Shangri La มนต์เสน่ห์...ดินแดนสุดขอบฟ้า 6
21 ต.ค.50 วันที่ห้า วันนี้ต้องแพ็กกระเป๋าใบเล็กเพื่อเตรียมเดินทางไปค้างคืนที่เต๋อชิง(Di Quing)สองคืน โดยกระเป๋าใบใหญ่ฝากไว้ที่โรงแรมในจงเตี้ยน แล้วมารับวันกลับเนื่องจากต้องมาขึ้นเครื่องบินที่จงเตี้ยนกลับคุนหมิง หลังอาหารเช้า(ข้าวต้ม ไข่ต้ม หมั่นโถว ผัดผัก กาแฟจืดๆ) ไกด์พาเราไปซื้อออกซิเจนกระป๋องเพิ่มสำหรับคนที่ไม่พอ ในราคากระป๋องละ 40 หยวนพร้อมเช่าชุดราคา 20 หยวน เป็นชุดเหมือนเสื้อกันฝนแต่เป็นกางเกงสำหรับป้องกันความสกปรกจากดินกระเด็นเวลาที่ม้าเดินตอนขี่ม้าขึ้นภูเขาเหมยหลี่เพื่อสัมผัสกับธารน้ำแข็งหมิงหย่ง(glacier)
ระหว่างทางจากจงเตี้ยนไปยังเต๋อชิง เราจะผ่านส่วนที่เรียกว่าทุ่งหญ้านาพาไห่ เป็นทุ่งหญ้ากว้างโล่งเตียนมีเนื้อที่กว่า 2,400 เอเคอร์ ห่างจากเมืองจงเตี้ยนประมาณ 8 กิโลเมตร ในฤดูน้ำหลากที่นี่จะเป็นทะเลสาบที่มีน้ำที่เกิดจากน้ำแข็งละลายอยู่เต็มไปหมด แต่พอถึงก่อนเข้าฤดูหนาวระดับน้ำจะลดลงจึงกลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่ให้ฝูงจามรีเดินและเล็มหญ้ากันอย่างอิสระและเพลิดเพลิน ไกด์จะแวะให้เราถ่ายรูปวันที่เราเดินทางกลับมาเส้นเดิม
ในหุบเขาที่ลึกที่สุดนั่นแหละค่ะที่เราจะลงไปกินอาหารกลางวัน

จากนั้นการเดินทางลัดเลาะไปตามภูเขาจึงเริ่มขึ้น ทิวทัศน์สองข้างทางจะพบเห็นการเริ่มต้นของป่าเปลี่ยนสี จากสีเขียวเริ่มเป็นสีเหลืองและบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีแดงบ้างสวยงามมาก ตลอดเส้นทางรถที่เรานั่งลัดเลาะไต่ขึ้นสู่ยอดเขาบ้าง ไต่ระดับลงสู่หุบเขาบ้าง ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านทิเบตเล็กๆที่ตั้งอยู่ในหุบเขาริมแม่น้ำโขง เพื่อทานอาหารกลางวันและเข้าห้องน้ำ
เรื่องห้องน้ำเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาสำหรับผู้หญิงอย่างมาก ถึงเวลาที่อยากจะเข้าห้องน้ำกันทีไรจะต้องตั้งหลักทำใจกันทุกครั้ง เส้นทางนี้เดินทางไกลหาห้องน้ำดีๆเข้ายาก เวลามีใครอยากเข้าห้องน้ำไกด์สาวชาวจีนก็จะบอกให้พวกเรารู้ตัวก่อนว่า พี่ห้องน้ำแถวนี้ไม่ดีนะจะเข้ามั้ย หรือว่าจะเข้าห้องน้ำธรรมชาติกัน ทริปนี้เราได้เข้าห้องน้ำทุกรูปแบบ ตั้งแต่ห้องน้ำดีๆเป็นชักโครกในโรงแรม ห้องน้ำส้วมซึมที่มีประตูแต่ไม่มีกลอน บางทีมีประตูแค่ครึ่งเดียว ห้องน้ำรางหมู(ฉายาที่พี่มรกรุ๊ปเรียก)ที่ไม่มีประตูมีแค่ฝาปูกั้นไว้เตี้ยๆ ข้างล่างก็เป็นรางน้ำที่ไหลถึงกันหมด และห้องน้ำธรรมชาติในป่าริมถนนน ข้อสรุปของสาวๆทริปนี้คือยอมเข้าห้องน้ำธรรมชาติในป่าริมถนนดีกว่าไปเข้าห้องน้ำตามบ้านที่สภาพอุดจาดทั้งภาพและกลิ่น โดยมีร่มเป็นอุปกรณ์ประจำตัวกันคนละคัน
โค้งเสี้ยวพระจันทร์หรือโค้งหลังเต่า

หลังอาหารกลางวันเริ่มเดินทางกันต่อ เส้นทางต่อไปเริ่มเป็นภูเขาหินที่ไม่ค่อยมีต้นไม้ปกคลุมมองดูแล้วเหมือนจะร้อนและแห้งแล้ง แต่พอเราออกจากรถไปถึงได้รู้ว่าอากาศไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด นั่งรถไปสัก 20 นาทีเราก็ถึง โค้งหลังเต่าหรือโค้งเสี้ยวพระจันทร์ เป็นโค้งแม่น้ำโขง(แม่น้ำล้านช้าง) สวยงามมาก
วัดตงจู่หลิน

ถ่ายภาพชื่นชมความงามกันพอประมาณก็เดินทางต่ออีกประมาณ 15 นาทีก็ถึงวัดตงจู่หลิน เป็นวัดลามะทิเบตนิกายหมวกเหลือง ตัวอาคารตั้งตระหง่านอยู่หน้าหุบเขาสูงเด่นเป็นสง่าสวยงาม บริเวณโดยรอบเป็นกุฏิลามะ มีพระพุทธรูปจากเมืองลาซาสมัยราชวงค์ถังประดิษฐานอยู่
ลามะในวัดตงจู่หลินนั่งอาบแดดแก้หนาว



ออกจากวัดเราเดินทางต่อโดยเป็นเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามแนวเขาที่ค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆจากเมืองตงเจี้ยนที่ระดับประมาณสองพันกว่าเมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นระดับกว่าสามพันเมตรและเมื่อถึงเมืองเต๋อชิงจะอยู่ที่ระดับกว่าสี่พันเมตรทีเดียว
รถวิ่งลัดเลาะไปมาตามแนวเขากว่าสองชั่วโมงเราจึงมาถึงบริเวณห้องน้ำสาธารณะที่สูงที่สุดในโลก รถหยุดเพื่อให้สาวๆในคณะได้ใช้บริการห้องน้ำกันแต่ปรากฏว่าต้องผิดหวังไปตามๆกัน เนื่องจากวันนี้ห้องน้ำไม่เปิดให้บริการ ไหนๆก็จอดรถแล้วนี่ สาวๆในคณะเลยต้องพึ่งพาบริการห้องน้ำธรรมชาติคละเคล้าไปกับสายลมแรงและแสงแดดด้านหลังของห้องน้ำที่ปิดนั่นแหละ

วิวตรงจุดนี้สวยมากๆ โชคดีที่วันนี้แดดจัดท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใส ถึงจะมีเมฆบ้างก็ยังดีกว่าอากาศขมุกขมัวทั้งวัน พวกเราเลยได้เก็บภาพสวยๆตรงบริเวณนี้กันอย่างจุใจ เห็นแดดใสๆแบบนั้นเถอะแต่ว่าหนาวจับใจจนมือชาทั้งๆที่ใส่ถุงมือกัน
ขอหวีดหน่อยนะ

ตลอดเส้นทางกว่าจะถึงเต๋อชิง เราแทบจะให้รถจอดไปตลอดทางถ้าไม่เกรงใจเพื่อนร่วมทัวร์ วิวสองข้างทางแถบนี้สวยเหลือเกิน นี่ถ้าเดินทางมากันแต่พี่น้องหรือเพื่อนสนิท กว่าจะถึงเต๋อชิงคงได้ภาพถ่ายกันหลายร้อยภาพ
เห็นถนนที่พาดผ่านหุบเขาไหมคะ นั่นแหละค่ะที่รถเราวิ่งพับไปพับมากว่าจะถึงเต๋อชิง

ทิวท้ศน์สองข้างทางเริ่มเป็นป่าสนมากขึ้นและเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวสลับกับสีเหลืองเป็นช่วงๆ นอกจากนี้แนวยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมของแนวเทือกเขาไป๋หม่าเริ่มปรากฏให้เราได้เห็นเป็นระยะๆ ยิ่งเราเข้าใกล้เมืองเต๋อชิงมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าเทือกเขาหิมะไป๋หม่าขยับมาอยู่ใกล้เรามากขึ้นมากขึ้นทุกที จนสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า นี่แหละมั้งที่เค้าเรียกขานกันว่า เชียงกรีล่า แดนสวรรค์ของขอบฟ้าที่หายไป


เมื่อเข้าเขตเมืองเต๋อชิงเราจะพบประตูเมืองและเจดีย์ 13 องค์ ซึ่งเป็นจุดที่ชาวทิเบตและนักท่องเที่ยวหยุดพักถ่ายภาพ ชมความงามของธารน้ำแข็งที่มองเห็นอยู่ไกล และสักการะยอดเขาตามความเชื่อของชาวทิเบต มีธงมนต์ปลิวล้อลมหนาวเต็มไปหมด


กว่าจะถึงตัวเมืองเต๋อชิงก็เย็นมากแล้ว อากาศหนาวมาก เนื่องจากเต๋อชิงเป็นเมืองในหุบเขาที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,000 เมตร ที่นี่นับเป็นเขตภูเขาหิมาลัยด้านตะวันออก(ในดินแดนของจีน) เปรียบดั่งเป็นชายคาของโลก หากนับว่าทิเบตเป็นหลังคาของโลก ทางด้านตะวันตกของเต๋อชิง มีแนวเทือกเขาสูงชันนามเทือกเขาไป๋หม่า อันมีเทือกเขาสูงสุดนาม เหมยลี่ (สูงเฉลี่ยกว่า 6,000 เมตร) เทือกหิมะเหมยหลี่ เป็นหนึ่งในแปดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวทิเบตต้องเดินทางมาจาริกแสวงบุญกันทุกปี ความยิ่งใหญ่และงดงามตระการตาจากการรังสรรค์โดยธรรมชาติที่มนุษยชาติมิอาจจะเลียนแบบได้ ของภูเขาหิมะเหมยหลี่ ที่มีถึง 13 ยอดเขา มีความสูงเฉลี่ยเกินกว่า 6,000 เมตร โดยยอดเขาคาเกโบ(Kagebo) เป็นยอดเขาสูงสุดที่มีความสูงถึง 6,740 เมตร


ที่เต๋อชิงเราเข้าพักที่โรงแรม Zang Xiang Hotel เมื่อถึงโรงแรมพนักงานสาวๆของโรงแรมมารับกระเป๋าและช่วยยกกระเป๋าไปส่งให้ถึงห้องพัก โดยพนักงานสาวหนึ่งคนยกกระเป๋าสองใบ เนื่องจากโรงแรมนี้ไม่มีลิฟท์ สภาพในห้องพักก็คล้ายๆกับโรงแรมตามต่างจังหวัดของไทยเมื่อประมาณสักสิบปีที่แล้ว และข้อมูลที่เรารับทราบจากไกด์คือโรงแรมนี้ไม่มีฮีทเตอร์แต่มีที่นอนไฟฟ้าให้บริการ เอาละหวาจะเป็นยังไงหนอคืนนี้ ขนาดตอนเย็นยังไม่มืดความหนาวของอากาศยังหนาวจนจับใจ ถ้าถึงตอนค่ำ ตอนดึก ตอนเช้าจะหนาวถึงขนาดไหน ลองทดสอบน้ำร้อนในห้องพักเปิดน้ำก๊อกที่ระดับน้ำร้อนแรงสุด ปรากฎว่าสิ่งที่ไหลผ่านก๊อกคือน้ำเย็นจัดราวกับน้ำจากช่องแช่แข็ง เวลาผ่านไปนานกว่า 8 นาทีน้ำจึงจะเริ่มมีความร้อนให้ได้รู้สึก ตัดสินใจได้ในฉับพลัน วันนี้ฉันไม่อาบน้ำ อิอิ
ให้เห็นว่าอยู่หุบเขาจริงๆ รูปนี้ถ่ายจากหน้าต่างห้องพัก

6 โมงเย็นเดินฝ่าความหนาวจากโรงแรมไปประมาณ 10 เมตรเพื่อทานอาหารเย็นบนชั้น 3 ของภัตตาคาร นอกจากผัดผักหลายอย่าง ไข่เจียว ปลา ฟักทองนึ่ง และที่พิเศษสุดคือต้มยำหมูฝีมือไกด์จีน แต่เมื่อลองชิมต้มยำพวกเราก็เริ่มทำหน้าแปลกๆว่าต้มยำอะไรหว่ารสประหลาดดี สอบถามดูว่าเป็นต้มยำอะไร คำตอบที่ได้รับทำเอาขำกลิ้งกันไปทั้งโต๊ะเมื่อไกด์ไทยบอกว่า ที่จริงมันคือเครื่องแกงพแนงหมู แต่สื่อสารกันผิดไปหน่อยพแนงหมูจากเมืองไทยเลยกลายเป็นต้มยำหมูที่เมืองเต๋อชิง สงสัยความสูงเหนือระดับน้ำทะเลมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอาหารไทย
หลังอาหารเย็นทั้งคณะพากันไปเดินเล่นชมเมืองเต๋อชิง บรรยากาศช่างให้ความรู้สึกแบบบ้านๆดีมาก วัฒนธรรมของชาวทิเบตมักจะออกมาทำกิจกรรมต่างๆที่หน้าบ้าน ไม่ว่าจะแปรงฟัน ล้างหน้า ทำกับข้าว ล้างจาน ซักผ้า ยกเว้นเพียงอาบน้ำกับห้องน้ำ ร้านค้าในเต๋อชิงส่วนใหญ่จะเป็นร้านคูหาเดียวมีทั้งร้านสังฆภัณฑ์ ร้านขายของชำ ร้านเบเกอรี่ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายรองเท้า ร้านอาหาร คาเฟ่ และแผงขายของปิ้งย่างแบบทิเบต สินค้าที่ขายส่วนมากรับมาจากคุนหมิงและจงเตี้ยน ดังนั้นราคาที่ขายจึงถูกบวกความยากลำบากในการขนส่งไปด้วย เดินไปสักพักจะรู้สึกคล้ายกับการได้ไปเดิน ณ อำเภอเล็กๆไกลปืนเที่ยงของไทยย้อนหลังไปในอดีตประมาณ 10 ถึง 15 ปี ประมาณครึ่งชั่วโมงก็พากันกลับไปโรงแรมเพื่อพักผ่อน
ติดตามการเดินทางในวันที่หก ได้ในบล๊อคต่อไปค่ะ
Create Date : 31 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2550 22:14:50 น. |
|
13 comments
|
Counter : 3155 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: นางฟ้าของชาลี IP: 24.16.244.108 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2550 เวลา:0:06:26 น. |
|
|
|
โดย: ปูลม IP: 203.130.143.243 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:34:33 น. |
|
|
|
โดย: Cookie Nim วันที่: 1 พฤศจิกายน 2550 เวลา:19:23:49 น. |
|
|
|
โดย: Cookie Nim วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:8:12:22 น. |
|
|
|
โดย: ชิงดวง วันที่: 15 พฤศจิกายน 2550 เวลา:19:47:32 น. |
|
|
|
โดย: ชินจัง IP: 210.203.182.7 วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:10:23:05 น. |
|
|
|
โดย: Cookie Nim วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:17:52:30 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 71 คน [?]

|
ขอสงวนสิทธิ์ภาพถ่ายทุกภาพในบล็อคนี้
มีหลายๆคนสงสัยว่าทำไมต้อง Cookie Nim (คุกกี้นิ่ม) ที่มาของชื่อนี้มาจากชอบกิน soft cookie มาก หัดทำขนมใหม่ๆก็เริ่มจากเจ้านี่แหละ พอมาเล่นเนทนึกชื่อไม่ออก ก็เลยใช้ คุกกี้นิ่ม ตั้งแต่นั้น หลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำให้มีเวลาว่างทำอะไรๆที่ชอบมากขึ้น ทำขนม ทำสบู่ และทำงานฝีมือ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ชอบนั้นจะไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่ากับเงินเดือนที่เคยได้ แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณผู้มีอุปการะคุณคนเดียวของเรา ซึ่งก็คือ"คุณพ่อบ้าน" นั่นเอง
สำหรับเพื่อนๆที่อยากได้ภาพ หรือบทความในบล็อกนี้ไปใช้ในทางบริสุทธิ์ใจ เช่น อยากนำไปตกแต่งบล็อคของคุณ หรือสูตรขนมไปทำแล้วเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้หาผลประโยชน์ส่วนตน จขบ.ยินดีค่ะ รบกวนแค่อ้างอิงแหล่งที่มาสักหน่อยเท่านั้น
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เพราะเคยไปเที่ยวจีนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว วิ่งเข้าไป...วิ่งออกมาทันทีเลย
ไกด์จีน...เก่งจัง...ทำต้มยำพแนงหมู