KK Trip Journal (Last Day)
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2550

เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการตื่นเช้า ๆ มารับอากาศสดชื่น (ไม่อยากรับอ่ะ ..อยากนอน ) และลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม.. ห้องอาหารที่นี่นับว่าได้มาตรฐานโรงแรมเกรดดี มีอาหารหลากหลายให้เลือก มี scramble ด้วย.. เป็นครั้งแรกที่ได้กิน scramble ในทริปนี้ แต่ว่าหน้าตาออกมาเหมือนไข่เจียวจัง.. ช่างมันเหอะ.. เอาเป็นว่าอาหารเช้าวันนี้ค่อยสมเป็นอาหารเช้าโรงแรมหน่อย เราจึงกินกันอิ่มแปร้ ออกจะล้นนิดหน่อย เพราะต้องเผื่อไปถึงมื้อกลางวันด้วย

ระหว่างที่กิน ก็พยายามสอดส่ายสายตามหาคู่คนจีนตัวปัญหา ซึ่งเราก็เห็นกลุ่มชาวจีน (ไม่วัยรุ่น แต่ก็ไม่แก่) กลุ่มนึงและกลุ่มเดียวในห้องอาหาร ซึ่งคาดว่าน่าจะใช่อ่ะ .. แต่ฮั้วก็ยังคิดว่าอาจจะไม่แน่ ใช่ม้า... แหมนอนดึกกันซะขนาดนั้น เค้ายังจะตื่นมา (งก) กินข้าวเช้ากันอีกเหรอ... แต่ก็นะ.. ใครไม่อยากโดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ จากโต๊ะข้าง ๆ ก็อย่าทำอะไรเสียงดังกันนักนะจ๊ะ.. คนอื่นเค้ารู้กันหมด.. อิ อิ

พวกเรามาถึงที่ท่าเรือประมาณ 7.30 ตามเวลาที่นัดแนะกับตาหนุ่มคนขาย ก็เห็นว่าเค้านั่งยิ้มแฉ่งรอเราอยู่ที่ counter เรียบร้อยแล้ว พวกเราแอบเสียวเหมือนกันนะว่าพี่แกจะไม่มา เพราะพี่แกเล่าให้ฟังเมื่อวานว่าบางทีเค้าก็มาสาย ด้วยเหตุผลอะไรรู้มะ.. ตื่นสาย.. โห.. รับผิดชอบกับหน้าที่การงานมาก พ่อหนุ่ม



Tunku Abdul Rahman National Park (TAR) ประกอบไปด้วย 5 เกาะด้วยกัน คือ Manukan, Sapi, Gaya, Manutik และ Sulug ที่นี่ไม่ไกลจากตัวเมืองโคตาฯ เลย นั่งเรือประมาณ 15 นาทีก็ได้เที่ยวทะเล ดำน้ำดูปลาแล้ว นับว่าดีมาก ๆ .. บางเกาะมีที่พักที่สามารถนอนค้างคืนได้เลย เช่น เกาะ Manukan และ Gaya แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงทีเดียว พวกเราจึงวางแผนแค่ไปเช้าเย็นกลับ

ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะไปเที่ยวที่ Manutik, Manukan และ Sapi เพราะว่ามีกิจกรรมให้ทำและปลาค่อนข้างเยอะ แต่เราเลือกที่จะไปแค่สองเกาะ (Manukan กับ Sapi) เพราะต้องการใช้เวลาพักผ่อนในแต่ละที่ด้วย ค่าใช้จ่ายในการไปสองเกาะจะอยู่ที่ 33 ริงกิตต่อคน โดยที่เราต้องเสียค่าขึ้นเกาะ TAR อีก 10 ริงกิต (ค่าขึ้นเกาะจะรวมถึงทุกเกาะที่เราไปเที่ยว เพราะฉะนั้นเราไปสองเกาะก็จ่ายครั้งเดียวที่ 10 ริงกิตต่อคน)

ที่ร้านนี้มีอุปกรณ์ดำน้ำขายและให้เช่าด้วย โดยที่เช่าฟินกับหน้ากากดำน้ำอยู่ที่ราคา 15 ริงกิต.. พวกเราเอาหน้ากากกันมาเองแต่อยากจะเช่าฟิน เสียแต่ว่าเค้ามีแต่ขนาดใหญ่จึงค่อนข้างหลวมมาก ๆ สำหรับเท้าเล็ก ๆ ของคนไทยอย่างเรา ในที่สุดเลยตัดสินใจไม่เอาฟิน..

ส่วนฮั้วจะเช่าเสื้อชูชีพ .. ไม่ใช่ว่ายน้ำไม่เป็นนะ.. แต่ขี้เกียจอ่ะแถมไม่ค่อยได้ฝึกซ้อมใส่เสื้อแล้วลอยสบายใจและปลอดภัยกว่า.. อีกอย่าง ยังคงเป็นคนกลัวปลา.. ส่วนมาก พวกปลาจะว่ายกันลึก ๆ .. ถ้าใส่เสื้อแล้ว ตัวจะลอยตลอด มั่นใจว่าคงไม่ไปใกล้ปลาแน่ ๆ .. ตาคนขายก็บอกว่า ..งั้นให้ใช้ฟรี..เย้ เย้..



เราเลือกไป Sapi กันก่อน เพราะเป็นเกาะที่อยู่ไกลสุด ช่วงเวลาที่เราไปถึงประมาณเก้าโมงเช้า คนยังน้อยมาก.. ตั้งแต่อยู่บนเรือเราก็เห็นได้ว่าน้ำทะเลที่เกาะนี้ใสมาก ๆ ปลาก็ว่ายเวียนไปมามากมาย แต่เค้ามีป้ายเขียนว่า “Jellyfish Season” .. ช่างน่ากลัวจัง แถมยังเขียนอีกว่า “Swim at your own risk”.. โห ...

แต่ถึงแม้เค้าจะเขียนอย่างนั้น ที่นี่จะมี Lifeguard คอยสอดส่องดูแลตลอดเวลา.. น่าประทับใจจริง ๆ .. เมืองไทยสิ Swim at your own risk จริง ๆ แบบไม่มีป้ายบอกด้วยนะ

พอขึ้นเกาะ เราก็ต้องเสีย 10 ริงกิตเป็นค่าขึ้นเกาะกันที่นี่ ที่นี่มีอุปกรณ์ดำน้ำเตรียมไว้ให้เช่าพร้อม หลังจากหามุมสงบ ๆ กางเสื่อ เตรียมอุปกรณ์ ทาครีมกันแดด เตรียมพร้อมรบ.. ก็ถึงเวลากระโจนลงน้ำ

แต่อย่างที่บอกปลาที่นี่ค่อนข้างเยอะทีเดียว .. ขนาดอยู่น้ำตื้นก็ยังว่ายกันเข้ามาเป็นฝูง... ฮั้วว่ายไปได้ซักหน่อยอารมณ์ panic เริ่มออกอาการ.. พอเห็นปลาเยอะ ๆ ก็เริ่มกลัว.. เลยตัดสินใจกลับเข้าฝั่งดีกว่า (ทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่ได้ออกไปไกลนะ).. ส่วนเพื่อนฮั้ว เค้าเรียนดำน้ำมาแล้ว แถมเป็นนักว่ายน้ำตัวยง ก็หายไปแล้วที่ลึก ๆ

ซักพักเพื่อนก็เรียกให้ไปหาเค้าบอกว่าตรงโน้นปลาสวย ๆ เพียบ... แต่มันกลัวจริง ๆ นะ ... ตอนครั้งแรก ๆ ที่ดำน้ำตื้น จะกลัวปลามากกกกก... ถึงขนาดเห็นปลาแล้วว่ายหนี (ทริปกระบี่กับภูเก็ต..จำได้แม่น) จริง ๆ เห็นน่ะโอเค.. แต่อย่ามาใกล้ฮั้วนะ.. แต่ก็แปลกที่ยังชอบไปทะเล แล้วก็ต้องซื้อทริปดำน้ำเพื่อลงไปดูโลกใต้น้ำทุกครั้ง.. จะเรียกได้ว่า “ทั้งรักทั้งเกลียด” ได้หรือเปล่าเนี่ย..

ปกติเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนอีกคน .. เค้าจะจับมือแล้วลากฮั้วไปด้วย...เวลากลัวก็จะกรี๊ด ๆ แต่เค้าก็จะจับมือเราไว้แน่น ๆ ก็เลยอุ่นใจขึ้น..

แต่คราวนี้พี่เค้าก็ไปไกลซะแล้ว.. นึกในใจว่า “แล้วฮั้วจะตามไปยังไงดีเนี่ย.. กลัวจังเลย ระยะทางก็ไกลโขอยู่ แล้วถ้าเจอปลา (เป็นฝูง) จะทำไงดี” ..

ตัดสินใจลองว่ายออกไปอีกที.. ความกลัวมันอยู่ที่ใจ เราต้องเอาชนะมันได้... แต่ว่า.. ไม่สำเร็จ.. กลัวมากกว่าเดิม จนต้องว่ายกลับเข้าฝั่งอีก

ในที่สุด พี่เค้าก็ว่ายกลับเข้ามาบอกว่าตรงโน้นน่ะปลาสวย ๆ เพียบเลย ไม่ต้องกลัว .. ค่อย ๆ ว่ายไป.. “เอาก็เอาวะ.. ลองอีกที”

พี่เค้าก็กระโจนลงไป.. ฮั้วก็กระโจนตามไป... แค่อึดใจเดียว.. พี่เค้าไปไกลแล้วอ่ะ... ส่วนฮั้วเหรอ .. กระโดดจริง.. แต่ยังอยู่ที่เดิม... ก็คนมันกลัวหนิ...

ในที่สุด ไม่รู้ว่าเริ่มชินกับปลาที่ว่ายไปมา (แล้วเห็นว่ามันไม่ทำอะไรเรา) .. จึงเริ่มนับหนึ่ง สอง สาม .. หายใจลึก ๆ ... ค่อย ๆ ว่ายไปยังทางที่พี่เค้าอยู่... หายใจเข้า .. หายใจออก... หายใจเข้า... หายใจออก... ช้า ๆ .. อารมณ์กลัวก็เริ่มดีขึ้น.. ยิ่งพอเห็นว่าพี่เค้าว่ายอยู่ใกล้ ๆ ก็เริ่มอุ่นใจ คราวนี้ล่ะก็เริ่มสนุกกับการดูปลาที่ว่ายไปมา..

แปลกเน๊อะ.. บางทีความกลัวที่เรากลัวแทบตายในตอนแรก ๆ มันก็หายไปซะสนิท.. อาจเป็นเพราะโลกใต้น้ำมันสวยจนลืม.. ปลาหลากสีว่ายกันเต็มไปหมด .. ปลาฝูงใหญ่ว่ายตามกันเพื่อหาอาหาร...

อ้อ.. ลืมบอกไปว่า .. คราวนี้ฮั้วซื้อซองกันน้ำมาใส่กล้องโดยเฉพาะ (สำหรับ sony T1) แต่ไม่ใช่ของ sony นะ เป็นของ DiCaPac ซึ่งจะฟิตพอดีสำหรับรุ่นนี้.. เลยเป็นครั้งแรกที่ใช้กล้องใต้น้ำ.. แต่ไม่รู้ทำไม พอลงไปใต้น้ำกลับมองไม่เห็นภาพในจออ่ะ ทั้ง ๆ ที่กล้องก็ทำงานอยู่.. คิดว่าคงเป็นเพราะฮั้วต้องมองผ่านหน้ากากผ่านซอง แล้วตัวเลนส์ก็ถ่ายผ่านซองเช่นกัน..

ตอนถ่ายก็เลยใช้กะ ๆ เอานะ ว่าปลามันอยู่ตรงนี้แล้วก็กดเลย.. จะซูมก็ไม่กล้าซูม เพราะมองอะไรไม่เห็น เดี๋ยวจะยิ่งถ่ายไม่โดนอะไรเข้าไปใหญ่ .. แต่อย่างว่า ปลาที่นี่ไม่ค่อยกลัวคน ชอบว่ายมาใกล้ ๆ บางทีว่ายมาเหมือนมองกล้องด้วยซ้ำ ก็เลยกดซะเลย ..

ป.ล. ต้องขออภัยถ้าภาพจะเบี้ยวไปเบี้ยวมา.. จริง ๆ กดมาเยอะ แต่บางทีก็ไม่มีอะไรในรูปเลย..ตลกมาก



นับว่าเป็นโชคดีที่เรามากันแต่เช้า เพราะช่วงสาย ๆ ก็มีกรุ๊ปทัวร์มาลงกันเต็มไปหมด เราเลยว่ายไปไกลออกไปอีกเรื่อย ๆ.. ที่นี่เค้าจะล้อมเชือกไว้สองระดับ สำหรับว่ายดูปลากับปะการังปกติ.. และด้วยความที่พวกเราว่ายตามปลา ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ๆ จึงหลุดเลยเชือกเข้าไปอีกเขตนึง.. ซึ่งปะการังเยอะและแผงใหญ่มาก ปลาก็เยอะมากเช่นกัน.. ว่ายไปว่ายมา.. พอฮั้วเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ ก็เห็นคนพายพายัคมา ยังนึกใจใจเลยว่า “โห.. มีพายพายัคด้วย เดี๋ยวไปเช่าบ้างดีกว่า”... แล้วก็ว่ายน้ำต่อไป



พอเงยขึ้นมาอีกที.. เอ.. ตานี่ยังอยู่.. แถมมองพวกเราด้วยนะ.. จะมานั่งตากแดดกลางทะเลทำไมเนี่ย.. แต่ก็ยังไม่สนใจว่ายลอยคอบ้าง .. ว่ายน้ำดูปลาบ้าง.. จนเริ่มเหนื่อย.. เลยคิดว่าจะว่ายกลับไปฝั่งดีกว่า... พอว่ายข้ามเชือกไปแล้วเงยหน้าอีกที.. ตานี่ก็ยังมองอยู่ แล้วเค้าก็พูดว่า “เป็นยังไงสวยมั๊ย”

ฮั้วก็ตอบไปว่า “สวยดี” ..

“จริง ๆ เค้าไม่ให้ข้ามไปนะ เพราะบริเวณนี้เป็นที่ reserved ไว้ เพราะคนส่วนใหญ่ชอบเหยียบปะการังตอนพักเหนื่อย” เค้าบอกมา

อ๋อ.. ถึงบางอ้อ ทำไมมาจ้องอยู่ได้ตั้งนาน .. จริง ๆ เค้าเป็นห่วงปะการัง.. ฮั้วก็เลยบอกว่า “ชั้นถึงใส่เสื้อชูชีพงัย จะได้ไม่ต้องเหยียบ”

เค้าก็ยิ้ม ๆ แล้วบอกว่า “แต่บางคนเค้าก็ไม่เข้าใจ” แล้วเราก็ยิ้ม ๆ ให้กัน แล้วฮั้วก็ว่ายน้ำต่อไป... จริง ๆ แฮะ.. เห็นหลายคนมาก ๆ ว่าชอบเหยียบปะการัง ถึงแม้ว่าเค้าเหล่านั้นใส่เสื้อชูชีพอยู่.. ไม่เข้าใจจริง ๆ เลย.. ได้โปรดเถอะ.. การเหยียบปะกางรังน่ะ ทำให้พวกมันตายนะ เค้าจะรู้บ้างมั๊ย..กว่าพวกมันจะโตขึ้นมาได้ใช้เวลานานนับปี



เราวน ๆ ว่ายกลับไปกลับมา เดี๋ยวก็ขึ้นฝั่งไปพักบ้าง เดี๋ยวก็ลงมาว่ายต่อ.. ความกลัวฮั้วหายไปแล้วล่ะ แล้วก็สนุกกับการดูปลามาก ๆ ตอนแรกคิดว่า Pulau Payar Marine Park (ลังกาวี) ก็สวยแล้วนะ .. แต่ที่นี่ฮั้วได้เจอนีโมกับปลาแปลก ๆ มากมาย.. แถมยังชอบเล่นกล้องด้วยนะ เหมือนรู้ว่าเป็นดาราดัง .. ว่ายมาวนเวียนแถว ๆ กล้องตลอด นับว่าคุ้มจริง ๆ เลย



พอช่วงใกล้เที่ยงครึ่ง ก็ต้องเตรียมเก็บของ เพราะเรือที่นัดไว้จะมารับเวลานี้เพื่อเดินทางไปเกาะ Manukan กันต่อ.. เค้าก็มาตรงเวลาเป๊ะ ไม่มีขาด ไม่มีเกิน... การนั่งเรือจากซาปีไปมานูกัน เสียเวลาแค่ห้านาที .. มันใกล้กันมาก (ขนาดนั้นเลย)... แต่ที่นี่ตอนแรก มองจากเรือสวยดีนะ .. น้ำใสแจ๋ว เห็นสันทรายใต้ทะเลยาวสุดลูกหูลูกตา .. มาที่เกาะนี้ เราไม่ต้องเสียค่าขึ้นเกาะแล้ว .. เพราะเสียไปเรียบร้อยแล้ว.. เจ้าหน้าที่ก็แค่ถามว่าเสียมายัง.. ไว้ใจมาก ๆ เลยอ่ะ ไม่ต้องโชว์ใบเสร็จด้วย

ที่เกาะนี้มีเชือกล้อมแบบใกล้หาดมาก.. ตอนแรกที่เห็นก็ยังงง ๆ ว่าทำไมใกล้จัง พอกระโดดลงไปเท่านั้นแหละ ถึงรู้ว่าทรายอ่ะยาวแค่ประมาณ 100 – 150 เมตรเอง พอเลยเชือกออกไปเป็นเหวเลย.. มืดทะมึนน่ากลัวมาก.. ขนาดใส่เสื้อชูชีพยังแอบเสียวเลย... แต่ว่าพวกเราเห็นจุดดำน้ำ (สังเกตุจากกลุ่มคนที่ดำผุดดำว่าย) ว่าน่าจะเลยออกไปอีกด้านนึง จึงว่ายตามไปด้านนั้นบ้าง

แต่กลับเป็นว่า ด้านนี้มีแต่ทราย ไม่มีปะการังเลย .. และเต็มไปด้วยปลิงทะเล.. อี๋น่าเกลียดมาก... แต่พวกเราก็ยังพยายามว่ายออกไปไกลอีกจนถึงที่ค่อนข้างลึก ในที่สุดจึงเริ่มเห็นฝูงปลาและปะการัง..



ถ้าให้เปรียบเทียบกันระหว่างโลกใต้น้ำของเกาะซาปีกับที่นี่ ฮั้วชอบที่เกาะซาปีมากกว่า รู้สึกว่ามีปลาหลากชนิดและเยอะกว่านี้ ถึงแม้ว่าที่มานูกันก็มีปะการังเยอะ (ถ้าว่ายออกไปไกล) แต่ตัวปลาจะคล้าย ๆ กันไปหมด หรือฮั้วไม่รู้จักปลาพวกนั้นและหาความแตกต่างไม่ได้ก็ไม่รู้



แดดที่ชายทะเลที่นี่ก็แรงมาก ๆ ตัวปวดแสบปวดร้อนไปหมดถ้าไม่ได้อยู่ในน้ำ ที่นี่เราจึงว่ายกันพอเหนื่อย แล้วก็กลับขึ้นฝั่งมานอนเล่น ซึ่งฮั้วก็หลับปุ๋ยไปเลย...ตื่นขึ้นมานั่งเล่นซักพัก ก็ถึงเวลาที่เรือจะมารับ (ประมาณสี่โมง)

หลังจากที่แทบไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน พอกลับมาที่ท่าเรือเราจึงตัดสินใจหาอาหารแถวนั้นกินกัน มองไปเห็นร้านอาหารหนึ่งเขียนว่าเป็นแนว asian food เลยเลือกที่จะนั่ง ฮั้วสั่งข้าวผัดกะเพราเพราะอยากกินอาหารไทย (เริ่มคิดถึงอาหารไทย).. พอเราพูดกันเป็นภาษาไทยเท่านั้นแหละ.. พนักงานเสิร์ฟก็บอกว่า “อ้าว เป็นคนไทยเหรอคะ”.. แอบตกใจเล็กน้อยทำไมพูดไทยได้หว่า...

เค้าบอกว่าเค้าเป็นคนไทยแต่มาทำธุรกิจที่นี่ .. ก็เลยแซวเค้าไปว่า งั้นอาหารมื้อนี้ก็มั่นใจได้ว่าได้รสชาติไทยแน่ ๆ สิ... แต่เค้าบอกว่าเค้าไม่ได้ทำเอง..สอนพ่อครัวทำอีกทีนึง .. แต่ก็นะ คนไทยสอนเอง.. มันก็น่าจะออกมาดีใช่มะ..

แต่.. ไม่ใช่แฮะ.. ไม่ค่อยรสไทยเท่าไหร่เลย.. แถมหน้าตาก็แปลก ๆ ตอนแรกที่พี่เค้าเค้าบอกว่าไม่มีใบกะเพรานะ แต่ใช้เป็นโหระพาแทน.. ก็พอโอเคอยู่.. แต่หน้าตาไม่ใช่ผัดกะเพราเนี่ย.. ยอมไม่ได้อ่ะ.. พิสูจน์ได้ตามรูปข้างล่าง



มื้อนี้เลยกินแค่พออิ่ม เพราะเราวางแผนกันว่าอยากไปกินไอติม all you can eat ที่เห็นเมื่อวันแรก ๆ .. เราจึงต้องจากลา Jesselton Point เดินกลับเข้ามาที่ตัวเมืองไปที่ร้านไอติมที่เล็งไว้ แต่พอเดินไปถึง.. กลับกลายเป็นว่าเค้าจำกัดช่วงเวลาแค่ตอนเช้า... อุตส่าห์เผื่อท้องไว้กินไอติม.. เซ็งจริง ๆ ..สุดท้ายเลยไปซื้อไอติมโคนหมุน ๆ มากินแทน... เอานะ.. งัย ๆ ก็ได้กินเหมือนกัน



พอเดิน ๆ แบบเหนื่อยได้ที่ ก็เลยเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม อาบน้ำ เตรียมเก็บของดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้ามือ (ไฟล์ทกลับ 6.30) .. แต่พอฮั้วเข้าไปอาบน้ำ กลับกลายเป็นว่าน้ำจากที่ไหล 30% เมื่อวานกลับกลายเป็น 10% ในวันนี้.. อารมณ์หงุดหงิดเป็นสองเท่า .. อะไรเนี่ย.. ทำไมมีแต่ปัญหาตลอดกับห้องของโรงแรมนี้ ..

ฮั้วเลยต้องโทรไปหา front desk อีกที บอกให้เค้าตามช่างมาด่วน.. (ชั้นจะอาบน้ำ)... รอติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อกไปครึ่งชั่วโมง.. ยังไม่มีใครมาเคาะประตูเลย... จนต้องโทรไปอีกรอบ เริ่มบ่นยาวกว่าเดิม.. คราวนี้ช่างถึงมาได้... พอเค้ามาเช็คน้ำ.. เค้าก็บอกว่าให้เปิดก๊อกทิ้งไว้ก่อน เดี๋ยวเค้ากลับมา

เราก็นอนฟังเสียงก๊อกน้ำจากไหลเอื่อย ๆ เป็นไหลซู่ซ่า ฝักบัวมีน้ำไหล 50% แรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้แล้ว.. ตานี่ก็ยังไม่กลับ... ไรฟะ.. เค้าลืมคำพูดเค้า หรือชั้นไม่เข้าใจภาษาเค้ากันนี่ ... หลังจากรอตานี่กลับมาประมาณ 15 นาที.. ก็ตัดใจ ช่างเค้าละ.. ชั้นจะอาบละ.. สุดท้ายตานี่ก็ไม่กลับมาอีกเลย.. จำไว้เลย ปล่อยให้เค้ารอ.. ฮึ


วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2550

ยัง.. ยังไม่จบ.. เช้าวันรุ่งขึ้นเราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมตั้งแต่ตีห้า เพื่อที่จะเดินทางไปยังสนามบิน (ซึ่งจากโรงแรมนับว่าใกล้มาก) หลังจากถามพนักงานมาแล้วว่าค่าแท็กซี่จะอยู่ที่เท่าไหร่ (ประมาณ 15 ริงกิต).. เราก็เรียกแท็กซี่ได้หนึ่งคัน ซึ่งเค้าบอกว่า 18 ริงกิต

พอนั่งไปถึงสนามบิน.. พอยื่นแบ็งค์ยี่สิบไปให้ ตานี่กลับบอกว่า 30 ต่างหาก.. พวกเราก็ยืนเถียงกันว่า “ชั้นถามเธอแล้วว่าเท่าไหร่ ยูก็บอก 18 แล้วไหงกลายเป็น 30 ไปได้...” เค้าก็บอก “ชั้นบอกเธอสามสิบ”... ในที่สุด เราก็เดินจากมาอย่างไม่สนใจใยดี.. ตาแท็กซี่ก็ตะโกนเรียกเราให้กลับไป แล้วก็ยืนด่าเราซักพัก สุดท้ายก็ขับรถจากไป... ดีนะ..ที่ไม่วิ่งตามมาฉุดกระชากลากถูกัน ไม่งั้นมีเรื่องแน่ ๆ

ถึงแม้ว่าเราจะส่งท้ายทริปโคตาฯ ด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ .. แต่โดยรวมของทริปนี้ เรียกได้ว่าน่าประทับใจเป็นที่สุด .. โดยเฉพาะเราพิสูจน์แล้วว่าการไปเที่ยวโคตาคินาบาลูนั้น ไม่จำเป็นต้องไปปีนเขาอย่างเดียว ที่นี่เหมือนเป็นศูนย์กลางให้ไปเที่ยวต่อตามที่ต่าง ๆ ในรัฐซาบาห์หรือจะข้ามไปเที่ยวบรูไนอย่างที่เราลองกันก็ได้

ผู้คนที่นี่ก็น่ารัก (โดยรวม) ให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวค่อนข้างดี ความปลอดภัยค่อนข้างสูง (แต่ก็อย่าประมาท) อาหารอร่อย ที่เที่ยวหลากหลาย ผู้คนไม่พลุกพล่าน เจ้าของถิ่นก็ไม่ก้าวร้าวหรือรุกรานเรา พวกขายของหรือแท็กซี่พอเราปฏิเสธก็หยุดไม่ตื๊อต่อ ค่าครองชีพไม่ได้สูงมากจนเที่ยวไม่ได้

ค่าใช้จ่ายทริปนี้ทั้งหมดไม่เกิน 13,000 บาทต่อคน แบ่งเป็น:
ค่าตั๋วไปกลับ 2,450 บาท
ค่าที่พักประมาณ 4,700 บาท
ค่ากิน ค่าเดินทาง และอื่น ๆ 5,600 บาท


สุดท้ายนี้ .. ฮั้วคิดว่าคงได้กลับไปโคตาฯ อีกแน่ ๆ ในวันข้างหน้า.. ถ้าร่างกายและอารมณ์เอื้ออำนวยฮั้วคงได้ปีนขึ้น Mt.Kinabalu ซักวัน.. แต่ยังไงซะ ฮั้วจะกลับไปที่นี่แน่ ๆ เพื่อสิปาดัน.. โฮ่ โฮ่ โฮ่

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ.. ไว้เจอกันทริปต่อไปนะคะ



ป.ล. ชมภาพเพิ่มเติมและเต็มตาได้ที่นี่

Photo Album for Kota Kinabalu and Brunei

Photo Album for Underwater Lives in TAR




Create Date : 24 เมษายน 2550
Last Update : 25 เมษายน 2550 8:28:36 น.
Counter : 1383 Pageviews.

8 comments
  
ตามเข้ามาอ่าน Review ครับ เผื่อจะไปบ้าง
อ่านไว้ก่อนครับ ปีนี้โปรแกรมป๋มเต็มแว้ววว
โดย: Title_boy วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:22:06:46 น.
  
เป็นรีวิวที่ยอดเยี่ยมมากครับ... ภาพถ่ายสวย เล่าเรื่องสนุกมากครับ
โดย: wut3616 IP: 125.25.196.57 วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:10:45:10 น.
  
ขอบคุณมากค่ะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:11:08:45 น.
  
บรรยายได้ดีจัง...ค่ะ
โดย: minna_noon IP: 202.57.168.53 วันที่: 1 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:31:57 น.
  
เขียนบรรยายสนุกดีค่ะ เหมือนเราได้ไปเที่ยวด้วยเลยอ่า
โดย: นู๋ปรางฝันเฟื่องเรื่องเที่ยว วันที่: 9 พฤษภาคม 2550 เวลา:7:54:55 น.
  
ตอนแรกนึกว่าไปปีนโคตาฯ ด้วยนะนี่ ...
ยังไงคราวหน้ารอดูนะครับ ...
โดย: Oatta (SF-The KOP ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:28:02 น.
  
สวยมาก ๆ เลยครับ

ตะลึงงัน ความงามใต้บาดาล

ถ่ายภาพสวยจริง ๆ ครับ

ไว้ผมไปจะมาขอคำแนะนำนะครับ
โดย: DAN_KRAB วันที่: 24 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:57:06 น.
  
แอร์เอเชียไม่น่ายกเลิกบินตรงกรุงเทพ - โคตาคินาบาลูเลย
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:23:48:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gorgeous Girl
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
เมษายน 2550

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
22
25
26
27
28
29
30
 
 
24 เมษายน 2550
  •  Bloggang.com