เช้านี้พาผึ้งไปนั่งจุดที่เรานั่งเมื่อวาน นั่งได้ไม่นานหรอก หนาว
ระหว่างทางที่ลงไปเป็นกำแพงเตี้ยๆ กลิ่นฉี่หึ่งเลย เลยชวนผึ้งคิด
ทำไมต้องฉี่ใส่กำแพง ถ้าไม่มีกำแพงแล้วจะเล็งไม่ถูก ฉี่ไม่ออก ไม่สนุก ไม่มีเป้า???
วันนี้ผึ้งต้องเข้าไปเรียนโยคะแล้ว ครูมารับถึง Hostel ผึ้งต้องเก็บข้าวของไปอยู่โรงเรียน
แอบใจหายนิดๆ นะเนี่ย รู้จักกันไม่นานเท่าไหร่หรอก แต่ทำไมคิดถึงแล้วเนี่ย
ถามผึ้งว่าจะกินข้าวเช้าด้วยกัน หรือจะกลับไปเก็บของเตรียมเข้าโรงเรียน ผึ้งบอกกิน
เลยเลี้ยวเข้าร้านที่ยังเปิดไม่เสร็จเท่าไหร่ มีเพียงแค่ Dosa กัย Uttapam ให้กิน
ถามว่าคืออะไร เราบอกได้แค่ว่ามันคือแป้ง กินกับน้ำจิ้มรสอินเดียๆ คืออร่อยละกัน ฮ่าๆ
มื้อนี้ของเราสอง Plain Dosa
เพราะพวกเขาหล่านี้ ฤาษีเกศจึงสะอาด ผิดจากภาพลักษณ์ของอินเดียที่ติดอยู่ในความคิด
กินเสร็จก็แยกย้าย เย็นนี้ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันรึเปล่า จะได้ไปกินไอติมร้านเดิมด้วยกันมั้ย
จะได้เดินเที่ยวถ่ายรูปกันอีกเมื่อไหร่ สั่งข้าวมาใครจะมาช่วยชิม แย่ละ คิดถึงนะเนี่ย
ผึ้งเดินกลับไปที่ Hostel รอครูมารับ ส่วนเราเดินกลับไปกินกาแฟย้อมใจที่ร้าน German Bakery
ตอนเดินผ่านยังไม่เปิด ตอนนี้เดินกลับไปคนเต็มร้าน เฮ้อ
สั่ง Cappuccino มาหนึ่งแก้ว แล้วหนีไปนั่งในมุมร้าน แต่กลายเป็นมุมที่ดีที่สุดแฮะ
ร้านนี้มีแต่ฝรั่ง เป็นร้านที่เปิดให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ชาวต่างชาติเข้ามาแล้วสบายใจ
ถามว่าสบายใจตรงไหน มันก็คือความคุ้นเคยไง พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้พอสมควร
เมนูอาหารที่เขียนให้คนต่างชาติเข้าใจ สั่งผักได้ผัก สั่งน้ำได้น้ำ ไม่ใช่สั่งกาแฟได้นมปั่น
และเสิร์ฟอาหารตามวัฒนธรรมสากล รวมถึงกาแฟสดที่อร่อยที่หาที่ร้านอื่นลำบากมาก
Cappuccino กับวิวสะพาน รสชาติที่คุ้นลิ้น กลิ่นหอมที่คุ้นเคย บอกตัวเองว่า ณ วินาทีนี้ มีความสุขจัง
คนเต็มร้านเลย ฝรั่งทั้งนั้น
ความสบายในความคุ้นเคยวัฒนธรรมของตัวเองทำให้ร้านนี้คนเต็มแทบจะตลอดเวลา
เราเองก็ชอบด้วยแหละ เพราะสั่งง่าย เข้าใจกันได้ดี รสชาติคุ้นลิ้น
แต่ระหว่างที่เรานั่งอยู่นั้น เราก็เกิดคำถามที่ถามตัวเองขึ้นมา
แล้วมาที่นี่ทำไม ถ้าอยากอยู่ในวัฒนธรรมของตัวเอง หรือวัฒนธรรมที่เราคุ้นเคยกับมัน
เรามาดู มารู้แบบเขา หรือเอาวัฒนธรรมเรามาใส่ไว้ที่บ้านเขา และเราไปนั่งหลบอยู่ในนั้น
นั่งคิดได้ไม่นานหรอก เพราะวันนี้มีนัดกับ Mooji เราจะกลับไปที่ Satsang ที่ต้องเดินไป 1 ชั่วโมง
เลยลุกออกเดินทาง .. เลียบแม่น้ำคงคา
พระอาทิตย์เพิ่งพ้นเขา สะพานยังเงียบ ยังเช้าอยู่
หลากชีวิตเลียบฝั่งคงคา
เดินลงมาสวดมนต์แสดงความเคารพและขอบคุณ ระหว่างทางไปทำงาน
ไม่ได้มีแค่คน
ฝั่งนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อย เพราะเดินไกล มีความเป็นตัวตนของฤาษีเกศหนาแน่นกว่าฝั่งสะพาน
หมูป่าก็มี เห็นมีอยู่ครอบครัวหนึ่ง ^^"
อาศรมที่จัด Satsang ของ Mooji
หนึ่งชั่วโมงครึ่งที่นั่งฟัง Mooji พูด รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เก็บข้อมูลได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ฟังแล้วจับใจก็มีมาก แต่ไม่เท่าคนข้างๆ คือ อเล็ก ที่นั่งน้ำตาไหล ซึ้งเชียวนะพ่อหนุ่ม
เขาเน้นให้เราเห็นความไม่เที่ยงแท้ของสิ่งที่มองเห็น ที่ได้รับรู้ แล้วเข้าใจว่านั่นไม่ใช่ของจริง
เขาเน้นที่ความว่างเปล่าข้างใน และบอกว่านั่นแหละ คือสิ่งที่เชื่อมโยงโลกนี้เข้าด้วยกัน
You need to know the difference between your self and your mind
You can BE without mind but mind cant BE without you
Leave the mind there, dont trouble him.
If you want to control it, it will trouble you.
เธอต้องรู้ความแตกต่างระหว่างตัวตนของเธอ และจิตใจอารมณ์ของเธอ
เธอเป็นเธอได้โดยไม่ต้องมีจิตนั้น แต่จิตนั้นดำรงอยู่ไม่ได้หากไม่มีเธอ
ปล่อยจิตนั้นอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปยุ่งกับขา
เพราะถ้าเธอพยายามจะไปควบคุมเขา เขานั่นแหละจะสร้างปัญหาให้เธอ
Its not about you and me
Nothing is standing in the way
Its about the SELF in us.
ความสัมพันธ์นี้มันไม่ใช่เรื่องระหว่างเธอกับฉัน
ไม่มีอะไรอะไรกั้นกลางระหว่างเรา
มันคือ ตัวตนที่แท้จริง ในตัวของเราทั้งคู่นั่นแหละ
Your limit and location is not true.
You, self, are deeper than that
Deeper than you can perceive
You can play many roles but not the role of yourself.
ข้อจำกัดในตัวเธอ และการมีตัวตนในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งนั้นของเธอนั้นไม่ได้มีอยู่จริง
ตัวเธอ, ตัวตนที่แท้จริง นั้น มันลุ่มลึกกว่านั้น
ลึกเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจมันไ้ด้
เธอจะสวบบทเป็นตัวอะไรก็ได้ แต่จะสวมบทเป็น ตัวตนที่แท้จริง ของเธอไม่ได้
Sadness doesnt replace happiness.
Its an eclipse.
Thought is just a sushi belt.
ความเศร้าโศก ไม่ได้เข้าแทนที่ความสุข
มันแค่เป็นการทับทาบของสุริยุปราคา
ความคิดเป็นเหมือนซูชิบนสายพาน
Theres a vast silent space inside
Theres no success and failure
Theres no religion inside
All life takes its birth there
If you look from your true place, you dont have to fix anything about you.
Its empty
มันมีที่ว่างกว้างใหญ่ที่เงียบเชียบอยู่ภายใน
ภายในไม่มีทั้งความสำเร็จหรือล้มเหลวภายในนั้น
ไม่มีศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ชีวิตทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นจากที่ตรงั้น
ถ้าเธอมองโลกออกมาจากที่ตรงนั้น เธอจะไม่เดือดร้อนอะไรกับสิ่งที่เธอเป็นเลย
มันคือความว่างเปล่า
Mooji จบการ Satsang วันนี้ด้วยเรื่องเล่า
ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีผู้ป่วยมาหาหมอมากมาย
ชายคนเหนึ่งเดินเข้าไปพบหมอในห้อง อาการป่วยของเขาคือ เขามีกบติดอยู่ที่หัว
ใช่, เขามีกบติดอยู่ที่หัว หมอมองหน้าเขาอย่างงุนงง และถามว่า ไปทำอะไรมา
กบตัวนั้นตอบว่า เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ที่ก้นของเขาก็มีผู้ชายคนนี้งอกมา
ชายคนนั้นนั่งนิ่ง ไม่มีความรู้สึกใดๆ
แล้ว Mooji ก็นั่งหัวเราะ แบบเป็นวรรคเป็นเวร
ใครเข้าใจเรื่องบ้าง .. แบ่งปันความรู้หน่อย แหะๆ
พอเลิก Satsang เราต้องรีบกลับไปหาข้าวกินแล้วไปเรียน Tabla ต่อ
เลยเลือกนั่งรถ แทนที่จะเดิน ซึ่งมันน่าหงุดหงิดมาก
มันเป็นเรื่องของราคาค่าโดยสารนี่แหละ จะว่าไป อินเดียนี่อะไรก็น่ารักนะ
แต่เรื่องรถรับจ้างเอาเปรียบคนต่างชาตินี่แหละที่น่าเบื่อมากๆ จริงๆ
ขาไปราคา 20 แต่ขากลับพี่จะเรียก 30 ต่อคน แล้วอัดคนแบบไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ
และแม้แต่ขึ้นรถไปแล้วพี่แกก็ยังเถียงไม่จบ 30 30
คนนั่งก็ไม่จ่าย เราจะจ่าย 20 ไม่งั้นก็จอด จะลง
รถก็ไม่จอด แล้วก็เถียงกันไปตลอดทางงั้นแหละ
พอถึงทางลงก็ใครดีใครได้แล้ว เถียงเก่งก็ 20 ถ้าไม่มีแบงค์ย่อยให้ 20 มันก็เก็บ 30
ว่ากันไป
มาถึงก็กินข้าวแบบเร็วๆ แล้วเพราะต้องรีบไปเรียน Tabla
วันนี้ชั้นเรียน Tabla น่ารักมาก บทเรียนยากขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดประทับใจคือ
ครูบอกว่าให้เราไปหาสมุดโน้ตมานะ แล้วมานั่งจดแบบฝึกหัดพวกนี้ไป
ไม่มีหนังสือเรียนให้ ไม่มีให้ไปหาซื้อที่ไหน มาลอกจากสมุดครูที่ครูลอกมาจากครูของครูเนี่ยแหละ
มีอธิบายด้วยนะ ว่าที่ให้ไปตอนเรียนน่ะ แค่เลือกมาให้เฉยๆ เพราะเราเรียนเร็ว
แต่ถ้าเราจะไปสอนคนอื่นน่ะ ต้องไล่ไปตามแบบฝึกหัดในสมุดครูนี่นะ
ชอบมากตรงที่มันแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์
ศิษย์.. ที่เรียนรู้จาก ..ครู
ขอบคุณอะไรสักอย่างที่ดลใจให้เราเดินเข้าไปเรียน Tabla หน้าตาเฉยเมื่อวันก่อน
ขอบคุณผึ้งที่ยอมเข้าไปนั่งเรียนเป็นเพื่อนกันในวันแรก
บอกผึ้งไปแล้วว่าถ้าวันนั้นผึ้งไม่เรียน เราก็ไม่เรียนเหมือนกัน
แล้วก็คงจะไม่ได้เรียนเลย
:)
สมุดของครูที่อายุมากกว่า 10 ปี
คืนนี้ไม่ได้ออกไปไหน แต่กลับมานั่งลอกสมุดที่บ้าน เอ้ย โฮสเทล
มีน้องๆ น่าจะอายุ 20 บวกลบนิดหน่อย เช็คอินเข้ามาหลายคน
เด็กฝรั่งนี่มันดีจัง มันกล้าเดินทางตั้งแต่ยังเด็กๆ เลย
แล้วมันก็คุยกันถึงทริปยาวเหยียดเป็น 10 เมือง มีคนอินเดียช่วยวางแผนการเดินทางให้
เช็คอินเมืองนั้น แวะเมืองนี้ โดดไปโดดมา มานั่งคิดถึงตัวเองนะ
นั่งอยู่ฤาษีเกศเป็นอาทิตย์แล้ว ยังไม่รู้สึกพร้อมจะไปไหนเลย
ความอยากไปมันมีนะ อยากไปอีกตั้งหลายที่ แต่อยากอยู่แต่ละที่นานๆ หน่อย
ขบวนแห่อะไรสักอย่าง สวดมันตรากันไปตลอดทาง
ผ่านมา 1 สัปดาห์เราถึงเพิ่งจะเริ่มเข้าใจความเป็นไปของฤาษีเกศ
เพิ่งจะเริ่มปรับตัวได้
เพิ่งจะเดาทางสภาพลมฟ้าอากาศและจิตใจผู้คนออก
ย้ำ .. เพิ่งเริ่ม
วิธีการเดินทางของเราน่าจะเป็นการเดินเข้าไปอยู่
ซึมซับ แล้วเปิดรับมันเพื่อเรียนรู้มากกว่าละมั้ง