงบ้านของชนเผ่าต่าง ๆ ในรัฐซาบาห์ มีหลายแบบมาก ๆ แต่เค้าก็โชว์แค่บ้านอย่างเดียว ถ้ามีคนแต่งตัวตามเผ่านั้น ๆ อยู่และสาธิตถึงชีวิตความเป็นอยู่ด้วยจะดีมาก ๆ เลย



เราอยู่ที่นี่กันจนห้าโมงเย็น ..พูดเหมือนนานเลย.. แต่จริง ๆ ก็แค่ชั่วโมงเดียวแหละ ... แล้วก็เดินออกมาที่ถนนใหญ่ โดยเดินตามพนักงานสาว ๆ สองคนออกมา ไม่รู้คิดกันยังไง เราก็ถามเค้าว่าป้ายรถเมล์อยู่ที่ไหน แล้วต้องนั่งรถเบอร์อะไรถึงจะเข้าเมืองได้ .. สองสาวนั้นไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็ยังเต็มใจที่จะช่วยเรา โดยชี้ ๆ ไปอีกฝั่งนึง .. เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้ข้อมูลอะไรมากไปกว่าการชี้ไปยังป้ายรถเมล์ เราจึงขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือและเดินจากมา

หลังจากข้ามถนนเสร็จแล้วก็ยังงง ๆ ว่าจะไปตรงไหนต่อดี .. สองสาวนั้นยังอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยังชี้ให้ไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่มีป้ายรถเมล์อยู่.. ขอชื่นชมในน้ำใจจริง ๆ ค่ะ.. ถึงแม้ต่างชาติ ศาสนา และภาษา แต่คนเรายังสามารถเอื้อเฟื้อและแสดงน้ำใจต่อกันได้นะ

เป็นโชคดีที่เราไปเจอสาวอีกคนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เค้าบอกว่านั่งสายไหนก็ได้เข้าเมืองโคตาฯ โดยที่ค่ารถอยู่ที่ประมาณ 0.7 ริงกิต คนที่นี่เค้ารอให้คนลงหมดก่อนแล้วค่อยขึ้นนะ เป็นระเบียบกว่าบ้านเราตั้งเยอะ.. ที่นี่ก็มีกระเป๋ารถเมล์ด้วยนะ ถึงแม้ไม่ได้แต่งยูนิฟอร์มเหมือนบ้านเรา.. แต่ก็รู้ได้จากการถือตะกร้า..ใช่ ตะกร้า.. ไม่ใช่กระป๋องน่ารัก ๆ แบบบ้านเรา.. มายืนอยู่ตรงหน้า ..เท่านั้นแหละ..ก็รู้ได้ว่าตานี้อ่ะ กระเป๋ารถ..



นั่งจากนั้นมาซักพัก กระเป๋ารถก็พยักเพยิดว่าให้เราลง... เราก็ตาม ๆ คนอื่นลงมาจึงรู้ว่าที่นี่เป็นท่ารถในตัวเมืองโคตาฯ ... หลังจากนั้น เราก็ใส่สองเท้าเดิน (อีกแล้วครับท่าน) ทะลุเมืองไปยังฝั่งตลาดที่แวะกันเมื่อวันแรก... แต่คราวนี้เราไปเดินเที่ยว wet market ซึ่งเริ่มคึกคักตอนเย็น ๆ มีผัก ผลไม้ ปลา (ตัวโต) และอาหารมาวางขายเต็มไปหมด.. พ่อค้าแม่ค้าที่นี่จะตะโกนแข่งกันเรียกลูกค้าเสียงดังสุด ๆ พูดกันเร็วมาก ๆ ด้วย แทบจะจับใจความไม่ได้.. จริง ๆ ถึงแม้พูดช้าก็จับไม่ได้อยู่แล้วล่ะ.. แหม.. ก็เค้าพูดมาเลย์นิ..

มีพ่อค้าแม่ค้าหลายคนตะโกนเรียกให้พวกเราซื้อปลาด้วย.. เอ่อ.. จะให้ชั้นเอาไปทำอะไรจ๊ะ..(ดูบรรยากาศความมีชีวิตชีวาของตลาดได้ที่นี่ //huaphotos.multiply.com/video/item/4).. ฮั้วเห็นบางคนเปิบข้าวด้วยมือล่ะ ไม่รู้กินอะไรกัน.. แล้วบางร้านก็ให้ลูกค้าตักกับกันเอาเอง .. เป็นระบบที่ไว้ใจกันจริง ๆ เลย... มีอย่างหนึ่งที่แปลกมาก ๆ อ่ะ.. อาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะมีซุปแยกให้มาอีกชามนึง .. ซึ่งคนไทยก็คงดื่มซุปปกตินั่นแหละ แต่ที่นี่ไม่.. เค้าจะเอาน้ำดำ ๆ (คิดว่าเป็นซีอิ๊วดำ) มาเทใส่ เยอะมาก ๆ ด้วย... คงเป็นการเติมรสชาติ แต่มันดูไม่น่ากินเลยอ่ะ .. อันนี้ฮั้วก็ขอบายที่จะไม่กินตามอย่างนะ

มาถึงมาเลเซียก็ต้องกินขนมของเค้า เรียกว่า Ais Kacang อ่านว่า ไอซ์ คาจัง (คาจังแปลว่าถั่ว).. มีลักษณะเหมือนน้ำแข็งใสบ้างเรา แต่ไม่ใส่ขนมปัง ลูกชิดนะ ..ส่วนประกอบหลักก็คือ น้ำแข็ง (แน่อยู่แล้ว) กับพวกถั่วต่าง ๆ ใส่นม แค่เนี้ยะ.. ของบ้านเรา creative กว่าเยอะ.. อร่อยกว่าด้วย... แต่แม่ค้าร้านนี้เป็นมิตรมาก ๆ พอเพื่อนฮั้วยกกล้องขึ้นมาเท่านั้นแหล่ะ... เธอก็กวักมือเรียกเพื่อนมาตั้งท่ากันใหญ่ แล้วก็กรี๊ดกร๊าดดีใจกันมาก .. น่ารักดีอ่ะ



ถึงแม้เราจะพลาด Sunday market ที่ถนน gaya ในตอนเช้า แต่เหมือนว่าวันอาทิตย์เป็นวันช็อปปิ้ง พอตกเย็นก็มี night market กันเต็มไปหมด... ส่วนมากจะเป็นของใช้มากกว่าอาหาร คล้าย ๆ ตลาดนัดคาร์ฟูร์บ้านเรา เพียงแต่ของไม่ค่อยแฟชั่นเท่า.. แล้วก็ขายของปลอมกันเต็มไปหมด (อันนี้เหมือนแฮะ)..

เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงกลางเดือน ฮั้วสังเกตุเห็นว่ามีคนเข้าออกร้านประเภทนึงเยอะมาก ๆ ทั้งเมืองเงียบเหงาแต่แถบนั้นจะคึกคักเป็นพิเศษ (ตั้งแต่เกาะลาบวนแล้ว) ร้านนั้น ๆ ก็คือ ร้าน Lotto คาดว่าขายล็อตเตอรี่นั่นเอง .. แหม.. เรื่องเสี่ยงดวงเนี่ย ไม่ว่าชาติไหนก็ติดกันงอมแงมแฮะ..



พวกเราจึงต้องแวะ 7 Eleven เพื่อซื้อของกินตุนไว้สำหรับทริปเกาะพรุ่งนี้... 7 eleven ที่นี่เทียบไม่ได้เลยกับเครือซีพีที่นี่ อาหารเป็น snack ซะส่วนใหญ่ ไม่มีของหลากหลายให้ซื้อ ไม่มี “รับซาลาเปา ไส้กรอก เพิ่มมั๊ยคะ”.. ไม่มีแสตมป์เงินไว้แลกซื้อของ.. ไม่มีขายถุงยางวางหรา (เออ..แฮะ คนที่นี่เค้าไปซื้อกันที่ไหนหว่า) แถมแอร์ไม่เย็นสะใจด้วยออกแนวอบอ้าวพิลึก.. มีวางขนมที่มาจากเมืองไทยด้วยนะ (ภาษาไทยยังหราอยู่เลย) .. แต่เสียดายไม่มีเลย์.. แย่จัง..

หลังจากนั้นเราก็เดิน เดิน เดิน และเดินกลับโรงแรม.. รอบนี้เดินค่อนข้างไกล เพราะโรงแรมเราจะออกมาจากตัวเมืองนิดหน่อย.. ถึงแม้เดินริมถนนใหญ่ก็รู้สึกมื๊ดมืด..ที่นี่ไม่ค่อยเปิดไฟถนนกันเลย.. ในใจก็นึกกลัวเหมือนกันนะ ว่าจะมีใครมาฉุดเรากันไหมเนี่ย.. แต่รอจนแล้วจนรอด ก็ไม่มี.. (เอ๊ะ ตกลงกลัวปล่าวเนี่ย... ฮะ ฮะ )

คืนนั้นเราก็กลับถึงโรงแรมอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน.. เรากลับถึงห้องพักที่เงียบสงบ มีเตียงนุ่ม ๆ รออยู่.. แต่...

คืนนั้นเราก็พบกับสิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดในการพักโรงแรม (เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของฮั้วเลยก็ว่าได้).. เริ่มจากฝักบัวของห้องไหลสองทาง คือไหลผ่านทางฝักบัว และหัวก๊อกข้างล่าง แต่ดันผ่านข้างล่างแรงกกว่าฝักบัว เราจึงได้น้ำฝักบัวแรงแค่ 30% ..เซ็งจริง ๆ

พอดึกมาซักหน่อย ขณะที่เรายังนั่งดูทีวีกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงห้องข้าง ๆ เป็นคนจีนแน่นอน (ฟังจากหลอดแตกกับภาษา) ดูเหมือนว่าจะมีกันอยู่หลายคน .. โวยวายกันอย่างมาก สงสัยเล่นไพ่ป๊อกกันอยู่ แต่เนื่องจากเราคงเหนื่อยกันพอดู ณ ขณะนั้นก็ยังผลอยหลับไปได้อย่างไม่มีปัญหา

แต่... ยังไม่จบ.. ฮั้วตื่นขึ้นมากลางดึก ณ เวลาตีสองเศษ .. เพราะเสียงห้องข้าง ๆ .. แต่คราวนี้เหลือสองคนคุยกัน แต่เสียงดังมากเหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่ ถ้าฮั้วเข้าใจภาษาจีนคงจะเก็บมาเล่าให้ฟังได้.. แต่นี่..มันพูดอะไรกันวะ.. ตีสองแล้วไม่หลับไม่นอน.. อารมณ์หงุดหงิดเป็นที่สุด (เรื่องนอนใครก็ห้ามรบกวนฮั้วนะ ..สำคัญมาก ๆ) จึงทุบกำแพงไปสองสามที หวังว่าเค้าจะได้ยินแล้วเกรงใจกันบ้าง

แต่ไม่เลย.. อาจเป็นเพราะไม่ได้ยิน หรือจะกวนกันก็ไม่รู้ เสียงคุยนั้นไม่ลดลงเลยซักนิด... ฮั้วนอนพลิกตัวไป ๆ มา ๆ สักสิบนาที.. นึกคิดในใจว่า หรือเราจะไปเคาะประตูมันเลยดี.. จะได้เกรงใจกันบ้าง... แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่ดีกว่า กลัวโดนฉุดเข้าห้อง.. และออกจะอันตรายต่อตัวเองเกินไปหน่อย.. ในที่สุด ก็เลยไปใช้โทรศัพท์ในห้องน้ำ (เพราะเพื่อนยังหลับอยู่) โทรลงไป front desk ให้เค้าช่วยบอกไอ้ห้องข้าง ๆ ให้หน่อย.. นี่มันตีสองแล้วน้า...

ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเค้าทำหรือเปล่า.. เพราะรอฟังอยู่นานก็ไม่เห็นได้ยินเสียงเปิดประตูจากห้องข้าง ๆ หรือว่าเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นมา รอไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้.. ฮั้วก็ผลอยหลับไปอีก

ฮั้วก็ไม่รู้นะว่าไอ้คู่นั้นมันหลับกี่โมงกี่ยาม .. รู้แต่ว่าตอนเช้า เพื่อนฮั้วบอกว่าเค้าตื่นขึ้นมากลางดึกเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ากี่โมง.. แต่เค้าได้ยินเสียงครวญครางจากสองคนนั่น.. แหม.. ถ้าฮั้วตื่นขึ้นมาตอนนั้นนะ จะเอากระป๋องตักน้ำในห้องน้ำมาทุบกำแพงซะให้อารมณ์หดทีเดียว .. โทษฐานบังอาจมีความสุขบนความทุกข์ (ไม่ได้หลับนอน) ของคนอื่น



Create Date : 23 เมษายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2552 22:03:47 น.
Counter : 1671 Pageviews.

3 comments
  
สังหรณ์ใจ เลยลองเปิดมาดู ได้อ่านตอน 4 แล้วจริงๆ หนุกจ้า หนุก
โดย: Snoopy in BKK วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:16:04:50 น.
  
ของหวานเขาน่าโซ้ยมากๆ ครับ ...
เรื่องยังอ่านไม่ละเอียด เด๋วกลับมาเก็บอีกรอบฮะ ...
โดย: Oatta (SF-The KOP ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:19:48 น.
  
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:23:48:34 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gorgeous Girl
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
เมษายน 2550

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
22
25
26
27
28
29
30
 
 
23 เมษายน 2550
  •  Bloggang.com