Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
23 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
ในวง "เล่า" ที่เหล้าล้อม

ตลอดหนึ่งภาคการศึกษาที่ผมสอนเกี่ยวกับการเขียนเพื่อการสื่อสารฉบับเบื้องต้น มีผลงานจากนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่เขียนได้ดี ดีเสียยิ่งกว่าผมเองสมัยเรียนหนังสือเสียอีก

โดยมาก ผลงานเหล่านี้เมื่ออาจารย์ส่งคืน นักศึกษาก็มักเก็บเข้ากรุเข้าไหกันจนลืมว่าเคยมีข้อเขียนอะไรเช่นนี้ด้วย ผมเห็นว่าผลงานเหล่านี้มีดีพอ และไม่ควรหายไปถูกลืมพร้อมกาลเวลา สมควรนำมาเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปได้อ่าน

ผลงานชิ้นแรกที่ผมขอนำเสนอเป็นผลงานของคุณอร-พิม สุกัณศีล หรือไข่หวาน เธอเป็นนักศึกษาในวิชาของผมแต่เรียนอยู่ภาควิชาภาษาอังกฤษ ไข่หวานหยิบเอาเรื่องเล่าของร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางถนนนิมมานเหมินท์เกือบทศวรรษชื่อว่า "ร้านเล่า" มาเล่าให้ฟังกันว่าการเป็นร้านหนังสือเล็ก ๆ อย่างนี้เจอปัญหาและฝ่าวิกฤตกันมาอย่างไรบ้าง ถึงยังนำนาวาอยู่กลางคลื่นพายุได้ถึงทุกวันนี้

อีกไม่กี่วันอร-พิมจะจบการศึกษาจากรั้วสีม่วงแห่งล้านนา เธอบอกผมว่าเธออยากทำงานด้านแมกกาซีน โดยเฉพาะนิตยสารสุดเก๋ Wallpaper

(เนื่องด้วยข้อเขียนชิ้นนี้มิใช่เป็นของผม ดังนั้นขอสงวนลิขสิทธิ์สำหรับใครที่ลอกไปส่งอาจารย์ ขอให้ติด F เรียนเมื่อไหร่ เรียนที่ไหน ก็รีไทร์ หากใครต้องการเผยแพร่ก็ติดต่อผ่านผมนะครับ)



--------------------------


ในวงเล่าที่เหล้าล้อม

อร-พิม สุกัณศีล

เย็นวันอาทิตย์ ถนนหนทางในเชียงใหม่แม้จะไม่ร้าง แต่ก็โล่งแปลกตาผิดจากวันอื่นในสัปดาห์ที่ชุลมุนวุ่นวายไปด้วยบรรดารถยนต์ที่แย่งกันจับจองพื้นที่เลนส์ซ้ายขวาบนถนนอย่างเร่งรีบ ตรอกซอยน้อยใหญ่จากที่เคยอึกทึกไปด้วยเสียงรถรา วันนี้กลับเงียบจนน่าประหลาดใจ ประหนึ่งว่าผู้คนกำลังหลับใหลด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากชีวิตทำงานตลอดหกวัน ทว่าบรรยากาศอันสงบนิ่งของเชียงใหม่ยามกลางคืนวันอาทิตย์นั้นช่างห่างไกลเหลือเกินจากความเป็นจริงของชีวิตบนถนนเล็ก ๆ สายหนึ่งที่ชื่อว่านิมมานเหมินท์จนแทบไม่น่าเชื่อว่าภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยินจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองแห่งเดียวกัน

19.00 น. เสียงกีตาร์จากปลายนิ้วนักดนตรีดังออกมาจากร้านอาหารฝั่งตรงข้ามตามควันรถยนต์บนถนนเข้าสู่หูกลุ่มคนที่นั่งอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่งอย่างไม่หยุดหย่อน จากเสียงบรรเลงแผ่วเบาเมื่อเข็มนาฬิกาเริ่มขยับสู่เลข 12 ก็ถูกแทนที่ด้วยจังหวะดนตรีกระแทกกระทั้นพร้อมๆกับที่ร้านรวงรอบข้างเริ่มเปิดเพลงดึงดูดฝูงรถราที่พร้อมจะจอดแวะบริโภคความสุขริมถนน พลอยทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า หรือเมืองเชียงใหม่...แท้จริงแล้วเป็นเมืองราตรี

“ถนนนิมมานฯเปลี่ยนตลอดเวลา” เสาวนีย์ เมฆานุพักตร์ หรือเก็ท เจ้าของร้านหนังสือนามว่า ‘เล่า’ ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางบรรดาร้าน ‘เหล้า’ จำนวนหลายสิบร้านบนถนนเส้นเดียวกันกล่าว พลางชำเลืองมองร้านอาหารฝั่งตรงข้ามที่ยังคงส่งเสียงดนตรีดังกระแทกเข้าหูเป็นระยะ ๆ

“ถึงแม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีคนอ่านหนังสือวันละแปดบรรทัด แต่เราก็ตั้งใจให้ร้านเล่าเป็นอาณาจักรหนังสือที่มีผู้คนแวะเวียนกันเข้ามาพูดคุย บอกเล่าถ่ายทอดเรื่องราวกันอย่างมีความสุข”

ทว่าเมื่อ อาณาจักรหนังสือแห่งนี้ต้องมาตั้งอยู่บนถนนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งชีวิตกลางคืน เก็ทและเพื่อนร่วมความฝันอีกสามคนต้องเผชิญกับมรสุมหลายลูกกว่าพื้นที่เล่าเรื่องเล็ก ๆ ของทั้งสี่ที่ชื่อร้านเล่าจะกลายเป็นร้านหนึ่งบนถนนนิมมานเหมินท์ที่เรียกความสนใจได้ไม่แพ้ร้านเหล้ารอบข้าง

มิถุนายน พ.ศ. 2543 ในซอยเล็ก ๆ บนถนนเงียบสงบสายหนึ่งที่ชื่อนิมมานเหมินท์ ความหลงใหลในหนังสือ กาแฟ ภาพถ่ายและโปสการ์ดของเด็กรุ่นใหม่สี่คนได้ค่อย ๆ ปลุกปั้นร้านหนังสือขนาดกะทัดรัดขึ้นมา โดยใช้ชื่อแสบ ๆ คัน ๆ แต่สื่อความหมายได้ลึกซึ้งว่า ‘ร้านเล่า’

“เราใช้ชื่อว่าเล่าเพราะเราเชื่อว่าทุกสิ่งมีเรื่องเล่าในตัวเอง บางอย่างไม่จำเป็นต้องอธิบาย ที่สำคัญ จะว่าไปแล้ว ร้านหนังสือก็ไม่ต่างจากร้านเหล้าตรงที่เป็นสถานที่เสพ...แต่ของเราเสพความรู้”

สำหรับเจ้าของร้านหนังสือที่ไม่มีทั้งประสบการณ์ เงินทุนหนาและสายป่านยาว ความรู้ที่ว่านั้นล้วนเสาะหามาให้ผู้อ่านได้จากการลองผิดลองถูกของหุ้นส่วนแต่ละคนทั้งสิ้น บ้างต้องเดินเข้าไปติดต่อสำนักพิมพ์ต่าง ๆเองตามงานสัปดาห์หนังสือเพื่อขอจัดจำหน่าย บ้างก็ถามไถ่จากผู้คนรอบข้างที่เคยเปิดร้านหนังสือถึงวิธีการบริหารจัดการ และแน่นอน บ้างก็ต้องต่อรองกับสำนักพิมพ์เพื่อขอไม่วางเงินประกัน

แต่ความเป็นมือใหม่ทางธุรกิจไม่ได้ทำให้ร้านในฝันของนักเล่าทั้งสี่ร้างนักอ่านหนังสือแต่อย่างใด เพราะด้วยความตั้งใจจริงบวกกับความมุ่งมั่น ทางร้านกลับดึงดูดเพื่อนฝูง รุ่นน้อง รุ่นพี่และคนรู้จักจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สถาบันเก่าของทั้งสี่เข้ามาช่วยไม้ช่วยมืออย่างไม่ขาดสาย จนร้านเล่านอกจากจะมีพนักงานหมุนเวียนทำงานพาร์ตไทม์ถึงเก้าคนคอยปัดกวาดเช็ดถู ชงกาแฟแล้ว ยังมีนักอ่านขาประจำที่แม้จะประปรายแต่ก็พอสร้างกำลังใจให้เก็ทและเพื่อน ๆ มีแรงใจแรงกายทำสิ่งที่ตนรักต่อไป

แต่แล้ว เมื่อร้านเล่าย่างเข้าสู่ปีที่สอง ถนนนิมมานเหมินท์ก็เปลี่ยนไป...
จากซอยเล็ก ๆ ร้างผู้คน บัดนี้เริ่มมีร้านรวงทยอยกันเปิดเรียกลูกค้ากระหายสุราจนแน่นขนัด วง ‘เล่า’ ที่เคยอบอุ่นและอ่อนโยน กลับดูแปลกแยกและโดดเดี่ยว แตกต่างจากเหล่าวง ‘เหล้า’ ที่เรียงรายล้อมรอบอย่างเอิกเกริก สถานที่เสพปัญญา บัดนี้โดนเหยียบย่ำด้วยสมญานามใหม่ของซอย...‘ซอยโลกีย์’

“ทุกคนเครียดมาก เพราะเสียงมันดังจริง ๆ บรรยากาศการอ่านมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่มันก็ทำให้ทุกคนหยุดคิดว่า เราอยากทำกันต่อไหม เราจริงจังกับมันแค่ไหน แล้วจริงจังขนาดจะไปเปิดร้านใหม่โดยยอมเข้าระบบอย่างเต็มตัวไหม”

ปี พ.ศ. 2545 นักเล่าทั้งสี่ตัดสินใจย้ายออกจากซอยโลกีย์ และมุ่งหน้าเข้าสู่กาดเชิงดอย ซึ่งแม้อยู่ไม่ห่างกันนัก แต่ความรู้สึกต่างกันราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการจัดระเบียบสถานบันเทิงโดยปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เวิ้งกาดเชิงดอยที่เคยเนืองแน่นไปด้วยผับและบาร์จนขึ้นชื่อว่าเป็น RCA ของเชียงใหม่จึงหายไปทีละร้านจนเหลือเพียงห้องแถวร้าง ๆ หลายสิบห้องรอการปรับปรุง…และเปลี่ยนแปลง

“บทเรียนที่ดีจากร้านเก่าคือต้องจองห้องหัวมุมด้านหน้าสุดไว้ก่อน เพราะถึงข้างในจะเป็นร้านเหล้า ยังไงคนก็จะเห็นร้านเล่าของเราก่อน”

กันยายน พ.ศ. 2545 ร้านในฝันของเก็ทและเพื่อน ๆ กลายเป็นความจริงอีกครั้งหนึ่ง โดยบริเวณกว้างขวางรายรอบร้านเปิดโอกาสให้เก็ทได้ใช้ความรู้วิชาเกษตรศาสตร์ที่ตนเล่าเรียนมาหลายปีอย่างเต็มที่ หากใครได้แวะเวียนไปร้านเล่าหนึ่งในภาพที่คุ้นตาคงหนีไม่พ้นภาพเจ้าของร้านกำลังง่วนอยู่กับสวนอย่างมีความสุข เจ้าตัวยอมรับว่าจากการที่เคยโดนบีบด้วยร้านเหล้ามา ณ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนได้รับอิสรภาพ เพราะได้เต็มที่กับสิ่งที่ตัวเองรักและไม่ต้องคอยเก็บของแถมที่นักท่องราตรีทิ้งไว้ตามต้นไม้ที่ปลูกไว้ทุกเช้าอีกต่อไป

ภายในระยะเวลาเกือบหกปีหลังจากอาณาจักรหนังสือแห่งที่สองแห่งนี้เปิด เรื่องเล่าของเหล่านักเล่าเจ้าของกิจการเองก็มีอันต้องแปรผันไม่ต่างจากชะตากรรมของร้าน เมื่อเพื่อนอีกสามคนขอถอนตัวออกจากการเป็นนักเล่าเพื่อไล่ตามความฝันของตัวเองในเส้นทางอาชีพอื่น

“ชีวิตจริงกับความฝันมันต่างกันเหลือเกิน ในความฝันคุณไม่มีคำว่าค่าใช้จ่าย หรือกำไร ขาดทุน คุณมีแต่ความสุขสมหวัง มันเหมือนหมอกที่คอยมาบังถนนไว้ สักวันคุณก็ต้องทำลายหมอกนั้นถ้าคุณอยากจะเห็นถนน”

การต้องประคองร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งให้อยู่รอดได้เพียงลำพังไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เก็ทต้องเผชิญหลังหมอกเริ่มจาง แต่แกลเลอรีที่ทำไว้ข้างร้านก็มีอันต้องล้มไปเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เกินตัว ทว่า แม้หนทางเบื้องล่าง ณ ตอนนั้นจะดูหยาบแข็งและขรุขระ เก็ทก็ยังคงตัดสินใจเดินบนเส้นทางเดิมที่แม้จะไม่นุ่ม แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานได้เพราะอย่างน้อยก็มีเพื่อนบวกกับความที่เกิดมาในครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายคอยพยุงไว้

เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประหนึ่งสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องเข้าสู่ระบบอย่างเต็มตัว นักเล่าที่เหลืออยู่เพียงลำพังคนนี้จึงหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับระบบการบริหารจัดการ โดยปรับเปลี่ยนหนังสือที่มีอยู่ให้เยอะและหลากหลายขึ้น เพิ่มจำนวนสายของสำนักพิมพ์ในการส่งหนังสือ และมุ่งเน้นหนังสือบางประเภทที่หาซื้อไม่ได้ตามร้านใหญ่ จากเดิมที่ขายเพียงวรรณกรรมเยาวชน พ็อคเก็ตบุ๊ค หนังสือศาสนาและปรัชญา

เก็ทจัดแจงหาหนังสือวิชาการทางด้านสังคมที่มักมีอายุบนชั้นหนังสือตามร้านทั่วไปสั้นเพื่อดึงดูดนักวิชาการ ปีพ.ศ. 2547 จึงเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์ดีขึ้น น้อง ๆ ที่รู้จักและลูกค้าประจำที่ยอมทนรอหนังสือที่สั่งไม่ว่าจะนานแค่ไหนได้มีส่วนเข้ามาเติมเต็มกำลังใจและกำลังกายที่เคยหายไปจนอาณาจักรหนังสือแห่งนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ทว่าปีพ.ศ. 2547 มิใช่เป็นเพียงปีที่นำพาความอบอุ่นกลับมาสู่ร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นปีที่นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่พื้นที่รอบข้างจนประวัติศาสตร์หวนกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง เพราะไม่ทันไร...กาดเชิงดอยที่ดูเหมือนจะร้างผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นจุดหมายของนักท่องราตรีอีกครั้งหนึ่ง

“จริงอยู่ที่พื้นที่ตรงนั้นมีบริเวณให้เราหลบเสียง หลบคนเมา บวกกับลูกค้าก็พยายามทำใจรับสภาพที่เกิดขึ้น แต่ร้านหนังสือกับร้านเหล้า...มันไปกันยากนะ”

ก่อนที่บรรยากาศการร่ำสุราจะเข้ามากลืนกินอาณาจักรหนังสือแห่งนี้จนสายเกินแก้ เก็ทตัดสินใจสืบเสาะหาทำเลใหม่เพื่อสานต่อความฝันของตน โดยคราวนี้การตลาดเชิงรุกได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญประกอบ การตัดสินใจแทนปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งเมื่อประจวบเหมาะกับคำประกาศขายห้องแถวติดถนนนิมมานเหมินท์ที่ตั้งเดิมของร้านกาแฟชื่อเก๋นามว่า Queen of Cups วงเล่าวงใหม่ของเก็ทจึงถือกำเนิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กกว่าร้านเดิมแต่ค่าเช่ามากกว่าเป็นเท่าตัว ร้านหนังสือประตูสีแดงร้านนี้ก็เรียกสายตา และความสนใจจากผู้มาเยือนเมืองเชียงใหม่ได้ไม่น้อย

แต่การกระโจนเข้าแข่งขันในระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว นักเล่าคนนี้จะไม่กลัวเจ็บตัวเลยเชียวหรือ

เจ้าตัวหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า การตัดสินใจย้ายร้านครั้งนี้ทุกคนทำใจอยู่นาน เพราะหกปีที่ร้านเก่า ถึงแม้ในแง่การขายจะไม่ได้รับผลตอบแทนมาก แต่ก็ทำให้ตรงนั้นเป็นเสมือนบ้านหลังที่สองของทุกคน การย้ายมาที่นี่เพื่อน ๆ น้อง ๆ รวมทั้งเราและลูกค้าเองก็ต้องปรับข้างในตัวเองตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง แน่นอนเราคงอยู่ที่กาดเชิงดอยไม่ได้ตลอดชีวิต เมื่อสัญญาเช่าหมด ตัวเก็ทเลยมองว่ามันเป็นสัญญาณเตือนถึงเวลาที่เราต้องมองการณ์ไกลแล้ว เพราะฉะนั้นการอยู่ที่เดิมมากกว่าที่จะทำให้เราเจ็บตัว

ทุกวันนี้ ร้านเล่าจึงยังคงเป็นร้านเล่าที่เป็นมิตร ขี้เหงาและรักเพื่อนไม่ต่างจากแต่ก่อน แม้จะโดนเพื่อนบ้านในอดีตคุกคามมานักต่อนัก แต่บ้านหลังใหม่หลังนี้ก็ยังคงเป็นอาณาจักรหนังสือที่พร้อมจะต้อนรับหนอนหนังสือทั้งขาประจำและขาจรเข้าสู่วงเล่าเงียบ ๆ พร้อมจิบชา กาแฟร้อน ๆ จากฝีมือการชงที่แม้ไม่คงที่ แต่ก็ทำด้วยใจ ในขณะเดียวกันก็เป็นร้านเล่าที่ยอมรับสภาพความเปลี่ยนแปลงของถนนนิมมานเหมินท์ที่คงไม่มีพื้นที่ร้างว่างเปล่า...ให้วงเล่าได้พักพิงอีกต่อไป

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 บ้านหลังใหม่ของอาณาจักรหนังสือเล็ก ๆ นามว่าร้านเล่าแห่งนี้จะมีอายุครบสองปี แต่กว่าจะถึงวันนั้น เสียงดนตรีที่ลอยมาจากฝั่งตรงข้ามจะดังขึ้นอีกสักกี่เท่า ถนนนิมมานเหมินท์จะมีอาณาจักรของนักท่องราตรีเพิ่มขึ้นสักกี่ร้าน นักเล่านามว่าเก็ท เสาวนีย์ เมฆานุพักตร์คนนี้เชื่อว่ากาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงย่อมเปลี่ยนคนได้เสมอ

“ถนนนิมมานฯเปลี่ยนตลอดเวลา สักวันคนอ่านหนังสือจะยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น และยอมไหลไปตามสถานการณ์ สักวันที่เราหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว เราก็ต้องเกี่ยวข้องกับมันทุกวัน และอยู่กับมันตลอดไป”



Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2551 18:29:04 น. 30 comments
Counter : 1820 Pageviews.

 
เพิ่งทราบว่าคุณเจ้าของบล็อคเป็นอาจารย์ ( สอนอยู่ที่เชียงใหม่เหรอครับนี่ นึกว่าคนกรุงเทพ )

Atonement คงไปไม่ถึงโน่นแน่เลย
ผมเองกลัวหนังเรื่องนี้มากนะ เพราะไม่ถูกโฉลกกับหนังพีเรียด แต่เสียงที่ไว้ใจได้ คอนเฟิร์มมาแล้วว่าเป็นหนังต้องดู คงจะต้องทำตัวให้ว่างไปดูกลางสัปดาห์หน้าให้ได้ แต่คงดูหลัง No country



โดย: joblovenuk วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:18:21 น.  

 
เขียนได้ดี


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:22:29 น.  

 
ถึงพล็อตเรื่องจะดูเรียบง่าย เป็นเรื่องของคนธรรมดาๆกับร้านเล็กๆ ในแวดล้อมของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามยุคสมัยปกติ แต่คนแต่งก็เรียบเรียงเนื้อเรื่องและคำพูดของตัวละครได้กลืนกันดีค่ะ อ่านแล้วไม่รู้สึกสะดุดอะไร

เรื่องสั้นที่แต่งโดยใช้ฐานจากข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่หรือสนใจเสาะหาเอง จะได้ความรู้สึกคล้ายๆกับการอ่านสารคดีย่อมๆซึ่งถือเป็นสเน่ห์ของเรื่องสั้นเรื่องนี้ค่ะ

เท่าที่เมย์อ่านๆดู(ตามประสาคนไม่เก่ง) รู้สึกว่าคนแต่งคงเลยจุดที่เพิ่งเริ่มเขียนมาแล้ว น่าจะอยู่ตรงจุดคันไม้คันมือ หรือเริ่มมันส์นั่นเอง ... เอาเลยพี่ดอง ลองเชียร์ให้ส่งไปตามสื่อดูสิคะ

วงการวรรณกรรมไทยจะได้มี พลวัตของยุคสมัยเพิ่มขึ้นมาอีก (ไม่ได้พูดเว่อร์นะ แต่ดูนักเขียนวัยที่ต่ำกว่า 25 ลงมา จากสายตาที่ไม่ค่อยละเอียดของเมย์แล้ว แทบไม่ค่อยเจอหรือไม่เราก็เข้าไม่ถึงความดื่มด่ำในผลงานของเค้าเองน่ะ) ^_^


โดย: เอกภพสีน้ำเงิน IP: 202.28.68.33 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:40:27 น.  

 
ู^
^
^

เอ่อ มันเป็นสารคดีนะครับ ไม่ใช่นวนิยาย


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:10:19 น.  

 
ปล่อย chicken ตัวเบ้อเริ่ม 555 ขอบคุณพี่ดองหลายๆที่บอก

แต่ยังไงก็อยากให้ลองส่งสื่อดูนะ อย่าลืมล่ะพี่ดอง


โดย: เอกภพสีน้ำเงิน IP: 202.28.68.33 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:22:40 น.  

 
Birmingham 10 คน ขึ้นนำ Arsenal ไปแล้ว 1-0 อิ อิ
เกี่ยวกันไหมเนี่ยะ กับ blog อจ.


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:17:58 น.  

 
เก่งมากครับน้อง อร พิม ลูกศิษย์อ.ดอง

พี่อ่านแล้วรู้สึกถึง "บรรยากาศ"อ่ะครับ เป็นทั้งบรรยากาศในสิ่งที่เขียน นึกภาพออก และ บรรยากาศจากตัวหนังสืออ่ะครับ

คิดว่าน้องเป็นคนรักหนังสือด้วยถึงได้เขียนถึงร้านหนังสือที่ แนว อย่างร้นเล่า แต่เชียงใหม่เเปลี่ยนไปเรื่อยๆจริงๆ พี่อ่าน ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนเล็กๆที่กำลังสิ่งที่ตัวเองรัก ก็ต้องดิ้นรนในหนทางต่อไป

ขอให้เขียนเรื่อยๆนะครับ ทำงานดีๆออกมาอีก


ส่วนอ.ดอง

เก่งครับ เป็นอาจารย์ที่ดีนะ ลูกศิษย์เก่งอ.ก็มีส่วนด้วย ไม่ต้องถล่มตัว เพราะคุณถล่มไม่ไหว 5555


โดย: พ.หมี IP: 58.9.142.85 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:44:21 น.  

 
อุ้ย มีรายงานผลบอลด้วย


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:40:49 น.  

 
ดอง ---

ใช้ได้เลย

อ่านแล้วคนที่รู้จักร้านก็คิดถึงร้าน
คนไม่เคยรู้จัก ก็น่าจะอยากรู้จักร้าน

สั้นๆ

"พี่ชอบ"









โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:23:25 น.  

 
การเลือกเรื่องที่จะ"เล่า"นั้นถือว่าน้องทำได้น่าสนใจมากๆ ถือว่ามีแววที่จะเป็นนักเขียนที่ดีคนหนึ่งในอนาคต อยากให้พัฒนาเรื่องการเขียนต่อไปเรื่อยๆนะครับ



โดย: ชิน IP: 58.64.81.127 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:19:09 น.  

 
อาจารย์ดอง...
ฉันอ่านแล้วนึกถึงตัวเองตอนที่ส่งสารคดีเรื่อง "กั๊บไฟในค่ำคืนหนาว" ให้อาจารย์นาตยาตรวจว่ะ ตอนนั้นได้เอด้วยนะเว้ยยย... แต่รู้สึกว่าจะห่วยกว่าผลงานของลูกศิษย์อาจารย์ดองอยู่หลายเท่าตัวนัก หุหุ

น้องอรพิม...
บอกได้เลยค่ะว่าน้องเองก็เป็น "นักเล่า" ที่ดีอีกคนหนึ่ง
พี่ชอบชื่อเรื่อง “ในวงเล่าที่เหล้าล้อม” ชอบการใช้คำที่อ่อนโยนแต่แอบเสียดสี
และสะท้อนเรื่องราวที่น้องเล่าออกมาได้ชัดเจน
แม้ว่าพี่จะอ่านเรื่องราวของร้านเล่ามามากมายหลายหนแล้ว
แต่วิธีการเขียนที่มีจังหวะพอเหมาะพอดีของน้องทำให้พี่ไม่เบื่อเลยค่ะ
ในฐานะที่พี่เคยเป็นขาประจำวงเล่าคนหนึ่ง หลังจากอ่านจบบรรยากาศเก่าๆ มันกลับมาลอยวนอยู่ในหัว แล้วก็รู้สึกอยากกลับเชียงใหม่ไปนั่งจิบชาที่ร้านเล่าจัง

...ทำให้คนอ่านรู้สึกได้ขนาดนี้ พี่ว่างานสารคดีของน้องทำหน้าที่ของมันได้ประสบความสำเร็จแล้วล่ะ...

ดีใจค่ะที่ได้ยินว่าน้องอยากทำงานด้านนิตยสาร
มันทำให้คนทำนิตยสารอย่างพี่รู้สึกชื่นใจที่จะมีคนรุ่นใหม่ฝีมือดีๆ
มาทำให้วงการนี้คึกคัก หวังว่าจะได้เห็นผลงานของน้องบนแผงหนังสือเร็วๆ นี้นะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ...



โดย: happyteddy IP: 68.199.227.235 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:35:44 น.  

 
เขียนดีจริงๆ


โดย: pick IP: 202.41.167.246 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:00:33 น.  

 
ลูกศิษย์ดีเพราะมีอาจารย์ดี :]


โดย: น้องพลอย IP: 222.123.248.65 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:01:29 น.  

 
เรื่องเล่าของร้านเล่า
สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเชียงใหม่ได้ดีครับ


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:4:13:54 น.  

 
เคยเจอเก็ท อยู่บ้าง ขอให้กำลังใจคนทำร้านหนังสือ


โดย: grappa วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:51:17 น.  

 
เข้ามาอ่านจารย์

จารย์ เล่าเรื่องตุลาให้ฟังบ้างจิ๊ เอาเข้าใจง่ายๆๆอะ


โดย: Bernadette วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:28:18 น.  

 
อ๊ากกซ ... มีลงยันต์ปะหัวไว้ด้วยย..ใครขโมยไปสงสัยไม่ได้ผุดได้เกิด 5555

เป็นบทความเชิงสารคดี (ใช่ปะ?) ที่อ่านได้เพลินไม่เบา ทำให้รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวเชียงใหม่กลายๆ เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงและทัศนคติของผู้คนได้ดี

นึกถึงตัวเอง..ถ้าเขียนคงโลกแตก..ผู้คนแถวนั้นคงสะดุ้งเฮือกๆ ไปตามๆ กัน เหอๆๆ


โดย: หมีบางกอก IP: 124.120.212.100 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:34:16 น.  

 
เคยได้ยินชื่อร้านนี้มานานแล้ว ตั้งแต่อยู่ที่เก่าหนะแหละ

อ่านแล้วก็รู้สึกว่าน้องเค้าเขียนสารคดีได้น่าอ่านน่ะ ไม่น่าเบื่อ

ชวนอ่าน แล้วก็เก็บความรู้สึกผ่านทางความจริงได้ดี


ตอนเรียนป.ตรี มีพี่คนหนึ่งเขียนสารคดีสนามหลวง (เรื่องผู้หญิงขายตัว) ได้จับใจมาก จนเพื่อนบางคนบอกว่า แน่ใจเหรอว่า "สารคดี"

อ่านแล้วก็..คิดถึงตัวเองสมัยก่อน





โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:46:31 น.  

 
จารย์ กวนนิดหนึ่ง เขียนรีวิว 6 ตุลาให้ได้อะปะค่ะ

มะรู้เรื่องเจงเจง รู้แต่ว่า นักศึกษาเข้าป่าแสวงหา

การแสวงหา ของคน

กลับเข้าเมือง ได้ดีม้าง หรือ ชีวิตเปลี่ยนไปม้างง

เรามะรู้ที่มาที่ปายยอ่า จารย์

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ


โดย: Bernadette วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:29:50 น.  

 
(เนื่องด้วยข้อเขียนชิ้นนี้มิใช่เป็นของผม ดังนั้นขอสงวนลิขสิทธิ์สำหรับใครที่ลอกไปส่งอาจารย์ ขอให้ติด F เรียนเมื่อไหร่ เรียนที่ไหน ก็รีไทร์ หากใครต้องการเผยแพร่ก็ติดต่อผ่านผมนะครับ)


เห็นบทความนี้ อันนี้เป็นเรื่องจริงแบ่งปันอะ

เรื่องจริง

สมัยเราเด็กๆๆ น้าๆๆอาๆๆเราเก่งม๊ากก
เก่งในทางที่แหง่วววววววว

สมัยก่อน เอนทรานต์ มือถือไม่มี ใช่ระบบวิทยุใต้รองเท้า

หรือ ลูกระดับคนรวยระดับประเทศ สมัยโน้น ใส่เสื้อเกราะมาเรียน มามุขเป็นไข้ แม่มาส่งยาถึงห้องสอบ

โอเค เข้าได้

แต่

ชีวิตการทำงาน การดำเนินชีวิต ล้มเหลว ถึงแก่ความตาย กะมี
ประมาณว่า หากินไม่ขึ้นอะ

ต่อมามีคอมพิวเตอร์ ใช้ระบบยิงแทรกเข้าไปเลย ตัดสิทธิ์ คนที่ได้

หรือปัญหาเรื่องไม่จบซ๊ะที ยิงระบบข้อมูลจบได้ มีชื่อในระบบ


เราอยากแบ่งปัน ถ้าติด ปัญหา เรื่องวิชา เดินเข้าไปคุยกะอาจารย์ วิถีที่ตรง และแบบซื่อซื่อบอกอาจารย์ไปเลย ความสามารถทำได้เท่านี้

อาจารย์อาจให้งานมากกว่าคนอื่นหน่อย แต่จบชัวส์

อาจารย์ไม่ใจร้ายอ่า


โดย: Bernadette วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:45:40 น.  

 
เริ่ดดดดดดดดดดดดด

อ่านแล้วชอบมากๆ

ของเค้าดีจริงๆทั้งลูกศิษย์แล้วก็อาจารย์


โดย: แก้มก้น IP: 210.213.18.118 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:02:08 น.  

 
รับปากกับท่าน I will see U in the next life ว่าจะอ่านและวิจารณ์ตามสมควร
ซึ่งสำหรับผมมันค่อนข้างยากเพราะผมมีประสบการณ์คล้าย ๆ ผู้เขียนอยู่ และจะทำให้ผมวิจารณ์อย่างเอนเอียงโดยง่าย ผมพยายามอ่านบทความนี้สองครั้ง โดยพยายามลืม ๆ ว่ารู้จักร้านหนังสือแห่งนี้(แม้จะทำได้ยากก็ตาม)

สิ่งที่ผมชอบในข้อเขียนชิ้นนี้ คือ วิธีการเล่าเรื่องที่ใช้คำพูดของเจ้าของร้านเล่าสอดแทรกเข้ามาในภาพบรรยากาศ ซึ่งทำให้ผู้อ่านรู้สึกได้ถึงความนึกคิดของเจ้าของร้าน

โดยรวมชอบมากครับ(คือยังไงตอนที่อ่านก็เห็นภาพของร้านนี้ตลอด พยายามทำตัวเป็นนักวิจารณ์ไม่ได้สักที


โดย: Slowboy2525 IP: 118.172.58.5 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:36:35 น.  

 
ขอแอบนอกเรื่อง

อาจารย์ช้างไปดูบอร์ดด้วยครับ

หนังของเราได้รับรางวัลครับ


โดย: พ.หมี IP: 58.9.136.147 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:15:21 น.  

 
เข้ามาอ่านตามคำเชิญชวนของอ.ดอง
ฝากบอกลูกศิษย์ของอาจารย์ด้วยว่า เขียนได้ดี(เล่นเอาคนข่าวอย่างฉันอายม้วนต้วนเลย) ชอบที่น้องเค้ามีจังหวะในการเล่าเรื่องดีมากๆ เนื้อหาเหมือนจะเรียบไปหน่อย แต่ด้วยการใช้ลีลาในการเขียนของทำให้อ่านแล้วไม่รู้สึกเบื่อ
เชื่อว่าคงทำให่คนที่เคยเข้าไปหวนรำลึกร้านเล่ากันเป็ฯแถว ส่วนคนไม่เคยไปก็คงอยากไปแน่ๆ แต่น่าจะบอกข้อมูลร้านเพิ่มอีกนิดนะว่าอยู่ส่วนไหนของนิมานฯเผื่อคนที่ไม่ใช่คนเชียงใหม่ เขาอยากไปบ้างอะ
น่าจะส่งให้สื่อดูนะ แต่นิดนึงอะ ถ้าจะส่งจริงๆ น่าจะเพิ่มความคิดเห็นผู้ใช้บริการไปสักนิด บวกกับเจ้าของร้านเหล้าที่อยู่รายล้อมสักหน่อย ว่าคิดเห็นต่อร้านเล่าอย่างไร น่าจะทำให้สารคดีสมบูรณ์ขึ้นนะ (หรือเปล่าวะ)
คิดว่าน้องเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือคนหนึ่ง เพราะอ่านปุ๊บรู้ปั๊บเลยสำนวนและลีลาต่างๆ เข้าขั้นมืออาชีพเลย เชื่อว่าจะเข้าสู่วงการนิตยสารได้ไม่ยาก


โดย: news IP: 202.60.199.120 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:51:12 น.  

 
สุดยอด

ต้องชมพี่ไข่หวานเลยอ่ะ เขียนเหมือนมืออาชีพ เล่นคำเก่งมากอ่านแล้วลื่นนนนน
แต่ไม่ได้หกล้มนะค่ะ ฮุฮุ

หนูรู้ล่ะที่อาจารย์อยากให้หนูใส่เทคนิคลงไปแบบนี้นี่เอง แต่หนูทำไม่ได้อ่ะ ไม่สามารถก๊อปปี้ได้ด้วย มันต้องใช้ความรู้สึก+ประสบการณ์ในการอ่านหนังสือมาอย่างมาก
ซึ่งลูกหยี คนนี้ขี้เกียจอ่านมากๆๆ เลยมิอาจทำได้ ที่ทำไปนั่นสุดดดแล้วค่ะ เรื่องแรกที่เขียนเลยนะ คิดว่าดีที่สุดเท่าที่เคยเขียนงานอื่นๆๆๆมาแล้ว อ่ะค่ะ เหอะเหอะ

แค่ชื่อก็เจ๊งแล้ว

มานเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่เขียนเหมือนมันมีชีวิตจิตใจซะงั้นแหละ

พี่ไข่หวาน รุ่งแน่ พี่ เป็นนักเขียนแน่ๆๆๆเลย เอาใจช่วย ความตั้งใจของพี่เต็มร้อยอยู่แล้ว

เพราะสังเกตตอนเวลาเรียน โคตตั้งใจ

จากน้องร่วมเรียน


โดย: ลูกหยี เง้อ IP: 124.157.200.214 วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:16:06:05 น.  

 
เขียนดีอะค่ะ

เขียนดีกว่าสารคดีในบางเล่มอีกนะคะ
ฝึกฝนไปเรื่อยๆ ค่ะเพื่อแสดงความเป็นตัวเองออกมามากที่สุด(หมายถึงสไตล์การเขียนนะคะ)


โดย: สาวแตก IP: 58.8.166.249 วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:16:05:13 น.  

 
เขียนได้ดีจังเลย


แล้วงานที่หนูจะทำส่งอาจารย์จะดีอย่างงี้ป่าวนิ

เอาเปงว่าฝีมือเด็กปี หนึ่งจะทำหัยดีที่สุดคะ


ขอบคุงที่อาจารย์ ส่องมาหัยอ่านน่ะคะ

ฝันดีค่ะอาจารย์ ดองเฮ


โดย: mju/conmunication IP: 119.42.77.167 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:31:39 น.  

 
ขอบคุนค่ะ


ช่วยหนูได้มากเลยค่ะอาจาร์ย


และหนูจะตั้งใจทำนะคะ


ฝานหวานนะค่ะ


โดย: MJU ปภาวรินทร์ Sec' 2 IP: 125.27.54.132 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:54:49 น.  

 
เรื่องราวเรียบง่าย แต่ไหลลื่น อ่านแล้วชวนให้อยากออกไปนั่งลิ้มรสความรู้สึกสบายใจในร้านบ้าง สงสัยเรากับ"ร้านเล่า"คงได้พบกันแน่นอน...เห็นรูปหนังสือมากมายในร้านแล้ว คงเป็นสถานที่ ที่ให้ความอิ่มใจกับหนอนหนังสือได้มากทีเดียวเชียว ขอบคุณกับบทความดีๆค่ะ


โดย: คนผ่านมา IP: 61.7.183.101 วันที่: 22 กรกฎาคม 2553 เวลา:2:39:56 น.  

 
อ่านแล้วภาพลอยเหมือนตัวเองได้อยู่ ณ สถานที่นั้นจริงๆเลยครับ สุดยอดจริงๆพี่ไข่หวาน :)


โดย: TK IP: 180.180.184.242 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:22:13:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

I will see U in the next life.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add I will see U in the next life.'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.