|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
ในวง "เล่า" ที่เหล้าล้อม
ตลอดหนึ่งภาคการศึกษาที่ผมสอนเกี่ยวกับการเขียนเพื่อการสื่อสารฉบับเบื้องต้น มีผลงานจากนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่เขียนได้ดี ดีเสียยิ่งกว่าผมเองสมัยเรียนหนังสือเสียอีก
โดยมาก ผลงานเหล่านี้เมื่ออาจารย์ส่งคืน นักศึกษาก็มักเก็บเข้ากรุเข้าไหกันจนลืมว่าเคยมีข้อเขียนอะไรเช่นนี้ด้วย ผมเห็นว่าผลงานเหล่านี้มีดีพอ และไม่ควรหายไปถูกลืมพร้อมกาลเวลา สมควรนำมาเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปได้อ่าน
ผลงานชิ้นแรกที่ผมขอนำเสนอเป็นผลงานของคุณอร-พิม สุกัณศีล หรือไข่หวาน เธอเป็นนักศึกษาในวิชาของผมแต่เรียนอยู่ภาควิชาภาษาอังกฤษ ไข่หวานหยิบเอาเรื่องเล่าของร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางถนนนิมมานเหมินท์เกือบทศวรรษชื่อว่า "ร้านเล่า" มาเล่าให้ฟังกันว่าการเป็นร้านหนังสือเล็ก ๆ อย่างนี้เจอปัญหาและฝ่าวิกฤตกันมาอย่างไรบ้าง ถึงยังนำนาวาอยู่กลางคลื่นพายุได้ถึงทุกวันนี้
อีกไม่กี่วันอร-พิมจะจบการศึกษาจากรั้วสีม่วงแห่งล้านนา เธอบอกผมว่าเธออยากทำงานด้านแมกกาซีน โดยเฉพาะนิตยสารสุดเก๋ Wallpaper
(เนื่องด้วยข้อเขียนชิ้นนี้มิใช่เป็นของผม ดังนั้นขอสงวนลิขสิทธิ์สำหรับใครที่ลอกไปส่งอาจารย์ ขอให้ติด F เรียนเมื่อไหร่ เรียนที่ไหน ก็รีไทร์ หากใครต้องการเผยแพร่ก็ติดต่อผ่านผมนะครับ)
--------------------------
ในวงเล่าที่เหล้าล้อม อร-พิม สุกัณศีล เย็นวันอาทิตย์ ถนนหนทางในเชียงใหม่แม้จะไม่ร้าง แต่ก็โล่งแปลกตาผิดจากวันอื่นในสัปดาห์ที่ชุลมุนวุ่นวายไปด้วยบรรดารถยนต์ที่แย่งกันจับจองพื้นที่เลนส์ซ้ายขวาบนถนนอย่างเร่งรีบ ตรอกซอยน้อยใหญ่จากที่เคยอึกทึกไปด้วยเสียงรถรา วันนี้กลับเงียบจนน่าประหลาดใจ ประหนึ่งว่าผู้คนกำลังหลับใหลด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากชีวิตทำงานตลอดหกวัน ทว่าบรรยากาศอันสงบนิ่งของเชียงใหม่ยามกลางคืนวันอาทิตย์นั้นช่างห่างไกลเหลือเกินจากความเป็นจริงของชีวิตบนถนนเล็ก ๆ สายหนึ่งที่ชื่อว่านิมมานเหมินท์จนแทบไม่น่าเชื่อว่าภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยินจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองแห่งเดียวกัน
19.00 น. เสียงกีตาร์จากปลายนิ้วนักดนตรีดังออกมาจากร้านอาหารฝั่งตรงข้ามตามควันรถยนต์บนถนนเข้าสู่หูกลุ่มคนที่นั่งอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่งอย่างไม่หยุดหย่อน จากเสียงบรรเลงแผ่วเบาเมื่อเข็มนาฬิกาเริ่มขยับสู่เลข 12 ก็ถูกแทนที่ด้วยจังหวะดนตรีกระแทกกระทั้นพร้อมๆกับที่ร้านรวงรอบข้างเริ่มเปิดเพลงดึงดูดฝูงรถราที่พร้อมจะจอดแวะบริโภคความสุขริมถนน พลอยทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า หรือเมืองเชียงใหม่...แท้จริงแล้วเป็นเมืองราตรี
“ถนนนิมมานฯเปลี่ยนตลอดเวลา” เสาวนีย์ เมฆานุพักตร์ หรือเก็ท เจ้าของร้านหนังสือนามว่า ‘เล่า’ ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางบรรดาร้าน ‘เหล้า’ จำนวนหลายสิบร้านบนถนนเส้นเดียวกันกล่าว พลางชำเลืองมองร้านอาหารฝั่งตรงข้ามที่ยังคงส่งเสียงดนตรีดังกระแทกเข้าหูเป็นระยะ ๆ
“ถึงแม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีคนอ่านหนังสือวันละแปดบรรทัด แต่เราก็ตั้งใจให้ร้านเล่าเป็นอาณาจักรหนังสือที่มีผู้คนแวะเวียนกันเข้ามาพูดคุย บอกเล่าถ่ายทอดเรื่องราวกันอย่างมีความสุข”
ทว่าเมื่อ อาณาจักรหนังสือแห่งนี้ต้องมาตั้งอยู่บนถนนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งชีวิตกลางคืน เก็ทและเพื่อนร่วมความฝันอีกสามคนต้องเผชิญกับมรสุมหลายลูกกว่าพื้นที่เล่าเรื่องเล็ก ๆ ของทั้งสี่ที่ชื่อร้านเล่าจะกลายเป็นร้านหนึ่งบนถนนนิมมานเหมินท์ที่เรียกความสนใจได้ไม่แพ้ร้านเหล้ารอบข้าง มิถุนายน พ.ศ. 2543 ในซอยเล็ก ๆ บนถนนเงียบสงบสายหนึ่งที่ชื่อนิมมานเหมินท์ ความหลงใหลในหนังสือ กาแฟ ภาพถ่ายและโปสการ์ดของเด็กรุ่นใหม่สี่คนได้ค่อย ๆ ปลุกปั้นร้านหนังสือขนาดกะทัดรัดขึ้นมา โดยใช้ชื่อแสบ ๆ คัน ๆ แต่สื่อความหมายได้ลึกซึ้งว่า ‘ร้านเล่า’
“เราใช้ชื่อว่าเล่าเพราะเราเชื่อว่าทุกสิ่งมีเรื่องเล่าในตัวเอง บางอย่างไม่จำเป็นต้องอธิบาย ที่สำคัญ จะว่าไปแล้ว ร้านหนังสือก็ไม่ต่างจากร้านเหล้าตรงที่เป็นสถานที่เสพ...แต่ของเราเสพความรู้”
สำหรับเจ้าของร้านหนังสือที่ไม่มีทั้งประสบการณ์ เงินทุนหนาและสายป่านยาว ความรู้ที่ว่านั้นล้วนเสาะหามาให้ผู้อ่านได้จากการลองผิดลองถูกของหุ้นส่วนแต่ละคนทั้งสิ้น บ้างต้องเดินเข้าไปติดต่อสำนักพิมพ์ต่าง ๆเองตามงานสัปดาห์หนังสือเพื่อขอจัดจำหน่าย บ้างก็ถามไถ่จากผู้คนรอบข้างที่เคยเปิดร้านหนังสือถึงวิธีการบริหารจัดการ และแน่นอน บ้างก็ต้องต่อรองกับสำนักพิมพ์เพื่อขอไม่วางเงินประกัน
แต่ความเป็นมือใหม่ทางธุรกิจไม่ได้ทำให้ร้านในฝันของนักเล่าทั้งสี่ร้างนักอ่านหนังสือแต่อย่างใด เพราะด้วยความตั้งใจจริงบวกกับความมุ่งมั่น ทางร้านกลับดึงดูดเพื่อนฝูง รุ่นน้อง รุ่นพี่และคนรู้จักจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สถาบันเก่าของทั้งสี่เข้ามาช่วยไม้ช่วยมืออย่างไม่ขาดสาย จนร้านเล่านอกจากจะมีพนักงานหมุนเวียนทำงานพาร์ตไทม์ถึงเก้าคนคอยปัดกวาดเช็ดถู ชงกาแฟแล้ว ยังมีนักอ่านขาประจำที่แม้จะประปรายแต่ก็พอสร้างกำลังใจให้เก็ทและเพื่อน ๆ มีแรงใจแรงกายทำสิ่งที่ตนรักต่อไป
แต่แล้ว เมื่อร้านเล่าย่างเข้าสู่ปีที่สอง ถนนนิมมานเหมินท์ก็เปลี่ยนไป... จากซอยเล็ก ๆ ร้างผู้คน บัดนี้เริ่มมีร้านรวงทยอยกันเปิดเรียกลูกค้ากระหายสุราจนแน่นขนัด วง ‘เล่า’ ที่เคยอบอุ่นและอ่อนโยน กลับดูแปลกแยกและโดดเดี่ยว แตกต่างจากเหล่าวง ‘เหล้า’ ที่เรียงรายล้อมรอบอย่างเอิกเกริก สถานที่เสพปัญญา บัดนี้โดนเหยียบย่ำด้วยสมญานามใหม่ของซอย...‘ซอยโลกีย์’ “ทุกคนเครียดมาก เพราะเสียงมันดังจริง ๆ บรรยากาศการอ่านมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่มันก็ทำให้ทุกคนหยุดคิดว่า เราอยากทำกันต่อไหม เราจริงจังกับมันแค่ไหน แล้วจริงจังขนาดจะไปเปิดร้านใหม่โดยยอมเข้าระบบอย่างเต็มตัวไหม”
ปี พ.ศ. 2545 นักเล่าทั้งสี่ตัดสินใจย้ายออกจากซอยโลกีย์ และมุ่งหน้าเข้าสู่กาดเชิงดอย ซึ่งแม้อยู่ไม่ห่างกันนัก แต่ความรู้สึกต่างกันราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการจัดระเบียบสถานบันเทิงโดยปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เวิ้งกาดเชิงดอยที่เคยเนืองแน่นไปด้วยผับและบาร์จนขึ้นชื่อว่าเป็น RCA ของเชียงใหม่จึงหายไปทีละร้านจนเหลือเพียงห้องแถวร้าง ๆ หลายสิบห้องรอการปรับปรุง…และเปลี่ยนแปลง
“บทเรียนที่ดีจากร้านเก่าคือต้องจองห้องหัวมุมด้านหน้าสุดไว้ก่อน เพราะถึงข้างในจะเป็นร้านเหล้า ยังไงคนก็จะเห็นร้านเล่าของเราก่อน”
กันยายน พ.ศ. 2545 ร้านในฝันของเก็ทและเพื่อน ๆ กลายเป็นความจริงอีกครั้งหนึ่ง โดยบริเวณกว้างขวางรายรอบร้านเปิดโอกาสให้เก็ทได้ใช้ความรู้วิชาเกษตรศาสตร์ที่ตนเล่าเรียนมาหลายปีอย่างเต็มที่ หากใครได้แวะเวียนไปร้านเล่าหนึ่งในภาพที่คุ้นตาคงหนีไม่พ้นภาพเจ้าของร้านกำลังง่วนอยู่กับสวนอย่างมีความสุข เจ้าตัวยอมรับว่าจากการที่เคยโดนบีบด้วยร้านเหล้ามา ณ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนได้รับอิสรภาพ เพราะได้เต็มที่กับสิ่งที่ตัวเองรักและไม่ต้องคอยเก็บของแถมที่นักท่องราตรีทิ้งไว้ตามต้นไม้ที่ปลูกไว้ทุกเช้าอีกต่อไป
ภายในระยะเวลาเกือบหกปีหลังจากอาณาจักรหนังสือแห่งที่สองแห่งนี้เปิด เรื่องเล่าของเหล่านักเล่าเจ้าของกิจการเองก็มีอันต้องแปรผันไม่ต่างจากชะตากรรมของร้าน เมื่อเพื่อนอีกสามคนขอถอนตัวออกจากการเป็นนักเล่าเพื่อไล่ตามความฝันของตัวเองในเส้นทางอาชีพอื่น
“ชีวิตจริงกับความฝันมันต่างกันเหลือเกิน ในความฝันคุณไม่มีคำว่าค่าใช้จ่าย หรือกำไร ขาดทุน คุณมีแต่ความสุขสมหวัง มันเหมือนหมอกที่คอยมาบังถนนไว้ สักวันคุณก็ต้องทำลายหมอกนั้นถ้าคุณอยากจะเห็นถนน”
การต้องประคองร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งให้อยู่รอดได้เพียงลำพังไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เก็ทต้องเผชิญหลังหมอกเริ่มจาง แต่แกลเลอรีที่ทำไว้ข้างร้านก็มีอันต้องล้มไปเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เกินตัว ทว่า แม้หนทางเบื้องล่าง ณ ตอนนั้นจะดูหยาบแข็งและขรุขระ เก็ทก็ยังคงตัดสินใจเดินบนเส้นทางเดิมที่แม้จะไม่นุ่ม แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานได้เพราะอย่างน้อยก็มีเพื่อนบวกกับความที่เกิดมาในครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายคอยพยุงไว้ เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประหนึ่งสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องเข้าสู่ระบบอย่างเต็มตัว นักเล่าที่เหลืออยู่เพียงลำพังคนนี้จึงหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับระบบการบริหารจัดการ โดยปรับเปลี่ยนหนังสือที่มีอยู่ให้เยอะและหลากหลายขึ้น เพิ่มจำนวนสายของสำนักพิมพ์ในการส่งหนังสือ และมุ่งเน้นหนังสือบางประเภทที่หาซื้อไม่ได้ตามร้านใหญ่ จากเดิมที่ขายเพียงวรรณกรรมเยาวชน พ็อคเก็ตบุ๊ค หนังสือศาสนาและปรัชญา
เก็ทจัดแจงหาหนังสือวิชาการทางด้านสังคมที่มักมีอายุบนชั้นหนังสือตามร้านทั่วไปสั้นเพื่อดึงดูดนักวิชาการ ปีพ.ศ. 2547 จึงเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์ดีขึ้น น้อง ๆ ที่รู้จักและลูกค้าประจำที่ยอมทนรอหนังสือที่สั่งไม่ว่าจะนานแค่ไหนได้มีส่วนเข้ามาเติมเต็มกำลังใจและกำลังกายที่เคยหายไปจนอาณาจักรหนังสือแห่งนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทว่าปีพ.ศ. 2547 มิใช่เป็นเพียงปีที่นำพาความอบอุ่นกลับมาสู่ร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นปีที่นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่พื้นที่รอบข้างจนประวัติศาสตร์หวนกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง เพราะไม่ทันไร...กาดเชิงดอยที่ดูเหมือนจะร้างผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นจุดหมายของนักท่องราตรีอีกครั้งหนึ่ง “จริงอยู่ที่พื้นที่ตรงนั้นมีบริเวณให้เราหลบเสียง หลบคนเมา บวกกับลูกค้าก็พยายามทำใจรับสภาพที่เกิดขึ้น แต่ร้านหนังสือกับร้านเหล้า...มันไปกันยากนะ” ก่อนที่บรรยากาศการร่ำสุราจะเข้ามากลืนกินอาณาจักรหนังสือแห่งนี้จนสายเกินแก้ เก็ทตัดสินใจสืบเสาะหาทำเลใหม่เพื่อสานต่อความฝันของตน โดยคราวนี้การตลาดเชิงรุกได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญประกอบ การตัดสินใจแทนปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งเมื่อประจวบเหมาะกับคำประกาศขายห้องแถวติดถนนนิมมานเหมินท์ที่ตั้งเดิมของร้านกาแฟชื่อเก๋นามว่า Queen of Cups วงเล่าวงใหม่ของเก็ทจึงถือกำเนิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กกว่าร้านเดิมแต่ค่าเช่ามากกว่าเป็นเท่าตัว ร้านหนังสือประตูสีแดงร้านนี้ก็เรียกสายตา และความสนใจจากผู้มาเยือนเมืองเชียงใหม่ได้ไม่น้อย
แต่การกระโจนเข้าแข่งขันในระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว นักเล่าคนนี้จะไม่กลัวเจ็บตัวเลยเชียวหรือ
เจ้าตัวหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า การตัดสินใจย้ายร้านครั้งนี้ทุกคนทำใจอยู่นาน เพราะหกปีที่ร้านเก่า ถึงแม้ในแง่การขายจะไม่ได้รับผลตอบแทนมาก แต่ก็ทำให้ตรงนั้นเป็นเสมือนบ้านหลังที่สองของทุกคน การย้ายมาที่นี่เพื่อน ๆ น้อง ๆ รวมทั้งเราและลูกค้าเองก็ต้องปรับข้างในตัวเองตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง แน่นอนเราคงอยู่ที่กาดเชิงดอยไม่ได้ตลอดชีวิต เมื่อสัญญาเช่าหมด ตัวเก็ทเลยมองว่ามันเป็นสัญญาณเตือนถึงเวลาที่เราต้องมองการณ์ไกลแล้ว เพราะฉะนั้นการอยู่ที่เดิมมากกว่าที่จะทำให้เราเจ็บตัว
ทุกวันนี้ ร้านเล่าจึงยังคงเป็นร้านเล่าที่เป็นมิตร ขี้เหงาและรักเพื่อนไม่ต่างจากแต่ก่อน แม้จะโดนเพื่อนบ้านในอดีตคุกคามมานักต่อนัก แต่บ้านหลังใหม่หลังนี้ก็ยังคงเป็นอาณาจักรหนังสือที่พร้อมจะต้อนรับหนอนหนังสือทั้งขาประจำและขาจรเข้าสู่วงเล่าเงียบ ๆ พร้อมจิบชา กาแฟร้อน ๆ จากฝีมือการชงที่แม้ไม่คงที่ แต่ก็ทำด้วยใจ ในขณะเดียวกันก็เป็นร้านเล่าที่ยอมรับสภาพความเปลี่ยนแปลงของถนนนิมมานเหมินท์ที่คงไม่มีพื้นที่ร้างว่างเปล่า...ให้วงเล่าได้พักพิงอีกต่อไป วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 บ้านหลังใหม่ของอาณาจักรหนังสือเล็ก ๆ นามว่าร้านเล่าแห่งนี้จะมีอายุครบสองปี แต่กว่าจะถึงวันนั้น เสียงดนตรีที่ลอยมาจากฝั่งตรงข้ามจะดังขึ้นอีกสักกี่เท่า ถนนนิมมานเหมินท์จะมีอาณาจักรของนักท่องราตรีเพิ่มขึ้นสักกี่ร้าน นักเล่านามว่าเก็ท เสาวนีย์ เมฆานุพักตร์คนนี้เชื่อว่ากาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงย่อมเปลี่ยนคนได้เสมอ “ถนนนิมมานฯเปลี่ยนตลอดเวลา สักวันคนอ่านหนังสือจะยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น และยอมไหลไปตามสถานการณ์ สักวันที่เราหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว เราก็ต้องเกี่ยวข้องกับมันทุกวัน และอยู่กับมันตลอดไป”
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2551 |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2551 18:29:04 น. |
|
30 comments
|
Counter : 1820 Pageviews. |
|
|
|
โดย: joblovenuk วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:18:21 น. |
|
|
|
โดย: เอกภพสีน้ำเงิน IP: 202.28.68.33 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:40:27 น. |
|
|
|
โดย: เอกภพสีน้ำเงิน IP: 202.28.68.33 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:22:40 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:17:58 น. |
|
|
|
โดย: พ.หมี IP: 58.9.142.85 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:44:21 น. |
|
|
|
โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:23:25 น. |
|
|
|
โดย: ชิน IP: 58.64.81.127 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:19:09 น. |
|
|
|
โดย: happyteddy IP: 68.199.227.235 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:35:44 น. |
|
|
|
โดย: pick IP: 202.41.167.246 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:00:33 น. |
|
|
|
โดย: น้องพลอย IP: 222.123.248.65 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:01:29 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:51:17 น. |
|
|
|
โดย: Bernadette วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:28:18 น. |
|
|
|
โดย: หมีบางกอก IP: 124.120.212.100 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:34:16 น. |
|
|
|
โดย: Bernadette วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:29:50 น. |
|
|
|
โดย: Bernadette วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:45:40 น. |
|
|
|
โดย: แก้มก้น IP: 210.213.18.118 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:02:08 น. |
|
|
|
โดย: Slowboy2525 IP: 118.172.58.5 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:36:35 น. |
|
|
|
โดย: พ.หมี IP: 58.9.136.147 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:15:21 น. |
|
|
|
โดย: news IP: 202.60.199.120 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:51:12 น. |
|
|
|
โดย: ลูกหยี เง้อ IP: 124.157.200.214 วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:16:06:05 น. |
|
|
|
โดย: สาวแตก IP: 58.8.166.249 วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:16:05:13 น. |
|
|
|
โดย: mju/conmunication IP: 119.42.77.167 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:31:39 น. |
|
|
|
โดย: MJU ปภาวรินทร์ Sec' 2 IP: 125.27.54.132 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:54:49 น. |
|
|
|
โดย: คนผ่านมา IP: 61.7.183.101 วันที่: 22 กรกฎาคม 2553 เวลา:2:39:56 น. |
|
|
|
โดย: TK IP: 180.180.184.242 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:22:13:44 น. |
|
|
|
|
|
|
I will see U in the next life.
|
|
|
|
|
|
Atonement คงไปไม่ถึงโน่นแน่เลย
ผมเองกลัวหนังเรื่องนี้มากนะ เพราะไม่ถูกโฉลกกับหนังพีเรียด แต่เสียงที่ไว้ใจได้ คอนเฟิร์มมาแล้วว่าเป็นหนังต้องดู คงจะต้องทำตัวให้ว่างไปดูกลางสัปดาห์หน้าให้ได้ แต่คงดูหลัง No country