A Journey Of A Thousand Miles Must Begin With A Single Step!!
|
|||||
South Africa - Life in Joburg ช่วงระหว่างที่ทำงานอยู่ที่แอฟริกาใต้นั้น ฮั้วได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งในเรื่องวัฒนธรรม การใช้ชิวิตอยู่ รวมไปถึงพยายามที่จะสังเกตถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว .. แอฟริกาใต้ทำให้ฮั้วเห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างคนต่างเชื้อชาติและผิวสี ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ปัญหาเหล่านั้น และโดยผิวเผินที่เห็นว่าผู้คนที่นี่อาศัยกันอย่างราบรื่น แต่ลึก ๆ แล้ว ..ฮั้วว่าปัญหามันยังไม่หมดไปซะทีเดียว ลูกค้าเล่าว่าตอนนี้รัฐบาลมีนโยบายให้แต่ละบริษัทจะต้องมีจำนวนคนผิวดำทำงานอยู่ประมาณ 30% ของพนักงานทั้งหมดของบริษัท (ตัวเลขไม่แน่นะคะ.. แต่ที่แน่ ๆ คือ ทุกบริษัทจะต้องมีคนผิวดำทำงานอยู่ด้วย) และไม่ใช่แค่ทำงานในระดับ operation นะ.. จะต้องมีระดับ management ด้วย.. เพราะฉะนั้น บริษัทส่วนมากมักจะประสบปัญหาการหาบุคลากรที่มีคุณภาพและเหมาะสมในการมารับตำแหน่งด้านการบริหาร เพราะก็รู้กันดีว่า สัดส่วนคนผิวดำที่ได้รับการศึกษาสูงและมีประสบการณ์นั้นค่อนข้างจะหาลำบาก จึงทำให้หลาย ๆ บริษัทต้องรับบุคลากรที่มีการศึกษาแต่ไร้ซึ่งประสบการณ์มาทำงานในตำแหน่งนี้ ซึ่งก็แน่นอนที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับพนักงานผิวขาวที่มีประสบการณ์ แต่กลับโดนข้ามหัวไป เนื่องจากนโยบายอย่างนี้ ทำให้คนผิวดำรุ่นใหม่ ๆ ที่จบปริญญาตรีและทำงานในบริษัทมีฐานะการเงินที่ดีขึ้น ทำให้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ทางการตลาด ซึ่งเรียกว่ากลุ่ม black diamond การทำการตลาดในแอฟริกาใต้ ณ ปัจจุบันก็เลยเริ่มที่จะพุ่งเป้าไปยังกลุ่มนี้ เพราะมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง พวกเค้ามีรายได้สูง ฐานะการงานที่มั่นคง และก็ชอบที่จะโชว์ว่าเค้ามีฐานะซะด้วย แต่ฮั้วว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้ก็ยังมีฐานะที่ยากจนอยู่ดี จากภาพที่เห็นระหว่างทางการนั่งรถไปกลับที่ทำงานทุกวัน ฮั้วจะเห็นกลุ่มคนผิวดำเดินริมข้างทางเพื่อไปทำงานหรือนั่งริมข้างทางเพื่อรอรถโดยสาร รถโดยสารของคนยากจนที่นี่นั้นเป็นรถคล้าย ๆ รถตู้สาธารณะบ้านเรา หรือที่เรียกกันว่า Minibus-Taxi ซึ่งจัดตั้งและจัดการโดยเอกชนหรือคนที่มีกำลังทรัพย์ในการซื้อรถตู้คันใหญ่เป็นของตนเอง รถแต่ละคันจะมีเส้นทางการวิ่งที่แน่นอน โดยที่ค่าโดยสารจะขึ้นอยู่กับระยะทางที่เดินทาง ระหว่างที่คนผิวขาวกลับมีรถหรูหราขับ.. ชีวิตมันช่างแตกต่าง หรือตามสี่แยกที่มีคนขายของตั้งแต่เสื้อผ้า หมวก สายชาร์จโทรศัพท์ ไม้แขวนเสื้อ เรียกว่าหาซื้อได้แทบจะทุกอย่าง พวกคนผิวดำก็จะนั่งกลางสี่แยกอย่างนั้นทั้งวัน พอรถติดก็จะเข้ามาเคาะกระจกเพื่อขายของ (แต่ในใจฮั้วแอบกลัวเหมือนกันนะ ไม่รู้จะมาดีมาร้าย.. เพราะฉะนั้นจะล็อกประตูไว้ก่อนแหละ) บ้านเรือนของคนยากจนก็มักจะสร้างตามลานว่าง ๆ ที่เค้าเข้าใจว่าไม่มีผู้คนจับจอง (แต่จริง ๆ แล้วมีคนเป็นเจ้าของแล้วทั้งนั้น ..อย่างน้อยก็รัฐบาล) โดยที่บ้านจะถูกสร้างขึ้นด้วยการก่ออิฐ สังกะสี ไม้บอร์ด และอยู่ติด ๆ กันไปเป็นเนื้อที่ที่กว้างใหญ่มาก เมื่อมีใครพบพื้นที่ว่าง ๆ เค้าก็จะเริ่มสร้างบ้านขึ้น แล้วก็มีคนอพยพเข้ามาสร้างติด ๆ กันไป .. สิ่งเหล่านี้ก็สร้างปัญหาให้รัฐบาลเหมือนปัญหาชุมชมแออัดบ้านเรา เมื่อหลายปีก่อนที่ฮั้วได้มีโอกาสมานั้นก็ได้เห็นบ้านเรือนเหล่านี้มากมาย นึกสงสารอยู่ในใจและก็ยังนึกสงสัยว่าเค้าใช้ชีวิตอยู่กันได้อย่างไรในที่แบบนี้ ซึ่งทริปนี้ทำให้ฮั้วได้รับคำตอบจากการไปเยือนเมืองโซเวโต (Soweto) ไว้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลังว่าเค้าอยู่กันอย่างไรละกันนะ กิจกรรมหลักที่ครอบครัวที่นี่มักใช้เวลาร่วมกันคือ การออกไปปิคนิคกันที่ฟาร์มเพื่อปิ้งเนื้อย่างหรือเรียกกันว่า บราย (Braai) การปิ้งเนื้อย่างนั้นถือเป็นวัฒนธรรมหลักของผู้คนที่นี่เลยทีเดียว ส่วนปริมาณการปิ้งนั้นนับว่ามหาศาลเพราะผู้คนที่นี่นั้นชอบทานเนื้อสัตว์เป็นอย่างมาก เมื่อจะปิ้งเนื้อกันทีก็จะไปที่ร้านที่ขายเนื้อสัตว์โดยเฉพาะ (Butcher) ซึ่งจะมีขายเนื้อสัตว์หลากหลายประเภทและหลากหลายชิ้นส่วน เพื่อจะนำกลับมาปิ้งกันที่บ้าน เรียกกันได้ว่าซื้อเนื้อสัตว์กันเป็นตัว ๆ เลยทีเดียว อย่างวันนี้ลูกค้ามารับฮั้วไปฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นที่ที่คนแอฟริกันมาใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ร่วมกัน ฮั้วว่าคนที่นี่ให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวมาก มักจะเห็นว่าคนที่นี่มักจะมีลูกกันหลาย ๆ คน และมักจะไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวหรือรวมกันหลาย ๆ ครอบครัว ไปนั่งอาบแดดอุ่น ๆ กันที่สนามหญ้าในฟาร์มสัตว์ ตามสวนสาธารณะหรือฟาร์มไวน์เพื่อกินอาหารร่วมกัน พวกเด็ก ๆ จะถอดรองเท้าวิ่งเล่นกันที่สนามหญ้า พวกผู้ใหญ่นั่งกินไวน์รับแสงแดดอุ่น ๆ บ้างก็สอนให้เด็ก ๆ เล่นคริกเก็ตซึ่งเป็นกีฬาที่ผู้คนที่นี่โปรดปราน แถมการนำเด็ก ๆ ไปเที่ยวฟาร์มนั้นก็เป็นการปลูกฝังให้เด็ก ๆ เหล่านั้นไม่กลัวสัตว์ รักสัตว์ และชอบใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยง สัตว์ในฟาร์ม หรือสัตว์ป่า ขอกล่าวถึงเรื่องบรายอีกซักหน่อยเถอะ เพราะเรื่องนี้ถึอเป็นเรื่องสำคัญมากของผู้คนที่นี่ ถึงขั้นที่ว่ามีการกำหนดเป็นวันสำคัญเรียกว่า National Braai Day ซึ่งถือว่าเป็นวันหยุดและจัดขึ้นทุกปีทุกวันที่ 24 กันยายนซึ่งถือกันว่าเป็นวันที่เฉลิมฉลองวัฒนธรรมของชาติ เป็นวันที่คนในชาติจะรวมเป็นหนึ่งใจเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว วัฒนธรรมหรือภาษาที่แตกต่างกัน คำว่า บราย (Braai) นั้นเป็นภาษาแอฟริกัน หมายถึงการย่างแบบบาร์บีคิวหรือการย่างเนิ้อแบบเตาถ่านนั่นเอง ถือเป็นขนบธรรมเนียมที่สำคัญของประเทศแอฟริกาและซิมบับเว คำที่เรียกว่า Bring and Braai เป็นการรวมตัวกันของสมาชิกในครอบครัว และเพื่อนฝูงซึ่งมักจะจัดกันในบ้านส่วนตัว แต่ละคนจะนำอาหาร เนื้อ สลัดผักมากันเองและนำมารวมกันเพื่อร่วมสังสรรค์เฮฮา เป็นที่น่าประหลาดใจอย่างมากคือในวัฒนธรรมของการ Braai นี้ ผู้ชายเท่านั้นจะเป็นผู้ทำการย่างเนื้อ ส่วนผู้หญิงจะมีหน้าที่ในการเตรียมสลัดและของหวาน.. ดีจัง ผู้คนที่นี่นอกจากชอบใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งแล้วนั้น คนแอฟริกาใต้ยังชอบกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็ไม่พ้นรักบี้ (Rugby) และคริกเก๊ต (Cricket) ที่มีการจัดแข่งระดับ World Championship เลยทีเดียว พอถึงนัดแข่งที่เป็นทีมแอฟริกาใต้นั้น ผู้คนจะแต่งชุดกีฬาสีเขียวสลับเหลือง แต่งหน้าคาดเขียว โบกธง ใส่หมวก และมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ๆ คล้าย ๆ ลานเบียร์บ้านเรา เพื่อร่วมกันเชียร์และเป็นกำลังใจให้ทีมของตนเองกันอย่างพร้อมเพรียง แถมการคลั่งใคล้กีฬาของคนที่นี่ไม่ได้จำกัดเพศ อายุและสีผิวด้วยเช่นกัน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ ผิวดำ ผิวขาว ผิวเหลือง ถ้าได้สัญชาติว่าเป็นแอฟริกาใต้แล้วนั้น ล้วนแล้วแต่รวมใจกันเพื่อเชียร์ทีมของตนเองอย่างที่สุด อย่างเช่นคืนนี้ .. ฮั้วก็ออกมาเชียร์กับเค้าด้วย เป็นการแข่งรักบี้ระหว่างทีมแอฟริกาใต้กับอังกฤษ... ผู้คนล้นหลามใส่เสื้อทีมชาติมานั่งเชียร์กันถึงห้าทุ่ม ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวจะตาย (ประมาณ 18 องศา) .. ฮั้วนี่แทบจะยืนขาแข็งทั้ง ๆ ที่ดูไม่รู้เรื่องกับเค้าหรอก แต่ก็อดสนุกไปกับเค้าไม่ได้... คืนนั้นจบลงด้วยชัยชนะของทีมแอฟริกาใต้ ... ทุกคนก็เลยฉลองชัยชนะกันอย่างสุดเหวี่ยง.. น่าชื่นใจจริง ๆ โปรดติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ ติดตามบลอคคุณได้ความรู้มากเลยครับ
โดย: Thales of Miletus วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:21:57:53 น.
น่าไปมากๆเลยนะครับ ไปดูซาฟารี แต่เพื่อนไปมาบอกว่าค่อนข้างอันตราย เดินชมบ้านชมเมืองนี่โดนคนดำมาปล้นแบบประชิดตัวเป็นเรื่องธรรมดาเลย ผู้คนก็ชินไม่สนใจ จริงหรือเปล่าครับ
โดย: ซอร์บอนน์ (ซอร์บอนน์ ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:23:07:26 น.
แวะมา Happy New Year 2008 ล่วงหน้า และขอตามมาเที่ยวด้วยคนนะครับ พร้อมกับส่ง ส.ค.ส. สวยๆ จากทริปน้ำหนาว ภูกระดึงมาให้ด้วยครับผม สามารถคลิกที่ภาพเพื่อเข้า Blog มิสเตอร์ฮองได้ครับ โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:23:32:32 น.
ซอร์บอนน์ - จริงค่ะ บ้านเมืองที่นี่อันตรายมาก โดยเฉพาะที่โจฮันเนสเบิร์ก .. ต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาค่ะ อย่าเผลอไผล วางของทิ้งไว้บนโต๊ะ ... ถือกล้องก็ต้องระวังค่ะ..
แต่ก็เป็นประเทศที่น่าไปเยียมชมนะคะ และคุ้มค่ามาก ๆ ด้วยค่ะ โดย: Gorgeous Girl วันที่: 28 ธันวาคม 2550 เวลา:9:40:58 น.
เมื่อครั้งที่ไปเคปทาวน์
ไม่ได้มีโอกาสเดินเที่ยวโจเบิร์กเลย ได้เห็นแต่สนามบิน แต่ก็เป็นอีกที่นึงที่ประทับใจค่ะ โดย: CINNAMONSTER วันที่: 28 ธันวาคม 2550 เวลา:14:04:52 น.
เพิ่งกลับจาก South Africa มาค่ะ ไปอยู่ที่ Johan เเละ Cape Town มีอะไรน่าสนใจมากเลยสำหรับประเทศนี้
สามารถดูรูปภาพบรรยากาศได้ที่นี่เลยนะคะ หากใครสนใจ หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมของประเทศนี้ //adasorada.spaces.live.com โดย: Ada IP: 124.120.169.71 วันที่: 16 มกราคม 2551 เวลา:20:30:25 น.
|
Gorgeous Girl
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |