A Journey Of A Thousand Miles Must Begin With A Single Step!!
|
|||||
KK Trip Journal (Day 2) วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2550 ระหว่างที่คนในเมืองไทยกำลังนอนอุตุเพราะเป็นวันหยุดหรือเตรียมตัวจะไปเล่นน้ำสงกรานต์กันนั้น เราสองคนต้องตื่นแต่ไก่โห่เพื่อเดินไปยังท่าเรือ Jesselton Point เพื่อจองตั๋วรอบเช้าไปยังบรูไน เราเดินกันไปเรื่อย ๆ จนถึงท่าเรือช่วงเวลา 6.30 แต่ก็ยังมีคนที่มาถึงก่อนเรานะ อืม..ขนาดคิดว่าตัวเองบ้าพลังแล้วนะ.. ช่วงเช้า ๆ เมืองทั้งเมืองช่างเงียบกริบซะจริง ๆ ร้านรวงยังไม่เปิด... ถ้าเป็นที่กรุงเทพ เวลานี้รถคงเริ่มติดแล้วล่ะ และคนทั้งกรุงเทพก็ตื่นตาลีตาเหลือกอาบน้ำแต่งตัวออกไปทำงานกันแล้ว พวกเรารอไปซักพักเคาเตอร์ขายตั๋วก็เปิดโดยที่เราซื้อตั๋วเที่ยว 8.00 ไปยังเกาะ Labuan และต่อเรือที่นั่นเวลา 12.00 ไปยังท่า Muara ของประเทศบรูไน ค่าตั๋วเรือที่เราซื้อเป็นแบบจ่ายรวดเดียวของการนั่งเรือสองต่อราคา 53 ริงกิต ซึ่งต้องจ่ายค่าธรรมเนียมท่าเรืออีก 3 ริงกิต รวมเป็น 56 ริงกิต ... ตอนที่ซื้อตั๋วต้องโชว์พาสปอร์ตด้วยนะ และซื้อตั๋วที่นี่ดีอย่างนึงคือ เราสามารถเลือกที่นั่งได้เลย ... (อย่างน้อยก็ไม่ต้องไม่มั่ว ๆ กันในเรือ) หลังจากรอไปซักพักเค้าก็ให้ขึ้นเรือ ซึ่งเค้าบังคับให้ทุกคนวางกระเป๋าเดินทางไว้ในส่วนที่จัดไว้ให้ ไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าไปที่นั่งของตัวเองเด็ดขาด ฮั้วคิดว่าคงเกี่ยวเรื่องความปลอดภัยแน่ ๆ แถมยังมีเสื้อชูชีพไว้ใต้เบาะทุกที่นั่งด้วย ดูเป็นมาตรฐานมาก ๆ ..ไม่อยากจะเปรียบเทียบว่าเรือที่เมืองไทยเป็นยังไง..เฮ้อ เวลาที่เรือจะออกก็มีฉายวีดีโอแนะนำทางออกฉุกเฉินและวิธีสวมเสื้อชูชีพด้วย แหม.. เหมือนกำลังขึ้นเครื่องบินเลย ที่นั่งที่เราได้อยู่ในชั้น economy ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นข้างนอก ..คิดดูดิ ..ขึ้นเรือยังแบ่ง eco กับ biz .. ตอนนั่งอยู่จะรู้สึกค่อนข้างอึดอัด เพราะไม่สามารถมองเห็นข้างนอกได้ ถ้าอยากจะดูวิวต้องยืนขึ้นมา แถมเรือก็เปิดแอร์แรงมาก ๆ หนาวสุดขั้วตลอดการเดินทางสามชั่วโมง จนกระทั่งเวลาสิบเอ็ดโมงเราก็มาถึงเกาะลาบวน .. ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าถึงแล้ว ..แต่คนที่นี่คงกลัวไม่ได้ออกเป็นคนแรก เพราะช่วงที่ใกล้จะถึงท่าเรือ เค้าจะรีบออกมาออกันที่หน้าประตู นั่นคือสัญญาณที่บอกเราว่า ใกล้จะถึงที่หมาย แล้ว พอออกมาจากเรือ เราก็เห็นเรืออีกลำอยู่ฝั่งตรงข้ามเขียนว่าไปบรูไน... ก็เลยนึกกันว่าต้องไปลำนี้แหล่ะ ก็รีบเดินดุ่ม ๆ ไปขึ้นเรือลำนั้น แต่พอเดินเข้าไปคนแถวนั้น (ซึ่งน่าจะเป็นคนเรือแหล่ะ) ก็มาไล่ ๆ ให้ไปข้างหน้า ภาษาอังกฤษก็ไม่พูด พูดแต่มาเลย์ เราก็เลยยื่นตั๋วให้เข้าดู ตานี่ก็อะไรไม่รู้พูดกับพวกเราแบบยืนใกล้มาก ๆ แถมบางทีมีการมาจับแขนจับไหล่ นึกในใจว่า อะไรฟะ .. นึกว่าที่นี่เค้าก็ห้ามไม่ให้จับตัวผู้หญิงซะอีก นี่มันแต๊ะอั๋งกันนี่หว่า.. ฮั้วตกใจพอดูอ่ะ เพราะเค้าเข้ามาใกล้มาก แต่สุดท้ายแล้วก็พอเดา ๆ ได้ว่าให้เราเดินเข้าท่าไปก่อน .. ก็เลยเดินออกมาอย่างงง ๆ ... แต่แอบเคืองเหมือนกันนะ.. บังอาจมาแต๊ะอั๋งเรา.. (แต่จริง ๆ เค้าอาจไม่คิดอะไรเลยก็ได้..เอาเหอะ..ปล่อย ๆ ไป) รอไปอีกซักครึ่งชั่วโมง ทางท่าเรือก็ให้ boarding สำหรับเรือไปบรูไน ท่าเรือที่นี่เค้าจะเปิดให้ boarding ครึ่งชั่วโมงก่อนเรือออก เค้าก็จะตรวจพาสปอร์ตและผ่าน immigration ตามปกติ ฮั้วสังเกตเห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่ไปที่โน่น ไม่เป็นคนมาเลเซียก็ฟิลิปปินส์ สงสัยจะไปเที่ยวหรือไม่ก็ทำงานกันที่นั่น เรือรอบนี้ไม่มีการฟิกซ์ที่นั่งและไม่หนาวเอาซะเลย พอนั่งเรือไปซักพัก เค้าก็แจกใบ ๆ หนึ่งเหมือนใบ immigration form แล้วก็เปิดหนังให้ดู รู้สึกจะเป็นเรื่อง ghost rider ส่วนคนเรือก็จะขายน้ำดื่ม มาม่าให้กับผู้โดยสาร ..แหม..ช่างเหมือนนั่งแอร์เอเชียเสียนี่กระไร ฮั้วนั่งดูหนังไปซักพักก้นยังไม่ทันแฉะเลย (ประมาณ 1 ชั่วโมง) เราก็มาถึงท่า Muara ก็อย่างเคยเมื่อมีสัญญาณคนมายืน ๆ กันก็คือว่าถึงแล้วล่ะ เกิดเหตุการณ์เรื่องวุ่น ๆ นิดหน่อยตอนผ่าน immigration ที่นี่ คือว่าระหว่างที่เข้าแถวอยู่นั้น คนข้างหน้าโวยวายอะไรไม่รู้แล้วยกใบเอกสารอะไรซักอย่าง.. ด้วยสัญชาติญาณก็พอจะเดาออกว่า.. เค้าคงไม่มีใบ immigration เราก็เริ่มมองของเรา ซึ่งก็ไม่มีเหมือนกัน เพราะไอ้ใบที่แจกในเรือนั้นมีเจ้าหน้าที่เก็บไปแล้วก่อนหน้าที่จะมาเข้าแถว ทุกคนก็เลยต้องรีบใบหยิบฟอร์มแถว ๆ นั้น แล้วก็เขียนกันต่อหน้าเจ้าหน้าที่นั่นแหละ ..จะมีใครมีได้ยังไง ก็มาเรือรอบเดียวกันหมดอ่ะ ...การเข้าแถวเข้าเช็คพาสปอร์ตที่เหมือนว่าจะเป็นระเบียบ ก็กลายเป็นใครเขียนฟอร์มเสร็จก่อนก็ได้ไปก่อน .. เซ็งจริง ๆ พอออกมาจากเจ้าหน้าที่ immigration ก็ต้องมาเจอเจ้าหน้าที่ custom ซึ่งเค้าก็ขอให้ทุกคนเปิดกระเป๋าให้เค้าดู ถ้าใครมีของอะไรต้องสำแดงก็เขียนกันตรงนั้นอีกที... ทำไม๊.. ทำไม ไม่ให้ใบทุกใบให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ในเรือนะ เค้าก็ถามว่ามาจากที่ไหน พอบอกว่ามาจากประเทศไทยเท่านั้นแหละก็ สวัสดีครับ ...ชัดอีกต่างหาก.. แถมพูดว่า เปิดกระเป๋า ด้วย... จ๊าบมาก ๆ .. หลังจากนั้น จากหน้าตาที่บึ้งตึงก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม แถมชวนคุยอีกว่ามาครั้งแรกเหรอ พักที่ไหน... เออ.. บางทีเป็นคนไทยมันก็ดีอย่างนี้เอง หลุดพ้นจากด่านทั้งหลายออกมา ก็เจอด่านสุดท้าย ..คนขับแท็กซี่... มาคอยเดินตามว่าจะให้ไปกับเค้าหรือเปล่าแถมประชิดตัวอีกต่างหาก.. อะไรเนี่ย คนที่นี่ชอบคุยประชิดตัวหรือไง ..น่ากลัวจริง ๆ .. แต่ขอโทษทีพี่ จะไปรถบัสจ้า.. แล้วเราก็ไปนั่งรอรถบัสเข้าเมืองกัน ซึ่งรถจะออกเวลาบ่ายสองโมง นั่งรอไปซักพัก รถบัสก็ขับเข้ามา ..โห..ตรงเวลามาก ๆ ส่วนค่ารถก็อยู่ที่ 2 บรูไนดอลล่าห์ต่อคน (แต่คนที่นี่ก็เรียกริงกิตเป็นบางที ..เราต้องเข้าใจเองว่ามันคือบรูไนดอลล่าห์) เราก็บอกเค้าไปว่าเราพักที่ Orchid Garden Hotel นะ ... เค้าก็ช่างใจดี ไปส่งให้ถึงหน้าโรงแรมเลย โรงแรมที่จองไว้ชื่อ Orchid Garden Hotel (www.orchidgardenbrunei.com) เป็นโรงแรมสามดาวที่ค่อนข้างมาตรฐานทีเดียว ห้องใช้ได้ มีทีวี ตู้เย็น ตู้เซฟ ห้องน้ำก็โอเคตามหลักโรงแรมทั่วไป เสียอย่างเดียวไม่มีน้ำเปล่าให้แฮะ... แต่ที่นี่ดีสำหรับฮั้วอยู่อย่าง คือ มี wifi ที่ล็อบบี้ ทำให้สามารถเช็คอีเมล์ได้ ..ถูกใจคนไอทีจริง ๆ เลย พอมาถึงที่โรงแรมก็ระลึกได้ว่าช่างไกลจากเมืองจัง สงสัยคงยากที่จะเดินเที่ยวเอง... เลยต้องถามทางโรงแรมว่ามีทัวร์แพ็คเกจอะไรน่าสนใจบ้าง เค้าก็แนะนำให้ซื้อ city tour แบบตอนกลางคืนแทน.. ในที่สุด เราก็ตัดสินใจซื้ออันนี้กัน โดยที่จะมีรถมารับเรากันตอน 18.30 น. ไกด์ของเราก็มาตรงเวลามาก ๆ เลยนะ แถมทัวร์นี้มีผู้หญิงอีกสองคนมาเที่ยวด้วยกัน ไกด์เค้าก็แนะนำตัวว่าชื่ออะไร (จำไม่ได้อ่ะ) แต่รู้ว่าเป็นคนฟิลิปปินส์มาทำงานอยู่นานหลายปีละ เค้าก็อธิบายคร่าว ๆ ว่าประเทศบรูไนเป็นยังไง ซึ่งพอจะจำได้คร่าว ๆ ว่า.. บรูไนเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ถูกประเทศมาเลเซียขนาบอยู่ เงินสกุลที่ใช้เรียกว่า บรูไนดอลล่าห์ โดยที่ค่าเงินจะใกล้เคียงกับสิงคโปร์ดอลล่าห์ ประชากรทั้งประเทศมีประมาณสามแสนคน (หรือห้าแสนหว่า) แต่เอาเป็นว่าไม่ได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนคนในกรุงเทพเลย ที่นี่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นอิสลาม แต่ก็มีคนจีน และคนต่างชาติอยู่ประปราย สินค้าหลักที่นี่ ..ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่.. น้ำมัน... เพราะฉะนั้นน้ำมันที่นี่จึงถูกมาก ๆ ประมาณ 0.3 เซ็นท์ (ประมาณ 7 บาท) ต่อลิตร ที่นี่นับได้ว่าปลอดภัยมาก ๆ เพราะเพื่อนบ้านจะช่วยสอดส่องดูแลซึ่งกันและกัน ถ้ามีใครแปลกหน้าเข้ามา ก็จะช่วยกันสังเกตสังกา... และแจ้งตำรวจถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ตอนกลางคืนก็ไม่มีกิจกรรมอะไร เพราะไม่มีสิ่งบันเทิงอื่น ๆ เลย มีแค่ห้าง ๆ เดียวกลางเมือง ..ช่างเงียบสงบเสียนี่กระไร..แตกต่างจากกรุงเทพจริง ๆ ที่แรกที่เราไปคือ water village เค้าก็แค่ให้เรานั่งเรือแบบสปีดโบ๊ทวิ่งไปรอบ ๆ ประมาณสิบนาทีแล้วก็กลับเข้าฝั่ง มีการจอดเรือกลางน้ำเพื่อให้ถ่ายรูปนี้ด้วยนะ.. แต่รูปส่วนใหญ่จะสั่นซะหมด มีแค่อันนี้อันเดียวที่ออกมาพอดูได้ หลังจากนั้นเค้าก็พาเราไปกินข้าวตรงท่าเรือนั่นแหละ เป็นร้านหรูเชียว..แต่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับลูกทัวร์อีกสองคนนั้นนะ อาหารที่เค้าเตรียมไว้ให้ก็เป็นเหมือนสุกี้บ้านเรา ซึ่งมีน้ำซุปสองแบบ ..ต้มยำกับซุปไก่ พร้อมกับเนื้อ กุ้ง ปลาหมึก ปลา และผักมาอย่างจานใหญ่มาก ๆ ตอนกินก็มีอารมณ์อึดอัดนิดหน่อย เพราะไม่รู้จักกัน แต่ต้องมากินด้วยกัน .. ต่างคนต่างก็คุยกับคู่ของตัวเอง โดยที่ยังต้องรักษามารยาทการกินร่วมโต๊ะและร่วมหม้อ แต่ยังไงก็ตามเราสองคนกินกันอึดมาก ไม่ให้เสียชื่อคนไทย..กินเสร็จคนสุดท้ายอ่ะ แบบเกลี้ยงหม้อด้วย... เพราะหิวมาก ๆ กินกันมาแค่ข้าวเช้า (จริง ๆ เป็นบะหมี่ผัดใส่ใข่ดาว) มาจากที่ท่าเรือโคตาฯ เอง กลางวันก็กินแค่ขนมปัง.. ประหยัดสุด ๆ เลยอ่ะ พอกินเสร็จ ไกด์ก็พาเราไปถ่ายรูปที่ Omar Ali Saifuddien Mosque สวยมาก ๆ เลย ที่นี่เค้าเปิดให้คนที่ไม่ใช่มุสลิมเข้าได้นะ แต่เป็นช่วงที่เค้าไม่ได้สวดกัน โดยไม่เสียค่าเข้าจ๊ะ ชอบจังเลยคำนี้ ที่ต่อไปคือ JameAsr Hassanal Bolkiah Mosque เค้าว่ากันว่าเป็น mosque ที่สวยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทองคำอยู่บนยอดโดมซึ่งนำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย ไม่มีใครรู้ว่าค่าก่อสร้างทั้งหมดเป็นเงินเท่าไหร่ (เพราะคงจะประมาณค่าไม่ได้) หลังจากถ่ายรูปกันจนอิ่มหนำ ไกด์ก็พาเราไปดร็อปที่สุดท้ายคือ night market ก็เป็นตลาดตอนกลางคืน ขายเสื้อผ้า ข้าวของ และอาหาร ขนาดเพิ่งกินกันมาอิ่ม ๆ ยังอยากจะกินที่นี่อีกเลย สุดท้ายก็ได้ซื้อขนมกับ baby john มา... baby john เป็นลูกของ papa john และ mama john ..งงป่ะ? ที่จริงแล้ว มันก็คือขนมปังยาว ๆ ยาวมาก ยาวน้อย ไปตามชื่อที่เรียก ทาด้วยเนยมาการีน ใส่ใข่กับเนื้อสับ แล้วก็เอาไปทอดในกะทะแบน ๆ แบบญี่ปุ่น... อร่อยอย่าบอกใคร เจ้าของร้านตัวอ้วนพีก็ถามฮั้วว่ามาจากไหน พอบอกไปก็ได้รับการทักทายน่ารักเหมือนเดิม สวัสดีครับ... สงสัยคำนี้ฮิตกันแถบนี้นะ... ดูเหมือนทุกคนจะพูดได้กันหมดเลย.. แถมพอจ่ายตังค์ก็ลดราคาให้ด้วยนะจาก 1.5 ดอลล่าห์ เราจ่ายแค่ 1 ดอลล่าห์... ใจดีจัง..จุ๊บ จุ๊บ.. ระหว่างทางกลับโรงแรม เราถามไกด์ว่าถ้าเราจะจ้างเค้าให้ขับรถให้เราไปส่งตามที่ต่าง ๆ ในวันพรุ่งนี้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เค้าคิดราคาเท่าไหร่... เค้าบอกมาว่า 80 ริงกิตต่อคน .. เรทแพงมาก ๆ อ่ะ เราก็เลยตัดสินใจกันว่าเที่ยวกันเองดีกว่าเผื่อจะเซฟได้มากขึ้นเพราะก็ไม่ได้แลกเงินบรูไนมาเยอะ โดยที่เราวางแผนกันว่าจะไปกันที่เดิมเนี่ยแหละแต่ไปถ่ายช็อตตอนกลางวันกัน สุดท้ายเราก็ปิดการเดินทางของวันนี้ด้วยการกลับโรงแรม นั่งกินขนมที่ซื้อกันมา อิ่มหนำสำราญจนพุงกางไปอีกวัน... เฮ้อ..ในที่สุด ก็ได้อาบน้ำแรง ๆ ดูทีวี นอนเตียงนุ่ม ๆ สบาย ๆ ..(ซักที).. ฮั้วนึกในใจก่อนจะหลับป๋อยไป.. ป.ล. ขอขอบคุณพี่คนขายทัวร์เกาะที่นำทางมาส่งว่าต้องจองที่เคาเตอร์ไหน และให้มากี่โมง ตามมาชมจ้า ถ่ายภาพกลางคืนสวยมากเลย
โดย: dodoman IP: 124.120.124.135 วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:23:15:07 น.
ตามกลิ่นธูปเข้ามาต่อ ....
แต่ผมไม่รู้สึกประทับใจกับ ตม.บรูไนเลยแฮะ ขนาดถือพาสปอร์ตไทยหรา ทำอย่างกะเราเป็นแรงงานชาวฟิลิปปินส์ ซะงั้น มาเที่ยวนะครับ ไม่ได้มาทำงาน โดย: ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์ วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:17:43:35 น.
จริงเหรอคะ.. ของฮั้วไม่เข้มมากเท่าไหร่ค่ะ.. ไม่ได้โดนให้รอด้วย.. ก็ยืนตามคิวปกติค่ะ .. ฮั้วออกมาเป็นคนที่สองด้วยซ้ำ.. มาเสียเวลาตรงที่ไม่มีใบ immigration แจกในเรือ เลยต้องมาวุ่น ๆ กันตอนจะยื่นน่ะ..
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:19:51:38 น.
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:23:49:15 น.
|
Gorgeous Girl
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |