YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
วันที่ 16 จุ่มตัวลงคงคา กับมันตราของนักบวช





หนึ่งวันเต็มวันสุดท้ายในฤาษีเกศ

วันนี้ตั้งใจจะอุทิศให้แม่น้ำคงคา

ตื่นเช้ากว่าทุกวันเพื่อไปนั่งริมน้ำ

เดินห่างออกจากผู้คน

อยากเก็บพลังแม่น้ำคงคาให้เต็มปอด 


มีคนถามชอบอะไรในฤาษีเกศมากที่สุด

บอกเลย แม่น้ำคงคา

รองลงมาคือแววตาของคน


แม่น้ำคงคายามเช้าสงบมาก

เสียงแตรไม่มีให้ได้ยิน มีแต่เสียงนกร้อง

ก้องกลับไปกลับมา กังวานประหลาด

เสียงน้ำกระทบหิน เสียงลมพัด

เสียงเหล่านี้ถ้าไม่ฟัง จะไม่มีทางได้ยินเลย

แต่เมื่อไหร่ที่ได้เงี่ยหูฟัง

เมื่อนั้นเสียงอื่นจะเงียบสนิท

และพลังของแม่น้ำยิ่งชัดเจน




มึคนถาม ไปนั่งอยู่ตรงไหน 

มีด้วยหรือ มุมเงียบๆ ในอินเดีย

โดยเฉพาะข้างๆ สะพานลักษมันจุฬา

ที่คล้ายๆ ถนนข้าวสารแห่งฤาษีเกศ

มุมที่ไปนี้ไม่ห่างจากผู้คนเขาหรอก

เพียงแต่มันไม่มีร้านค้า 

เป็นทางลาดลงหลัง German Bakery อันโด่งดัง

ทางลงอยู่ตรงโรงเรียนสัตยาไสพอดี

แนวหินก้อนใหญ่ๆ หลายร้อยก้อนเรียงตัวกันอยู่ริมน้ำ

ฝั่งตรงข้ามแนวหินนี้มีร้านอาหารอยู่บ้าง

มีโรงแรมที่ยังสร้างไม่เสร็จ 

มีท่าน้ำเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนใช้

ยิ่งถ้าเป็นตอนเช้าแล้ว เหมือนกับว่า

แม่น้ำทั้งสายเป็นของเราเลยทีเดียว




การนั่งนิ่งๆ ง่ายขึ้นกว่าวันแรกๆ ที่มาถึง

ยิ่งได้มานั่งริมน้ำ การกำหนดนิ่งยิ่งง่าย

ฤาษีเกศนี้ ยิ่งอยู่นาน ยิ่งนิ่ง ยิ่งสงบ 

แปลกที่บ้านเมืองเขาก็ไม่ได้สงบหรอกนะ

มีคนถาม อยู่หลายวันไม่เบื่อเหรอ

ไม่อยากไปเที่ยวเมืองอื่นบ้างเหรอ

คำตอบคือ ไม่ เหมือนอยู่บ้าน

ถึงขนาดว่าใกล้กลับแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับ

ออกจากเมืองนี้แล้วรู้สึกเหมือนต้องไปผจญภัย

ไม่ใช่ทางกลับบ้าน

ไม่ได้อยากสำรวจอินเดีย ไม่ได้อยากเที่ยว

อยากนั่งนิ่งๆ อยู่ที่ฤาษีเกศมากกว่า

อยากจมลงไปในความเป็นฤาษีเกศ

ซึมซับพลังงาน และทำความรู้จักให้ลึกๆ

เช้านี้เราใช้โอกาสนิ่งๆ นี้ สำรวจเข้าไปในตัวเอง


นิ่ง จนเห็น

ลมหายใจออก..

ยาวกว่าลมหายใจเข้า

เป็นจริงกว่าลมหายใจเข้า

เสถียรคงทนกว่าลมหายใจเข้า

ลมหายใจเข้ารวบรวมกันเข้าไปในร่างกาย

แต่ไม่เสถียร ไม่คงทน คงอยู่เพียงชั่วครู่

สุดท้ายก็ต้องปล่อยกลับออกมา

สลายกลับไปรวมกับจุดกำเนิดของมัน


ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าแม่น้ำคงคา

ขอพลังแห่งแม่น้ำคงคาไหลผ่านจิต

ให้ใจดวงนี้อ่อนนุ่ม ให้ตาคู่นี้เปิดออก

ให้ได้เห็นความงดงามของความเชื่อมโยง

อันเก่าแก่และไพศาลแห่งจักรวาล


มีเสียงแตรดังแทรกเข้ามา 

เสียงเร่งเครื่องจักรยานยนต์

เสียงน้ำไหล เสียงนกร้อง เสียงคนพูดคุย

ทุกอย่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

เป็นทุกๆ ส่วนของที่แห่งนี้

มันมีเสน่ห์ของมันอยู่นะ




ตะวันเริ่มขึ้นสูง ความอุ่นแผ่เข้ามา

เริ่มรู้สึกถึงความเหน็บชาที่ขา

เลยขยับร่างกาย ลืมตากลับสู่ภาพตรงหน้า

สิ่งแรกที่กระทบสายตาคือลำน้ำนั่นเอง

เรานั่งมองน้ำอยู่อย่างนั้นพักใหญ่

สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ 

พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางแล้ว

ยังไม่แน่ใจว่าจะได้มาตรงนี้ไหม

อยากเก็บสัมผัสนี้ไว้ให้มากที่สุด

ไม่ใช่ในความทรงจำ

แต่ในพลังงานของร่างกาย

นึกถึงเสียงเพลงของใครไม่รู้

ที่ดังมาอีกครั้งจากอีกฝั่งของลำน้ำเมื่อวานนี้

เราเริ่มต้นฮัมเพลงในลำคอ 

เพลงอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าอยากร้อง

ทำนองเพราะด้วยสิ  ^^"


ได้รับข้อความจากเพื่อนที่โฮสเทลว่า

วันนี้น้องนีน่า ชาวออสเตรเลียนจะย้ายออก

ไปเข้าโรงเรียนโยคะ

เราเลยเดินกลับไปกินข้าวกับน้องที่โฮสเทล

แวะถ่ายรูปกับโยคีที่เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น

หน้าเหมือนครูศักดิ์ จีรศักดิ์ ศรีพันธ์เดช

ผู้เขียนหนังสือฮารีโอม โยคี

ยิ้มให้โยคีคนนี้ตลอด ไม่เคยคุยกัน 

มีแต่ก้มหัว แตะหัวใจ แล้วยิ้มให้กัน

แต่ก็คล้ายจะรู้จักกันกลายๆ ไปแล้ว



กลับมาที่ zostel  ที่นี่มีพลังงานที่แปลกมาก

เราอยู่โฮสเทลมาหลายที่ หลายแบบ

แต่ที่นี่ความผูกพันระหว่างเพื่อนร่วมโฮสเทลมันสูงกว่าที่อื่น

หรือเป็นเพราะดาดฟ้าที่จัดไว้อย่างสบายๆ

มีที่กว้างๆ หลวมๆ แต่ทุกคนรวมอยู่ในที่เดียวกัน

มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาก็รู้จักและสนิทกันเอง

ได้คุยกับหลายคน เขาบอกว่า อยากมานั่งเงียบๆ นะ

แต่ทำไมไม่รู้ อารมณ์อยากจะคุย อยากจะรู้จักผู้คนมันมีเข้ามา


อาหารเช้าที่เราสั่งก็เดิมๆ

กาแฟดำ นมร้อน กินกับมูสลี่ที่ซื้อจากร้านออร์แกนิก

แกมด้วยกล้วยกับมะละกอที่ซื้อมาบ้าง สั่งที่โฮสเทลบ้าง

พร้อมด้วยขนมปังจากร้าน German bakery

สั่งเนยถั่วมาเพิ่ม แล้วราดน้ำผึ้งที่พยายามกินให้หมดขวด

เพื่อนๆ ที่นี่เรียกเราว่าเจ้าแม่แจกของกิน

เพราะกินไปด้วย ชวนคนอื่นเขากินไปด้วย

นีน่าเป็นเด็กที่ได้ของกินจากเราบ่อยที่สุด

แบ่งสลัดกันกินครึ่งจานมาแล้วยังเคย

คือตอนนั้นเห็นน้องเขานั่งตาปริบๆ คงหิว 

แต่อยากประหยัดเงิน

อยู่นี่ไม่ได้เคี้ยวคำละ 100 ครั้งอย่างที่อาศรม

สาเหตุแรก คือ มันเผ็ด เคี้ยวไม่ไหว ร้อนปาก แหะๆ

สาเหตุที่สอง คือ เฮฮาปาร์ตี้อยู่กับคนที่โฮสเทลนี่แหละ


ได้ยินคนบ่นเหมือนกัน ว่าทำไมอาหารช้า สั่งแล้วได้อย่างอื่น

แต่เราคงอยู่นานพอที่จะเห็นพวกพนักงานเหมือนเพื่อน

เขาฟังเราไม่รู้เรื่องหรอก ภาษาอังกฤษในเมนูยังผิดๆ ถูกๆ เลย

แต่เขาเสิร์ฟเราด้วยใจ เขาทำให้เราอย่างดี 

มีกันอยู่ไม่กี่คนหรอก หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น 

เสิร์ฟผิดก็เกาหัวแกรกๆ แต่ก็ไปทำมาให้ใหม่ 

ถามว่าสั่งไปครึ่งชั่วโมงแล้วทำไมยังไม่มา

เขาก็บอกว่าเดี๋ยวๆๆ อีกสองนาทีๆๆ 

รวมกัน 10 ครั้งเป็น 20 นาทีพอดี

กลางคืนเขาก็ไม่ได้นอนในห้อง 

เขานอนกันในห้องอาหารนั่นแหละ

ส่วนใหญ่มาจากบนภูเขาหิมาลัยกัน 

แต่ละคนลูกกะตาขี้เล่นแบบใสๆ ไม่มีใครคิดร้าย

คนไม่เข้าใจก็บ่น บอกว่าไม่มีมารยาท

ทำมาผิดก็ไม่ขอโทษ แตจริงๆ แล้วที่ไม่ขอโทษน่ะ

เพราะพูดไม่เป็น




ที่โต๊ะมีพอลล่า คนออสเตรเลียลุยๆ คนหนึ่งนั่งอยู่

วันนี้นั่งหน้าเซียว บ่นกับเพื่อนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน

"ไม่รู้เป็นอะไร คิดถึงบ้าน"

นีน่าบอกว่า “มันก็มีบ้างแหละ อารมณ์แบบนี้”

แล้วก็หันมาถามเรา ว่าเราคิดถึงบ้านไหม

เป็นคำถามที่ตอบยากอยู่นะ 

ที่ตอบยากเพราะ ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

ยังไม่ทันได้ตอบ เราสามคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ

ก็กระโดดโหยงออกจากโต๊ะที่นั่งอยู่

ยกเว้นน้องชาวอังกฤษที่มีชื่อ่าอินเดียที่ลุกไม่ทัน

เพราะลิงตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะอย่างเร็ว

หยิบกล้วยไปสองใบ มองซ้ายมองขวาแล้วจากไป 

ส้มไม่เอา ทับทิม ไม่แตะ เปลือกกล้วยไม่สน 

โดดดึ๋งๆ ขึ้นไปนั่งบนหลังคา

นั่งยองๆ ปอกกล้วยเย้ย แล้วมองมาทางเรา

พอลล่าหายคิดถึงบ้านทันที

กลุ่มมนุษย์ทั้งโต๊ะเราและโต๊ะอื่นๆ ราว 10 กว่าชีวิต

ได้แต่หัวเราะ หัวเราะ และหัวเราะ 

ที่หัวเราะดังที่สุดน่าจะเป็นสาวอเมริกันผิวขาวจัด

ที่นั่งอยู่ห่างออกไปที่สุด เพราะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง

นางไม่ตกใจ แต่นางขำพวกเรา

ต่อมานางแนะนำตัวว่านางเพิ่งมาจากแอฟริกา

ไปอยู่ที่นั่นมาเป็นปี สิงสาราสัตว์ไม่ใช่ปัญหา

มีปัญหาตอนถ่ายรูปกับคนที่นั่นนั่นแหละ

วัดแสงไม่ถูก




วันนี้บอกครูไปแล้วว่าจะไม่เรียน Tabla 

เพราะจะใช้เวลาเก็บของ หาซื้อของฝาก และแพ็คกระเป๋า

สิ่งที่ต้องซื้อวันนี้คือ ของฝาก และกระโปรง

รวมถึงต้องไปเอา tracking number จากร้านแพ็คของด้วย

เพราะตั้งใจจะไปลงแม่น้ำคงคาตอนเย็น กลัวไม่มีชุดเปลี่ยน

ที่ต้องเป็นกระโปรงเพราะจะใช้แทนผ้าถุง

วันก่อนที่ลงไป ใส่กางเกง ซึ่งมันเปลี่ยนยาก แต่วันนั้นมันมืดแล้ว

วันนี้จะลงตอนฟ้ายังไม่มืด จะได้ไม่หนาวมาก 

เลยต้องหาชุดเปลี่ยนง่ายๆ หน่อย

การชอปปิ้งเหนื่อยอย่างที่เคยเหนื่อย

การซื้อของฝากคนอื่น ถ้าไม่ใช่เพราะทำมาจากใจ

มันไม่ใช่สิ่งที่สนุกเลย 

แต่วันนี้ เราสนุกนะ :)


ซื้อของเสร็จก็เดินไปร้านแพ็คของข้างไปรษณีย์

เพื่อเอา tracking number

โดนคิดตังค์เพิ่มอีก 200 รูปี เพราะเขากะน้ำหนักผิด

เราก็โวยสิ อะไรมาเรียกเพิ่มอะไร 

เอาบิลจากไปรษณีย์มาดูซื เอาเครื่องคิดเลขมาด้วย

พอเอามาดู กดเครื่องคิดเลข มั่นใจว่าโดนหลอกแน่

เราก็เห็นว่า ที่จ่ายไปเมื่อวานน่ะ มันขาดไป 300 รูปี

ตอนนั้นเจ็บใจ ไม่น่าเลยกรู จากที่ต้องจ่าย 200 เลยต้องจ่าย 300 เลย

แต่คนอินเดียดุ๊กดิ๊กหัว ชู 2 นิ้ว บอก 200 พอ

มันเจ็บใจตัวเองก็ตรงนี้แหละ 

แม้จะบอกตัวเองมาเมื่อหลายวันก่อนแล้วว่า

อินเดียสอนให้ระวัง ฤาษ๊เกศสอนว่าอย่าระแวง

แต่จนแล้วจนรอด เราก็แพ้ความกลัวในใจเราอยู่ดี

สันติมายีก็พูดนี่นา .. ควมกลัวอยู่ในหัว ตัดหัวซะ


เดินผ่านร้านเสื้อผ้าหลายร้าน ไม่ถูกใจสักร้าน

จะซื้อกระโปรงแค่ตัวเดียวทำไมยากเย็น

เดินเข้าไปร้านหนึ่ง มืดๆ คุณยายแก่ๆ เป็นคนขาย

เราถามยาย ตัวนี้เท่าไหร่ยาย

450 มีหลายสีนะ เรายังไม่ทันตอบ

ยายก็ควักสารพัดสีมาให้ดู

ใจเราชอบสีขาว แต่ก็ยังไม่ถูกใจมาก

เลยต่อเล่นๆ กะว่าให้ก็เอา ไม่ให้ก็เดิน

“450 แพงไป ยายลดให้ได้เท่าไหร่”

“เอาไป 400” ตอนนั้นใจคิดว่าแพงไป

ต่อให้ยายด่า แล้วเดินออกละกัน 

“250” ยายทำหน้าจะด่าจริงๆ ด้วย แหะๆ

เลยขอบคุณยายแล้วเดินออก

ยายบอก “งั้น 300”

เราหัวเราะบอกยายไม่เอา ขอบคุณมาก

หันหลังเดินออกยายสะกิดไหล่

“อะๆ เอาไป 250”

กึ๋ย ถึงยายจะบอกราคาสูงเกินจริงในตอนแรก

แต่ 250 นี่มันก็ถูกไปนิดนึงนะยาย 

แต่ถามว่าเอามั้ย

เอา!


ได้ของครบแล้ว เราเดินกลับบ้านไปแพ็คกระเป๋า

เดินผ่านรถเข็นขายคุกกี้อินเดีย 

ว่าจะลองหลายรอบแล้ว ลองเลยละกัน

เขาขายเป็นกล่อง เราขอซื้อ 2 ชิ้น เขาก็ขายให้

อร่อย ร้อน เพิ่งออกจากเตา 

ใครไปเดินแถวๆ สะพานลักษมันจุฬา แนะนำเลย

อร่อยจริง อะไรจริง

จำไว้ ของร้อนที่อินเดีย กินได้ค่ะ




ถึงโฮสเทลก็แวะถามรายละเอียดที่เคาน์เตอร์

เรื่องจองแทกซี่ไปเดลี วันพรุ่งนี้สำหรับสี่คน

เรา อเล็กซ์ อินเดีย และมิเลน่า (เพื่อนร่วมห้องอเล็กซ์)

เล่าแพลนให้ฟังคร่าวๆ ว่าจะไปอัครา 

เช็คอินที่ทัชมาฮาลกันด้วย

เขาถาม แล้วจะไปเดลีให้เหนื่อยทำไม

ไปอัคราเลยสิ ที่นั่นมี Zostel อยู่

เดินไปทัชมาฮาลได้เลย ใกล้มากๆ 

รออะไรละคะ เปลี่ยนแพลนเลย

พรุ่งนี้จะออกจากฤาษีเกศเที่ยงๆ บ่ายๆ

ไปอัครา นอนที่ zostel อัคราหนึ่งคืน

เช้ามาเดินไปทัชมาฮาลชิลๆ 

แล้วนั่งแทกซี่คันเดิมเข้าเดลี

ที่เราจองโรงแรมใกล้สนามบินไว้แล้วหนึ่งคืน


ทุกอย่างดูลงตัว 

เหลือแค่ภารกิจเดียวในฤาษีเกศที่ต้องทำ

คือ ไปจุ่มตัวในแม่น้ำคงคา

การลงแม่น้ำคงคาไม่ใช่ลงได้ทุกที่

จะมีเขตห้ามลง จะเขียนตัวโดๆ ไว้เลย

DANGER ZONE

บางที่จะมีเชือก หรือโซ่ติดไว้กับก้อนหินให้

คนจะลงต้องถือเชือกหรือโซ่นี้ไว้ แล้วค่อยลง

กันน้ำพัด เพราะมีเวลาที่น้ำเชี่ยวเหมือนกัน

ตลอดฝั่งคงคาจะมีบันไดและท่าน้ำให้เห็นอยู่ตลอด

สำหรับให้ผู้คนลงไปหาแม่น้ำคงคาได้ง่ายๆ

แต่ท่าเหล่านั้นคนจะเยอะ นักบวชผู้ชายก็เยอะ

ผู้หญิงลงได้เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมี

เราก็อายน่ะนะ

เลยเดินกลับไปที่หินก้อนเดิม ที่ไปนั่งเกือบทุกวัน

เพราะวันนั้นที่จุ่มตัวเร็วๆ ไปรอบหนึ่งก็ตรงนี้

วันนี้คนเยอะกว่าทุกวัน คงเพราะเป็นวันเสาร์

และเพิ่งจะห้าโมงกว่าเท่านั้น

ผู้ชายกลุ่มใหญ่กอดคอถ่ายรูปกันอยู่ในบริเวณนั้น

(ผู้ชายที่นี่เขาชอบจับมือถือแขนกัน แต่เขาชายแท้นะ)

เราตั้งใจจะรอให้เขาไปก่อน แล้วค่อยลง

เลยไปตั้งนั่งวาดรูปรออยู่บนหินก้อนเดิม

ได้ยินเสียงจ๋อมๆ จากหลังโขดหินข้างๆ 

เงยหน้าขึ้นก็เห็นนักบวชคนหนึ่งกำลังตักน้ำจากแม่น้ำคงคา

หายเข้าไปทางด้านหลังโขดหินใหญ่ 

เดินอยู่สามรอบ ก่อนจะเดินลงน้ำ

เราสังเกตว่าเขาทำยังไง เดี๋ยวจะทำบ้าง

นักบวชย่อตัวลง เหมือนค่อยๆ คลานลงน้ำ

คงเพราะโขดหินใต้น้ำเพราะไปหมด

ลงไปถึงเอว เขาก็ท่องมันตราอะไรสักอย่างแบบเร็วๆ

มันเร็วมากจนฟังเหมือน


บรื๋อว์ๆ บรื๋อว์ๆ บรื๋อว์ๆ 


คือเพราะหนาวใช่ไหม

เขาวักน้ำรดหัว ล้างตา ล้างหู 

ก่อนจะมุ่งหน้าลงน้ำ แล้วจุ่มมิดถึงลำคอ

มันตราบรื๋อว์ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง

เขากลับขึ้นมาบนฝั่ง ควักสบู่มาถูตัว

แล้วเดินลงน้ำพร้อมมันตราบรื๋อว์ๆ อีกครั้ง

นึกถึงคำพูดของสันติมายี

ลองคิดดูสิว่า พลังของแม่น้ำคงคาสูงส่งแค่ไหน

ไม่ว่าใครจะทำอะไร แม่น้ำคงคาที่ฤาษีเกศก็ยังใสสะอาดตลอดมา

นักบวชกลับขึ้นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว 

หลายไปหลังโขดหิน ผลัดผ้าแห้งออกมา

แล้วฟาดผ้าสีส้มที่ใส่ลงน้ำเมื่อสักครู่ฟาดกับหินเบาๆ

เป็นวิธีการซักผ้าของที่นี่นั่นเอง 

เขาทำอะไรกุกๆ กักๆ อยู่หลังโขดหิน

แล้วก็เดินกลับขึ้นไป

เป็นอันเสร็จพิธี


นักบวชไปแล้ว ผู้ชายกลุ่มนั้นกำลังตั้งท่าจะสลายตัว

พระอาทิตย์เริ่มหายไปแล้ว เราไม่รอแล้ว

เตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ให้หยิบง่ายๆ

กระโปรงที่เตรียมไว้จะเปลี่ยน วางรอไว้ให้พร้อม

วักน้ำแตะหน้าผาก และหัวใจ เป็นการขออนุญาตเสียก่อน

แล้วค่อยๆ เดินลงน้ำ น้ำท่วมถึงข้อเท้า 

เย็นไปถึงขั้วหัวใจ 

แปลก ทั้งที่แดดร้อนจัด วันนี้ทั้งวันร้อนมาก

แต่น้ำคงคาก็ยังเย็นเหมือนน้ำแข็งได้ตลอด

เราใช้มือคลำโขดหินเหมือนนักบวช 

น้ำค่อยๆ สูงขึ้น ถึงเข่า ต้นขา สะโพก

น้ำเย็นมากๆ แต่พอยืนเฉยๆ แล้วในน้ำแล้วมันอุ่น

เราวักน้ำรดศีรษะ ล้างตา ล้างหู ล้างหน้า

ตามอย่างนักบวชคนนั้น เคยอ่านเจอมาว่า 

มันเป็นการล้างทรวาร ใ้หมุมมองชัดเจนขึ้น

ให้ได้ยิน “สัญญาณ” ชัดเจนขึ้น

พิธีกรรมอีกอย่างที่รู้มาว่าคือ ต้องจุ่มตัวลงในน้ำสามครั้ง

เราเดินลึกเข้าไปอีกนิดหนึ่ง 

จนรู้สึกเหมือนตวเองยืนยู่บนแผ่นหินแผ่นใหญ่ใต้น้ำ

ตั้งจิตอธิษฐาน

ขอแม่น้ำคงคาชะล้างอัตตาตัวตน

ความยึดมั่นหลงผิด

ความโลภ โกรธ หลง

ให้หายสิ้นไป

ให้ตัวเราว่างเปล่า

และเปี่ยมด้วยพลังแห่งความว่าง

ให้เราได้เริ่มใหม่ในการเดินทางต่อ

บนเส้นทางที่ได้เดินมาแล้ว

ตลอดทุกภพชาติที่ผ่านมา

ตั้งสติให้พร้อม แล้วย่อตัวลงจนมิดหัว

1..

2..

3..

อย่างเร็ว หนาวโว้ย! 

ไอ้ที่อธิษฐานไว้ตะกี้หายโม้ดดดด

ได้แต่ท่องมันตราบรื๋อว์ๆ แทน

ถ้าให้อาบน้ำถูสบู่แบบที่นักบวชทำเราคงไม่ไหวแน่

ได้ยินมาว่ามิเลน่าจุ่มไป 11 ครั้ง

เพราะมีคนบอกนางว่า ของนางต้องจุ่ม 11 ครั้ง

เหตุผลอะไร ไปไงมาไงก็สุดจะรู้

เอาที่เราสบายใจแล้วกัน

เพราะเราต่างมีพิธีกรรมเป็นของตัวเอง

ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ปากสั่นกึกๆ 

หลบไปอยู่หลังโขดหิน เช็ดเนื้อเช็ดตัว

เสร็จเรียบร้อยก็เป็นพิธีกรรมซักผ้า

ไม่ได้ซักอะไรหรอก แค่ล้างทรายออก

กำลังจะผึ่งไว้บนโขดหินก็ได้ยินเสียงเรียก

ดีดี้ ดีดี้ เด็กผู้ชายราว 8-9 ขวบวิ่งรี่มาจากถนนด้านหลัง

ผลุบๆ โผล่ๆ เพราะต้องปีนโขดหิน

พยายามจะขายมากเลยนะหนู 

กระโดดลงมานี่ไม่ใช่ใกล้ๆ เลย

แถมมีเราอยู่คนเดียวเสียด้วย 

ไม่มีคนอื่นที่น่าจะเป็นลูกค้าหนูได้อีก

ใจหนึ่งนึกขอบคุณ อุตส่าห์ลงมา

ดีใจนะ เพราะกำลังอยากได้อยู่พอดี

เห็นไหม การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีเหตุผลเสมอ

ดอกไม้กระทงละ 10 รูปี 

แต่เราเคยโดนหลอกให้ซื้อในราคา 50 รูปีมาแล้ว

บอกตัวเอง จะไม่โดนหลอกอีก เหอๆ

เด็กน้อยกระโดดมาถึง หอบแฮ่กๆ

ลงมายังไม่ทันขาย เราก็ถามก่อน

“เท่าไหร่”

“สองล้าน”

“ฮึ่ย ไม่มีเงิน ลดหน่อย”

“ลดไม่ได้ สองล้าน”

“สองล้านไม่ซื้อ 20 รูปีล่ะขายไหม”

“ไม่ 100 รูปี”

“ถ้า 100 ไม่ซื้อ จะซื้อ 20”

“จะขาย 100 ถ้าไม่ซื้อก็ไม่ขาย”

เราทำเป็นไม่สนใจ โยนกระเป๋าตังค์กลับลงบนหิน

“งั้นก็ไม่ซื้อ”

เด็กน้อยไม่ยอมไป จุดเทียนให้ บอกว่า

“เร็ว เอามา 100 จุดเทียนแล้ว ไปลอยเร็ว”

เราบอก "จะซื้อ 20”

เด็กน้อยเลยดับเทียนแล้วไปยืนพิงโขดหิน

เราก็คลี่เสื้อผ้าออกมาผึ่งไว้

หันไปบอก 

“จะเปลี่ยนเสื้อผ้า มายืนอะไรแถวนี้”

“เปลี่ยนไปเถอะ ไม่มองหรอก”

เราบอก “ไม่ได้ เอ็งเป็นผู้ชายนะ”

เด็กน้อยส่งสายตากวนตีนกลับมา

“ผมเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ดีดี้จะอายอะไร”

“ไม่ได้ๆ ให้เกียรติกันหน่อย ไปได้แล้ว"

“ซื้อดอกไม้ก่อนแล้วจะไป”

“งั้น 20 รูปี”

เด็กน้อยยักคอ แล้วจุดไฟให้ 

เรายืนเงินให้น้อยไป 30 รูปีแล้วรับกระทงมา

เด็กน้อยปีนโขดหินกลับขึ้นไป

กว่าจะได้บูชาพระแม่คงคา เฮ้อ..

ก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมคำสัญญาในใจ

แล้วเราจะกลับมา


ตอนเย็นเรานัดผึ้งกินข้าวที่ร้านประจำ

ที่นี่ต่างคนต่างก็หาร้านที่เหมาะกับตัวเอง

แต่ละร้านก็มีรูปแบบพลังงานต่างๆ กันไป เล็กน้อยแหละ

แต่เล็กน้อยมันก็มหาศาล เวลาไปนั่งร้านที่มันไม่ใช่มันก็ไม่ใช่แหละ

เรากับผึ้งสนิทกับคนที่นี่แล้ว ซานจูคือพนักงานเสิร์ฟที่กวนตีนตลอดเวลา

แต่ความกวนตีน มันมีความจริงใจอยู่ในนั้น

ดวงตาของแต่ละคนไม่คิดร้ายกับใคร

เป็นลูกกะตาที่เห็นแล้วต้องยิ้ม

ต่างจากหลายๆ คนที่นาสิก (ยังไม่รู้ที่อื่นเหมือนกันนะ)

ที่ลูกกะตาหลุกหลิก ทำให้เราไม่กล้าจะไว้ใจ

ซานจูจบการโรงแรมมาจากสักเมืองหนึ่ง

(ไปสืบมาจากเฟสบุ๊คเขา เหอๆ)

แล้วกลับมาทำงานที่ฤาษีเกศช่วงอากาศดีๆ

พอช่วงกลางๆ ปีเริ่มร้อน เขาก็จะหนีกลับบ้านในอุตตรกาสี

พอรู้ว่าเรามีแพลนจะไปเยี่ยมต้นกำเนิดแม่น้ำคงคา

ช่วงกลางปีที่หิมะเริ่มละลาย และทางการอนุญาตให้ขึ้นได้

เขาก็เอ่ยปากชวน อย่าลืมไปบ้านเขานะ เขาจะรับรองเรา

อยู่ที่นี่เขาเป็นลูกจ้าง เขาแถมอะไรให้เรามากไม่ได้

อยากให้อะไรก็ให้ไม่ได้ แต่ถ้าไปบ้านเขา เขาจะเลี้ยงอาหารเรา

เราถามทำไมถึงอยากเลี้ยง อยากรับรองเราล่ะ

เขาตอบ เหมือนที่เราเคยได้ยินมาจากบางคนแล้วว่า.. 

เพราะเธอคือแขกของประเทศอินเดีย

:)



Ganga Special Thali อาหารชุดเด่นของที่นี่


มันใจหายที่จะต้องลานะ คืนสุดท้ายในฤาษีเกศแล้ว

เดินออกจาก Ganga Beach Resort 

พร้อมจับมือสัญญา เจอกันปีหน้า 

เรากับผึ้งแยกกันกลับที่นอนของตัวเอง

บอกไว้แค่ แล้วเจอกันพรุ่งนี้

พยายามไม่ยึดติดอะไร แต่ก็อดใจหายไม่ได้

คืนนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ เข้านอนง่ายๆ

wifi ไม่มี เก็บกระเป๋า แล้วปีนขึ้นเตียง

Goodnight Zostel Rishikesh



สะพานลักษมันจุฬา ค่ำคืนสุดท้ายในฤาษีเกศ



เปิดไฟสีสันสดใสรับเทศกาล Holi


มุมหนึ่งใน Zostel ฤาษีเกศ






Create Date : 23 มีนาคม 2559
Last Update : 9 กันยายน 2559 0:17:34 น. 0 comments
Counter : 621 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2559
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
23 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.