มองการเมืองนอกประเด็น วาทกรรมน่ากลัวว่าด้วยความเป็น "คนอื่น"
ผมหายหน้าไปนานจากการอัพบล็อกพอควร เรื่องการเมืองมันหมุนไวจนตามไม่ค่อยทัน เลยยังไม่อยากจะพูดถึงสักเท่าใดนัก
ข้อเขียนผมในวันนี้ ผมไม่รู้ว่ามีคนพูดกันบ่อยหรือยัง แต่ดูท่าคนไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้กันเท่าใดนัก เพราะมีแต่ ทักษิณ สู้ ๆ กับ ทักษิณ ออกไป กันกระหน่ำหู
ก่อนเลือกตั้ง ผมได้ไปฟังเสวนาทางวิชาการเรื่องเกี่ยวกับว่า หลังวันที่ 2 เมษา จะเกิดอะไรขึ้น โดยการเสวนาครั้งนี้ก็มีอาจารย์หลายท่านจาก มช.และมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่โดยใจผมอย่างแรงก็คือ ความคิดของ อ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล แห่งนิติศาสตร์ มช. และมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เมื่อผมได้คิดได้ฟังความคิดเห็นของอาจารย์แล้ว ผมคิดว่านี้สำคัญว่าเรื่องไล่ใครออกหรือให้ใครอยู่เสียอีก ผมจึงนำมาขยายเป็นข้อเขียนนี้
เรื่องที่ผมจะพูดวันนี้คือเรื่องของคำว่า "คนอื่น"
กระแสที่ผ่านมาในสังคมไทยแตกออกเป็นสามกลุ่มใหญ่อย่างชัดเจนครับ กลุ่มแรก คือกลุ่ม ทักษิณสู้สู้ กลุ่มสองคือ ทักษิณออกไป และสุดท้าย ทักษิณจะอยู่หรือไปกูไม่สน ขอดูห่าง ๆ
มีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วช่างแสนน่ากลัวเหลือเกิน เช่น การพังเวทีประชาธิปัตย์ ณ หอศิลป์ มช. การล้อมหนังสือพิมพ์คมชัดลึก การกล่าวว่าด่าทอทักษิณกลางเวที ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าความคิดทางการเมืองกับความศรัทธามันฝังแน่น จนบางทีก็หน้ามืดตามัวไม่ฟังใครคนอื่น
เมื่อความคิดความเชื่อมันฝังลึกในรากสมองมากเท่าไร ก็จะยิ่งปฎิเสธความคิดฝ่ายตรงข้ามมากเท่านั้น ความเป็น "คนอื่น" เริ่มเกิดขึ้น
"คนอื่น" คือ คนที่คิดต่างจากเรา เขาไม่ใช่พวกเรา ยิ่งรู้สึกมาก ๆ มันจะนำไปสู่การคิดว่าเราไม่ต้องเห็นหัวเขา
กระบวนการมองว่าคนอื่นเป็น "คนอื่น" นั้น เกิดจากการที่เราลดค่าความเป็นมนุษย์ของคน ๆ นั้น คือมองว่าไอ้พวกนี้มันไม่ใช่คน มันต่ำกว่าคน มันเป็นสัตว์ อย่างในสงคราม ทหารสักคนยิงคู่ต่อสู้ได้อย่างเลือดเย็นนั้นก็เพราะเขาคิดว่าคู่ต่อสู้นั้นไม่ใช่คน หรืออย่างน้อยก็มีศักดิ์มีค่าต่ำกว่าเขา
อาจจะมองว่า พูดเกินไปหรือเปล่า สังคมเราจะมีเรื่องแบบนี้เชียวหรือ ให้พูดตามตรง สังคมไทยเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วนะครับ กับเหตุการณ์ ปิดล้อมฆ่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2519 ความรู้สึกของตำรวจทหาร ในวันนั้น คนที่อยู่ในธรรมศาสตร์คือคอมมิวนิสต์ คือ "คนอื่น" คือคนที่มีค่าต่ำกว่า ที่สำคัญคือคนที่เราพร้อมจะยิงให้ตายได้เสมอ
ไม่ต้องเอาอะไรมาก แค่คุณแทกซี่ที่ความคิดเห็นไม่ตรงกันนี้ยังเคยมีแท็กซี่ให้ลงกลางทางก็มีมาแล้ว ผมเองก็เกรงเหมือนกัน เวลาจะพูดเรื่องการเมืองต้องค่อยดูก่อนว่าคนที่เราคุยด้วยเขาคิดอย่างไร ถ้าคิดเหมือนกันก็อัดกันเต็มที่ ถ้าคิดต่างก็เบี่ยงประเด็น ไม่อยากเผชิญหน้าตรง ๆ (แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยเจอคนที่คิดต่าง)
สถานการณ์ในขณะนี้ ความรุนแรงมันฝังตัวลงทีละน้อยนะครับ ถ้ายังไม่มีการปรับความคิด ผมว่าเหตุการณ์อย่างเวทีประชาธิปัตย์ ณ เชียงใหม่ นี้เด็ก ๆ เลย
ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายแทบไม่เคยมีการพูดเลยนะครับว่าทำไมอีกฝั่งถึงยังเชิดชูและศรัทธาในความคิดของแต่ละฝ่าย จึงไม่แปลกที่มันเหมือนคนทะเลาะกันแบบคนละเรื่อง
เมื่อมองเข้าไปถึงกลุ่มคนรักทักษิณ เคยมีพรรคไหนที่มีนโยบายเป็นรูปเป็นร่างในกับคนจนได้เท่ากับพรรคไทยรักไทยบ้าง ในอดีต การเมืองไทยเป็นไปในลักษณะ Armchair Politician คือ นักการเมืองนั่งคิดบนเก้าอี้นวมว่าคนอยากได้อะไร แต่ไม่เคยลงไปถามจริง ๆ ว่าอยากได้ไหม ผิดกับไทยรักไทยที่เริ่มต้นด้วยการลงหมู่บ้านทำวิจัยเพื่อให้ได้คำตอบที่เป็นจริง
คนได้ประโยชน์เยอะครับ โดยเฉพาะคนจน ๆ เขาไม่สนใจในเรื่องที่ชนชั้นกลางหรือพวก elite มองหรอกครับว่านายกทักษิณไปโกงอะไรอย่างไรมา เพราะว่าตราบใดที่นายกทักษิณยังอยู่ ประโยชน์ที่มองเป็นรูปธรรมมันยังเกิดขึ้นตลอด
ตรงนี้เป็นจุดที่คนเกลียดทักษิณต้องรู้และเข้าใจครับ
เมื่อมองกลับกัน ข้อมูลต่าง ๆ ที่กลุ่มคนเกลียดทักษิณมี จะนำไปสู่ชาวบ้านตามชนบทได้อย่างไร ซึ่งสิ่งนี้ก็น่าคิดว่าจะทำอย่างไร เพราะชาวบ้านเองตอนนี้ก็ถูกครอบด้วยวาทกรรมของทักษิณจนยากมากที่จะแกะออก
ผมมองว่าทางที่ดีคือการที่ทักษิณและรัฐบาลยอมดีเบทครับ ยอมรับการซักถาม และตอบคำถามจากฝ่ายพันธมิตรฯ ไหน ๆ คุณทักษิณก็พูดออกปาว ๆ กลางรายการสถานการณ์ว่าไม่กลัวการถูกตรวจสอบ ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ขอให้ต่อจากนี้กล้าอย่างที่ปากพูดนะครับ
เมื่อเกิดการดีเบทกันเช่นนี้ ผมว่าทั้งสองฝ่ายจะได้รู้ความคิดของกันและกัน ความรู้สึกการเป็น "คนอื่น" ก็จะเริ่มลดลง
ก็ต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองต่อไปนะครับว่าจะเป็นเช่นไร ผมก็ภาวนาว่าขออย่าให้ความเป็น "คนอื่น" ในสังคมไทยรุนแรงไปจนฆ่ากันแบบตุลา 19 อีกเลย
คิดเหมือนผมไหมครับ.....
สุดท้าย ท่าน ๆ เคยฟังเพลงวง Pink Floyd กันไหมครับ เพลง "Us and Them" เป็นเพลงที่เพราะมาก (น่าเสียดายผมไม่มีเพลงนี้ ไม่งั้นเอามาแปะให้ฟังแล้ว) แค่ประโยคแรกก็ได้ใจความทุกอย่าง
Us and them ,and after all we're only ordinary men.
เราและเขา สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
ดังนั้นคิดต่างได้แต่อย่าสร้าง "คนอื่น" ขึ้นมาเลยนะครับ
ป.ล. เมื่อวานคุณทักษิณบอกว่าเรื่องที่ภาคประชาชนเป็นหนี้จากนโยบายกองทุนหมู่บ้าน โดยบอกประมาณว่า เดิมมีรายได้ 500 แต่พอกองทุนฯเข้าไป ก็มีหนี้ 2000 แต่ได้รายได้ 1000 บาท
มันไม่ดีกว่าหรือ (อืม)
แล้วคุณทักษิณก็อ้างเรื่องว่านโยบายนี้ไปสอดคล้องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ไอ้กระผมก็สงสัยว่า เอ่ ชื่อมันก็บอกว่าพอเพียงอยู่แล้ว 500 บาทแบบไร้หนี้ก็น่าจะพอแล้ว แบบมีรายได้ 1000 แต่มีหนี้ 2000 แบบนี้ไม่น่าจะเป็นเศรษฐกิจพอเพียงนะ
ใครเป็นนักเศรษฐศาสตร์ก็บอกทีเถิด ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้ บอกผมทีนะ
ป.ล. 2 เมื่อคืนวาทกรรมทักษิณบินกระจายประเทศไทย
Create Date : 04 เมษายน 2549 |
|
37 comments |
Last Update : 5 เมษายน 2549 12:52:29 น. |
Counter : 621 Pageviews. |
|
|
|
เห็นด้วยอย่างแรง