A Journey Of A Thousand Miles Must Begin With A Single Step!!
|
|||||
KK Trip Journal (Day 3) วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2550 วันนี้ตื่นขึ้นแต่เช้า (ไม่เช้ามากเหมือนวันอื่น แต่ก็ยังเช้าสำหรับฮั้วอยู่ดี) วันนี้เป็นวันแรกที่ได้กินอาหารโรงแรมแบบมาตรฐาน ซึ่งโรงแรมนี้ก็ทำให้ฮั้วไม่ผิดหวัง อาหารพอใช้ได้ สามารถเติมพลังเพื่อให้ออกไปผจญภัยของวันนี้ได้ หลังจากที่เมื่อคืนตัดสินใจกันว่าวันนี้จะออกเที่ยวเอง (อีกแล้ว) เราก็เลยให้ทางโรงแรมเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่พิพิธภัณฑ์แห่งบรูไน โดยที่ค่าแท็กซี่อยู่ที่ 15 ดอลล่าห์ (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ระหว่างทางก็นั่งคุยกับแท็กซี่ไปบ้าง ซึ่งก็ตามคาด.. พอบอกว่าเป็นคนไทย.. ตานี่กลับพูดภาษาไทยได้ (นิดหน่อย) ด้วย การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์บรูไนค่อนข้างจะไกลตัวเมือง สามารถเรียกแท็กซี่หรือนั่งรถเมล์ก็ได้ แต่การนั่งรถเมล์ในบรูไน ฮั้วว่าค่อนข้างยากอยู่ โดยเฉพาะถ้าเรามีเวลาจำกัดอย่างทริปนี้เป็นต้น เราก็เลยเลือกที่จะนั่งแท็กซี่เป็นหลักสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองบรูไน แต่ถ้ามีเวลายาวนานกว่านี้ ฮั้วว่านั่งรถบัสก็น่าจะสนุกดี อีกอย่างเค้ามีแผนที่เส้นทางที่แน่นอน (ลักษณะเหมือนแผนการเดินรถไฟฟ้า) แถมค่าบริการยังถูกกว่าแท็กซี่ตั้งเยอะ... ราคาอยู่ที่ 1 ดอลล่าห์ วิ่งตลอดตั้งแต่ 6.30 18.00 แต่ถ้าเป็นบัสที่วิ่งไปที่ท่าเรือ Muara ก็จะชาร์จ 2 ดอลล่าห์ ... จะมีที่ไหนบ้างนะที่ค่ารถเมล์ถูกเหมือนบ้านเรา.. นี่ขนาดค่าน้ำมันเค้าถู๊กถูกนะ.. พิพิธภัณฑ์บรูไนเปิดตั้งแต่ 9.00 17.00 โดยไม่เสียค่าเข้า ..หรือฟรีนั่นเอง!! ที่นี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายใน ดังนั้นเราต้องฝากกล้องและกระเป๋าไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ซึ่งมีกุญแจเสียบอยู่ ที่นี่จะแบ่งเป็นหลาย ๆ ห้อง เช่น ห้อง Islamic Arts Gallery ในห้องนี้จะโชว์วัฒนธรรมอิสลามที่มีผล (อย่างมาก) ในการดำเนินชีวิตของคนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งตัว อุปกรณ์ อาวุธ และห้อง Oil and Gas Gallery ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันของบรูไน พวกเราไปถึงประมาณเก้าโมงนิด ๆ แต่ว่ายังไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะมีกลุ่มนักเรียนมาเข้าชมพิพิธภัณฑ์เช่นกัน เค้าก็เลยรอให้กลุ่มนักเรียนดูเสร็จก่อน เราถึงจะเข้าไปได้ พวกเด็ก ๆ ที่นี่น่ารักมาก ๆ เลยค่ะ พอยกกล้องขึ้นมาเท่านั้นแหล่ะ ก็กรูกันเข้ามาตั้งท่าถ่ายรูป ดูใสซื่อบริสุทธิ์มาก ๆ แล้วก็มาดูรูปที่ถ่ายเสร็จแล้วก็หัวเราะกันใหญ่เลย น่ารักดีอ่ะ... ระหว่างที่เดินดูกันอยู่ ก็จะมีทหารคอยเดินตาม ไม่รู้ว่ากลัวพวกเราไปทำของเค้าแตกหรือจะขโมยของมั๊ง เดิน ๆ ก็มาอีกและ... เฮ้อ ส่วนตัวฮั้วคิดว่าพิพิธภัณฑ์ที่นี่ยังทำได้ไม่ดึงดูดพอ (สำหรับนักท่องเที่ยว) อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เสียค่าเข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ โดยเฉพาะในส่วนของ Oil and Gas gallery ถ้าใครเคยไป KL ที่ Pretonas towers จะเห็นว่าที่นั่นทำอลังการมาก ๆ แต่ก็อย่างว่าแหละ ..ที่โน่นต้องเสียตังค์เข้าไปอ่ะ เราใช้เวลากันประมาณเกือบชั่วโมงก็ออกมา ..คราวนี้หล่ะ ปัญหาคือเราจะเข้าเมืองกันยังไง ตามแผนที่ที่มีเค้าบอกว่าจะมีรถเมล์ผ่านข้างหน้าพอดี แต่ไม่เห็นป้ายรถเมล์แฮะ... พวกเราเลยตัดสินใจถามทหารที่ยืนอยู่แถวนั้น ได้ความว่า ..ไปยืนตรงไหนก็ได้แล้วถ้ารถเมล์มาก็โบกเรียก แต่ว่านาน ๆ จะโผล่มาซักคันนะ.. บางทีอาจเป็นชั่วโมงขึ้น คุณทหารยังบอกอีกว่าที่นี่ (บรูไน) ไม่ค่อยมีแท็กซี่หรือรถเมล์มากเท่าไหร่หรอก เพราะค่าน้ำมันถูกคนก็เลยซื้อรถไว้ใช้เองกันหมด .. ซึ่งก็จริง เพราะรถที่นี่ดูใหม่และแต่ละรุ่น ..อืม.. ถ้าเป็นผู้ชายคงอิจฉาคนที่นี่กันน่าดู .. แถมมอร์เตอร์ไซค์ที่เห็นก็.. ว้าว.. สวยอ่ะ เป็นประเภทคันใหญ่ ๆ เหมือนพวกช็อปเปอร์เลย พวกเรามีเวลาจำกัดสำหรับวันนี้ เพราะวางแผนไว้ว่าจะต้องไปขึ้นเรือกลับไปเกาะลาบวนตอนบ่ายสาม .. เลยตัดสินใจโทรเรียกแท็กซี่ (คันเดิม) ซึ่งพี่แกให้นามบัตรทิ้งไว้ตอนขามาส่ง ว่าดูเสร็จแล้วให้โทรเรียกเค้าได้ เค้าจะมารับ.. สงสัยจะรู้ว่าสองสาวนี้ต้องติดแหง็กแล้วโทรเรียกเค้าแหง ๆ ระหว่างนั่งรอพี่คนขับแท็กซี่ (Mr.Lim) ก็นั่งคุยกับคุณทหารไปเรื่อย ๆ เค้าก็เล่าว่าเค้าเป็นคนเนปาลแต่มาทำงานที่นี่ เหมือนกันมี contract อะไรซักอย่างระหว่างสองรัฐบาล ทหารที่โน่นเลยถูกส่งมาทำงานที่นี่ เค้ายังเสนอตัวอีกด้วยว่า ถ้าไม่มีรถเมล์มา แล้วยูไม่รีบ เดี๋ยวเค้าเลิกเวรตอนเที่ยง จะขับรถไปส่งในตัวเมืองให้ .. อืม ใจดีแฮะ.. แต่ฮั้วก็บอกเค้าไปว่า ..พอดี เรียกแท็กซี่แล้ว เดี๋ยวเค้าจะมารับค่ะ.. พอ Mr.Lim มารับ ตอนแรกก็คุยกับเค้าว่าถ้าจะจ้างเค้าซักสามชั่วโมง เค้าจะคิดราคาเท่าไหร่ 30 ดอลล่าห์ต่อชั่วโมง .. โห แพงมาก ๆ อ่ะ นั่นมันตั้งเจ็ดร้อยกว่าบาทเชียวนะ... แต่เค้าก็ให้เหตุผลว่า เพราะเค้าต้องคอยเรา ไปไหนไม่ได้ ก็เลยต้องคิดเรทนี้ พร้อมยื่นใบราคามา .. พวกเราก็เลยตัดสินใจว่าไว้จำเป็นต้องเรียกค่อยโทรให้เค้ามารับแล้วกัน.. เสร็จแล้วก็บอกเค้าให้ไปส่งที่ท่าเรือที่จะไป Water Village เพราะเมื่อคืนแทบจะไม่เห็นอะไรเลย วันนี้เลยอยากไปเก็บรายละเอียดซักหน่อย .. เค้าก็ขับไปส่งที่ท่าเรือ พร้อมไปคุยกับคนขับเรือให้ เพราะดูเหมือนว่าคนขับเรือจะพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้ .. ก่อนเค้าจะไปเราก็ต้องจ่ายให้เค้าอีก 10 ดอลล่าห์เป็นค่าที่เค้าไปรับเราที่ Brunei museum แล้วมาส่งที่ท่าเรือ.. แพงมาก ๆ ที่นี่ถ้าจะข้ามไปฝั่ง Water Village (Kampung Ayer) ต้องนั่งเรือแท็กซี่ (Water Taxi) ข้ามไป โดยที่เรือแท็กซี่ก็คล้าย ๆ กับเรือหางยาวตามแม่น้ำเจ้าพระยาที่บ้านเรา เพียงแต่ว่าไม่มีหลังคากันแดดให้.. ค่าแท็กซี่ข้ามฝั่งปกติจะอยู่ที่ 1 2 ดอลล่าห์ต่อคนขึ้นอยู่กับระยะทาง แต่ว่าพวกเราจะจ้างเค้าเป็นชั่วโมงเพื่อให้ขับรอบ ๆ และไปดูลิงจมูกยาว ราคาจึงอยู่ที่ 40 ดอลล่าห์ต่อชั่วโมงครึ่ง (ซึ่งเค้าบอกว่าไปดูลิงจมูกยาวนั้นค่อนข้างไกลพอสมควร) ตอนแรกคนขับเรือต้องไปส่งผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือก่อน ระหว่างที่นั่งไปด้วยกัน คนในนั้นก็ถามว่า Where are you from? ก็ต้องตอบไปตามสูตรว่า From Thailand เท่านั้นแหล่ะ.. เค้าตอบว่ามาแบบไม่แน่ใจว่า Oh, Pattaya... Pattani? ... ฮั้วแอบอึ้งไปเล็กน้อย ที่คนที่นั่นรู้จักขนาดนั้น..จริง ๆ ก็ไม่แปลกหรอก .. แต่ก็แก้ให้เค้าเป็นว่า Yes, Pattani .. ใครจะกล้าบอกว่าไอ้อันแรกน่ะ..ถูกแล้ว หลังจากนั้น คนขับเรือก็ต้องไปเติมน้ำมัน.. รู้มะ.. ปั๋มน้ำมันที่นี่ก็อยู่บนน้ำนะ คนขับก็พูดอะไรไม่รู้ เด็กปั๊มก็โยนท่อส่งน้ำมันมาให้ เค้าก็เติมกันเอง ..จ่ายตังค์เสร็จสรรพ.. แปลกดี แล้วเค้าก็ขับวนไปรอบ ๆ ทะลุไปออกป่าโกงกาง ..นั่งไกลมากจริง ๆ แต่ที่สำคัญก็ร้อนมาก ๆ ด้วย เพราะไม่มีหลังคากันแดด ก็ต้องนั่งกลางแดดแจ้งจางปางอย่างนั้นเป็นชั่วโมง จนซักพักเค้าก็เริ่มชะลอความเร็ว (ความจริงเค้าก็ไม่ได้ขับเร็วเท่าไหร่หรอก) แล้วทำเสียงเหมือนให้เราเงียบ ๆ ไว้ แล้วเค้าก็เริ่มหันเข้าซอกหลืบลำธารเข้าไปในป่า ประมาณว่าคงหาลิง... หลืบแรกไม่เจอ.. เลยต้องวกกลับออกมา และแล่นไปซักพัก ..ฮั้วก็เห็น.. ลิง... เลยชี้บอกเค้า เจ้าลิงก็ไวมาก ๆ สมเป็นลิง หายเข้ากลีบใบไม้ไปเลย แต่ตรงบริเวณนี้ไม่มีซอกหลืบให้เข้าไปได้ คนขับก็ต้องดับเครื่องแล้วใช้เป็นไม้พายแทนลัดเลาะตามน้ำไปเรื่อย ส่วนเราก็ต้องนั่งมองจ้องเข้าไปในป่า พยายามจะหาลิง ซึ่งหายากมาก เพราะหนึ่งไกล สองก็คือต้นไม้เยอะมาก แต่ยังพอจะได้ยินเสียงโครมคราม โครมครามเป็นระยะ แล้วคาดว่าในนั้นน่าจะมีเป็นฝูง ส่วนฮั้วก็พยายามมองเต็มที่ เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ส่วนมากพวกมันจะนั่งกันเฉย ๆ แต่ด้วยที่ระยะห่างไกลมาก กล้องที่ใช้ที่ว่าระยะซูมเยอะแล้วนะ (Panasonic FZ30) ยังเข้าไปไม่ถึงเลย รูปที่น่าจะออกมาชัดที่สุด ก็แค่นี้อ่ะค่ะ .. ณ เวลานั้น ฮั้วรู้สึกเข้าใจพวกนั่งส่องสัตว์เลยอ่ะ ว่าทรมานขนาดไหน ร้อนก็ร้อน ก็ต้องนั่งเงียบ ๆ ห้ามทำเสียง พยายามนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ .. เฮ้อ นึกแล้วเหนื่อย.. ดูเบื้องหลังการถ่ายทำ ..กว่าจะได้สองรูปที่ดูได้ขนาดนี้.. ต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน.. หลังจากนั้นเค้าก็ขับเรือกลับมาส่งเราที่ท่าเรือ ..วันนั้นร้อนมาก ๆ เลย แล้วทวีคูณด้วยการนั่งในเรือโดนแดดเปรี้ยง ๆ มาเป็นชั่วโมง เราก็เลยหาทางชุ่มฉ่ำด้วยการเดินเข้าห้าง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับท่าเรือนั่นเอง สิ่งแรกที่เราสองคนได้มาดับร้อน คือ ไอศครีม ก็ไม่ใช่อะไรแปลกพิศดารหรอก เป็นไอติมแดรี่ควีนส์แบบบ้านเราแหล่ะ เพียงแต่ขนาดต่างกันมาก เพราะเราสั่งขนาดเล็ก แต่ตัวแก้วได้เท่าขนาดจัมโบ้บ้านเรา ฮั้วว่าคนที่นี่เค้ากินเยอะมาก ..แต่ไม่ใช่กินเก่งนะ ..คือเค้าสั่งน้อยแต่ปริมาณที่ได้รับจานใหญ่สุด ๆ ส่วนมากพวกเราจะสั่งก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวหนึ่งจาน แล้วแบ่งกันกิน เพราะเยอะมาก ๆ กินคนเดียว ..พุงป่องเลย.. เช่นเดียวกับไอติม..ขนาดก็บิ๊กตามขนาดอาหาร... จะบอกให้ว่าที่ฮั้วชอบมามาเลเซีย ก็ไม่ใช่เพราะประเทศสวยเสยอะไรหรอก มาที่นี่ทีไร ..ฮั้วรู้สึกอย่างกะนางแบบ เพราะดูจะผอมกว่าคนปกติทั่วไป... ในขณะที่อยู่เมืองไทยนะ.. โห.. ตัวใหญ่มาก.. ชักอยากจะย้ายไปอยู่ที่โน่นจัง อิ อิ.. (จริง ๆ ชอบไปเพราะประเทศเค้ามีวัฒนธรรมดีนะ... แต่เรื่องนางแบบก็เป็น a plus น่ะ) พอกินไอติมเสร็จ เราก็ออกเดินหาที่แลกตังค์ เพราะว่าไม่คิดว่าจะใช้เงินเยอะขนาดนี้ แล้วท่านแท็กซี่ยังเรียกค่าไปส่งท่าเรือ Muara อีก 30 ดอลล่าห์ แต่ตอนนี้ตังค์พวกเราเริ่มหมดแล้ว... พอแลกเงินเสร็จก็ออกมานั่งรอพี่แท็กซี่มารับ เพื่อจะได้กลับไปโรงแรม เตรียมเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับเกาะลาบวน แล้วก็นัดแนะกันว่าให้เค้ามารับตอน 14.30 เพื่อที่เราจะได้ขึ้นเรือรอบ 15.30 ได้ทัน สุดท้ายเราก็มีตังค์ไม่พอที่จะจ่ายค่าแท็กซี่เลยต้องต่อเค้าลงมาเหลือ 20 หรือ 25 ดอลล่าห์หว่า... พอถึงท่าเรือเราก็ต้องไปซื้อตั๋วเพื่อกลับลาบวน คืนนี้วางแผนกันว่าจะนอนค้างลาบวนก่อนหนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยจับเรือกลับไปโคตาฯ ค่าตั๋วจากบรูไนกับไปลาบวนอยู่ที่ราคา 15 ดอลล่าห์ และยังต้องเสียค่า terminal fee อีก 1 ดอลล่าห์ (ควรเตรียมเงินให้พอดี .. เพราะถ้าให้แบ็งค์ใหญ่ เค้าจะไม่มีทอน) รอไปซักพักเค้าก็เรียกให้ boarding ก็ต้องผ่าน immigration เหมือนเดิม และนั่งเรือลำเดิมกับคราวที่มาจากลาบวน หนังวีดีโอเรื่องเดิม.. แต่ก็ดูไม่ถึงตอนจบซักที (เหมือนคราวที่มา) .. ใครรู้ตอนจบของ ghost rider ช่วยบอกด้วย ..ดูสองรอบแล้ว แต่ไม่รู้ตอนจบ..มันหงุดหงิดมาก หลังจากผ่านลาบวน immigration (อีกแล้ว).. เริ่มเหนื่อยแล้วนะ.. เราก็เรียกแท็กซี่ไปที่โรงแรม Mariner Hotel (//www.marimari.com/hotel/malaysia/mariner/index.html) ด้วยราคาค่าแท็กซี่ที่ 6 ริงกิต.. เริ่มจากวันนี้ หลังและเข่าของฮั้วก็เริ่มเจ็บ เพราะต้องแบกเป้แสนหนัก ไป ๆ มา ๆ ณ วันแรกน้ำหนักเริ่มที่ 9 กิโล.. แต่พอวันหลัง ๆ มันเริ่มหนักขึ้น ๆ ยังไงไม่รู้ .. จนบางทียังนึกเลยว่า ..กลับกรุงเทพไปเนี่ยจะเตี้ยขึ้นไหมนะ โรงแรมนี้ก็เช่นเคย เราจองไว้ก่อนล่วงหน้า เป็นโรงแรม (อ้างว่า) สามดาว แต่ฮั้วว่าน่าจะหนึ่งหรือแค่สองเองนะ คือเล็กมาก ๆ เหมือนประมาณโรงแรมแถวเยาวราชบ้านเรา ราคาต่อคืนอยู่ที่ 128 ริงกิต ในห้องไม่มีเซฟ แต่มีทีวีให้ มีน้ำขวดให้สองขวด (แต่มารู้ทีหลังว่าไม่ได้ให้ฟรี) ห้องน้ำพอโอเค ห้องเล็ก ๆ พออยู่ได้หนึ่งคืน ซักพักเราก็ออกมาหาอะไรกินกัน เพราะหิวมาก ๆ (ไม่ได้กินข้าวกลางวัน..อีกแล้ว) ก็หาเดิน ๆ เอาแถวนั้น และจะได้สำรวจด้วยว่าสามารถเดินไปท่าเรือได้หรือเปล่า ร้านค้าแถบนี้เป็นร้านจีนซะส่วนใหญ่ คนนั่งกันเต็มร้านทุกร้านเลย แต่ไม่ได้สั่งอาหาร อารมณ์ประมาณคนจีนแก่ ๆ มารวมตัวกันกินชา กาแฟ แล้วพูดคุยกันน่ะ เหมือนไปเจี๊ยะเต๊.. เราเลือกที่จะเข้าไปร้านหนึ่งที่คนไม่เต็มเท่าไหร่ แต่.. เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย .. ปัญหาใหญ่ซะแล้ว ..เรื่องอาหารซะด้วย หลังจากมั๋ว ๆ อังกฤษบ้าง จีนบ้าง ชี้บ้าง (ด้วยความสามารถของเพื่อน) .. เราจึงลงเอยด้วยการสั่งหมี่ฮุ้งผัด ไข่เจียว ผัดผัก และปลาผัดเปรี้ยวหวาน .. อันหลังนี่ต้องเดินไปชี้ที่จานของโต๊ะข้าง ๆ เพราะเค้ากำลังกินอยู่ ได้อารมณ์สนุกไปอีกแบบ... แต่ทุกอย่างก็ออกมาอร่อยมาก ๆ ๆ ๆ ..อาจเป็นเพราะหิวด้วยแหล่ะนะ กินข้าวเสร็จก็เดินย่อยกันซักหน่อย แล้วเราก็ค้นพบว่าเราสามารถเดินไปที่ท่าเรือได้ (อีกแล้ว) ด้วยระยะเวลาประมาณสิบห้านาที .. เกาะลาบวนเรียกได้ว่าเป็นเมือง duty free (คล้าย ๆ เกาะลังกาวี) แต่ฮั้วว่าที่ลังกาวีของเยอะกว่ามาก ช็อคโกแลต เบียร์ เหล้า บุหรี่ เต็มไปหมด .. แต่ที่นี่บรรยากาศเงียบมาก ๆ หรืออาจจะเพราะเป็นวันเสาร์ ถนนหนทางดูมืด ๆ ตอนกลางคืน ไม่มีหมาให้เห็นเลย ยังแอบคิดในใจว่าคนที่นี่กินหมาปล่าวหว่า ... แต่ถึงขนาดไม่มีของมากมายให้ช็อป ฮั้วก็ยังได้คุ๊กกี้กับช็อคโกแลตติดไม้ติดมือกลับมา แต่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ ช่องว่างในกระเป๋า น่ะสิ.. เพราะมันเต็มตั้งแต่กรุงเทพแล้ว แล้วนี่ยังซื้อเพิ่มอีก.. สุดท้ายคืนนั้นก็ตบท้ายด้วยการ repack กระเป๋าใหม่หมด ม้วนทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ หน้ากากดำน้ำ (ที่อุตส่าห์เอามาเอง) ก็ระเห็ดจากข้างในเป้มาเหน็บอยู่ข้างนอกแทน พวกขนมที่ซื้อมาก็ต้องแกะห่อทั้งหมด เอาแต่เนื้อ ๆ ไว้ในกระเป๋า และสุดท้ายกระเป๋าก็ทั้งหนักมากกกกก...และใหญ่มากกกกก... Mosque เขาสวยจังครับ ...
โดย: Oatta (SF-The KOP ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:17:22 น.
|
Gorgeous Girl
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |