ช้างยักษ์ในรั้วม่วง : ตามรอยชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2)
ราว ๆ สองสัปดาห์นับจากวันสอบสัมภาษณ์ก็ถึงเวลาเดินทางมาอยู่มหาวิทยาลัยเชิงดอยแห่งนี้อย่างเต็มตัว เวลากลางเดือนพฤษภาคมเริ่มมีเมฆฝนลอยดำมืดมาให้เห็นบ้างแล้ว ตลอดเส้นทางการเดินทางขึ้นเหนือของผมมีละอองฝนประปรายสลับเม็ดใหญ่ให้บรรยากาศชวนเหงาอย่างยิ่ง
การเดินทางครั้งนี้เป็นการจากบ้านเป็นครั้งแรก ตลอดชีวิตก่อนหน้านั้นผมไม่เคยย้ายไปเรียนที่จังหวัดอื่น ลำพังแค่้ย้ายโรงเรียนตอนประถมก็ทำให้เกิดโรคคิดถึงบ้านปรับตัวไม่ได้ การรับน้องจังหวัดทำให้ผมเข็ดขยาดพลอยกังวลถึงวันข้างหน้าที่ต่อเจอในการรับน้องที่คณะ
เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ผมและแม่ก็เดินทางมาถึงเชียงใหม่ ซึ่งก็ต้องงมแผนที่มาอีกเช่นเคย หาข้าวปลาอาหารกินอิ่มแล้วก็ขนของเข้าหอพักมหาวิทยาลัย ซึ่งผมเลือกหอห้าชายด้วยเหตุว่ามีเพื่อนจังหวัดซึ่งเรียนห้องเดียวกันอยู่ด้วยถึงสามห้อง
มช. เมื่อปี 2543 มีหออยู่ทั้งสิ้น 15 หอ แบ่งเป็นหอชาย 7 หอ และหอหญิง 8 หอ (แต่ตอนนี้หอชายหนึ่งได้กลายเป็นหอเก้าหญิงไปเสียแล้ว) พื้นที่ของหอเป็นลักษณะแคมปัสอยู่ติดกับตึกเรียนชนิดที่ว่าแค่ข้ามถนนสองเลนเล็ก ๆ ก็ถึง อย่างหอห้าชายที่ผมอาศัยอยู่ก็อยู่ต่างตึกคณะวิศวะเพียงชั่วอึดใจ ไม่น่าแปลกใจที่เด็กคณะวิศวะจะอยู่หอนี้เยอะมาก
ลักษณะของหอส่วนใหญ่จะสร้างเป็นรูปตัว H มีทั้งหมด 4 ชั้น ทว่าอาศัยอยู่เฉพาะชั้น 2-4 โดยแต่ละชั้นมีอยู่ทั้งหมด 56 ห้อง แต่ละปีกจะมีห้องน้ำรวมอยู่ ซึ่งยามเช้าน้ำมักไม่ไหล และฤดูหนาวถือเป็นการวัดใจนักศึกษาอย่างแรงเพราะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น
หลายครั้งที่ผมได้ยินเสียงกระเทยกรี๊ดลั่นดังไปทั่วทั้งชั้น ทุกคนวิ่งออกไปดูที่ห้องน้ำว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยนึกว่าคงมีใครประสบอุบัติเหตุ แต่แล้วก็พบว่าเจ้าของเสียงไม่ได้เป็นอะไรเลย กระเทยนางนั้นกรี๊ดร้องจากความเย็นของน้ำที่กระหน่ำลงมาบนร่างราวกับวันที่เธอเสียพรหมจรรย์เป็นวันแรก
หอชายแต่ละห้องอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 คน ได้เมทดีก็เป็นบุญไป ถ้าเจอเมทจัญไรก็คงได้แต่ทน เมทผมอีกสองคนนั้น ล้วนแต่ไม่ใช่ชาวเชียงใหม่ทั้งสิ้น คนแรกคือโกศล หรือ ศล ผู้ที่มีกลิ่นกายเหม็นจนแทบอ้วก ด้วยความซกมกสกปรกชอบหมักหมมแถมไม่ชอบอาบน้ำ จึงทำให้การเข้าใกล้โกศลในระยะประชิดหนึ่งเมตรต้องทำใจกันเสียก่อน อย่างไรก็ดีศลเป็นคนมีน้ำใจงามแถมยังซื้อการ์ตูนเป็นกิจวัตรทำให้ผมได้รับอานิสงฆ์อ่านการ์ตูนฟรีไปด้วย
เมทคนที่สองชื่อเอ้ หนุ่มวิศวะเช่นเดียวกับโกศล เอ้ซิ่วมาจาก ม.สุรนารี แรก ๆ เราเลยเอ้ว่า พี่เอ้ อยู่ ๆ ไปก็เหลือแค่เอ้ ตามด้วยไอ้เอ้ จนในที่สุดเป็นไอ้เหี้ยเอ้ เอ้อยู่กับผมได้แค่ปีเดียวก็ทำการซิ่วครั้งที่สองไปอยู่ที่ ม.นเรศวร ชีวิตมันเดินทางจริง ๆ
ตอนแรกคิดว่ามาอยู่หอจะเหงา เพราะไหนจะปรับตัว ที่ไหนได้แต่ละวันเม้าส์แตกกับเพื่อนจังหวัดกันทุกวัน เย็นก็ไปกินข้าวกับเพื่อน กลางคืนมาก็เม้าท์แตก เรียกได้ว่าชีวิตเฮฮามาก ๆ
ชีวิตเริ่มต้นได้สนุกแบบนี้ก็คงไม่มีให้กังวลแล้วกระมัง!!!
Create Date : 10 มกราคม 2552 |
|
37 comments |
Last Update : 10 มกราคม 2552 13:46:40 น. |
Counter : 3106 Pageviews. |
|
|
|