YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
วันที่ 15 เมื่อฤาษีเกศถาม กล้าพอไหม ที่จะเดินเข้า .. ข้างใน



เมื่อรวบรวมความกล้าได้ 

คำถามก็ถูกส่งออกจากปาก

“ฉันหาตัวเองไม่เจอ 

รู้สึกเหมือนกำลังเล่นละครตลอดเวลา

ฉันเองเป็นผู้กำกับ แต่ฉันสั่ง cut ไม่ได้”

“ทำไมคุณต้องเล่นละคร”

สันติมายีถาม

“ฉันไม่แน่ใจ”

“คุณซ่อนอะไรเอาไว้”

สายตาของสันติมายีทำให้เรานึกถึง

ครูสมัยประถมและมัธยมหลายๆ ท่าน

นึกถึงทั้งความเฉียบขาด และความเมตตา

“ฉันไม่รู้ ฉันรู้แต่ว่าฉันต้องยิ้ม

แม้ว่าข้างในฉันจะโกรธ ฉันก็ไม่ยิ้มไม่ได้

ทุกๆ อย่างกลายเป็นละคร

และฉันรู้ว่าข้างในของฉัน

ไม่เหมือนสิ่งที่แสดงออก”

คนอิสราเอลที่เอ่ยถามเรื่องความโกรธเมื่อวันก่อน

หันมายิ้มให้ .. ยิ้มนั้นสวยมากทีเดียว

“คุณกลัวคนไม่ชอบคุณหรือ”

วินาทีนั้น เรานิ่งสนิท น้ำตาปริ่มจะไหล

เหมือนโดนครูม.ต้นจับได้ว่าทำความผิด

คนในห้องหันมามองมากขึ้น

เรานั่งอยู่ข้างหลังสุด เริ่มคิดว่าคิดผิด 

แต่ป่วยการคิดตอนนี้

เหมือนคนโดดบันจี้จัมพ์ 

เราโดดลงมาแล้ว ไม่มีย้อนกลับ

“ไม่เป็นไรๆ ฉันเข้าใจ” สันติมายีไม่ยิ้ม

แต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้กำลังดุว่าเด็กที่ทำผิด

“ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร

มีความขัดแย้ง ความโกรธอยู่ภายใน”

สันติมายีพูดอะไรอีกฉันไม่เข้าใจ

ไม่รู้เป็นเพราะภาษา (แต่ไม่น่าใช่ 

เพราะสำเนียงอเมริกันไม่น่าเข้าใจยาก)

หรือเพราะหูอื้อด้วยความตื่นเต้น

รู้มาว่ามีหลายคนที่โดดบันจี้จัมพ์

แล้วเกิดหมดสติกลางอากาศ

มาตื่นอีกที ถึงพื้นโดยปลอดภัยแล้ว

ย้อนกลับไปคิดน่าจะเป็นอย่างหลัง

ฟังไม่รู้เรื่อง สติหลับทั้งที่มือถือไมค์นั่นแหละ

มาตื่นเอาตอนที่สันติมายีบอกว่า

“ทำไมไม่ลองไม่ไปคิดถึงมันล่ะ

ไม่ต้องไปคิดว่านี่คือการเล่นละคร

ช่างมันไป ไม่ต้องคิด” สันติมายีเว้นช่วง

เหมือนปล่อยเวลาให้ทำความเข้าใจ

“คำแนะนำอีกอย่างที่ฉันจะบอกเธอได้

เป็นคำพูดจาก ใ จ ฉันถึง ใ จ เธอ

ไม่มีใครจะรักตัวเธอเองได้มากเท่าตัวเธอ”

เรากล่าวขอบคุณ


คำถามเคลื่อนต่อ 

มีอีกหลายสิ่งที่สะกิดเข้าไปถึงใจ

“มันเจ็บปวดอยู่แล้ว

จะเดินทางสายนี้มันเจ็บปวด

แต่ความเจ็บปวดมีสองแบบ

เจ็บปวดเพราะคุณพยายามเก็บกักมันไว้

กับเจ็บปวดเพราะคุณปลดปล่อย

จะเจ็บทั้งที คุณจะเลือกแบบไหนล่ะ"


“แต่ว่า ที่นี่ ณ เวลานี้

ไ ม่ มี อั น ต ร า ย ใดๆ หรอก

อันตรายมันอยู่ในหัวเธอ

สิ่งที่มีอันตรายร้ายแรงที่สุด

คือความยึดมั่นในความคิด

ที่เธอมีเกี่ยวกับตัวเธอเอง”

แปลเป็นคำพุทธของเราก็น่าจะคือ

การยึดมั่นในอัตตา 

ตัวกู ของกู นั่นเอง

“และเมื่อถึงเวลาจากโลกนี้ไป 

เธอจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า

ฉันได้ใช้ชีวิต

อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักแล้ว”


เรามานั่งคิดเรื่องความรัก

ไปนั่งคิดอยู่ริมแม่น้ำคงคา

ตามแผนที่นำทางที่ได้รับมา

ที่ว่าความรักคือศาสนาแห่งโลก

เข้าใจด้วยหัว ไม่เคยรู้สึกด้วยใจ

มาฤาษีเกศคราวนี้จะได้พบไหม

อยากเห็นความรัก 

ที่เขาว่ามันคือสายใย

ซึ่งยึดโยงโลกไว้ด้วยกัน

ระหว่างทุกสิ่งทุกอย่าง

ระหว่างคนทุกคน 

คือโยงใยที่ซ่อนเร้น

ชัดเจนบ้าง หลบเร้นอยู่บ้าง

แต่เมื่อใด้ที่เราระลึกได้

ถึงความรักความผูกพัน 

ระหว่างเรากับสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เรา.. กับคนหนึ่งคนใด

สายใยที่ซ่อนอยู่นั้น

จะเผยกายออกจากที่หลบเร้น

พลังงานบางอย่างจะท่วมท้น

หลอมเรารวมเป็นหนึ่งเข้ากับสิ่งนั้น

ใช่หรือไม่ว่า หน้าที่ของชีวิต

คือหาให้พบ ซึ่งข่ายใยที่งดงามเหล่านี้

ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เพราะความหมายของชีวิต ซ่อนอยู่ในนั้น

จนกระทั่งเรากลายเป็นหนึ่งเดียว

กับทุกสิ่งทุกอย่าง


“มีพระเจ้าอยู่ 5 แบบ

ผู้สร้าง ผู้รักษา ผู้ทำลาย

ผู้พราง และผู้เผย”

สองอย่างหลังนี้สิ คือสิ่งมหัศจรรย์

หากเราเข้าใจมัน

พราง และเผย แสดงให้เห็นว่า

ความเป็นจริงมีอยู่ก่อนแล้ว

มีอยู่ตรงนั้น เหมือนพระอาทิตย์

ที่อยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว คือ ศิวะ

สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ เมฆ 

คือฝน ต่างหากเล่า

ที่มา และไป คือ ศักติ


เราเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง

ส่วนใหญ่สิ่งที่เขียนจะทำให้ไม่เข้าใจ

ยิ่งเขียน ยิ่งไม่เข้าใจ

ทั้งๆ ที่ก่อนเขียนก็ว่าเข้าใจอยู่แล้ว

เขียนไปเขียนมา .. ไร (วะ)


จบ Satsang หนุ่มอิสราเอลเดินมาหา

แล้วบอกเราว่า ขอบคุณมากที่ถาม

แล้วถามเราว่า เราได้คำตอบรึเปล่า

เราบอกว่า ยังไม่สุด 

แต่คงเป็นหน้าที่เราเองที่ต้องปล่อยให้มันตกผลึก

และตอนนี้ต้องไปกลับไปทำการบ้านที่ได้มา

นั่นคือ .. 

“ทำไมไม่ลองไม่ไปคิดถึงมันล่ะ

ไม่ต้องไปคิดว่านี่คือการเล่นละคร

ช่างมันไป ไม่ต้องคิด” 


หนุ่มอิสราเอลยิ้มให้ 

พระเจ้าช่วย ยิ้มละลายโลกชัดๆ

“เย็นนี้มีคลาสเต้น เธอมาสิ”

เราได้ยินเขาประกาศออยู่เมื่อครู่

ว่าห้าโมงเย็นจะมีคลาสเต้น

บอกตัวเองไว้ .. จะมา


ตอนบ่ายเรากลับไปเรียน Tabla อีกครั้ง

และแล้วในที่สุดเราก็ได้กลอง

6,000 รูปีที่จ่ายไป

กับสองสัปดาห์ที่รอมา

ในที่สุดเราก็ได้กลอง Tabla ที่ฝันมานาน

ใช่เพียงมีตังค์ซื้อก็ซื้อได้เสียเมื่อไหร่

นึกถึงเมื่อวานตอนครูบอกว่า 

พรุ่งนี้ค่อยมาเอากลอง

เหมือนอยู่วงโยตอนเด็กๆ นะ

กว่าจะได้เครื่อง กว่าจะได้เป่า 

นั่งนับโน้ตอยู่ตั้งนาน 

ไม่ใช่มีเงินซื้อก็ซื้อได้เลย

ต้องรอครูบอกว่า 

ให้ซื้อได้นั่นแหละ

ถึงได้ซื้อ


วิ่งเอา Tabla กลับมาเก็บที่ห้อง

แล้ววิ่งกลับไปที่ไปรษณีย์

Tabla เพิ่มน้ำหนักสัมภาระมา 8 โล

เลยต้องส่งหนังสือและเสื้อหนาว

ล่วงหน้ากลับบ้านไปก่อน

แต่ยังไงก็ไม่ทัน 

เพราะไปรษณีย์ปิดไปแล้วตั้งแต่สามโมง

แต่ร้านห่อของที่นี่รับทำให้ทุกอย่าง

มีอยู่ 2-3 ร้านแถวๆ ไปรษณีย์

จะบอกว่า ห่ อ อ ย่ า ง ดี

ดีมากๆ ปลอดภัยสุดๆ 

ตอนอยู่นาสิก ครูที่อาศรมบอกอย่าส่ง

เพราะส่งไปรษณีย์จากนาสิกแล้วของไม่ค่อยถึง

ส่งกลับมาที่อาศรมก็ไม่ค่อยจะได้รับ

แต่ที่นี่คงเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว

ทำให้การส่งของกลับบ้านเป็นเรื่องไม่ยาก

แม้จะไม่ทันก็ตาม แต่ร้านที่ห่อของให้

ก็รับทำเรื่องให้ทั้งหมด 

โดยเราไปรับ tracking number ได้ในวันต่อมา

ทั้งหมดเสียไปราวๆ 1,300 รูปีต่อของสี่โลกกว่า

ใช้เวลาราวครึ่งเดือนก็จะถึงกรุงเทพฯ


และแล้วในที่สุดก็ได้กลับไปเข้าคลาสเต้น

ที่หนุ่มอิสราเอลตาหวานคนนั้นเอ่ยปากชวนไว้

ครูสอนมีพื้นฐานมาทางด้าน dance therapy

ก็เป็นประสบการณ์แปลกๆ ดีที่ได้รับมา

ผึ้งก็โดนดึงมาเต้นด้วยกันด้วยเลย

เราเริ่มจากการมองตาใครสักคนในห้อง

เปิดมือออกเป็นเครื่องหมายของการเปิดใจ

เราเพิ่งรู้ตัวว่าเรามีปัญหากับการมองตาคน

นึกไปถึงตอนเช้าที่เราถามเรื่องการเล่นละคร

มันคือคนกลุ่มเดียวกันกับเมื่อเช้านี่นา

คิดถึงตรงนี้เรากังวล

เขาจะมองว่าเราเล่นละครอยู่รึเปล่านะ

คัท!

แล้วถ้าเราจะไม่เล่นละคร

มันจะเท่ากับว่าเรากำลังเล่นละคร

ว่าเราไม่เล่นละครอยู่รึเปล่า

คัทสิ คัท!

คิดมากคิดมายอีกแล้ว

นึกถึงคำสันติมายีพูด

ลืมมันไป!

โอเคได้ มองตา เปิดมือ ไม่ต้องคิด

คัท!

เจอครูสอนมามองตา 

เราหลบตาอัตโนมัติ

ครูซึ่งสูงกว่าย่อตัวลง

ช้อนตาเราขึ้นมามอง

อูย.. รู้สึกอ่อนแอ

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

สักพักมองตาครูกลับ

มันมาอีกแล้ว ความรู้สึกว่าเรากำลังเล่นละคร

ผู้กำกับสั่งคัทไม่ได้

ละครมันเล่นของมันไป

รู้สึกตามันแข็ง และมันไม่มีความรู้สึก

ความคิดวิ่งอยู่ตลอด

มองทำไม มองอะไร .. ทำไมไม่นิ่ง

ทำไมไม่แค่รู้สึก 

จนกระทั่งผละจากกัน 


สายตาคู่ต่อไปที่เจอคือหนุ่มอิสราเอล

ไอ้ย่ะ! ลูกกะตาหวานจัด

ลึกจัด

ไฟดูด ละครกำลังว่าไฟดูด

หรือโดนดูดจริงๆ

เคยเห็นน่ะ เคยเห็นแน่ๆ

ลูกกะตาแบบนี้เคยเห็น

แต่ที่ไหนไม่รู้ ไม่อยู่ในความทรงจำ

ไอ้หนุ่มนี่มองตาไม่ปล่อย

เย่ย เขิน!

เล่นเกมส์กันอยู่หรือไงนี่ 

ใครหลบตาก่อนแพ้

หน้ามันร้อนๆ หยุดมี่, หยุด

คัทๆๆๆ คัท!

คัทไม่ได้ ไม่ไหวแล้ว 

ยิ้มทำไม เฮ้ย! ยิ้มทำไม

สุดท้ายแพ้ สาวน้อยหลบตา

เอียงอาย ทำเป็นเขิน

แหม่.. หมั่นไส้ตัวเอง


ใจเต้นตึกๆ 

เดินวนไปวนมาไม่มองใคร

รอให้หัวใจเต้นช้าลงก่อน

สูดลมหายใจลึกๆ 

มี่ๆๆๆ กลับมาๆ 

อะ.. กลับมาละ มองตาคนต่อไปได้

ตอนนี้สติดีขึ้น สมาธิดีขึ้น

เริ่มเกิดความรู้สึกว่าเรามองได้

มองเข้าไปข้างใน ลึกลง

ใครอยู่ข้างหลังดวงตาคู่นั้น

แปลกดีนะ เราเห็นคนข้างหลังนั้น

เหมือนเห็นดวงตาเราเอง

คิดมากไปอีกหรือเปล่า

อยู่ที่ฤาษีเกศนานๆ เข้า 

อาจจะกลับออกไปแล้ว

คุยกับคนอื่นเขาไม่รู้เรื่อง

เพราะเหมือนกันมีอิสระเต็มที่

ในการ .. รู้ สึ ก ..

นี่มันเมืองลับแลหรืออย่างไร


ตลอดคลาสนี้ครูใช้สรรพนาม She

เธอ (ผู้หญิง) ในการเรียกเสียงเพลง

เพลงจะนำทางเราไป เพลงจะขยับเรา

ปล่อยเพลงให้ไหลอาบเรา

แล้วไหลไปกับเพลง

She comes to us, and moves us.

อย่างไรก็ตาม 

อาจเพราะความเป็น arts fission

ที่ยังคงอยู่ในตัวเรา

ทำให้เราไหลไปตามลมหายใจเรา

มากกว่าไหลไปตามเสียงเพลง

ที่เราว่ามันออกจะน่าเบื่อไปแล้ว

แต่กระนั้นเราก็สนุก

ในการมองคนที่ไม่ได้เต้น

เต้น.. โดยไม่พยายามจะเต้น


เรารู้สึกดีนะ 

ที่ได้ปลดปล่อยร่างกายให้ขยับอีกครั้ง

อย่าเรียกมันว่าเต้นเลย

เพราะมันมีภาพลักษณ์บางอย่างอยู่

เรียกมันว่าการเคลื่อนไหวเถอะ

หลังจากคลาสจบลงครูก็เล่าให้ฟังว่า

เขาทำงานด้าน dance therapy

และมันมหัศจรรย์ที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

ที่มันผ่านออกมาได้ด้วยการเคลื่อนไหว

คุณอาจพูดโกหกได้ 

แต่ท่าทางของคุณหลอกโลกไม่ได้

เราเถียงในใจ .. ก็ไม่แน่

คุณทำได้ ถ้าคุณเป็นนักเต้น/นักแสดง

นั่นแหละ ถึงเป็นปัญหาของเราอยู่


เขายังเล่าต่อว่าในชั้นเรียนที่โรงพยาบาล

มีคนที่ไม่มีนิ้วมาเรียนกับเขา

พอเรียนเสร็จนักเรียนคนนั้นก็พูดว่า

เขาไม่มีนิ้ว แต่ตอนนี้เขาขยับนิ้วเขาได้

มันดูเป็นคำพูดธรรมดา

แต่ถึงตอนนี้เราร้องไห้อีกแล้ว

สองสามวันนี้น้ำตาไหลบ่อยมาก

ไม่ได้เศร้าด้วย

แต่มันโดน มันคือภาษาสากลสินะ

ครูบอกว่า มีหลายคนที่มาเข้า workshop 

บอกว่าจะเอาไปทำบ้างที่ประเทศของตัว

แต่ครูบอกว่าก็เหมือนการเดินทางสายจิตวิญญาณ

มันไม่ง่าย แต่ผลที่ได้มันจับไปถึงหัวใจ

เรานึกไปถึง arts fission 

กับคนแก่ที่เคยได้ร่วมงานด้วย

นึกไปถึงสิ่งที่เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะทำ

นึกถึงงานที่เราเริ่มไว้ที่กรุงเทพฯ และยังไม่จบ

เราเดินทางมาไกลถึงตรงนี้

เพื่อเน้นย้ำให้เราจำได้ถึงความตั้งใจสินะ

บนเส้นทางนี้เราไม่เคยเดินหลงทาง

มีหมุดหมาย ป้ายบอกทางอยู่ตลอด


ก่อนออกมาจากคลาสเราเดินเข้าไปทักฝรั่งคนหนึ่ง

เมื่อวันก่อนเขาทักเราบนถนน ถามว่าเราคือ ... รึเปล่า

เราบอกไม่ใช่ เขาจำคนผิด 

แต่เราก็คุ้นหน้าเขามากเหมือนกัน

วันนี้เลยเดินเข้าไปถาม เราสองคนรู้จักกันแน่ๆ

แต่ไม่ใช่ในนามและสถานะตรงนี้

มันแปลกดี แปลกมาก

เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องที่ฤาษีเกศ

เราเห็นในเดี๋ยวนั้นว่า

ทุกๆ คนที่เราได้เจอนั้น ล้วนไม่ใช่คนแปลกหน้า

แต่เราคือคนรู้จักกัน “มาก่อน” 

นานแค่ไหนก็สุดจะรู้

และการกลับมาพบกันอีกครั้ง

ล้วนมีเหตุผลของมัน


สายตาของคนอิสราเอลคนนั้นมองมาอีกครั้ง

เขาส่งรอยยิ้มที่เรารู้จักให้เรา

เรายิ้มกลับให้เขา บอกขอบคุณที่ชวนมา

และทำให้เราจำได้อีกครั้ง

ว่าเหตุผลหนึ่งในหลายเหตุผล

ที่เราออกจาก arts fission 

และเดินทางต่อนั้น

คืออะไร



สันติมายีบอกว่าตัวเองเป็นหมอผ่าตัด เราเห็นกรรไกรเก่าแก่อันนี้ที่ร้านแพ็คของส่งไปรษณีย์แล้วนึกถึงหมอผ่าตัดคนนี้ คราวนี้หมดเวลาเรียนแล้ว พักไว้ กลับไปรอให้ตกผลึก แล้วคราวหน้าจะมาพบเธอใหม่



ห้องเรียนเต้น (แอบถ่าย ^^')



กว่าจะได้มา Tabla



ทางข้างหลัง



ทางข้างหน้า สู่ความไม่รู้ สู่สิ่งที่จะได้รู้






Create Date : 20 มีนาคม 2559
Last Update : 8 กันยายน 2559 23:02:04 น. 0 comments
Counter : 523 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2559
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
20 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.