ชเวดากอง - พระธาตุประจำปีมะเมีย
การไปย่างกุ้งรอบนี้มีสถานที่แห่งเดียวที่ฮั้วไม่สามารถตัดออกจากโปรแกรมได้ นั่นก็คือ “ชเวดากอง (Shwedagon Paya)” เพราะว่าเป็นพระธาตุประจำปีมะเมียที่เค้าว่ากันว่า ใครเกิดปีนี้ต้องไปเคารพสักการะให้ได้ บล๊อคสุดท้ายนี้จึงขออุทิศให้พระธาตุประจำปีเกิดซักหน่อย

วางแผนไว้ว่าจะไปเยี่ยมที่นี่ในวันที่สาม เพราะว่าจะย้ายไปพักที่โรงแรม Kandawgyi Palace ซึ่งอยู่ติดกับทะเลสาบ Kandawgyi วันนี้ฮั้วเลยต้องรีบตื่นเพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม Park Royal

ที่โรงแรม Kandawgyi Palace ตกแต่งเป็นแนวศิลปะพม่า ใช้ไม้เป็นส่วนใหญ่ โรงแรมจึงดูสวยงามและดูโบราณ ไม่เหมือนโรงแรมธรรมดาทั่วไป เมื่อเช็คอินก็มีน้ำผลไม้มาเสิร์ฟเป็น welcome drink .. ฮั้วจองห้องพักไว้เป็นแบบธรรมดาหนึ่งคืน ราคาประมาณ 2,500 บาท

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็พาไปที่ห้องพักซึ่งอยู่ชั้นสูงสุด แต่เค้าพาเราหลง โดยที่สุดท้าย ฮั้วต้องดูป้ายเลขที่ห้องแล้วเป็นคนนำเค้าไปจนถูกห้อง ..ไม่รู้ว่าใครเป็นพนักงานโรงแรมกันแน่ ..ฮะ ๆ

โรงแรมนี้อยู่ติดกับทะเลสาบกันดอจีเลย.. และสามารถมองเห็นวิวได้ทั้งพระธาตุชเวดากองและร้านอาหารการเวก.. รวมไปถึงมีที่นั่งริมทะเลสาบคอยดูผู้คนผ่านไปผ่านมา ได้อารมณ์ผ่อนคลายและแอบโรแมนติคนิด ๆ ด้วยค่ะ

ป.ล. โรงแรมนี้มี facility ส่วนกลางที่ค่อนข้างดี เช่น สระว่ายน้ำ การตกแต่ง wireless ที่ล็อบบี้ แต่ในส่วนของห้องไม่ค่อยดีเท่าไหร่.. อย่างเช่น ห้องที่ฮั้วพักนั้น น้ำไม่ร้อน แถมมีกลิ่นไม่ค่อยดี แอร์ไม่เย็น และมีกองทัพมดฝูงใหญ่มาก.. ข้อดีอย่างเดียวในห้องคือ มีวิวที่สวยงาม เพราะมองเห็นร้านอาหารการเวกอย่างเด่นชัด

พอเก็บข้าวของเรียบร้อย เราก็เดินทางไปยังชเวดากอง... ระยะทางจากโรงแรมนี้ไปที่ชเวดากองก็ประมาณเดินพอเหนื่อย..ซักประมาณสิบห้านาที แต่ถ้าใครขี้เกียจเดินก็สามารถเรียกแท็กซี่ได้.. แต่ฮั้วเหรอ.. เดินอยู่แล้วค่ะ ซึ่งการเดินจากที่นี่ไปที่พระธาตุแทบไม่ต้องใช้แผนที่เลยด้วยซ้ำ.. เพราะพระธาตุเปรียบเสมือนเป็นดาวเหนือให้เราเดินไปยังทิศทางนั้น ๆ ได้เลย



นักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าเข้าชม USD5 ต่อคน หลังจากจ่ายค่าเข้าชมแล้ว ทางพนักงานก็จะให้ใบเสร็จและสติ๊กเกอร์มาแปะที่หน้าอกเรา เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราได้จ่ายเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น ไกด์ที่ได้รับอนุญาติก็จะเข้ามาเสียบ พร้อมสอบถามเราว่าต้องการไกด์ไหม โดยที่ค่าบริการอยู่ที่ USD5 เช่นกัน..เราก็เลยตกลงจ้างไกด์เพื่อที่จะได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพระเจดีย์ชเวดากอง

ป.ล. ถ้าเข้ามาทางด้านทางเข้าทิศใต้จะมีลิฟต์ไว้บริการอีกด้วย แต่ถ้าเข้ามาทางทิศอื่น ๆ ก็สามารถเพลิดเพลินกับชีวิตผู้คนและสินค้าจากพม่าได้

ไกด์ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี อธิบายโน่นนี่ในชเวดากองและคอยตอบคำถามต่าง ๆ ของเรา .. ระหว่างที่เดินก็เห็นขบวนแห่นาคเด็ก เพื่อที่จะบวชเป็นเณร น่ารักดี



ไกด์ก็รีบอธิบายว่าในชีวิตผู้ชายชาวพม่าจะต้องมีการบวชสองครั้ง ..ครั้งแรกเมื่อเป็นเด็ก ๆ เช่นนี้เพื่อเป็นเณร และครั้งที่สองก็ตอนที่โตเป็นหนุ่มแล้ว



ป.ล. วันนี้ฟ้าแจ้งจางปาง เลยควักเลนส์ CPL ที่เพิ่งซื้อมาทดลองใช้ซักหน่อย.. ปรากฏว่าถ่ายยากแฮะ

รอบ ๆ จะมีอาคารต่าง ๆ ประดับประดาไปด้วยทองคำและสถาปัตยกรรมพม่าที่สวยงาม



การเดินเที่ยวดูสถาปัตยกรรมความงามของเจดีย์แห่งนี้ เค้าว่ากันว่าควรเดินตามเข็มนาฬิกา หรือเดินตามฝูงชนชาวพม่าได้เลย



ถ้ามาถึงตอนเที่ยงก็ต้องเตรียมใจรับความร้อนระอุของพื้นภายในบริเวณเจดีย์ไว้ด้วย.. แต่ฮั้วว่าพื้นที่นี้ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ไม่รู้เป็นเพราะอยู่ภายใต้ร่มเงาของพุทธศาสนาหรือเปล่า



ฮั้วชื่นชมกับความเป็นชาวพุทธของที่นี่จริง ๆ เค้าจะมานั่งสวดมนต์กัน และจะมากขึ้นไปอีกในเวลากลางคืน..น่าเลื่อมใสในความศรัทธา



บ้างก็มานั่งพัก พูดคุยกันธรรมดา..แต่ที่สังเกตอยู่อย่างคือ ..จะไม่มีการขายของถ้าขึ้นมาถึงข้างบนนี้แล้ว สองอาชีพที่เห็นคือ เป็นไกด์กับคนที่รับจ้างถ่ายรูป



อย่างหนึ่งที่เห็นแล้วต้องยกย่องศิลปินชาวพม่าคือ งานศิลปะการแกะสลัก.. เค้าช่างทำได้อย่างงดงามมาก ๆ



การตกแต่งที่นี่จะใช้ทองเป็นส่วนใหญ่..ทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์ที่ว่ากันว่า กองทัพพม่าได้เผาเอาทองเมื่อความเสียกรุงไปซะหมด



ระฆังใบนี้ใหญ่มาก ๆ จำไม่ได้ว่าหนักกี่ตัน ..แต่ไกด์เล่าว่า ตอนที่กองทัพอังกฤษมา ก็พยายามที่จะเอาระฆังใบนี้ไปไว้ที่อินเดีย แต่ว่าขณะที่พยายามขนย้ายอยู่ที่ท่าเรือ..ระฆังเกิดพลักตกและจมลงในน้ำ (ประมาณว่าไม่อยากจากเมืองพม่าไป).. จนต้องเปลี่ยนใจ ขนย้ายกลับมาตั้งไว้ที่เดิม.. ภาพประวัติศาสตร์สามารถดูได้ตามผนังที่อยู่รอบ ๆ



พระพุทธรูปองค์นี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับวิหารระฆัง ตัวพระสูงถึงเก้าเมตร มีเชือกโยงลงมาถึงข้างล่าง เพื่อให้โบกพัดความเย็นและร่มรื่น ฮั้วชอบพระพุทธรูปที่สร้างแบบศิลปะพม่าจริง ๆ .. เพราะหน้าตาจะบ่งบอกถึงความมีเมตตาแก่สัตว์โลกทั้งปวง..



ภาพที่แสดงจากยอดของพระธาตุ ซึ่งประดับประดาไปด้วยอัญมณีหลากหลาย...ตอนกลางคืนจะเห็นแสงระยิบระยับและสีต่าง ๆ หลากหลายจากมุมต่าง ๆ



ประตูฝั่งทิศเหนือจะมีพระธาตุผู้พี่ของเจดีย์ชเวดากองด้วย ว่ากันว่าที่นี่เป็นที่ประดิษฐานเส้นผมของพระพุทธเจ้าก่อนที่จะย้ายไปที่ชเวดากอง ที่นี่ชื่อว่า “Naungdawgyi Stupa”



คนเกิดวันจันทร์เช่นฮั้วก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่วกับเค้าซักวัน มาสักการะสัญลักษณ์ของเทพประจำวันเกิด (เสือ) ได้ที่นี่ ไกด์บอกว่าจริง ๆ ต้องตักน้ำรดตามจำนวนอายุ แต่จะปฏิบัติแบบสั้น ๆ ตักรดสามครั้งก็ได้เช่นกัน

ฝนฟ้าเริ่มไม่เป็นใจ ทำท่าว่าจะตกมิตกแหล่.. เราเลยตัดสินใจไปหาอะไรกินรองท้องที่ร้านน้ำชาแนะนำในหนังสือโลนลี่แพลเน็ตดีกว่า... เป็นร้านน้ำชาท้องถิ่นที่เค้าว่าขายชาแบบพม่า ชื่อว่า “Sei Taing Kya Teashop”

พอแท็กซี่พาไปถึง.. ก็เหมือนตกเป็นเป้าสายตาของคนที่นั่น เพราะว่าไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่เลย.. เป็นร้านน้ำชาของคนท้องถิ่นจริง ๆ บรรยากาศมืดสลัว ๆ .. พนักงานนั่งดูทีวีช่องพม่า หัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก.. ไปถึงก็สั่งน้ำชาเลย แต่เค้าจะยกขนมปังแบบพม่าผสมอินเดียมาด้วย.. ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกว่าอะไร.. แต่รับรองน้ำชาอร่อยจริง ๆ ... ทั้งหมดนี่เสียแค่ K1,100 (= 31 บาท)



ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบกันดอร์จี เราก็เลยถือโอกาศเดินกลับโรงแรมเพื่อย่อยอาหารด้วย... ตอนแรกกะจะเดินเข้าไปในส่วนทะเลสาบซักหน่อย เพราะว่ามีสะพานไม้ทอดผ่านกลางทะเลสาบ..ดูโรแมนติคดี.. แต่เห็นป้ายว่าเก็บค่าเข้าสำหรับชาวต่างชาติ เลยต้องขอบาย..

ดีนะที่เมืองไทยเรายังไม่เก็บค่าเข้าสวนลุม.. ไม่งั้นคงเซ็งแย่



แต่ใช่ว่าเราจะไม่ได้ภาพความโรแมนติคของทะเลสาบแห่งนี้.. อย่างที่บอกว่าโรงแรมกันดอร์จีอยู่ริมทะเลสาบเลย.. ช่วงบ่าย ๆ ..เราจึงใช้มุมนั่งพักผ่อนที่โรงแรมจัดไว้ เป็นสถานีถ่ายภาพและนั่งชมวิวดี ๆ อย่างนี้..



ที่นี่เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งของเมืองย่างกุ้ง..ทั้ง ๆ ที่ก็ยังอยู่ในตัวเมือง แต่บรรยากาศเงียบสงบมาก ๆ ..อากาศเย็นสบาย.. ตอนเย็นมีแม่บ้านสาว ๆ ชาวพม่ามาออกกำลังกาย เต้นแอโรบิคอยู่ริมทะเลสาบ มีครอบครัวมาเดินเล่น คู่รักเดินจูงมือ คุยกันกระหนุงกระหนิง มีความสุขจริง ๆ

ตอนเย็น เราไปกินร้านอาหารแนะนำ (อีกแล้ว) ข้าง ๆ โรงแรมเลย ชื่อว่า “Sandy’s Myanmar Cuisine” ซึ่งว่ากันว่าได้รับการแนะนำ คล้าย ๆ แม่ช้อยนางรำบ้านเรา.. มีการันตีจากหลาย ๆ ที่... แถมสถานที่ก็ดี เพราะอยู่ติดทะเลสาบเลย.. นั่งกินอาหาร กินลม ชมวิวไปเรื่อย ๆ



คราวนี้เราเริ่มรู้หลักว่าอาหารที่นี่จะมาจานค่อนข้างใหญ่.. เราเลยสั่งกันแค่นี้เอง.. แต่รับรองอร่อยเด็ด.. ค่าเสียหายอยู่ที่ K12,000 (= 343 บาท)..

หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็เตรียมตัวไปสักการะชเวดากองรอบสั่งท้าย.. และเพื่อชมความงามยามค่ำคืนที่ใคร ๆ ก็ว่างามวิจิตรนักหนา

รอบนี้เราเรียกแท็กซี่ไป (K1,500) ไปที่ประดูเดิม แต่.. ลิฟต์นั้นได้ปิดซะแล้ว.. เราจึงต้องเดินไต่บันไดขึ้นไป ซึ่งก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เพราะระหว่างทางมีสินค้าน่าตื่นตาตื่นใจขายเต็มไปหมด

การมารอบนี้สติ๊กเกอร์ที่เค้าแปะไว้รอบกลางวันหลุดไปตั้งนานแล้ว แต่ดีนะที่เรายังเก็บใบเสร็จไว้อยู่ เพราะเจ้าหน้าที่เค้าเรียกดูหลักฐานว่าได้จ่ายค่าเข้าหรือยัง.. ไม่งั้นคงโดนอีกแน่ ๆ



พอขึ้นมาถึง ก็พบว่าพุทธศาสนิกชนชาวพม่ามาสักการะกันอย่างคับคั่ง .. คนเยอะมาก ๆ ..รวมไปถึงทัวร์ไทยด้วย... และพระธาตุก็งดงามจับตาจริง ๆ ทองเหลืองอร่ามไปหมด...

เราก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ..สักพักก็มีคุณลุงท่านหนึ่งเข้ามาพูดคุยด้วย.. ไม่ต้องถามว่ามาจากไหนเลย ..เพราะเพื่อนฮั้วก็ (อีกละ) ใส่สายรัดข้อมืออยู่.. เค้าก็เลยมาส่งภาษาไทยชวนคุยใหญ่.. มาคอยเดินตาม... ฮั้วนึกในใจว่าเค้าต้องพยายามจะมาเป็นไกด์เราแน่ ๆ .. ก็เลยบอกไปว่า เราจ้างไกด์แล้วเมื่อตอนกลางวัน คราวนี้จะมาถ่ายรูปเฉย ๆ ....

แต่.. พี่แกก็ไม่จากไปไหน คอยวนเวียน เดินตาม แถมลากเราไปยังจุดต่าง ๆ ..แล้วบอกว่า ตรงนี้จะได้เห็นสีนี้ ๆ ของเพชร ณ ยอดพระธาตุ ...



บอกตรง ๆ ตอนนั้นหงุดหงิดมาก ๆ .. ฮั้วก็ว่าเราปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องการไกด์ ฉะไหนยังไม่ยอมไปอีก.. เราก็ทำไม่สนใจเค้าแล้วนะ.. ก็ยังมายืนข้าง ๆ มองพวกฮั้วถ่ายรูป .. มาชวนคุยภาษาไทยอยู่นั่นแหละ.. บอกตรง ๆ ว่าไม่ค่อยเข้าใจด้วย..พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่ค่อยรู้เรื่อง ... แต่ก็พะยักหน้าหงึก ๆ หงัก ๆ ไปตามประสา

อารมณ์ตอนนั้นน่ะ อยากกลับโรงแรมแล้ว ไม่ถ่งไม่ถ่ายแล้ว.. อะไรกัน.. ขอถ่ายรูปสงบ ๆ หน่อยก็ไม่ได้.. ทำไมต้องมาเดินตามกันด้วย... พวกเราใช้เวลากันประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็หมดความอดทน... เลยเตรียมแพ็คของเตรียมกลับโรงแรม

ณ ตอนนั้นเอง..ที่ความจริงก็ปรากฏ.. เพราะลุงคนนั้นไปพูดกับเพื่อนฮั้วว่า จะขอค่าเสียเวลา... เอ่อ ..อะไรกันคะ.. ฮั้วเงี้ยเลือดขึ้นหน้าปุด ๆ ..ตอนนั้นเค้าคงคิดว่าได้แน่ ๆ เพราะเพื่อนฮั้วท่าทางสุภาพใจดี ..ลุงแกพูดอะไรก็ทำท่าสนใจ..แต่ฮั้วเหรอ..ตรง ๆ ..ไม่ชอบก็เดินหนีเลย

แต่ขอโทษนะคะ..คุณลุง.. เพื่อนฮั้วไม่มีตังค์หรอก.. เพราะฮั้วเป็นคนถือเงินทั้งหมด.. เค้าก็เลยต้องมาขอฮั้วอีกที...

ฮั้วเลยหันไปบอกว่า “I don’t have any money” ..มันก็จริงอ่ะ.. วันสุดท้ายแล้ว.. ตังค์ที่เตรียมมาก็เริ่มหมดแล้วด้วย.. เงินจั๊ดก็มีจำกัดมาก ประมาณว่าค่ารถแท็กซี่ไปสนามบินพรุ่งนี้ยังไม่รู้จะพอหรือเปล่าเลย

เค้าก็ทำมาหงุดหงิด.. แต่ยังสงบเสงี่ยมบอกว่า “I’m 60 years old…you can give me whatever you want”... อย่าหาว่าใจร้ายเลยนะ... ก็บอกไปตั้งกะแรกว่าไม่เอาไกด์ก็ไม่เชื่อ... ฮั้วก็ทำใจแข็ง แต่ในใจก็เริ่มอ่อนเหมือนกันบอกไปว่า “Sorry. We don’t have much money, besides I told you that we didn’t need a guide. We didn’t hire you.”

ณ วินาทีนั้น เค้าจ้องหน้าฮั้วเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อซะให้ได้เลย... ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ทำท่าว่าใจดีมาตลอด จะมาทำกิริยาแบบนี้... แต่ฮั้วก็ทำไม่สนใจ แล้วก็เดินจากมา ..จริง ๆ ก็เดินหนีแหละ เพราะแอบกลัวเหมือนกัน



พอเดินจากมา ก็ต้องมาทะเลาะกับเพื่อนอีก เพราะเค้าบอกว่า ถ้าเป็นเค้า เค้าจะให้.. ทำไมฮั้วไม่ยอมให้เค้า.. เพราะเงินที่เราให้เค้าอาจไม่ได้มากมายสำหรับเรา แต่อาจจะสำคัญสำหรับเค้าก็ได้

แต่ฮั้วก็บอกไปว่า ฮั้วไม่ชอบวิธีการ..อย่างนี้มันเหมือนหลอกกันชัด ๆ .. ก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อยากได้ไกด์ เค้าก็ทำไม่สนใจ มาเดินตามต้อย ๆ .. แล้วสุดท้ายก็มาขอกันอย่างนี้ .. ถ้าเราให้.. เค้าก็ไปทำอย่างนี้กับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ อีก... ฮั้วไม่สนับสนุนวิธีนี้หรอก

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครคิดผิดคิดถูก.. แต่ที่แน่ ๆ สงสัย คราวหน้า เค้าคงไม่ให้ฮั้วถือเงินคนเดียวแล้วล่ะ.. ฮะ ฮะ...



วันรุ่งขึ้นเราต้องตื่นแต่เช้า เพื่อมาเช็คอินแต่เช้าตรู่... บินถูกก็เงี้ยแหละ.. เวลาเช้ามาก ๆ ตลอด...

แล้วเรื่องที่เงินไม่พอก็เป็นความจริง ..เพราะแท็กซี่เรียกเราตั้ง 8,000 จั๊ด ซึ่งฮั้วกะไว้แค่ 5,000 จั๊ด.. (เหมือนตอนขามา)... แต่เค้าก็ไม่ยอมบอกว่าเช้า ๆ อย่างนี้ ราคานี้ทั้งนั่น.. สุดท้ายเราเลยต้องจ่ายเป็นดอลล่าห์โปะเข้าไป

พอมาถึงสนามบิน..ก็มีพวกกลุ่มคนคอยยกกระเป๋า ..จะใส่เสื้อกั๊กสีส้ม ๆ รุมวิ่งตามแท็กซี่เรามาเพื่อจะคอยเปิดประตูและยกกระเป๋าให้.. แต่ขอโทษนะ.. มีกระเป๋ากันมาคนละใบ เราเลยปฏิเสธไป.. อีกอย่าง ตอนนี้เราไม่มีเงินจั๊ดเหลือพอที่จะทิปใครอีกแล้ว...

พอเดินเข้าสนามบิน ก็ต้องพบกับความวุ่นวาย.. สนามบินขาออกตอนนี้ยังใช้สนามบินเก่าอยู่ ระบบก็ยังไม่ดีนัก... แต่ขอบอกเลยว่า ฮั้วไม่เคยเจอสนามบินที่วุ่นวายขนาดนี้มาก่อนในชีวิตการเดินทาง.. (ป.ล. อาจจะเดินทางน้อยไป).. ที่นี่แอร์ไม่มี ผู้คนชาวพม่าไม่รู้มาจากไหน ออกันอยู่ในสนามบิน เหมือนจะรอขึ้นเครื่องฟรี.. หลายคนที่ไม่ได้ดูเหมือนจะไปเดินทางเลย เพราะหอบลูกจูงหลานมาเป็นสิบ ซึ่งทำให้สนามบินที่คับแคบอยู่แล้ว ยิ่งแคบเข้าไปใหญ่

อีกอย่างป้ายอะไรก็ไม่มี.. ไม่ได้บอกว่าให้ไปเช็คอินที่ไหน... ฮั้วก็อาศัยมองหาป้ายแอร์เอเชียอย่างเดียว... ในหูก็ได้ยินแต่เสียงพม่าอื้ออึงและคนที่พยายามเข้าหา ซึ่งตอนนั้นไม่เข้าใจว่าเค้าต้องการอะไร.. เหมือนเป็นหมูที่คนพยายามล้อมเข้ามาจับ อย่างไงอย่างงั้น

พอลุยผู้คนไปจนถึงเคาร์เตอน์แอร์เอเชีย.. ก็มีคนเข้าสะกิดเราบอกว่า ต้องไปจ่ายค่าภาษีก่อน... ฮั้วก็เอ๊ะ.. เราไม่ได้จ่ายแล้วเหรอ... มันควรจะรวมในค่าตั๋วแล้วนิ

แต่สำคัญมาก.. ค่าตั๋วไม่ได้รวมนะคะ.. ในที่สุดเราก็ต้องจ่ายค่าภาษีสนามบินไปอีกคนละ USD10 ..แล้วถึงให้ไปเช็คอินได้... ณ ตอนนั้น อารมณ์ฮั้วไม่เหลือความเย็นอีกแล้วค่ะ.. ขุ่นมัวมาก ๆ ... อยากจะกลับบ้านท่าเดียวเลยล่ะ

พอผ่าน immigration ก็ต้องเช็คกระเป๋า.. คนแสกนกระเป๋าก็มาพูดว่า “You are so beautiful” .. ณ ตอนนั้น ..ไม่ว่าจะหวานมาขนาดไหน..ก็หยุดไม่อยู่แล้วล่ะ... ฮั้วไม่แม้กระทั่งยิ้มตอบ ..บอกแค่ว่า “Thank you” แต่ในใจเหรอ คิดว่า.. Sexual harassment มาก ๆ .. แถมบอกกับเพื่อนว่า “จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”...

มองย้อนกลับไปในวันนั้น.. น่าขำมาก ๆ .. ทำไมฮั้วถึงปล่อยอะไร ๆ ในวัดสุดท้ายมาทำร้ายความรู้สึกดี ๆ ทั้งหลายที่ได้รับระหว่างอยู่ย่างกุ้งมาก่อนหน้านี้..

ถึงแม้อะไร ๆ ในพม่าจะไม่ได้สะดวกไปหมดทุกอย่าง ซึ่งก็พอจะเข้าใจ..ว่าประเทศเค้าไม่ได้พัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้สะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวอย่างเรา .. แต่นั่นก็คือเสน่ห์ของพม่าไม่ใช่เหรอ ..นั่นคือความเป็นวัฒนธรรมของเค้าไม่ใช่เหรอ.. การที่เค้าพยายามจะฉกฉวยจากนักท่องเที่ยวก็เพราะเค้าขาด เค้าจำเป็นต้องได้ ไม่ใช่เหรอ..

ย้อนระลึกไปถึง steven คนขับแท็กซี่ในวันแรก ที่เค้าบอกเล่าถึงชีวิตในพม่า (แม้จะไม่ได้พูดถึงรัฐบาล.. เพราะเป็นสิ่งที่เสี่ยงมากในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลพม่า) ว่า ประเทศพม่าเต็มไปด้วยผู้คนที่ยากจนมากกว่าผู้คนที่ร่ำรวย ..ผู้คนที่ร่ำรวยก็จะมีโอกาสที่ดีกว่า แต่ผู้คนที่ยากจนซึ่งไร้หนทางและไม่มีทุนที่จะหนีไปจากชีวิตที่ทุกข์ยาก ก็ต้องอดทนกันต่อไป สิ่งเดียวที่ยึดในใจ คือ พระพุทธศาสนา .. เป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีใครสามารถพรากไปจากวิถีชีวิตของผู้คนในพม่าได้

เราผู้ซึ่งมาจากชีวิตที่สบายกว่า ควรจะเปิดใจยอมรับ เข้าใจพื้นฐานความคิดและการกระทำของเค้าไม่ใช่เหรอ.. ไม่ใช่มาคาดหวังว่าเราจะได้สิ่งดี ๆ ตลอด.. เพราะการที่ได้รับทั้งสิ่งดีและไม่ดี เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทาง เพื่อที่จะได้เข้าใจโลก เข้าใจผู้คนที่ต่างชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมจากเรา...

และนี่แหละ ..คือความประทับใจจากประเทศเพื่อนบ้านของเรา ที่ยังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมแบบเอเชีย ความมีน้ำใจ ความใสซื่อ ความสวยงาม ความกดดัน ความแตกต่างของชนชั้น .. และแน่นอน ...ถึงแม้ว่าจะพูดไว้ว่าจะไม่กลับไปอีกแล้ว

แต่คราวนี้ฮั้วต้องขอกลืนน้ำลายตัวเอง ..และตั้งใจว่าจะกลับไปอีกแน่ ๆ ... พม่า เมืองที่ฮั้วขอเรียกว่า Truly Asia

ป.ล. สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปนี้ รวมค่าตั๋ว ค่าวีซ่า ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าอยู ตกคนละ 10,000 บาทค่ะ

ป.ล. 2 ..อยากจะขอแนะนำว่าถ้าคิดอยากจะไปพม่า ควรจะเก็บข้อมูลแล้วไปเองจะดีกว่านะคะ เพราะถ้าคุณซื้อแพ็คเกจทัวร์ไป เงินเหล่านั้น จะไปเข้ากระเป๋าของรัฐบาล และไม่ได้ตกไปถึงประชาชนชาวพม่าแต่อย่างใด .. การไปเอง ลุยเอง อาจลำบาก แต่เงินของเราได้กระจายไปสู่รากหญ้าที่เค้าต้องการ ไม่ใช่พุงพลุ้ย ๆ ของนายพลที่นั่นนะ

สุดท้ายต้องขอขอบคุณ ที่ติดตามกันมาจนจบนะคะ.. รีวิวรอบนี้ใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง เนื่องด้วยมีภารกิจติดขัดมากมาย.. แต่หวังว่าความสนุกและสาระที่นำเสนอให้คงทำให้เพื่อน ๆ ใด้ความสุขบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ



Create Date : 11 มิถุนายน 2550
Last Update : 12 มิถุนายน 2550 10:51:36 น.
Counter : 1506 Pageviews.

14 comments
  
thank you for share your experince kha.
โดย: bee IP: 218.186.8.12 วันที่: 11 มิถุนายน 2550 เวลา:16:36:35 น.
  
เราก็อยากไปไหว้นะเราก็คนปีมะเมีย
แต่ไม่มีเวลาสักที
โดย: KnightWin วันที่: 11 มิถุนายน 2550 เวลา:17:02:55 น.
  
interesting story & nice pic !

thank so lot !



โดย: ดอกหญ้าพันงู วันที่: 11 มิถุนายน 2550 เวลา:19:23:07 น.
  
ขอบคุณมากๆ ค่ะ ข้อมูลเยี่ยม รอคนพาไปเหมือนกัน
โดย: บักมี่ IP: 203.147.21.126 วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:9:18:33 น.
  
ตามกลิ่นธูปมาครับ
โดย: DAN_KRAB IP: 203.146.139.70 วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:14:51:55 น.
  
โชคดี ตอนที่ไป ได้ใช้อาคารผู้โดยสารใหม่แล้ว แอร์เย็บเฉียบเลย
โดย: Anchorist IP: 144.5.59.109 วันที่: 13 มิถุนายน 2550 เวลา:13:33:57 น.
  
ตามมาอ่านจนถึงตอนสุดท้ายค่ะ

ถึงจะเจอบางเรื่องที่ทำให้คุณฮั้วไม่สบอารมณ์บ้าง
แต่ทริปนี้ กุ้งก็ยังว่าเป็นทริปที่ดีทริปนึงอยู่ดีใช่มั้ยคะ


โดย: ลิปดา-พิลิปดา (ไม่ได้ล็อคอิน) IP: 161.200.130.61 วันที่: 20 มิถุนายน 2550 เวลา:0:18:25 น.
  
ใช่ค่ะ ทริปที่ดีและประทับใจมาก

ยังไงก็จะกลับไปอีกแน่ ๆ ค่ะ..
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 20 มิถุนายน 2550 เวลา:8:56:28 น.
  
อ่านแล้วดูแล้วอยากกลับไปอีก
นึกถึงระยะเวลาที่ทำงานและเที่ยวที่นั่น

แนะนำให้ไปอีกหลายๆที่ที่น่าเที่ยว
อินเล
ตองจี
มัณฑะเลย์
ฯลฯ

ไปแล้วถ่ายรูปและเขียนมาให้อ่านอีกนะครับ
โดย: คนเคยอยู่ IP: 58.10.77.195 วันที่: 21 มิถุนายน 2550 เวลา:17:56:47 น.
  
ภาพแจ่มสุด ๆ ครับ ชอบมาก ๆ ครับ
โดย: DAN_KRAB วันที่: 27 มิถุนายน 2550 เวลา:0:21:47 น.
  
ภาพสวยมากๆค่ะ
โดย: นู๋ปรางฝันเฟื่องเรื่องเที่ยว วันที่: 29 มิถุนายน 2550 เวลา:8:32:47 น.
  
มาทักทายอีกครั้ง วันนี้จะพาไปล่องแม่น้ำเจ้าพระยากันครับ
โดย: DAN_KRAB วันที่: 28 กรกฎาคม 2550 เวลา:22:10:15 น.
  
คุณฮั๋วนี่ตรงดีจังนะ แล้วเป็นคนที่เปิดใจ และยอมรับการกระทำของตัวเองด้วย น่าชื่นชมมากๆ ต้องขอบคุณข้อมูลที่มาแชร์กันนะค่ะ
โดย: jj IP: 124.120.165.241 วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:16:32:22 น.
  
ขอบคุณค่ะ มาเยี่ยมกันบ่อย ๆ นะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 16 กันยายน 2550 เวลา:0:20:53 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gorgeous Girl
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
มิถุนายน 2550

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
  •  Bloggang.com