YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
วันที่ 12 ฤาษีเกศ วันนี้โชคดีจัง









ไม่บ่อยครั้งหรอกที่เราจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดี

วันนี้รู้สึกดีที่ได้เจอกับคนดีๆ ตั้งแต่เช้าจนหมดวัน

แต่เอาจริงๆ พอนึกย้อนไป

ก็มีคนไม่ค่อยน่ารักที่ทำให้เรางุ่นง่านอยู่เหมือนกันนะ

แต่มันไม่ต้องไปใส่ใจก็ได้นี่หว่า



หนึ่งในรอยยิ้มที่ได้รับในวันนี้


วันนี้ได้เจอลุงเบนนี่อีกครั้งก่อนที่ลุงจะขึ้นไปรัฐอัสสัม

ลุงเลี้ยงอาหารกลางวัน อิ่มแปล้ พร้อมของหวาน

ก่อนไปลุงบอก ไว้เจอกันที่ฮ่องกง 

เพราะตอนนี้เธอมีลุงอยู่ที่ฮ่องกงถึงสองคนแล้วนะ

ไปแน่ลุง แล้วเจอกัน ขอบคุณลุงมากๆ ทุกๆ อย่างเลย






บ่ายวันนี้เข้าป่ากะผึ้งอีกครั้ง 

ตอนแรกว่าจะไปกันหลายคน แต่สมาชิกหด

เหลือแค่เราสองคน กับอเล็กซ์ และ roommate เขา

แต่อเล็กซ์ติดพันเกมส์หมากรุกอยู่

เรากะผึ้งเลยเริ่มออกเดินก่อน

“เดี๋ยวไปเจอกันกลางทาง” บอกเขาไปอย่างนั้น


เราพาผึ้งไปดูต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น 

สงสัยมากมายก่ายกองตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นวันก่อนแล้ว

ลำต้นข้างในเป็นโพรงใหญ่มาก 

คือเป็นห้องใหญ่ๆ ห้องหนึ่งเลยทีเดียว

วันก่อนดูเหมือนฝรั่งสองคนจะไม่สนใจเท่าไหร่

วันนี้เลยลากผึ้งมาดู


บนต้นไม้มีลิงหน้าดำอยู่หนึ่งตัว

ทำให้เรากลัวๆ กล้าๆ ที่จะเดินเข้าไป

ในขณะที่อิมี่มัวแต่กลัวลิง 

ผึ้งก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในห้อง เอ้ย ต้นไม้แล้ว

เราเดินตามเข้าไปบ้าง เสียงผึ้งร้อง ระวัง!

ดุบ! หงึ, ลิงอึง่า ดีที่ไม่ลงตรงหัว 

เลยรีบหลบเข้าที่กำบัง ก่อนที่ระเบิดลูกต่อไปจะลง


วันนี้เราได้เห็นต้นไม้ต้นนี้ใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ 

ภายในต้นไม้ที่เปิดออกเป็นโพรงนี้ 

ดูไม่กระเทือนสวัสดิภาพของต้นไม้เลย

คล้ายกับว่า แทนที่ต้นไม้จะมีลำต้นขึ้นไปตามปกติ

แต่กลายเป็นกำแพงธรรมชาติล้อมรอบห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง

ลำต้นมันกลายเป็นกำแพงไปได้อย่างไร ใครไม่สงสัย เราสงสัย

ลิงบนต้นไม้มันก็ดูเราอย่างสงสัยว่าเราสงสัยอะไร












เรากับผึ้งใช้เวลาอยู่ตรงนั้นพักใหญ่พอสมควร

คิดหาวิธีที่จะหาคำตอบให้ได้ว่า มันไปไงมาไง

แถวๆ นั้นมีร้านขายชาขนมขบเคี้ยวเล็กๆ น้อยๆ

เห็นคุณยายกะลูกสาว (มั้ง) นั่งอยู่ 

คิดว่าคุณยายน่าจะรู้ เลยตรงเข้าไปถาม

คุณลูกสาวพูดภาษาอังกฤษได้พอสมควร

ได้ความมาว่า ต้นไม้ชื่ออะไรไม่รู้

แต่น่าจะอายุประมาณ 80 ปี

ที่เป็นอย่างนี้ เพราะฝน 

สื่อสารกันได้เท่านี้ คุณยายก็สั่นหัวดิกๆ


เรากับผึ้งขอบคุณ และให้คำสัญญาในใจว่า

เดี๋ยวขากลับจะมากินไชร้านคุณยาย

เดินต่อไปอีกหน่อยก็เจอตำรวจนั่งอยู่ 4 นาย


“English?” เราถาม 

คุณตำรวจยึกยักคอพร้อมทำนิ้ว “นิดหน่อย”

เราเลยโชว์รูปให้ดู แล้วถามคำถามแรก 

“นี่ต้นอะไรคะ”

"ซรึกแซร็ก แย็กๆ อะริระยะซาลาวังมา

ซะระบะวิคะละ บริกัตระไรยะระ"

(ฯลฯ ฟังความได้เพียงเท่านี้)

ตำรวจทั้ง 4 นายสุมหัวกันพยายามหาคำตอบ

มอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านมาหนึ่งคัน 

ตำรวจนายหนึ่งตะโกนเรียก

“เฮ้ๆ โยคะมาสเตอร์ มานี่หน่อย”

แล้วหันมาบอกเรา เขาสอนโยคะ เขาต้องรู้แน่

(เกี่ยวด้วยเหรอ)

โยคะมาสเตอร์คนดังกล่าวเข้ามาร่วมวงโฉงเฉงด้วย

ระหว่างที่โฉงเฉงอยู่นั้น ตำรวจหนึ่งนายก็มองหน้าเรา

แล้วยิ้มกว้างแล้วถามว่า “ทำไมคนไทยยิ้มเก่งจัง” 

เอ่อ คุณก็ยิ้มใหญ่เหมือนกันนะคะ คือ ฟันมันชัด

ส่วนชื่อต้นไม้ .. ยังไม่ได้คำตอบ ฮ่าๆ

เขาเลยบอกไป search internet สิ

แต่เดี๋ยวนะ ให้เริ่ม search จากอะไรดีเนี่ย

แล้วก็มีหนุ่มอีกหนึ่งนายเดินเข้ามาร่วมหาคำตอบด้วย

จนได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจคือ

ต้นไทรค่ะ .. ควรเขกกะโหลกตัวเองไหม

ไม่รู้จักต้นไทร .. แต่มันไม่เหมือนจริงๆ นะ

(ใครก็ได้ช่วยยืนยันชื่อต้นไม้ให้หน่อย)

เห็นความพยายามอันน่ารักของหมู่ตำรวจ

ในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเจ้าปัญหาอย่างเรา

ก็อดที่จะขอถ่ายรูปด้วยไม่ได้ 

คนที่ยิ้มกว้างใส่เรากลับกลัวกล้องขึ้นมาซะงั้น

หมุบหมิบไปทางเพื่อนตำรวจทางขวามือ

บอกว่า .. ผู้กำกับผมเขาไม่ให้ถ่าย

แต่พอหันไปมองผู้กำกับคนดังกล่าว

ก็พบว่า รายนั้นยิ้มรอมองกล้องไว้แล้วค่ะ



อภิปรายชื่อต้นไม้




กว่าจะได้คำตอบว่านั่นคือต้นอะไรก็ยากละ

เลยพอก่อน ไว้อายุต้นไม้ค่อยไปหาเอาวันหน้า

เลยกล่าวขอบคุณแล้วเดินกันต่อ

แล้วก้ได้เจอชายคนที่ร่วมวงหาคำตอบด้วยเมื่อกี้อีกครั้ง

รู้มาว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน Garud Chatti นี้นี่แหละ

“จะไปน้ำตกกันเหรอ” เขาถาม

“ใช่ค่ะ” 

“งั้นไปด้วยกัน ต้องเดินตรวจ”

ชายคนนี้หลายๆ คนที่มาบ่อยๆ จะคุ้นหน้าเขา

มีคนที่ hostel เจอเขาอยู่บ่อยๆ

เพราะเขาต้องเดินขึ้นลงวันละหลายรอบ

เราเลยได้ไกด์กิตติมศักดิ์

อเล็กซ์ยังไม่โผล่มาสักที แต่รายนั้นเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว

สองสาวเลยใจง่ายตามชายหนุ่มเข้าป่าไป (ว้าย!)


หนุ่มเจ้าหน้าที่คนนี้ชื่อว่านายราเกซ 

เขาเล่าให้ฟังว่าบ้านเขาอยู่บนเขานี่แหละ

เขาเดินผ่านแล้วชี้ทางเข้าให้ดู มีลูกศรบอกทางด้วย

ตอนนี้มีแค่พ่อแม่อยู่ แล้วเปิดบ้านให้แขกมาพัก

แต่ทางเข้าไม่ได้เข้าง่ายๆ ต้องเป็นพวกขาลุยๆ หน่อย

เขาเดินไป ทักนักท่องเที่ยวที่เดินสวนออกมาไปด้วย

ขาเดิน ตามองขยะ มือเก็บ แล้วปากก็บ่น

“เนี่ย ฝีมือคนอินเดียทั้งนั้นแหละ” 

อ้าว ทำไมล่ะ ไม่ทั้งหมดมั้ง

“ไม่ ผมรู้ดี ประสบการณ์หลายปีมานี้

คนอินเดียไม่ค่อยสนเรื่องความสะอาดหรอก

แต่นักท่องเที่ยวทุกคนรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี

ผมอายนะเนี่ย” เขาหัวเสีย

มีเสียงดัง ชึบๆ ออกมาจากข้างทาง

เขาชะงักแล้วหยุดมอง “ไม่มีอะไร ไก่”

เราคิดถึง รพินทร์ ไพรวัลย์ จากเพชรพระอุมาขึ้นมาทันที

“ข้างบนนั้นยังมีอยู่กี่คน” เขาถามคนที่เดินสวนออกมา

“สอง” ฝรั่งตอบ แล้วเดินกลับออกไป

รพินทร์แห่งฤาษีเกศพาเรากับผึ้งไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ

ระหว่างทางก็ชี้ให้ดูขี้ช้าง 

“นี่ผ่านมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ข้างบนนี้มีช้างขาว 

(white elephant คือช้างเผือกรึเปล่า)

"ช้างปีนเขาเก่งที่สุด แต่ช่วงนี้ฤดูตกมัน ต้องระวังหน่อย

นอกจากนี้ก็มีหมีดำ เสือดาว แล้วก็งู”

“ถ้าเจอหมีต้องทำยังไง” เราถาม “ต้องลงไปนอนเฉยๆ เปล่า”

รพินทร์หัวเราะ บอกดาริน เอ้ย มีมี่ว่า

“ไม่ใช่ ต้องหาไม้” เขาพูดพลางขยับไม้ที่ถือติดมืออยู่แล้ว

“แล้วแหย่ไปที่จมูกมัน เพราะนั่นคือจุดอ่อนของมัน

ถ้าอยู่ไกลๆ ก็เอาหินขว้าง”






เรายังเดินรุดหน้า ไม่สิ ปีนรุดหน้าไปเรื่อยๆ

ราเกซไต่เดียะๆ เหมือนลิง หันมามองสองสาวเป็นพักๆ

เรานึกถึงตอนไปสวนสายน้ำที่หาดใหญ่เมื่อ 7-8 ปีก่อน

ตอนนั้นไปเดินบุกน้ำตกแล้วเข้าใจชัดเลย

ถ้าไม่ได้อยู่เมือง มนุษย์เดินสองขาไม่ได้หรอก

ต้องใช้ขาหน้าประคองตัวเหมือนลิงนั่นแล

ตอนนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวสวนมาแล้ว 

เรานึกวางแผนในใจ คิดหาทางหนีทีไล่

ถ้าเกิดโชคร้ายราเกซเกิดกลายเป็นผู้ร้ายขึ้นมากลางป่า

เราจะเอาหินขว้างเหมือนราเกซเป็นหมี 

สายตาก็ส่ายหาที่ที่พอจะหลบลี้หนีภัยได้

“อีกไกลไหม” ผึ้งถาม 

“ไม่ๆ อีกโค้งหนึ่งถึงแล้ว”

อีกโค้งหนึ่งของราเกซใหญ่ยักษ์ทีเดียว

เสียงน้ำไหลที่ได้ยินมาตลอดทาง

ตอนนี้มาปรากฎอยู่ตรงหน้า

จากตรงนี้เราจะเดินสวนทางน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ 

ปีนหินบ้าง ลงน้ำบ้าง จนมาถึงน้ำตก .. อันเล็กๆ

ราเกซไต่เนินดินสูงท่วมหัวสวนน้ำตกขึ้นไป

เรากับผึ้งมองตากัน .. เอาวะ

นักไต่เขาสมัครเล่นสองนางหาแง่งหิน

เกี่ยวรากไม้ เกาะลำต้นโหนกันขึ้นไปสนุกสนาน

พลางคิด .. ตอนลงทำไงเนี่ย

พอหัวพ้นเนินดินขึ้นไปก็เห็นราเกซยืนรออยู่

แบบพร้อมให้การช่วยเหลือ สุภาพบุรุษเจรงๆ

ขึ้นไปได้เรียบร้อยเขาก็ผายมือไปด้านหลัง

นำเสนอห้องแห่งความลับแสนสวย

น้ำตกบริเวณนี้เข้าถึงไม่ได้ง่ายๆ

มันเลยสวยสะอาด บริสุทธิ์อยู่มากทีเดียว

แต่จะว่าไปแม่น้ำและน้ำตกในเมืองฤาษีเกศใสมากๆ

ทุกๆ บริเวณที่ได้เห็นเลย



ด่านสุดท้าย ก่อนถึงน้ำตก







เราเข้าไปกล่าวสวัสดีน้ำตกใกล้ๆ

บริเวณนี้มีกลิ่นชื้นๆ และเฟิร์นสะพรั่งมาก

ผึ้งเข้าฌาณมองน้ำตกไปแล้ว

เราเลยหันกลับไปสัมภาษณ์ราเกซ

ได้ความว่าเขาเกิดที่นี่และโตที่นี่

อายุอานาม 31 เท่ากับเราสองสาวเป๊ะ

พ่อเป็นทหารเกษียณแล้ว 

และน้องชายก็เป็นทหารอยู่

ส่วนตัวรักป่าเขามากกว่าเมือง เลยเลือกทำงานนี้

เดินขึ้นลงบริเวณนี้ราวๆ 5 กิโลวันละหลายรอบ

ถามไปถามมารู้อีกว่า

เขายังรับจัดทริปขึ้นไปคังโคตริ และโคมุขด้วย

เลยต้องขอเบอร์ติดต่อไว้เสียหน่อย

(เลยได้เป็น contact กันทาง what’s app 

เมื่อกี้เขาเพิ่งส่งรูปเสือดาวมาให้ดู ^^”)



รพินทร์ ไพรวัลย์ หล่อไหม


ไม่นานนักเราก็กลับลงมา

ขาลงยากกว่าขาขึ้นจริงๆ 

เราไม่เลือกไต่ลงแบบหันหน้าเข้า 

แต่เราเลือกหันหน้าออกแล้วกะดึ๊บๆ ลงมา

ราเกซหันมาหัวเราะ บอกว่า

เฮะ.. ช้างมันก็ลงเขาท่านี้นะ

เย้! เก่งเหมือนช้างเลย ดีใจๆ เหอๆ

เราลงกันมาเงียบๆ ผึ้งตามราเกซมาติดๆ

พยายามจะเลียนแบบลีลาการดึ๋งๆ 

จากหินก้อนหนึ่งไปอีกก้อน

แต่มันไม่ใช่น่ะ ทำแล้วไม่เหมือนเลย ฮ่าๆ

มีช่วงที่ผ่านเศษขวดแก้วที่แตก

ราเกซทำหน้าหงุดหงิดแล้วบอก

สงสัยต้องทิ้งไว้ก่อน พรุ่งนี้จะมาเก็บ

คือรู้แล้วทำไมฤาษีเกศสะอาดขนาดนี้

เพราะมีคนอย่างราเกซอยู่นี่เอง

ขอบคุณนะคะ



น้ำใสจัด


ดึ๋งๆ ลงกันมาจนถึงอีกราว 50 เมตรก็เข้าสู่ถนนใหญ่แล้ว

ราเกซก็ขอแยกไปอีกทาง 

บอกว่าจะไปดูว่ามีนักท่องเที่ยวทางนั้นไหม

แล้วเดี๋ยวทางจะไปบรรจบกันที่ป้อมตำรวจตรงนั้น

เราก็เลยร่ำลาพร้อมคำขอบคุณ

ตอนนั้นคิดในใจ เราโชคดีมากเลยที่เจอราเกซ

เหมือนเจอรพินทร์ ไพรวัลย์ในชีวิตจริง

พูดภาษาอังกฤษเก่งด้วย 

ขึ้นไปคราวนี้ได้ความรู้หลายเรื่องเลย


แต่ยังไม่หมด เราเจอราเกซอีกครั้งที่ป้อมตำรวจ

เขาเดินเร็วมาก ขนาดขึ้นเขาลงเขายังมาถึงก่อนเราเลย

เลยขออนุญาตเลี้ยงไชเจ้าหน้าที่คนนี้หน่อย

ไชแถวนี้หน้าตาดูน่ากลัว แต่กินได้ปลอดภัย

อะไรก็ตามที่ทำให้ร้อนแล้ว กินได้ไม่ท้องเสีย

ระหว่างที่นั่งดื่มไช อเล็กซ์ก็เดินมา เลยได้เดินออกไปด้วยกัน






เราได้ข้อมูลเพิ่มจากราเกซอีกว่า ต้นไม้ที่เราสงสัยนั้น

เหตุเกิดจากฝนตกหนัก ฟ้าผ่า และกลางลำต้นไหม้ไป

แต่มันก็ยังยืนหยัดรอดมาได้ กลายเป็นต้นไม้ที่แปลกกว่าใคร

ข้อมูลจากราเกซบอกว่าอายุน่าจะร่วมร้อยปี


เราถามสิ่งที่เราสงสัยอีกอย่างจากราเกซคือ

แม่น้ำคงคามีปลาไหม เพราะเราไม่เคยเห็นเลย 

ปกติน่าจะมีตัวอะไรว่ายๆ หน่อย แต่นี่ใสแจ๋ว

ราเกซบอกมีสิ ตัวใหญ่ด้วย แต่มันอยู่ลึก

แม่น้ำคงคาลึกมากนะ มันไม่เคยแห้งเลย

มีน้ำไหลตลอด ไม่เคยหยุดไหลเลย 

ไม่รู้เราตาฝาดรึเปล่า เราเห็นแววตาของราเกซ

ดูเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเมื่อพูดถึงแม่น้ำคงคา


เรามีเพื่อนร่วมทาง ไม่สิ นำทางต่างหากเพิ่มขึ้นมาหนึ่ง

คือหมาหนึ่งตัว มันเริ่มตามเรากับผึ้งมาออกจากน้ำตก

นั่งรอตอนดื่มไชจนดื่มไชเสร็จ

มันจะเดินนำหน้าไปหน่อยนึง แล้วหันมามอง

หยุดรอ แล้วค่อยเดินต่อ เป็นอย่างนี้มาจนถึงตัวเมือง

คือเดินกันราวๆ เกือบครึ่งชั่วโมงเลยนะนั่น

เข้าใจว่าอาจจะหาเพื่อนเดินเข้าเมืองมาด้วยกัน

ฉลาดนะเรา :)




วันนี้เลยเป็นวันดีๆ อีกวันหนึ่งในฤาษีเกศ

ได้เจอคนดีๆ ตั้งแต่เช้าจนเย็น

ทั้งคนทั้งหมานั่นแหละ

ได้ไปสถานที่ดีๆ ไปรับพลังงานดีๆ

ชีวิตคือการแลกเปลี่ยนพลังงานกันและกัน

ทั้งระหว่างมนุษย์กันเอง และมนุษย์กับสรรพสิ่ง

ถ้าเพียงแต่เราจำมันให้ได้

เริ่มต้นส่งพลังดีๆ ให้ไป

เริ่มต้นยิ้มกว้างให้เขาก่อน

เข้าหาธรรมชาติอย่างยิ้มแย้มและอ่อนน้อม

อะไรๆ มันก็น่าจะลงตัวเนอะ








Create Date : 17 มีนาคม 2559
Last Update : 8 กันยายน 2559 7:45:14 น. 0 comments
Counter : 656 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2559
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
17 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.