YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
วันที่ 14 ฤาษีเกศ สู่ด้านใน ก้าวที่สอง







บัลรัมมาถึงเวลา 8 โมง เป๊ะ

ชั้นเรียนชี่กงริมฝั่งคงคาเริ่มขึ้น

บัลรัมสอนท่าชี่กงพื้นฐานที่เราเคยเรียน

แต่ไม่ได้สอนสิ่งที่เราอยากรู้ 

บางที เราอาจต้องเลิกหาจากข้างนอก

และกลับเข้าสู่ภายในตัวเราเองนั่นแหละ

จุดที่ลึก และจุดที่ไพศาลที่สุด คือจุดเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม การฝึกชี่กงริมคงคา

ก็ถือเป็นโอกาสพิเศษ 

และต้องขอบคุณบัลรัมมา ณ ที่นี้



ผลัวะ!


ทุกๆ การเดินทางคือการเปิดโลก

และในช่วงสุดท้ายของการเดินทางมาถึงฤาษีเกศ

เราพูดได้เต็มปากไว่า ไม่เคยมีครั้งไหน 

ที่การเดินทางจะเปิดประตูออกไปดัง

“ผ ลั ว ะ!”

ได้รุนแรงเท่าครั้งนี้


มาฤาษีเกศเมืองแห่งโยคะแท้ๆ 

แต่ไม่ได้เสาะหาโรงเรียนโยคะเลย

ครูที่ต้องการ ไม่ได้สอนอาสนะอยู่หน้าห้อง

คุณเคยมีคำถามอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จะถามใครไหม

แล้ววันหนึ่งคุณก็ได้คำตอบนั้นจากคนคนหนึ่ง

และวินาทีนั้นคุณก็อยากเรียกเขาว่าครู


ฤาษีเกศเป็นแหล่งรวม Satsang ก็ว่าได้

มันคือการประชุม ถามตอบปัญหา 

แสวงหาคำตอบร่วมกันระหว่างศิษย์และครู

สถานที่แห่งนี้มีครูอยู่เต็มไปหมด 

และก็มีผู้แสวงหาที่ปวารณาตัวเป็นศิษย์มากมาย


Satsang ที่เราไปเข้าในวันนี้คือของสันติมายี

เธอเป็นใครเราก็ไม่รู้จักมาก่อน 

แต่สายตาคู่นั้นทรงพลังมาก


“เธอไม่ได้กลัว

ความคิดต่างหากที่บอกว่าเธอกลัว”


ผ ลั ว ะ!!!!


สันติมายีมองรอบห้อง

แต่เรารู้สึกว่าสายตาของเธอมองมาที่เรา

“รู้ไหม ทำไมเจ้าแม่กาลีต้องตัดหัว

หัวนั่นแหละคือตัวการที่บอกว่า

ฉันกลัว ฉันอย่างนั้น ฉันอย่างนี้

คือ ความคิด! ต้องตัดมัน

แล้วเลือดที่หยดลงมา

นั่นคือพลังชีวิต 

นั่นคือสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด

ตัดความคิดออก 

ให้เหลือเพียงพลังบริสุทธิ์”


ความไม่ชอบ กลัว, เจ้าแม่กาลี

วันนี้ถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจ


“I am… this, I am… that

นั่นมันคือกรงขัง จักรวาลนี้ดำเนินไป

ผ่านความคิดของเธอทั้งนั้น"


ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน แต่พลังของสันติมายี

มัน.. ทะลุทะลวง

ลึก


“อินเดียเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับผู้แสวงหา

เพราะมันมีตัวช่วยอยู่เต็มไปหมด

ถ้าเธอไม่ได้อยากหาคำตอบอย่างแท้จริง

เธอคงไม่ขึ้นมาถึงที่นี่หรอก จริงไหม"


วินาทีนั้นเรานึกถึงคำถามที่เคยถูกถาม

..มี่เคยรู้สึกไหม 

ว่าทำไมเรารู้สึกแปลกแยก

ไม่เหมือนคนอื่น..

เรามองไปรอบๆ ตัว เริ่มเห็น ผู้คนที่นี่ 

เราต่างมีจุดหมายร่วมกัน เรามีคำถามเดียวกัน 

และเราก็ล้วนมาหาคำตอบในสถานที่เดียวกัน

แม้ว่าคำตอบนั้นจะได้มา

จากต่างสถานการณ์ สถานที่ และเวลา

แปลกดี ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนอ่อนไหว

แต่ตอนนี้เรารู้สึกคล้ายๆ หงส์ตัวนั้น

เมื่อตอนจบของเรื่องลูกเป็ดขี้เหร่


อเล็กซ์ หนุ่มอเมริกันคนนี้ยิ่งกว่า

ในขณะที่เรารู้สึกแค่จุกๆ ในอก อเล็กซ์น้ำตาไหลพราก

คงเป็นความรู้สึกแปลกแยกที่พกมาจากอีกฝั่งของโลกสินะ


คำพูดของสันติมายีวนเวียนอยู่ในหัว

เรื่อยมาจนถึงตอนเรียน Tabla

คำพูดนั้นก็หยุดลง พร้อมกับความไม่คิด  

เพราะใจจดจ่ออยู่กับบทเรียนและมือสองข้าง

ตีไปตีมาความคิดมันก็หายไป 

ทุกอย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง ไม่คิด ไม่พยายาม 

เป็นความรู้สึกถูกที่ ถูกเวลา คล้ายๆ จะรอคอยความรู้สึกนี้มานาน 

ไม่แปลกแยก ไม่ต้องการเพิ่ม เสียดาย.. อีกไม่กี่วันต้องกลับแล้ว

อยากเรียนต่อ ..ให้สุด


บ่ายๆ ก็กลับไปที่ Ganga Beach Cafe อีกครั้ง

พนักงานที่นี่เพี้ยนและฮา

แต่ทุกร้านที่นี่มักจะมีพนักงานเพี้ยนอย่างน้อย 1 คน

ที่สัมผัสได้ในฤาษีเกศคือ คนที่นี่จิตใจดี

พวกหลอกเอาเงินนักท่องเที่ยวมีอยู่ แต่อยู่เป็นที่

ที่แรกคือพวกคนขับตุ๊กๆ อีกพวกคือพวกคนในวัด 

ที่เรากับผึ้งโดนมาแล้ว แต่มองไปมองมา เขาคือเทวดาดีๆ นี่เอง

เทวดาที่จำแลงกายมาบอกว่า พระเจ้า หรือเทพเจ้า หรืออะไรก็แล้วแต่นั้น

ไ ม่ ไ ด้ อ ยู่ ใ น วั ด

ส่วนคนอื่นๆ ที่เจอมา มีแต่คนเย็นๆ จิตใจดีๆ ทั้งนั้น

เดี๋ยวจะมีคนมาว่าเราประมาทอีก 

ต้องบอกว่า เราไม่ได้ประมาท 

ครองสติได้อยู่ตลอด ไม่มีหลุด

อินเดียสอนให้เราระวัง

แต่ฤาษีเกศสอนเราว่า อย่างระแวง


วันนี้พนักงานเพี้ยนๆ มาดูเราวาดรูป

เราสั่งสลัดมากิน แต่จริงๆ คือตั้งใจมานั่ง

วาดรูป เล่นเน็ต อะไรไปตามเรื่อง

ชอบเพลงที่ร้านนี้เปิด วาดไป เต้นไป

ดิ้นดุ๊กๆ อยู่คนเดียว ชีวิตดี๊ดี ไม่มีใครรู้จัก

และเพราะความไม่รู้จักกันนี่แหละ

ทำให้ทุกคนเปิดกว้างต่อทุกอย่าง

เราต่างแปลกกันได้เต็มที่

เพราะเราต่างมีพิธีกรรมเป็นของตัวเอง

เป็นเมืองมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครตัดสินใคร

อย่างที่บอก มันเหมือนเมืองเทพนิยาย

เคยพูดเล่นๆ กับเพื่อนที่ Hostel ว่า

คนที่นี่ high ได้ โดยไม่ต้องแตะแอลกอฮอล์

ยิ่งอยู่ที่นี่นาน ยิ่งอยากอยู่ให้นานๆ :)




บ่ายๆ เงียบๆ นิ่งๆ 


เรากลับออกมาทั้งที่ยังวาดรูปไม่เสร็จ

ตั้งใจเดินดูของฝากให้ชาวบ้านเขาซะหน่อย

แต่ดูไม่สำเร็จ เปลี่ยนใจเดินไปริมฝั่งคงคา

ฤาษีเกศวันนี้หมอกลง บรรยากาศดูแปลก

เราเดินเรื่อยๆ ช่ำชองด้วยสกิล

ในการหลบรถ คน วัว ลิง ม้า วัว 

เราเดินไกลออกไปจากเดิมอีกเล็กน้อย

เพราะผู้คนเสียงดัง เราอยากนั่งเงียบๆ

พอได้ก้อนหินที่ถูกใจก็หลับตาลง

เห็นลมหายใจเข้า..เกิด 

เห็นลมหายใจออก..ดับ

คำพูดของสันติมายีกลับเข้ามาในหัว

เธอไม่ได้กลัว 

ความคิดต่างหากที่กำหนดให้เธอกลัว

คำพูดของ Mooji ย้ำเข้ามา

ความคิดมันมาก็ปล่อยมัน

อย่าไปยุ่งกับมัน 

แต่ถ้ามันไม่ยอมไปไหน

ก็พาเข้าประตูสมาธิไปด้วยกันเลย

เกิด..ดับ

หยดน้ำ..แม่น้ำ

เข้า..ออก

เกิด..ดับ

รวบรวม..แตกสลาย

ก่อตัว..แยกกระจาย

เห็นลมหายใจ

รู้สึกเหมือนไม่รู้สึก

ยากจะบรรยาย และคงจะไม่บรรยาย

รู้แต่ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้

ยังไม่ยอมลืมตา คงหลับตาอยู่อย่างนั้น

ลืมตาขึ้นมาอีกทีฟ้าเกือบมืดแล้ว

มีเสียงเดินเข้ามาใกล้ เป็นสาวผมทองสองคน

ลงมาใกล้ๆ เราแล้วจัดผ้าผ่อนเดินลงแม่น้ำคงคา

เราไม่รอช้า ตามไปด้วยทันที

เสื้อผ้ามีเปลี่ยนพอดี เหมือนจะรู้ว่าจะได้ลง

เป็นเพราะเมื่อเช้าอากาศหนาว 

เลยใส่เสื้อและกางเกงมา 2 ชั้นแถมมีผ้าคลุมมาอีกผืนด้วย

แม่น้ำคงคาจัดให้อีกแล้ว

น้ำเย็นเจี๊ยบ เราจุ่มตัวลงเร็วๆ 3 ครั้ง

รู้สึกดีใจที่ได้ทำสิ่งที่อยากทำเสียที

ยิ้มและขอบคุณสาวสองนางที่ไม่รู้จักชื่อ

เปลี่ยนเสื้อแล้วเดินจากมา


เจอผึ้งระหว่างทาง กลับ Hostel ไปกินซุป

ไม่มีอะไรมาก wifi ไม่มี

ผึ้งนั่งจนใกล้สามทุ่มก็ขี่จักรยานกลับโรงเรียน

ส่วนเราขอตัวจากเพื่อนใน Hostel

ไม่อยู่สังสรรค์พูดคุย

อารมณ์วันนี้

..

รู้สึกกำลังเดินผ่านช่องประตู







บรรยากาศเหมือนฝัน



วัวในบริเวณอาศรม



ลูกหมาในบริเวณอาศรม


เมื่อเช้าก่อนเรียนชี่กง บนก้อนหินริมน้ำ เรานั่งหลับตา ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ข้างหลัง เข้าใจว่าเกิดจากลม ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ลืมตาขึ้นมาเจอน้องหมานอนเงียบหนุนกระเป๋าเราอยู่ ก้อนหินมีหลายก้อน ใกล้ๆ ฝั่งกว่านี้ก็มี แต่เขาเลือกมานอนกับเรา ถือเป็นเรื่องดีใช่ไหม 



แนวหินที่น้องหมาไม่นอน แต่มานอนกับเรา


จะว่าไป หมา ลา ม้า วัว เชื่องทุกตัว 

ลิงก็เชื่อง แต่เชื่องแบบเจ้าเล่ห์นิดๆ 

เหมือนเด็กซนๆ ที่ไม่คิดร้ายกับใคร 

แค่อย่าถือกล้วยเข้าไปใกล้ๆ ก้พอ 

เราว่านะ สัตว์ต่างๆ จิตใจเขาอ่อนนุ่มกว่าเรา 

กำแพงตัวตนเขาไม่ได้หนาทึบ 

เขาเลยเป็นตัวสะท้อนพลังของสถานที่ได้เป็นอย่างดี 

คนที่นี่ก็จิตใจดี สายตาไม่หลุกหลิก

มีแค่คนในวัด และคนที่ทำตัวเหมือนนักบวช 

ที่ตั้งใจจะหลอกเงินจากนักท่องเที่ยว 

จากการเจิมหน้าผาก จากการพาชมรูปปั้นเทพเจ้า 

จากการหลอกขายลูกประคำและของศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ 

แต่ใช่หรือไม่ที่พวกเขาคือเทวดาที่มาบอกเราว่า 

.. เทพเจ้า และพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในวัด 

ไม่ได้อยู่ในรูปเคารพ และไม่ได้อยู่ในลูกประคำ 

แต่อยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างต่างหาก 

กุญแจที่เปิดหัวใจเราเพื่อที่จะได้เห็นนั้น 

ไม่ต้องเสียตังค์สักบาท










Create Date : 20 มีนาคม 2559
Last Update : 8 กันยายน 2559 22:31:47 น. 1 comments
Counter : 613 Pageviews.

 
แยบยล ล้ำลึก ค่ะ



โดย: Maeboon วันที่: 20 มีนาคม 2559 เวลา:20:08:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2559
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
20 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.