ตุลาคม 2563

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
ฉินจิ๋นซีเป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฉิน
ฉินจิ๋นซีเป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฉิน
พระนามเดิม อิ๋งเจิ้ง
พระบิดาคือหวังจวังเซียง เป็นเจ้าผู้ครองนครฉิน พระมารดาคือพระสนมเจ้า
อดีตของฉินจิ๋นซีที่เกิดขึ้นนานมาแล้วนั้น ค่อนข้างสับสนและแตกต่างกันไปในหลายแห่ง
หนึ่งในนั้นกล่าวว่า อิ๋งเจิ้งเกิดที่แคว้นเจ้า เป็นบุตรองค์ชายอี้เหรินแห่งแคว้นฉินที่เป็นตัวประกันที่แคว้นเจ้า กับเจ้าจีอดีตนางรำของหลี่ปู้เหว่ย ตอนนั้นแคว้นเจ้ายิ่งใหญ่กว่าแคว้นฉิน ทำให้พ่อของอิ๋งเจิ้งต้องตกเป็นตัวประกัน
อดีตของอิ๋งเจิ้งนี้ค่อนข้างสับสน ทำให้ไปแต่งเป็นภาพยนตร์ได้หลากหลาย ทำให้เกิดข่าวลือที่ว่า ที่แท้อิ๋งเจิ้งเป็นบุตรที่ติดท้องมาของเจ้าจีกับหลี่ปู้เหว่ย ด้วยเจ้าจีเป็นเมียลับและตั้งท้องก่อนที่จะได้ถวายตัวเป็นสนมของอี้เหริน จริงเท็จไม่รู้ได้ ทำให้หลี่ปู้เหว่ยได้สนับสนุนอิ๋งเจิ้งจนก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่สุดเหนือหกแคว้น
เมื่ออี้เหรินกลับแคว้นฉิน และได้เป็นฉินจวงเซียงหวาง อิ๋งเจิ้งในฐานะบุตรชายและเจ้าจีพระสนมได้กลับแคว้นฉินด้วย สถาปนาอิ๋งเจิ้งเป็นรัชทายาท
ฉินจวงเซียงหวางครองราชย์ได้เพียง 3 ปี สิ้นพระชนม์ อิ๋งเจิ้งขึ้นครองราชย์ต่อ เมื่ออายุเพียง 13 ปี โดยหลี่ปู้เหว่ยเป็นอัครเสนาบดีและผู้สำเร็จราชการ พ่อตัวจริงได้ครองอำนาจ ซึ่งได้วางแผนมาเนิ่นนานแล้ว โดยให้เจ้าจีเป็นตัวเดินเรื่อง
หลี่ปู้เหว่ยกุมอำนาจสูงสุดในแคว้นฉิน และยังคงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเจ้าจีไทเฮา เพราะเคยเป็นคู่ขากันมาแต่เก่าก่อน แต่เมื่ออิ๋งเจิ้งเป็นใหญ่สุดและเริ่มโตเป็นหนุ่มพอรู้ความ ทำให้ไม่กล้ามีความสัมพันธ์แบบเดิมอย่างชัดแจ้ง
หลี่ปู้เหว่ยกลัวเรื่องราวจะลุกลามบานปลายใหญ่โต จึงหยุดความสัมพันธ์กับเจ้าจีไทเฮา แต่ได้แนะนำเล่าไอ่มาแทนตน โดยให้ปลอมมาเป็นขันทีในตำหนักเจ้าจีไทเฮา
ไม่มีใครรู้เจตนาที่แท้จริงของหลี่ปู้เหว่ย ที่ทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โตในภายหลัง
ทำไมหลี่ปู้เหว่ยให้ชายแท้เข้ามาดูแลเจ้าจีไทเฮา แต่ที่รู้แน่ เล่าไอ่น่าจะทำเกินคำสั่ง เพราะได้เสียกับเจ้าจีไทเฮาและมีลูกด้วยกันถึงสองคน สมัยนั้นไม่มียาคุมกำเนิด เมื่อทำแล้วต้องให้กำเนิดลูกแน่
เล่าไอ่เข้ามากุมอำนาจในราชสำนักผ่านทางเจ้าจีไทเฮา ด้วยความเป็นชายแต่ปลอมตัวในฐานะขันที ทำให้มีความสัมพันธ์กัน และมีบุตรลับ ๆ กับเจ้าจีไทเฮาอีก 2 คน
เรื่องนี้ยิ่งแปลกประหลาดใหญ่ เพราะสามารถปกปิดได้เป็นนานสองนาน
เมื่ออิ๋งเจิ้งโตเป็นหนุ่ม รู้เรื่องราวที่ตนคิดว่าน่าบัดสี และอดีตของพระมารดาที่เป็นของหลี่ปู้เหว่ยกับเล่าไอ่ จึงเริ่มคิดแผนการกำจัดคู่ขาของพระมารดา
ระหว่างที่อิ๋งเจิ้งเดินทางออกจากเมืองหลวงเสียนหยาง เล่าไอ่ได้ก่อการกบฏ
แผนล่อเสือออกจากถ้ำครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นธาตุแท้ของชายชู้ของแม่
อิ๋งเจิ้งเรียกระดมพลและปรามกบฏเล่าไอ่และพรรคพวก ทั้งหมดโดนประหารชิวิต
ถ้าไม่แน่จริง คงไม่สามารถปราบกบฏพ่อเลี้ยงได้
เจ้าจีไทเฮาถูกส่งตัวไปกักบริเวณในตำหนักที่ยงตูเมืองหลวงเก่า บุตร 2 คนของเจ้าจี ไทเฮา กับเล่าไอ่โดนประหารชีวิตเช่นกัน จะเก็บไว้ทำไม ถึงจะเป็นน้องร่วมแม่ แต่มันทำให้คนทั้งเมืองได้รู้ว่า แม่ของตนทำการบัดสี ไม่สมฐานะของการเป็นไทเฮาเอาเสียเลย
ส่วนหลี่ปู้เหว่ยโดนปลดจากอัครเสนาบดีและผู้สำเร็จราชการ และโดนย้ายไปอยู่ลั่วหยางเมืองศักดินาของตน ต่อมาโดนเนรเทศไปชายแดนเสฉวน และบีบคั้นจนต้องดื่มสุราพิษฆ่าตัวตาย
ในหนังเรื่องนี้ แท้จริงหลี่ปู้เหว่ยเป็นพ่อแท้จริงของฉินจิ๋นซี แต่ไม่ได้ประกาศตน ไม่เช่นนั้นอิ๋งเจิ้งจะไม่ได้สิทธิของการเป็นฉินจิ๋นซี ด้วยความร่ำรวย ด้วยความเก่งกาจของหลี่ปู้เหว่ยที่ได้ปูทางทุกอย่างให้อิ๋งเจิ้งก้าวสู่การเป็นอ๋องแคว้นฉินและเป็นอ่องเต้พระองค์แรกของประเทศจีน
ฉินจิ๋นซีได้ประกาศตนเป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฉินและนับได้ว่าเป็นฮ่องเต้องค์แรกของประเทศจีน
คำว่าอ๋องแทนกษัตริย์หรือผู้ครองแคว้น เมื่อฉินจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแคว้นทั้ง 6 เข้ากับแคว้นฉิน 7 แคว้นนี้จึงมีฐานะเป็นประเทศจีน
ฉินจิ๋นซีได้คิดคำใหม่เพื่อแทนความยิ่งใหญ่ของผู้คุมอ๋องทั้งหมด จึงใช้คำว่าฮ่องเต้สำเนียงแต้จิ๋ว หรือหวงตี้สำเนียงจีนกลาง ซึ่งมีความหมายว่าโอรสแห่งสวรรค์
เมื่อพระองค์ได้ปกครองแคว้นฉิน ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของ 6 รัชกาลแต่ก่อนของฉิน นับตั้งแต่ ฉินเซี่ยวกงเป็นต้นมา ใช้การปฏิบัติทางการเมืองและการปฏิรูประบอบต่าง ๆ เพื่อทำให้แคว้นฉินมั่นคงเข้มแข็ง และมีกำลังกล้าแข็งจนผงาดขึ้นมาปราบแคว้นทั้งหมดได้
ฉินจิ๋นซีสามารถรวบรวมและผนวก 6 แคว้นเป็นเอกภาพ ปิดฉากยุคจ้านกว๋อ สถาปนาราชวงศ์ฉิน ออกโจมตีชนเผ่าซงหนูทางเหนือ พิทักษ์ดินแดนของฉิน รุกรานชนเผ่าไป่เยว่ทางใต้ รวบอำนาจเข้ามาสู่ส่วนกลาง และสร้างมาตรฐานให้เป็นเสมือนประเทศเดียวกัน แทนที่จะเป็นแคว้นต่างกัน 6 แคว้น
การสถาปนาตนขึ้นเป็นใหญ่ได้พระนามว่าฉินสื่อหวงตี้ หรือฉินฉื่อหวังตี้ แต่คนไทยจะขานพระนามว่าฉินจิ๋นซีตามสำเนียงของจีนแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นคนจีนที่อพยพมาเมืองไทยในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมากที่สุด และนับเป็นจำนวนที่อยู่ในเมืองไทยมาก
ฉินจิ๋นซีเป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจฉลาดหลักแหลมมากที่สุด แต่ราชวงศ์ฉินอยู่ได้เพียง 2 รัชกาลเท่านั้น เป็นอันจบสิ้นราชวงศ์ การวางรากฐานที่มั่นคงก็ใช่ว่าจะคงอยู่ได้นานถ้าผู้ที่สานต่อไร้ซึ่งคุณธรรมและความสามารถ
เรื่องของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นภาพยนตร์หลายครั้ง แต่ละครั้งมีพลอตเรื่องที่แตกต่างกันไปขึ้นกับผู้แต่ง แค่เรื่องอดีตของฮ่องเต้ยังไม่อาจระบุได้ชัดเจน
บ้างว่า แม่ของเขาเป็นหญิงเริงเมืองที่บังเอิญมีลูกกับอ๋อง และไปอยู่ยังแคว้นอื่นเพื่อเป็นตัวประกัน ได้กลับมายังฉินเมื่อโตขึ้น จึงมีโอกาสเป็นอ๋อง
บ้างว่า แท้ที่จริงเขาไม่ใช่ลูกของอ๋องตัวจริง มีการสับเปลี่ยนตัว เพื่อหาคนมาเป็นตัวแทน ช่วงแรกเด็กคนนี้ไม่ยินยอมที่จะเป็นตัวแทน เมื่อหมดหนทางจริง ๆ จึงจำยอมเป็นอ๋อง และสามารถเป็นได้อย่างดี
เมืองหลวงในขณะนั้นคือเมืองเสียนหยางหรือซีอานในปัจจุบัน คนไทยนิยมไปเที่ยวเพื่อเยี่ยมชมสุสานฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ที่มีตุ๊กตาหินทหารจำนวนมากมายน่าจะเท่ากับจำนวนทหารในอดีตเพราะตุ๊กตาหินแต่ละตัวมีหน้าตารูปร่างไม่เหมือนกันอันอาจจะเกิดจากช่างปูนปั้นตั้งใจปั้นให้หน้าตาเหมือนทหารแต่ละคนหรือไม่ก็ฝีมือช่างปูนปั้นไม่คงที่ซึ่งกลายเป็นเสน่ห์อย่างยิ่งในกาลต่อมา
บางคนอาจเคยดูหนังจีนเรื่องหนึ่งที่คนรุ่นนี้ย้อนเวลาหาอดีตได้ และพยายามผูกโยงเรื่องว่าทำไมต้องปั้นปูนเป็นรูปทหารและม้าศึก เพราะโดยคติความเชื่อว่าต้องฆ่าทหารและม้าศึกฝังกลบในสุสานฮ่องเต้ ซึ่งหนุ่มนี้คิดแผนการใหม่ว่าถ้าใช้ปูนปั้นทหารและม้าศึกจะใช้แทนกันได้ ทำให้ไม่เสียทรัพยากรและชีวิตทหารจำนวนมากเพื่อติดตามรับใช้ในชาติหน้า ก็เป็นเพียงหนังสนุก ๆ ให้ดูกันและพยายามหาเหตุผลว่าทำไมจึงทำเช่นนี้แทนการทำตามจารีตประเพณีแต่ดั้งเดิม
ปัจจุบันสุสานนักรบดินเผาที่กลายเป็นหินนับพันนับหมื่นนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศจีน
เมื่อได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ฉินจิ๋นซีได้ปรับระบบต่าง ๆ ให้ทันสมัย เช่น ระบบเงินตรา ระบบชั่งตวงวัด  ระบบตัวหนังสือซึ่งจะเป็นภาษากลางให้ทุกแคว้นใช้เหมือนกัน ระบบการปกครองเป็นจังหวัด อำเภอ การปราบปรามชนต่างเผ่า
การสร้างกำแพงเมืองจีนให้เชื่อมกำแพงของทุกแคว้นเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ว่าฉินจิ๋นซีเพียงคนเดียวที่สร้างกำแพงเมืองจีนทั้งหมด ทุกแคว้นต่างมีกำแพงเมืองของตนอยู่แล้ว เพียงแต่ให้กำแพงทั้งหมดเชื่อมติดต่อกันเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนต่างเผ่าที่อยู่ทางเหนือของประเทศ ได้แก่ พวกมองโกล ชี่ตัน ซ่งหนู กำแพงนี้มีความยาวหมื่นลี้ บางคนจึงเรียกกำแพงเมืองจีนว่ากำแพงหมื่นลี้
พวกชนเผ่าทางเหนือต่างมีฝีมือและต้องการมารุกราน ยึดครองแผ่นดินทางใต้ที่อุดมสมบูรณ์และอบอุ่นกว่า มาถึงยุคหนึ่ง ชาวมองโกลสามารถยึดครองจีนได้และตั้งราชวงศ์หยวน และชาวแมนจูเรียมายึดครองแล้วตั้งราชวงศ์ชิง
กำแพงเมืองจีนที่เชื่อมต่อกันทุกเมืองสามารถมองเห็นได้เมื่ออยู่นอกโลกจากคำบอกเล่าของนักบินอวกาศ จึงเป็นมรดกโลกที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำรายได้มหาศาล
ใครจะไปรู้ว่า สิ่งที่ทำในวันนี้จะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลในอนาคต
ฉินจิ๋นซีเป็นนักปฏิรูปหัวก้าวหน้าที่คิดค้นนวตกรรมมาปกครองประเทศ ช่วงแรกฉินจิ๋นซีสร้างความเข้มแข็งทางการทหารและเศรษฐกิจของแคว้นฉินแล้วรุกรานแคว้นทั้ง 6 จนพ่ายแพ้
ใช้เวลานาน 26 ปี สามารถรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์จีน ตั้งตนในตำแหน่งฮ่องเต้ครั้งแรก ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้จึงเป็นฮ่องเต้องค์แรกของจักรวรรดิจีน
เมื่อเป็นฮ่องเต้ได้เริ่มระบบการปฏิรูปแบบซางหยางขับเคลื่อนให้แคว้นทั้ง 7 พัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ใช้การปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ฮ่องเต้ ยกเลิกระบบอำนาจแบบอ๋องเดิมที่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นทั้ง 6 มีอำนาจเด็ดขาด
อ๋องและบรรดาขุนนางมีหน้าที่รับถ่ายทอดพระบัญชาไปปฏิบัติตามโดยไม่ต้องโต้แย้งหรือให้ข้อคิดเห็น แต่งตั้งขุนนางใหญ่ 3 คน ในตำแหน่งมหาอำมาตย์หรืออัครมหาเสนาบดีหรือเฉิงเซี่ยงเป็นผู้มีอำนาจรองจากฮ่องเต้ ที่ปรึกษาฮ่องเต้หรือยวี่สื่อต้าฟูคอยกำกับดูแลข้าราชบริพารทุกระดับชั้น
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดหรือไท่เว่ยดูแลกิจการทหาร แบ่งดินแดนจาก 7 แคว้นใหญ่ออกเป็น 36 แคว้นย่อย แต่ละแคว้นแบ่งย่อยเป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน แคว้นยินยอมให้ประชาชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินโดยกำหนดให้มีโฉนดกำกับสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ดิน
สร้างความแข็งแกร่งของประเทศด้วยการสร้างเอกภาพของชาติ จัดทำระบบสำมะโนประชากรทั่วทั้งประเทศ จัดทำมาตรฐานภาษาเขียน จัดทำระบบเงินตรา มาตราชั่งตวงวัด สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างความเจริญให้แก่ประเทศจีนในกาลต่อมา
การเป็นผู้นำที่จะให้ผู้คนจดจำควรเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และคิดค้นนวตกรรมใหม่ที่จะมาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองหรือเพื่อพัฒนาให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้น ไม่ใช่สักแต่ทำงานประจำให้รอดพ้นไปวัน ๆ
การสั่งย้ายเศรษฐีผู้ดีมีเงินหรือเจ้าสัวทั้งหลายให้อพยพมาอยู่ยังเมืองหลวงหรือนครเสียนหยางยิ่งเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ส่วนชาวบ้านให้ไปทำไร่ไถนาและพัฒนาที่ดินในถิ่นทุรกันดาร พวกนักโทษอาชญากรให้ไปอยู่ตามชายแดน จัดสรรปันส่วนที่อยู่ที่ดินทำกินให้เหมาะกับคนแต่ละกลุ่มแต่ละพวกเพื่อเป็นฐานความเจริญในแต่ละจุด
ผลงานที่โดดเด่นจนถึงปัจจุบันคือการสร้างถนนขนาดรถม้า 2 คัน สวนกันได้ตลอดบนกำแพงเมืองจีน และถนนทุกแห่งในเมือง เชื่อมต่อกำแพงของทุกเมืองเพื่อป้องกันชนต่างเผ่าเช่นเผ่าซงหนู กำแพงนี้กลายเป็นกำแพงเมืองจีนที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดของโลกและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกปัจจุบัน รวมทั้งการขุดลอกคูคลองขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการคมนาคมขนส่งทางน้ำภายในประเทศ
ด้วยความเป็นคนเก่งและมีอำนาจในตนสามารถสั่งการได้ทุกเรื่องจึงใช้อาญาสิทธิ์จัดการกับทุกคนที่ไม่ทำตามพระราชประสงค์หรือบังอาจขัดขืน แน่นอนย่อมก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำสร้างความไม่พึงพอใจให้แก่ขุนนางได้ เพียงแต่ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อสิ้นบุญพ่อหมดอำนาจวาสนา ผู้เป็นลูกจึงไม่อาจทนต่อกระแสของคลื่นใต้น้ำได้
คนเก่งจะคู่กับความเป็นเผด็จการ เพราะคิดว่าตนเองเก่งแน่ จะเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก จึงเชื่อในฝีมือความสามารถของตนและสามารถทำได้ดีกว่าเหนือกว่ามากกว่ายอมรับว่าคนอื่นทำได้
ด้วยเหตุนี้จึงมักเผอเรอทำกิริยาที่ไม่เหมาะไม่งามคล้ายดูถูกดูแคลนคนอื่นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเหตุให้คนรอบข้างที่อ่อนด้อยกว่าไม่พึงพอใจและพร้อมจะหาเรื่องโจมตี น่าแปลกที่หลายคนไม่ชอบผู้นำที่เก่งเกินไป
เชื่อว่าบรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายอยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดและเสนอ เป็นเต่าหัวหดในกระดอง ครั้นสิ้นฉินจิ๋นซีฮ่องเต้จึงลุกขึ้นมาต่อต้านพระโอรสที่ไม่มีฝีมือ
การทำสิ่งแปลกใหม่ที่ดีเด่นกว่าเดิมใช่ว่าจะนำมาซึ่งความพอใจของคนส่วนมากในสังคมที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
การเป็นคนเก่งและตั้งใจทำงานสูงมากเพื่อให้เสร็จทันใจของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ย่อมบ่มเพาะนิสัยเอาแต่ใจไว้ด้วย ยิ่งในสมัยที่ฮ่องเต้มีอำนาจเหนือทุกผู้คนจึงสั่งการได้ทุกเรื่องราวแม้แต่เรื่องที่ไม่น่าทำ
ความอำมหิตโหดร้ายนี้มีคนเล่าต่อกันมาว่าจะจับประหารชีวิตทันทีโดยไม่ต้องไต่สวนทวนความว่าจริงเท็จประการใด แค่สงสัยก็กระทำได้และไม่ใช่แต่บุคคลที่สงสัยว่ากระทำความผิดเท่านั้นแต่ได้ลงโทษทั้งโคตร แต่จะกี่ชั่วโคตรไม่ได้บอกไว้ 
วิธีการประหารในสมัยนั้นจะใช้การแยกร่างด้วยม้าห้าตัวผูกเชือกเข้ากับร่างผู้โดนประหาร แน่นอนม้าทั้งห้าคงแยกวิ่งกันคนละทิศละทาง ร่างมนุษย์ก็คงแยกชิ้นส่วน ความเจ็บปวดก่อนตายคงสุดคณานับแต่พวกเขาคงไม่มีโอกาสบรรยายความโหดร้ายนี้ได้ด้วยตนเอง
ผู้ที่เฝ้ามองอยู่คงกระอักกระอ่วนอ๊วกแตกไปตามกัน  นอกจากนี้การประหารอาจใช้การตัดหัวเสียบประจานซึ่งดูจะทารุณน้อยกว่าการให้ม้าห้าตัวแยกร่าง
บางทีสิ่งที่คิดอาจดีหรือไม่ดีก็ได้ สิ่งที่เลวร้ายในสายตาของนักวิชาการก็มี
สิ่งที่ฉินจิ๋นซีทำและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันคือการเผาตำราของขงจื๊อทั้งหมดรวมทั้งคัมภีร์ที่คิดอ่านแตกต่างจากฮ่องเต้ การฆ่าบัณฑิตผู้นิยมลัทธิขงจื๊อทั้งหมดกว่า 400 คน ด้วยการเผาทั้งเป็นหรือไม่ก็ฝังทั้งเป็นหรือไม่ก็ฝังแค่ร่างแล้วตัดหัว
ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่หรือไม่ ในการล้มเลิกศรัทธาความเชื่อของคนส่วนมาก แล้วพยายามยัดเยียดสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้แก่ประชาชน
สิ่งที่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ทำเช่นนี้ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้มีมาตรฐานเดียวกันทุกเรื่องบนผืนแผ่นดินที่พระองค์ทรงรวบรวมได้ แต่การกระทำเช่นนี้เหมือนการหักด้ามพร้าด้วยเข่ามันรุนแรงและโหดร้ายเกินไปในสายตาของผู้คนที่ยึดมั่นในลัทธิขงจื๊อ
วิธีการทารุณผู้ต่อต้านโหดร้ายรุนแรง แต่ทั้งหมดที่ได้ทำกลับกลายเป็นพื้นฐานที่สร้างให้จีนเป็นอารยประเทศในกาลต่อมา เลยไม่รู้ว่าวิธีการที่เด็ดขาดเข้มแข็งโหดร้ายนี้ดีหรือไม่ดี
ความดุร้ายเข้มงวดรวมไปถึงการเกณฑ์แรงงานเพื่อสร้างกำแพงเมืองจีน สร้างสุสาน พระราชวังทำให้ผู้คนล้มตายอย่างน่าอเน็จอนาถใจเป็นอันมากนับเป็นเรือนล้านกว่างานจะสำเร็จตามพระราชประสงค์ เพราะเช่นนี้กำแพงเมืองจีนจึงสำเร็จลุล่วงและเป็นสิ่งมหัศจรรยืของโลกในทุกวันนี้ บนซากศพของแรงงานนับล้าน บนความทารุณโหดร้ายที่บีบบังคับชนชั้นผู้ไม่มีโอกาสต่อสู้
การขูดรีดภาษีจากประชาชนเพื่อบำรุงบำเรอความสุขและความปรารถนาของตนในการเดินทางท่องเที่ยวทั่วผืนแผ่นดินที่ตนรวบรวมได้ ทั้งหมดกลายเป็นภาพลบที่เกิดแก่ฮ่องเต้องค์แรกของประเทศจีน แม้ว่าบางสิ่งบางอย่างได้กลายเป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่าต่อผู้คนในยุคต่อมาก็ตามที
ความอำมหิตโหดร้ายไม่ใช่กระทำต่อประชาชนเท่านั้นแต่รวมไปถึงพระโอรสองค์โตพระโอรสฝูซูที่น่าจะเป็นรัชทายาท ที่จริงน่าจะเรียกว่า ความเข้มงวดกวดขันและจริงจังต่อทุกเรื่องราวเสียมากกว่า
ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้โดนขัดใจเพราะพระโอรสฝูซูขัดคำสั่งพระบิดา เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ได้เนรเทศว่าที่รัชทายาทฝูซูให้ไปสร้างกำแพงเมืองจีนเหมือนชาวบ้านทั่วไป
แม้แต่เพื่อน ๆ ที่บังอาจเพ็ดทูลในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิดของพระองค์ก็จับลงโทษเช่นกัน อย่างนี้ซิจึงจะเรียกว่าเผด็จการสมบูรณ์แบบและอำมหิตโหดร้ายตัวพ่อ
ความที่อำมหิตโหดร้ายเกินธรรมดา จึงมีหลายคนคิดที่จะล้มล้างอำนาจนี้ให้หมดไป บรรดาผู้ที่ไม่ชอบเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทำอย่างปกปิดซ่อนเร้นเหมือนคลื่นใต้น้ำ เพราะถ้าโดนจับก็คงต้องตายอย่างทารุณ ชีวิตความเป็นอยู่ของขุนนางและประชาชนคงอยู่กันด้วยความหวาดผวาและไม่มีความสุข
ที่น่าแปลกคนยิ่งมีอำนาจมากยิ่งอยากเสพอำนาจให้มากขึ้นและนานขึ้น เมื่อฉินจิ๋นซีฮ่องเต้หลงอยู่ในอำนาจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ในใจคงหวั่นเกรงว่าตนจะหมดอำนาจด้วยวัยชราที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้จึงเร่งแสวงหายาอายุวัฒนะเพื่อให้ตนเป็นหนุ่มอยู่ยงคงกระพันไปตลอด
ความจริงย่อมเป็นความจริง เกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจธรรมโลก แต่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้คงทำใจยอมรับสัจธรรมนี้ไม่ได้ จึงดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์ เพื่อค้นคว้าหายาอายุวัฒนะให้จงได้
คนมีอำนาจมาก เสพสุขได้ทุกสิ่งตามใจปรารถนา ย่อมปรารถนาให้ชีวิตอยู่ยืนยาว ส่วนคนยากไร้นับวันรอให้จากโลกนี้ไปเร็ว ๆ เผื่อชาติหน้าอาจสบายขึ้นมาบ้าง
ช่วงหลังฉินจิ๋นซีต้องการอายุที่ยืนยาว จึงเดินทางรอนแรมแสวงหาสมุนไพรในถิ่นทุรกันดารด้วยตนเอง ได้เรียกให้พระโอรสองค์โตฝูซูกลับวังหลังจากโดนเนรเทศ แต่พระอนุชาหูไห่รวมหัวกับเจ้าเกาขันทีขัดขวาง จะว่าไปแล้วพระโอรสองค์โตฝูซูว่าที่รัชทายาทเป็นคนที่เก่งกาจฉลาดเฉลียวไม่แพ้ผู้เป็นพระบิดาแต่อ่อนโยนและใจดีมากกว่ามาก
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเมื่อจะต้องสิ้นราชวงศ์ฉินจึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ระหว่างการเดินทางรอนแรมลงทางภาคใต้ของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ กลุ่มการเมืองของหูไห่ที่มีเจ้าเกาขันที และเฉิงเซี่ยงหลี่ซือได้วางแผนปลงพระชนม์รัชทายาทฝูซูและแต่งตั้งให้หูไห่เป็นรัชทายาทแทน ด้วยการปลอมแปลงราชโองการที่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ต้องการให้พระโอรสองค์โตฝูซูว่าที่รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดอำนาจนั้นกลายเป็นสั่งให้พระโอรสองค์โตฝูซูและเหมิงเถียนฆ่าตัวตาย แทนที่จะได้กลับวังอย่างคนเป็น ๆ กลายเป็นศพกลับแทนทั้งที่เป็นราชโองการปลอมแท้ ๆ
โลกจะจารึกแต่ชื่อผู้เก่งกาจและทำคุณประโยชน์ ฉินจิ๋นซีเป็นคนหนึ่งที่โลกได้จารึกถึงเขา ทั้งผู้ที่สานต่อกำแพงเมืองจีนจนมองเห็นได้จากนอกโลก และผู้ที่ทำลายล้างตำราของขงจื๊อ เพื่อจะสร้างมาตรฐานชีวิตใหม่ แต่ลืมไปว่า ศรัทธาความเชื่อมิใช่สิ่งที่จะสร้างหรือทำลายได้ในพริบตาเดียว
ฉินจิ๋นซีเป็นฮ่องเต้พระองค์แรก
ที่สร้างมาตรฐานความเป็นหนึ่งเดียว
มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและโดดเด่น
แต่พลาดท่าที่คิดทำลายศรัทธาดั้งเดิม



Create Date : 04 ตุลาคม 2563
Last Update : 4 ตุลาคม 2563 7:42:45 น.
Counter : 729 Pageviews.

1 comments
  
โดย: สมาชิกหมายเลข 1495151 วันที่: 4 ตุลาคม 2563 เวลา:17:53:12 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments