|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
ลิเก : รากเหง้าแห่งภูมิปัญญาที่คนไทยหลงลืม
หลังจากผลงานของนักศึกษาชิ้นแรกเกี่ยวกับเรื่อง "ร้านเล่า" เผยแพร่ออกไป ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ
สารคดีชิ้นต่อมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับลิเกโดย ทัศนีย์ มากคล้าย หรือ บีม ก่อนเขียนสารคดีชิ้นนี้ เธอปรึกษาผมหายครั้ง ด้วยว่าไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี ผมเลยไต่ถามถึงอดีตภูมิหลังและก็พบว่าเธอชอบดูลิเกและอ่านนวนิยายเป็นอันมาก ผมเลยบอกว่าเขียนเรื่องลิเกจากความทรงจำดู โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับหลังม่านลิเก หลายคนคงอยากรู้
เวลาเรียนในห้อง ยามที่ผมเปิดวงสนทนาเกี่ยวกับหนังสือที่ชอบอ่าน เธอมักเป็นประเด็นโดนแซวจากเพื่อนว่าเป็นเจ้าแม่นวนิยาย อ่านได้ไม่มีเบื่อ อ่านได้ทุกเรื่อง บ้างเลยแซวว่าเธอเป็นคนที่ชื่นชอบอารมณ์เพ้อฝันมโนรมย์ยิ่งนัก
ตัวผมที่เป็นอาจารย์เองก็ใช่ย่อย สมัยเด็ก แม่ผมรับหนังสืออย่างสกุลไทย สตรีสาร และขวัญเรือนมาอ่าน ส่งผลให้ผมได้อ่านนิยายมาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้ส่วนมากจะเน้นอ่านเรื่องผีก็ตาม (อาทิเช่น ภูติแม่น้ำโขง อะไรทำนองนี้)
ก็ขอเชิญทุกท่านอ่านข้อเขียนชิ้นที่สองจากผลงานเด็กในคลาสของผมครับ
--------------------------
ลิเก : รากเหง้าแห่งภูมิปัญญาที่คนไทยหลงลืม
โดยทัศนีย์ มากคล้าย
เห่ เฮ เฮ เฮ้ เฮเห่เฮ เฮเห่เฮ เฮเห่เฮ เฮ้เฮเฮเฮ สาลามานา ฮัดชาสาเก ปลาดุกกระดุกกระดิก เอาไปผัดพริกอร่อยดีเฮ สวัสดีพ่อแม่ทั้งหลาย พี่น้องหญิงชายที่สนใจลิเก ................................. ................................. ฮาเลวังกา รีบ ๆ เข้ามาดูลิเก
เสียงคำร้องข้างบนนี้ฉันสามารถร้องตามและยังจำติดหูได้ตลอดมา เมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ เมื่อได้ยินเสียงผู้ชายที่แต่งตัวคล้ายแขก สวมหมวกหนีบออกมายืนจับไมค์ร้องเพลง ซึ่งชาวบ้านมักเรียกกันว่า การออกแขก ฉันเป็นอันต้องวิ่งไปหน้าเวทีเพื่อจับจองพื้นที่ (โดยการนำเสื่อหรือกระดาษหนังสือพิมพ์มาปูนั่ง) รอชมการแสดงลิเกที่กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ ฉันชื่นชอบและดูลิเกมาตั้งแต่เด็ก เพราะในสมัยนั้นเมื่อหมู่บ้านมีการจัดงานบุญหรือมีมหรสพครั้งใด มักมีลิเกด้วยทุกครั้งไป ซึ่งการมาแสดงของลิเกนั้นมีหลายแบบ เช่น มีเจ้าภาพจ้างเหมามาฉลองตามงานบุญต่าง ๆ บ้าง หรือคณะลิเกมาลงเวทีปิดวิกเพื่อเรี่ยไรเงินจากคนดูเองบ้าง ลิเกเริ่มปรากฏหลักฐานที่เด่นชัดในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยที่พวกชาวไทยมุสลิมในกรุงเทพรวมตัวกันแสดงลิเกถวายหน้าพระที่นั่ง เนื่องในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ในปี 2423 เมื่อคนไทยที่มีบรรดาศักดิ์เห็นจึงอยากให้มีการร้องสวดในงานวันสำคัญของตัวเองบ้างเพื่อเป็นการเสริมบารมีของตน จึงได้ขอร้องให้พวกแขกมุสลิมมาสวดให้จนกลายเป็นที่นิยมขึ้นมา แม้กระทั่งชาวบ้านก็อยากให้มีคนมาสวดหรืออวยพรให้ในวันสำคัญของตนบ้าง แต่ไม่มีอำนาจวาสนาถึงกับให้พวกแขกมาสวดให้ได้ จึงหาคนไทยมาสวดมาร้องให้โดยเริ่มใช้เพลงไทยในการร้อง จนในที่สุดก็เอาเรื่องละครนอกมาดัดแปลงเล่น แต่เพื่อจะให้รู้ว่านี่คือ ดิเกร์ หรือเพี้ยนจนเป็น ยี่เก และ ลิเก จึงต้องมีการออกแขกบอกไว้ต้นการแสดง
หลังจากที่ลิเกพยายามดัดแปลงการแสดงให้แตกต่างจากรูปแบบการสวดของชาวมุสลิมแล้ว ลิเกก็ได้ยึดแบบอย่างการแสดงจากละครนอก ทำให้ลิเกในสมัยนั้นมีแต่ผู้ชายล้วน
คณะลิเกในยุคแรกๆที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ คณะดอกดิน เสือสง่า พ่อดอกดินเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ในการเล่นลิเกมากถึงแม้จะร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์แต่กระนั้น วงการลิเกก็ยังต้องจารึกชื่อของท่านไว้ในประวัติศาสตร์ลิเกไทย เพราะท่านเป็นคนแรกที่นำชายจริง หญิงแท้มาเล่นตามบทบาท และมีรูปแบบการแสดงที่มีแบบแผน นอกจากนี้พ่อดอกดินยังได้คิดเพลง รานิเกลิง อันเป็นสัญลักษณ์ของการร้องลิเกขึ้นใหม่แทนการใช้เพลงหงส์ทองเดิม ลิเกนั้นได้มีวิวัฒนาการหลากหลายรูปแบบและมีชื่อเรียกต่างกันคือ ลิเกบันตน ลิเกลูกบทและลิเกทรงเครื่อง
ลิเกบันตน เป็นการแสดงเรื่องราวละครชุดสั้นๆ ใช้รำมะนาเป็นเครื่องดนตรีแต่เครื่องแต่งกายและสำเนียงเจรจายังเลียนแบบชาวมุสลิมอยู่ ด้านลิเกลูกบทเกิดจากพวกปี่พาทย์นำลิเกบันตนไปแสดงประกอบการบรรเลงเพลงลูกบทโดยใช้ปี่พาทย์ทำเพลงรับแทนการใช้ลูกคู่ร้องประกอบการตีรำมะนาแบบเดิม ส่วนลิเกทรงเครื่องเกิดจากการผสมผสานการแสดงของลิเกบันตนและลิเกลูกบทเข้าด้วยกันซึ่งเดิมแต่งตัวด้วยเสื้อคอกลม นุ่งโจงกระเบนและมีผ้าคาดเท่านั้น ครั้งถึงยุคพระยาเพชรปาณี(ผู้ให้กำเนิดวิกลิเกคนแรก)ท่านได้นำเครื่องแต่งกายของข้าราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 มาดัดแปลง จึงเรียกกันว่าแต่งองค์ทรงเครื่องและเพี้ยนมาเป็นลิเกทรงเครื่อง โรงลิเกนับว่าเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการแสดงลิเก ยังจำได้ว่าแต่ก่อนนั้นเด็กๆหลายคนรวมทั้งตัวฉันจะชอบไปห้อยโหนต้นมะยมข้างเวทีเพื่อแอบดูลิเกว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้าง โรงลิเกมีทั้งแบบสร้างชั่วคราวและแบบถาวรซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือส่วนหน้าและส่วนหลังโดยใช้ฉากที่ทำจากผ้าดิบเขียนเป็นภาพต่าง ๆ กั้น ภาพที่นิยมก็คือภาพท้องพระโรง
ด้านบนของฉากมีชื่อคณะพร้อมเบอร์โทรศัพท์บอกไว้อย่างชัดเจนซึ่งถือเป็นการโฆษณาไปในตัว ส่วนหน้าเวทีจะใช้สำหรับแสดง และสิ่งที่เห็นจะขาดไม่ได้เลยบนเวทีก็คือ เตียง ซึ่งในภายหลังพบว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการแสดงเพราะใช้ได้เอนกประสงค์ไม่ว่าจะเป็นราชอาสน์ของพระราชา ภูเขา บ้าน หรือแม้แต่เป็นเตียงของยาจกสุดแล้วแต่จะสมมติขึ้นมา ด้านขวาของเวทีเป็นปีกยื่นออกไปสำหรับเป็นที่ตั้งของวงปี่พาทย์ซึ่งประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลักได้แก่ ระนาดเอก ปี่ ขลุ่ย ตะโพน ฉิ่งและฉาบ สำหรับส่วนหลังของโรงลิเกจะเป็นที่สำหรับพักผ่อน เตรียมการแสดง แต่งตัวและแต่งหน้าโดยการแต่งหน้าของลิเกนั้นเริ่มมีในยุคลิเกทรงเครื่องโดยแต่งเลียนแบบละครรำ ซึ่งมี 3 ขั้นตอนหลัก คือ ผัดหน้า เขียนคิ้วและทาปาก อีกวิธีหนึ่งที่ลิเกชอบทำนั่นก็คือ การแรเงาสันจมูกให้ดูโด่ง
นอกจากขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว เชื่อว่าการแต่งหน้าของลิเกยังมีการใช้คาถามากมายเพื่อให้คนดูติดใจ ซึ่งตัวลิเก ถือเป็นความลับเฉพาะตัว บ้างก็ได้มาจากพ่อแม่หรือจากพระเกจิอาจารย์วัดต่าง ๆ นั่นก็คือการเสกแป้งผัดหน้า หรือเสกลิปสติกทาปากให้ต้องตาต้องใจคนดูมีคารมคมคาย ด้นกลอนมิมีติดขัด เป็นต้น แต่โดยรวมแล้วการแต่งหน้าของลิเกไม่มีแบบแผนตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรสนิยมหรือสมัยนิยม ลิเกแต่ละคณะปกติแล้วจะมีนักแสดงประมาณ 10 คน ประกอบด้วย พระเอก นางเอก ตัวพ่อตัวแม่ของนางเอกหรือพระเอก พระรอง ตัวตลก ตัวโกง นางอิจฉา เป็นต้น ลิเกเป็นอาชีพที่ผู้เล่นจะรู้หน้าที่ของตน มีความเป็นระเบียบ สงบและเคารพนับถือผู้อาวุโสไม่ว่าผู้นั้นจะมีตำแหน่งใดในคณะก็ตามและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพบูชาของชาวลิเกก็คือรูปศีรษะฤาษี หรือที่ลิเกและคนในวงการนาฏศิลป์เรียกว่า พ่อแก่ ฉะนั้นก่อนเริ่มการแสดง ทุกคนในคณะลิเกต้องไหว้พ่อแก่ก่อนโดยเชื่อกันว่าจะเป็นการช่วยปัดเสนียดจัญไรต่างๆออกไปก่อนเริ่มการแสดง ซึ่งถือเป็นอีกขวัญกำลังใจหนึ่งของผู้แสดง ชาวบ้านในสมัยก่อนนิยมดูการแสดงลิเกเป็นอย่างมาก เพราะลิเกเป็นการแสดงที่สนุกสนาน มีการดำเนินเรื่องเร็วแต่ตลกขบขัน นอกจากตัวพระเอกนางเอกที่ช่วยชูโรงแล้ว ตัวแสดงที่เป็นที่ ชื่นชอบของคนทุกเพศทุกวัยก็คือตัวตลกหรือที่มักเรียกว่า ตัวโจ๊ก ซึ่งช่วยสร้างสีสันให้กับเรื่องเป็นอย่างดี แต่เมื่อสื่อและเทคโนโลยีต่างๆเข้ามา เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ส่งผลกระทบให้ลิเกได้รับความนิยมลดลงจนคณะลิเกจำนวนไม่น้อยต้องผันตัวเองไปทำอาชีพอื่นเลยก็มี แต่กระนั้นลิเกก็ยังพยายามหาช่องทางเพื่อให้ตนเองสามารถขึ้นมายืนอยู่ได้อีกครั้ง นั่นก็คือการแสดงลิเกผ่านวิทยุและโทรทัศน์ จนทำให้ลิเกกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ซึ่งลิเกที่ได้รับความนิยมในขณะนั้นก็คือ สมศักด์ ภักดี ที่รู้จักกันในนามของพระเอกลิเกเงินล้าน มีลิเกที่ไหน สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือมีแม่ยกที่นั่น คำว่าแม่ยกมีที่มาอย่างไรไม่แน่ชัด แต่แม่ยกคือบุคคลที่ถือว่ามีความสำคัญต่อลิเก ซึ่งส่วนมากเป็นหญิงวัยกลางคน สาวแก่ แม่หม้าย ที่มักอุปการะบรรดาพระเอกลิเกเพราะเอ็นดูอย่างลูกหลานหรือพิศวาสทางชู้สาวก็มี โดยการให้พวงมาลัยธนบัตรตามกำลังทรัพย์
แม้ว่าบนเวทีชีวิตลิเกจะดูหรูหรา สนุกสนาน หรือถึงแม้จะมีอุปสรรคแต่สุดท้ายแล้วก็จบด้วยความสุข แต่ในชีวิตจริงของพวกเขานั้นน่าสงสารและต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆอยู่ไม่น้อยเพราะลิเกถูกจัดเป็นการแสดงเชิงนาฏพานิชย์ซึ่งต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง ขาดการอุปถัมภ์หรือส่งเสริมจากหน่วยงานใดๆทั้งสิ้น ลิเกจึงต้องหาวิธีเล่นที่แปลกใหม่ ทันสมัย ตรงใจคนดู ดังนั้นรูปแบบการ-แสดงจึงผิดแปลกจากละครที่มีแบบแผน มีการใช้คำราชาศัพท์ผิดหรือมีการร่ายรำพอเป็นพิธีแต่ร้องเป็นส่วนใหญ่ ดังมีคนเปรียบเทียบว่า “ละครรำเป็นท่า ลิเกรำเป็นที” ทำให้ได้รับคำดูถูกเหยียดหยามต่างๆนานาว่าลิเกเป็นของต่ำ ดังบทกลอนของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ว่า “ลิเกลามกตลกเล่น รำเต้นสิ้นอายขายหน้า ไม่ควรจดจำเป็นตำรา มันจะพาเสียคนป่นปี้เอย”
ปัจจุบันฉันได้มีโอกาสดูลิเกน้อยมากโดยเฉพาะการได้มาร่ำเรียนในเมืองใหญ่ที่ได้ชื่อว่ามีความเจริญเช่นนี้ หรือแม้แต่งานบุญงานวัดในหมู่บ้าน ลิเกที่เคยมีให้ดูตลอด แต่เมื่อ 10 ปีให้หลังมานี้ แทบจะไม่มีเงาของลิเกจนคนรุ่นใหม่บางคนอาจไม่เคยดูหรือรู้จักลิเกด้วยซ้ำไป ลิเกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากทั้งด้านกระบวนการรำที่มีน้อยลง เนื้อเรื่องที่ใช้ก็ดัดแปลงไปจากเดิมมากโดยเน้นบทชิงรักหักสวาทจบเกือบไม่เหลือความสละสลวยแห่งภาษาและคำกลอนไว้ ยิ่งปัจจุบันกระแสเพลงลุกทุ่งที่ได้รับความนิยมทำให้ลิเกนำเพลงลูกทุ่งมาร้องแทนการออกแขก ข้อนี้ฉันมีประสบการณ์โดยตรงจากการได้ชมลิเกคณะหนึ่งที่วัดพระสิงห์เมื่อเทศกาล ปี๋ใหม่เมืองปีที่แล้ว ซึ่งชาวคณะลิเกก็ได้ออกตัวว่าต้องทำเช่นนี้เพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม เพราะถ้าไม่มีการแสดงเพิ่มเติมดังกล่าว ก็จะไม่มีคนนิยมหา
ลิเกเป็นการแสดงที่อยู่กับคนไทยมาช้านาน โดยมีการนำละครมาผสมผสานและพัฒนาการแต่งกายรวมทั้งดนตรี การร้อง การรำ บวกกับแนวคิดและภูมิปัญญาชาวบ้านกลายมาเป็นศิลปะ การแสดงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลิเกจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนดู อย่าดูถูกหรือเหยียดหยามว่าลิเกต้อยต่ำ เพราะลิเกนั้นคือผลงานที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองความบันเทิงของคนไทยมาช้านานทั้งยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า หากผู้ใดดูถูกลิเก ผู้นั้นคงได้ชื่อว่าดูถูกรากเหง้าแห่งวัฒนธรรมของตนเองเป็นได้
เอกสารและข้อมูลประกอบการเขียน
1.“ลิเก” โดยศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์, เจนภพ จบกระบวนความ,บุญเลิศ นาจพินิจ 2.“ลิเกไทย” โดย พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ 3. ยี่เก จาก “ดอกดิน” ถึง “หอมหวล” โดย เจนภพ จบกระบวนความ สำนักศิลปะวัฒนธรรม 4. //th.wikipedia.org/wiki/
Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2551 |
|
19 comments |
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2551 14:32:35 น. |
Counter : 4090 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พ.หมี IP: 58.9.137.86 29 กุมภาพันธ์ 2551 19:32:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ.หมี IP: 58.9.137.86 29 กุมภาพันธ์ 2551 19:36:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ.หมี IP: 58.9.137.86 29 กุมภาพันธ์ 2551 20:17:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: Slowboy2525 IP: 118.172.27.250 29 กุมภาพันธ์ 2551 20:28:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: เริงฤดีนะ 29 กุมภาพันธ์ 2551 22:40:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: Tony Koon (tk_station ) 2 มีนาคม 2551 20:53:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: Zakaria IP: 213.82.45.148 27 พฤศจิกายน 2555 15:48:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: tlecsr IP: 68.233.237.133 1 ธันวาคม 2555 9:37:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: ltlthtnzo IP: 193.190.137.138 5 ธันวาคม 2555 5:14:56 น. |
|
|
|
|
|
|
I will see U in the next life.
|
|
|
|
|
|
จารย์แฮะ ช่วงนี้เราตามไล่ลบเพลงไทยอะ แฮะแ ฮะ กัวเจอลิขสิทธิดีเพลงไทยมีมะกี่เพลงอ่า