A Journey Of A Thousand Miles Must Begin With A Single Step!!
|
|||||
KK Trip Journal (Day 1) กลับมาแล้วจ้าจากทริปโคตาคินาบาลู เป็นทริปที่สนุกมาก ๆ เป็นชีพจรรองเท้าสุด ๆ เปลี่ยนสถานที่ทุกวัน เปลี่ยนโรงแรมแทบจะทุกวัน เรียกว่าไม่ต้องเอาของออกจากกระเป๋าเลย การเดินทางครั้งนี้เป็นการจองตั๋วแอร์เอเชียศูนย์บาทตอนเดือนมกราคม ซึ่งได้ค่าตั๋วไปกลับกรุงเทพ-โคตาฯ ณ ราคา 2,450 บาท นับว่าถูกมาก ๆ โดยมีช่วงเวลาเดินทางระหว่าง 12-17 เมษายน เมืองโคตาคินาบาลู (Kota Kinabalu) หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า โคตาฯ หรือ KK เป็นเมืองที่เรียกได้ว่าเมืองหลวงและใหญ่ที่สุดในรัฐ Sabah เป็นเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ปัจจุบันเป็นเมืองผ่านเพื่อเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองอื่น ๆ หรือสถานที่ใกล้เคียงในรัฐนี้ เช่น การปีนเขาที่ภูเขาคินาบาลู หรือต่อไปดำน้ำที่สิปาดัน ส่วนฮั้วเหรอ .. ไปเมืองนี้ไม่ใช่เพื่อปีนเขาหรือไปดำน้ำที่สิปาดันหรอก แต่เป็นจุดต่อไปที่บรูไนต่างหาก ..อยากรู้เรื่องราวก็ตามกันมาเลย... วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 เราเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะไฟล์ทที่ไปเลื่อนจากช่วงบ่ายมาเป็นช่วงเช้า 8.45 รีบออกจากบ้านไปเช็คอินแต่เช้า ทริปนี้ฮั้วก็แค่เอากระเป๋าเป้อันใหญ่ ซึ่งบานออกเรื่อย ๆ ..จนวันกลับแทบจะหลังแอ้เพราะหนักมาก ตามแผนการคือเราจะเที่ยวโคตาฯ ก่อนในวันนี้ แล้วค่อยนั่งเรือต่อไปที่บรูไนในวันรุ่งขึ้น หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราก็ไปที่เคาเตอร์เพื่อเรียกแท็กซี่ โดยราคาเป็นมาตรฐานมาก เราก็แค่บอกเค้าว่าจะไปพักที่ trekkers lodge เค้าก็ชาร์จราคามาที่ 20 ริงกิต แท็กซี่ก็พาเราเข้าเมืองมา จริง ๆ แล้วสนามบินที่นี่ไม่ไกลจากเมืองเท่าไหร่เลย นั่งรถมาประมาณสิบนาทีก็ถึงที่พักแล้ว เมืองที่โคตาฯ จะว่าไปก็มีลักษณะคล้าย ๆ เมืองอื่น ๆ ในประเทศมาเลเซีย แบ่งเป็นบล็อค ๆ บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน รถไม่ค่อยติด เพราะฉะนั้นใครจะมามาเลเซีย ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อแพ็คเกจมาหรอกนะ เพราะเดินเที่ยวเองง่ายมาก ๆ ที่พักนี้ Trekkers Lodge (Trekkers Lodge website) เราจองห้องพักผ่านเว็บ hostel ตอนแรกเกือบหาประตูเข้าไม่เจอแน่ะ เพราะเป็นตึกแถวมีประตูเหล็กเล็ก ๆ แล้วต้องขึ้นบันไดไปเช็คอิน...ลึกลับซับซ้อนมาก ๆ ห้องที่จองไว้เป็นห้องแอร์แบบสองคนและมีห้องน้ำในตัว เพราะส่วนตัวแล้วไม่อยากจะไปนอนรวมกับใคร โดยเฉพาะทั้งฮั้วและเพื่อนเป็นหญิงสาวหน้าตาดี (แหวะ..) ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน ราคาห้องพักแบบนี้ก็ไม่แพงแค่ 65 ริงกิตต่อคืน ในห้องก็มีเตียงเดี่ยวให้สองเตียงและเตียงสองชั้นให้อีกหนึ่ง มีพัดลมและแอร์ให้ ส่วนห้องน้ำในห้องก็เล็ก ๆ ตามสภาพของที่พักแบบนี้ .. ที่นี่นับเป็นการพักแบบ hostel ครั้งแรกในชีวิต แต่ก็เตรียมใจมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าคงไม่ได้เลิศหรูอะไร อีกอย่างเราจะนอนกันที่นี่แค่คืนเดียว จึงนับได้ว่าเป็นห้องที่ค่อนข้างใช้ได้ทีเดียว แต่เสียอยู่อย่างเดียวฝักบัวสูงมาก ๆ ค่ะ.. กว่าน้ำจะตกมาถึงตัวก็เรียกได้ว่าเอื่อยเต็มทน หลังจากเอากระเป๋าแปะไว้ที่ห้องและพักผ่อนซักพัก ก็ถึงเวลาออกเดินเที่ยวในตัวเมืองโคตาฯ แต่ก่อนอื่นเลยก็ต้องเตรียมกำลังกายซักหน่อย จากการสืบค้นข้อมูลมา เค้าว่ากันว่าแถว ๆ ที่พักนี้มีร้านบักกุดเต๋แสนอร่อย ซึ่งเราคาดกันว่าเป็นร้านที่อยู่ติดกับ trekkers lodge เลย หลังจากเดินวนดูจำนวนคนในร้านซักพัก ก็ตัดสินใจลองร้านนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะอร่อย เพราะคนนั่งกันเต็มร้าน แต่น่าเสียดายที่เค้าขายบักกุดเต๋กันเฉพาะตอนเย็น แต่กว่าจะสั่งได้รู้เรื่องก็เรียกว่างง ๆ อยู่นาน เพราะพนักงานไม่เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ส่วนฮั้วก็ไม่เชียวชาญภาษามาเลย์ รู้แต่ว่า Ayam แปลว่าไก่ และ Nasi แปลว่าข้าว สุดท้ายก็เลยได้ข้าวมันไก่กับก๋วยเตี๋ยวเป็ดย่างมากินเป็นอาหารกลางวัน พอเติมพลังเสร็จก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง (ซักที) โดยหลังจากศึกษาแผนที่ (ที่หยิบมาจากสนามบิน) และแผนที่วางไว้ก็ตัดสินใจเดินข้ามถนนไปทาง central market ก่อนเลย ระหว่างทางก็เห็นร้านไอศครีมที่เขียนว่า all you can eat .. ช่างยั่วยวนเหลือเกิน.. เราเลยเล็ง ๆ กันไว้ว่าจะแวะมากิน (แต่ในที่สุด ก็ไม่ได้กิน) ...อากาศที่นี่ร้อนมาก ๆ แดดเปรี้ยงสุด ๆ แต่เราก็ยังเดินทางไปยังตลาด ผ่านร้านค้า ห้าง KFC เพื่อไปดูตลาดและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ ตลาดที่นี่จะติดทะเลเลย มีที่หลัก ๆ ที่น่าจะแวะไปดูคือ Central market ซึ่งก็คือตลาดธรรมดาที่บ้านเรา จะขายของแห้ง ผัก ผลไม้ ของกินต่าง ๆ ส่วนต่อไปก็เป็น Handicraft market ซึ่งจะขายของที่ระลึก พวกงานหัตถกรรมของที่นี่ (หรือบางทีอาจจะเอามาจากไทยก็ได้) เครื่องประดับ เพชรพลอย แต่เสียอย่างเดียว.. ทุกร้านขายของเหมือนกันหมดเลย ตัวสินค้าก็เหมือนกัน ราคาก็คิดว่าน่าจะเท่ากัน ..แตกต่างกับประเทศไทยที่แต่ละร้านจะพยายามหาจุดขายและความแตกต่าง ซึ่งทำให้ดูน่าค้นหามากกว่า ส่วนตลาดสุดท้ายก็คือ Wet market อันนี้ได้ไปค้นพบเอาหลัง (ไว้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง) อากาศร้อน ๆ ขนาดนี้ เราก็เลยนั่งพักดื่มน้ำมะพร้าวกันซักหน่อย ... แต่ไม่ได้เย็นชื่นใจนะ เพราะเค้าไม่ได้แช่เย็น รสชาติเลยเฝื่อน ๆ ไม่หวานและไม่เย็น.. ระหว่างที่นั่งอยู่แม่ค้าสองคนนี้ก็เติมกาแฟในถัง ซึ่งฮั้วคิดว่านับเป็นโชคดีที่ไม่ได้สั่ง.. เพราะเค้าจะเอาน้ำกาแฟเทลงไป ตามด้วยน้ำหวาน ตามด้วยน้ำแข็ง และนมทั้งกระป๋อง ... อืม.. ไม่คิดว่าจะอร่อยแฮะ... เหมือนเทข้าวให้หมูกินยังไงไม่รู้ หลังจากจ่ายค่าน้ำมะพร้าว (สดจากลูก) 2 ริงกิต เราก็ออกเดินกันต่อไปรอบ ๆ เมือง ผ่าน Atkinson Clock Tower ซึ่งตอนแรกพยายามหาทางไปตั้งนาน เพราะตามแผนที่เหมือนว่าจะต้องขึ้นเขาไปอีก.. แล้วตอนนั้นหาแท็กซี่หรือรถที่จะไปกันไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจไม่ไป ...แต่ก็เดินผ่านจนได้ เพราะจริง ๆ ก็ติดถนนเลยล่ะ และเป็น landmark ที่เรียกได้ว่าเล็กมาก ๆ เราตัดสินใจไม่ไป Signal Hill Observatory แต่ไปสำรวจท่าเรือที่จะไปบรูไนแทน เพราะเราต้องออกเดินทางแต่เช้า เลยต้องพิสูจน์ว่าสามารถเดินไปได้หรือต้องเรียกรถแท็กซี่ไป ระหว่างทางก็หยุดแวะถ่ายรูป สำรวจเส้นทางกับแผนที่อยู่เป็นพัก ๆ เพราะอย่างที่บอก.. อากาศร้อนมาก ๆ ๆ ๆ ๆ แต่ยังสู้ตายค่ะ แต่ด้วยระยะเวลาเดินประมาณสิบห้านาที (จากที่พัก) ก็ถึงท่าเรือ Jesselton Point ณ ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว ตัวเคาเตอร์ขายตั๋วจึงปิดไปแล้ว แต่เราก็ไปสำรวจราคาตั๋วที่จะไปเที่ยว Tunku Abdul Rahman National Park (TAR) ที่จะไปในวันสุดท้าย คนขายตั๋วพูดเก่งและวกวนมาก ๆ กว่าจะรู้เรื่องกันก็ใช้เวลานานพอสมควร สุดท้ายก็เลยนั่งรับลมอยู่ที่ท่าเรือก่อนที่จะเดินกลับมาแถว ๆ ในเมืองเพื่อหาอะไรกิน ระหว่างที่เดินรอบ ๆ เมือง ฮั้วจะได้ยินเสียงเรียก เสียงแซว เสียงทักทาย อยู่ตลอด อาจเป็นเพราะเราเป็นผู้หญิง (หน้าตาดี) เดินกันอยู่สองคน เดี๋ยวก็มี hello หรือผิวปากอยู่ตลอด บางทีพอเราบอกว่ามาจากเมืองไทย ก็จะมีการทักทายกลับมาว่า สวัสดี (ครับ) อยู่เสมอ จริง ๆ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเค้าจะคิดยังไง เวลาบอกเค้าว่าเรามาจากเมืองไทย แต่ส่วนใหญ่ที่ทำคือ ต้องทำไม่สนใจหรือไม่ได้ยินกับพวกปากอยู่ไม่สุข .. หรือยิ้มแต่พองามกับคนที่เราไปคุยด้วย .. เรียกได้ว่าวัฒนธรรมการแซวเนี่ยไม่ได้มีแต่เฉพาะในเมืองไทยนะจ๊ะ แต่ฮั้วก็คิดว่าเป็นผู้หญิงเดินทางใช่จะน่ากลัวอย่างเดียวนะ เพราะว่าข้อดีของการเป็นผู้หญิงคือคนยินดีที่จะช่วยเรา เพราะเค้าไม่คิดว่าเราอันตราย และความเป็นเพศหญิงทำให้คนอยากให้ความช่วยเหลือ หรืออาจจะโดยเฉพาะเราเป็นคนไทย ไม่ว่าจะยังไงเราก็ยิ้มอยู่เสมอ... แต่ยังไงซะ ไม่ว่าเค้าจะดู friendly ยังไงก็ตาม ก็ต้องระวังอยู่เสมอนะ ..อย่าประมาท กลับมารอบนี้ก็ต้องไม่พลาดบักกุดเต๋ที่เล็งไว้ตั้งแต่กลางวัน แต่ที่นี่มีร้านบักกุดเต๋อยู่หลายเหมือนกัน เราก็ใช้ทริคเดิมคือดูจำนวนคนกินเป็นหลัก แล้วก็ค้นพบว่าร้านที่เรากินอาหารกลางวันหรือร้านที่อยู่ติดกับที่พักเรานั่นแหละ น่าจะอร่อยที่สุด เพราะคนก็เต็มร้าน (อีกแล้ว)... แต่เข้าไปรอบนี้ก็ดีหน่อยที่มีพนักงานพูดภาษาอังกฤษและมีเมนูที่มีภาพก็เลยเลือกง่ายหน่อย แล้วก็นับได้ว่าไม่เสียเที่ยวจริง ๆ ร้านนี้อร่อยมาก ๆ อ่ะ คิดแล้วก็อยากกินอีก หลังจากอิ่มแปร้.. เราก็กลับห้องพักเล็ก ๆ เพื่อพักผ่อนหลังจากที่เดินเหนื่อยมาทั้งวัน เนื่องจากไม่มีทีวีในห้อง สองสาวเลยนอนคุยเรื่องจุ๊กจิ๊กกันไปจนหลับ... แต่ฮั้วก็ไม่ได้หลับสบายเลย อาจเพราะเป็นครั้งแรกกับที่พักแบบนี้ เลยทำให้ค่อนข้างกังวลว่าจะมีคนเข้ามาในห้องได้หรือเปล่า แถมยังได้ยินเสียงคนคุยกันจากข้างนอก (ถนน) บ้าง เสียงรถบ้าง เลยกลายเป็นการนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปตลอดทั้งคืน..... ..ยัง.. ยังไม่จบ ..ติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่นี่จ๊ะ บันทึกการเดินทางทริปโคตาคินาบาลู (วันที่สอง) ใช่ค่ะ น่าไปมาก ๆ ตอนนี้มีโปรศูนย์บาทด้วยนะคะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 20 เมษายน 2550 เวลา:8:47:34 น.
ฮั้วไปพร้อมพี่จี้เลยจ้า
แต่พี่จี้เค้าไปปีนเขาอ่ะ รอดูรูปอยู่เหมือนกัน แก้มยุ้ยจอง 0 บาท ไปเวียดนามตอนสิงหาโน้น อีกนานเลย โดย: หมวยแก้มป่อง วันที่: 20 เมษายน 2550 เวลา:10:00:11 น.
ตามมาดูคะ
(แอบขอเก็บข้อมูลด้วยนะคะ) โดย: daijubudai IP: 58.8.14.74 วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:21:22:47 น.
งั้นฮั้วจะรอแก้มยุ้ยมารีวิวเวียดนามนะจ๊ะ ของฮั้วจองไว้เป็นกุมภาฯ ปีหน้าแน่ะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:21:35:43 น.
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:19:52:23 น.
อยากไปด้วยครับ ...
ชาหรือกาแฟเย็นเขาขายใส่โหลได้ใหญ่สะใจจริงๆ ... โดย: Oatta (SF-The KOP ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:11:55 น.
Oatta - ใช่ค่ะ.. แต่ท่าทางน้ำตาลเยอะพอดู
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 14 มิถุนายน 2550 เวลา:13:25:05 น.
อยากไปเที่ยวบ้างจังแพงมั๊ยคะเนี่ย สวยดี
โดย: May IP: 58.10.192.86 วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:22:34:00 น.
เป็น blog มาเลย์ และแปลภาษามาเลย์ได้ดีจริงๆครับ
โดย: ต้าโก่ว วันที่: 12 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:49:35 น.
|
Gorgeous Girl
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
โอ้โหเข้ามาเจอน้ำมะพร้าวเกิดอาการอยากทานขึ้นมาเลยค่ะ เพราะวันนี้ร้อนมาก ๆ
อาหารก้อน่าทานจัง ทำให้ท้องเริ่มร้องแล้วค่ะ