การบ้านการเมืองมีทีท่าจะสงบขึ้น แต่ทว่าคลื่นใต้น้ำที่รุนแรงยังพร้อมพัดกระหน่ำทำลายเสมอ
ช่วงที่ผมพักร้อนอยู่ที่บ้าน ณ จังหวัดพิษณุโลก ผมติดตามข่าวสารบ้านเมืองทุกวันอย่างสนใจ ซึ่งผมมิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อนนับแต่ลืมตามองโลกใบนี้
ต้องขอขอบคุณคุณทักษิณที่ทำอะไรชวนให้คิดว่ามีลับลมคนในอะไร อย่างไร ตลอด ผมจึงได้ตามการเมืองขนาดนี้
เหตุการณ์บ้านเมืองของเรามีทีท่าสงบลงนะครับ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรียกผู้พิพากษาศาลต่าง ๆ เข้าเฝ้า ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคุณทักษิณเอง หรือฝ่ายพันธมิตรฯ ต่างก็ยอมรับโดยดุษฎี โดยการหันหลังให้มาตรา 7 และรอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดประเด็นเรื่องต่าง ๆ
ทุกอย่างรอศาลท่านพิจารณาครับ บ้านเมืองตอนนี้เลยไม่มีคนออกมาตะโกนด่ากันปาว ๆ อีกแล้ว ทุกคนต่างรอวันที่บ้านเมืองจะดำเนินการไปตามวิถีของมันที่เคยเป็นมาก่อน
ทว่าในทัศนะผม แม้ว่าบ้านเมืองโดยรวมจะดูสงบขึ้น แต่การเมืองในระดับปัจเจก ความคิดของแต่ละคน ผมว่ามันมิได้สงบลงตามไปด้วย "ความเป็นคนอื่น" ในสายตาที่มองฝ่ายตรงข้ามยังมิได้จางหายไปแม้แต่เล็กน้อย
ผมได้เขียนเรื่อง "ความเป็นคนอื่น" โดยได้รับแนวคิดเมื่อครั้งผมฟัง อ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล จากนิติศาสตร์ มช. และมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไว้ในนี้ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=djdonk-mc43&month=04-2006&date=04&group=4&blog=1 โดยผมจะขอสรุปสั้น ๆ ดังนี้ว่า ทุกวันนี้การเมืองไทยแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ในแง่ของความคิด หนึ่งคือกลุ่มผู้มีความคิดสนับสนุนคุณทักษิณ และอีกกลุ่มหนึ่งนั้นต่อต้านคุณทักษิณ
ทั้งสองกลุ่มนี้มีแนวความคิดที่แตกต่างกัน ถึงขั้นถ้าพูดในวงเหล้ารับรองได้มีต่อยปากกันแน่ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจากการไม่พยายามเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่าย ในที่สุดมันนำไปสู่การมองฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น "คนอื่น"
"คนอื่น" คือ คนที่คิดต่างจากเรา เขาไม่ใช่พวกเรา ยิ่งรู้สึกมาก ๆ มันจะนำไปสู่การคิดว่าเราไม่ต้องเห็นหัวเขา เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยมาแล้ว ที่ร้ายแรงก็อย่างเช่นเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อฆ่านักศึกษาโดยอ้างว่านั้นคือ "คอมมิวนิสต์"
หันย้อนกลับมามองสังคมไทยในระดับปัจเจก ณ เวลานี้ ผมมองว่าความคาใจทุกอย่างยังไม่มีการคลี่คลาย ความเข้าใจที่ทั้งสองพึงรู้ยังไม่เกิดขึ้น ความเข้าใจในที่นี้ก็คือ ฝ่ายรักทักษิณต้องเข้าใจว่าเขามาต่อต้านทักษิณกันทำไม ต้องรับข้อมูล มิใช่สักแต่ว่าตามืดตามัวไม่ฟังอีกฟังเลย
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเกลียดทักษิณก็ต้องเข้าใจด้วยว่าทำไมชาวบ้านทั่วไปถึงรักทักษิณกันหนักหนา อย่าพึ่งไปมองว่าอะไร ๆ ก็เป็นประชานิยมไปหมดนะครับ อันนั้นมันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเรามองกันดี ๆ เคยมีรัฐบาลไหนไหมที่สนใจชาวบ้านกันถึงขนาดนี้
แม้ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกาจะมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร มันเป็นเพียงแค่แนวทางการปฎิบัติในระดับมหภาค ชาวบ้านยังไงก็ต้องรับและทำตาม แต่ข้างในใจลึก ๆ ถ้าไม่มีคนอธิบายปรับความเข้าใจกัน มันก็ไม่ต่างอะไรจากเดิม
สมมตินะครับ สมมติว่าศาลตัดสินว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ กลุ่มคนรักทักษิณต้องโวยแน่นอนครับ ถึงไม่โวยก็คิดอยู่ในใจอีกว่า นายกทักษิณของกูทำผิดอะไร ยุบสภาเนี๊ยะมันผิดกฎหมายตรงไหนฟ่ะ เลือกตั้งก็ทำตามกติกาโดยการลงเลือกตั้ง ไม่ใช่แบบพวกพรรคฝ่ายค้านที่บอยคอตต์ อะไรก็ว่ากันไปนะครับ
ส่วนคนเกลียดทักษิณนี้มีเฮเลย คำพูดของคนกลุ่มนี้ก็จะเอาล่ะ นั้นไง มันผิดแต่ยุบสภาแล้ว โกงบ้านเมืองแล้วหนีเฉย เลือกตั้งก็ลงพรรคเดียวมันโกงกันอยู่แล้ว กกต.ก็ช่วยมัน อะไรประมาณนี้
เห็นไหมครับ สมมติมันเป็นเช่นนี้ "ความคิดเห็น" ถูกผลิตออกมาตรึมเลย ต่างคนต่างก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน แม้ว่ากระบวนการทางกฎหมายจะตัดสินไปแล้ว ในใจคนลึก ๆ ที่พร้อมจะต่อต้านมันก็มีครับ
สิ่งที่ผมต้องการอยากให้เป็นก็คือการที่เราต่อสู้กันด้วย fact หรือข้อเท็จจริง ใครตามบล็อกผมมานานคงเห็นว่าเมื่อพูดถึงการเมืองทีไร ผมจะเน้นว่าเราต้องใช้ข้อเท็จจริงมาพูดคุยกัน อย่าใช้ความคิดเห็น
ไม่รู้ว่าศาลจะแจงละเอียดประเด็นต่าง ๆ ของคำวินิจฉันละเอียดยิบย่อยขนาดไหน แต่คำวินิจฉัยของศาลก็เป็นข้อเท็จจริงสิ่งหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการ "เข้าใจและยอมรับ" ครับ ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่เข้าใจและยอมรับเหตุผลของอีกฝ่าย บ้านเมืองนี้มิมีวันสงบลงจริง ๆ แน่
ผมก็หวังให้ทุกฝ่ายและทุกคนเปิดใจยอมรับกันนะครับ มิฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นว่ามันสงบลงในตอนนี้ก็เป็นเพียงภาพมายาที่ลวงหลอกตาเท่านั้น......
Create Date : 04 พฤษภาคม 2549 |
|
16 comments |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2549 11:10:09 น. |
Counter : 950 Pageviews. |
|
|
|
ไปนอนก่อนดีกว่า แล้วจะกลับมาอ่านใหม่