Joshimath ถึง Ghangaria เมืองสุดท้ายก่อนถึง Valley of Flowers

26 กค.54 วันนี้เราจะเดินทางต่อไปที่เมือง Joshimath โดยที่ปลาได้เช่ารถแบบ 12 ที่นั่งในราคาที่น่าพอใจ ก็เลยเหมาเช่าไว้ตลอดทริป ซึ่งสะดวกต่อการพูดคุยปรึกษาหารือกัน ไม่ต้องกลัวพลัดหลงกันระหว่างทาง กว่าจะออกเดินทางได้ก็เข้าไป 8 โมงกว่า ผู้คนที่หลั่งไหลกันเข้าเมือง Haridwar ทำให้รถติดกว่าเราจะหลุดออกนอกเมืองกันได้ ก็แทบจะกลายเป็นไก่อบอยู่ในรถ รถที่เช่าก็ตกลงกันไว้ว่าจะไม่เปิดแอร์ เพราะตลอดเส้นทางขึ้นเขา แต่ช่วงที่ยังไม่หลุดจากเมือง อากาศร้อนฝุนเยอะ พวกเราก็เลยแกล้งแหย่ตาลุงคนขับให้เปิดแอร์ โชคดีที่แกไม่เขี้ยวจนเกินไป ยอมเปิดแอร์ให้ แต่เปิดแอร์ได้ไม่นานก็หลุดออกนอกเมืองขึ้นเขาแล้ว
 ร้านอาหารระหว่างทาง
 ข้างในโล่งโปร่งดี
เราแวะกินกลางวันกันระหว่างทาง เป็นร้านที่ดูดีทีเดียว โล่งๆโปร่งๆ ห้องน้ำสะอาด และอีกเช่นเคย เป็นร้านมังสวิรัติอีกแล้ว เหล่านาง 12 ก็ไม่ยั่น ควักปีกไก่ทอด ไส้อั่ว ปลาเค็มและสารพัดน้ำพริกขึ้นมากินกันหน้าตาเฉย ได้น้ำอัดลมเย็นๆ โค๊กและน้ำมะนาวมาช่วยเสริมทัพให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า พร้อมเดินทางกันต่อ
 จากถนนที่รถวิ่งเห็นเมือง Rishikesh อยู่ไกลๆ ซึ่งเป็นเมืองที่เราจะแวะพักตอนขากลับ
 จุดสบของแม่น้ำ Bhagirathi และแม่น้ำ Alakananda
ระหว่างทาง ลุงคนขับก็ทำหน้าที่ไกด์ไปด้วย พอเจอจุดสำคัญๆแกก็จะจอดรถแล้วหันมา บลาๆ ซึ่งพวกเราฟังไม่ออกสักคำ ปลาและตาลพอฟังออกบ้างเป็นบางครั้ง ก็ได้แต่เดาๆในสิ่งที่แกพูด แกจอดรถให้พวกเราชมจุดสบกันของแม่น้ำที่ไหลลงมาจากเทือกเขาหิมาลัย คือแม่น้ำ Bhagirathi และแม่น้ำ Alaknanda รวมกันเป็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำคงคา(Ganges River) กว่าเราจะถึงเมือง Joshimath ก็มืดค่ำมากแล้ว รวมแล้ววันนี้นั่งรถกัน 12 ชม. ลงรถได้แต่ละคนแทบเป็นง่อยเดินไม่ได้ เท้าและน่องบวมเป่ง เก็บข้าวของเสร็จก็รีบออกไปหาอะไรใส่ท้อง Joshimath เป็นเมืองเล็กๆเงียบๆ เราเจอร้านอาหารที่พอนั่งได้ เดินเข้าร้านไปก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นแขก ปลาสั่งอาหารมา 2-3 อย่าง พวกเรากินด้วยความรวดเร็วมาก ที่จริงแล้วคิดว่าแต่ละคนคงเหนื่อยและเพลียกันพอสมควร เลยไม่ค่อยเจริญอาหารกันเท่าไหร่ บวกกับสภาพแวดล้อมในร้านด้วย เสร็จแล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อนกัน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดอีกแล้ว
 วิวเมือง Govidghat ก่อนเริ่มเทรคกิ้ง 13 กิโลขึ้น Ghangaria
 วิวเมือง Govidghat ก่อนเริ่มเทรคกิ้ง 13 กิโลขึ้น Ghangaria
 วิวเมือง Govidghat ก่อนเริ่มเทรคกิ้ง 13 กิโลขึ้น Ghangaria
27 กค.54. เช้านี้เราตื่นกันแต่ตี 5 เพื่อออกเดินทางไปยังเมือง Govidghat อุตสาห์ตื่นกันแต่เช้ามืดกะว่าจะได้ไปถึงแต่เช้าๆ เผื่อเวลาไว้ให้คนที่ต้องการเดินขึ้น ที่ไหนได้เมืองนี้เขาต้องมีการเปิดด่านเข้าออก ด่านเปิดตอน 7 โมงครึ่ง ตาลุงคนขับแกพยายามที่จะบอกตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไม่มีใครเข้าใจ พวกเราก็เลยต้องเตร็จเตร่หาอาหารเช้ากินกันแถวๆนั้นเป็นการฆ่าเวลา
ระยะทางจาก Joshimath ถึง Govidghat 22 กิโล เป็นถนนที่เลาะไต่ไปตามเขา (ที่จริงก็เลาะเขาทุกเส้น) วิวข้างทางสวยมาก นั่งรถกันยังไม่ทันเมื่อยก็ถึงแล้ว ปลาติดต่อหา porter เพื่อแบกเป้พวกเราขึ้นไป เมือง Ghangaria นั้นอยู่ที่ความสูง 3,049 เมตรจากระดับน้ำทะเล พวกเราสมาชิกทั้ง 12 นาง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มสาวอึดเดินขึ้น มี ตาล ต่วน (2 สาวที่ผ่านการเทรคกิ้งที่ Everest Base Camp มาแล้ว) แหม่มและน้องฝน (2 สาวที่ผ่าน ภูกระดึง ภูสอยดาว ดอยสุเทพมาแล้ว) อีกกลุ่มพวกรักสบาย ขอขี่ม้าขึ้น ค่าม้าตก 500 รูปีต่อตัวต่อคน
 ทางขึ้นตอนเริ่มต้น
 ยังแค่เริ่มต้นอยู่
 ทางที่เริ่มโหดขึ้น
เพียง 500 เมตรแรก เราก็พบว่าการขี่ม้าขึ้นไม่ได้สบายอย่างที่คิด ทุกส่วนในร่างกายกระแทกกระทั้น ต้องจับที่ยึดไว้แน่นไม่กล้าปล่อยมือเด็ดขาด (กลับมาดูรูปที่ถ่ายตอนอยู่บนหลังม้าดูไม่ได้สักรูป) ส่วนใหญ่ม้าจะจับกันเป็นคู่ๆโดยมีเจ้าของจูง 1 คน ขาขึ้นนี้เราได้คู่กับปลา โชคไม่ดีที่เจอเจ้าของม้าใจร้อน คอยเร่งฝีเท้าม้า ก็ยิ่งทำให้กระแทกแรงมากขึ้นไปอีก ทางขึ้นแกงกาเรียนี้บางช่วงทางเดินของคนกับทางม้าจะแยกกัน ซึ่งทางม้าจะชันและเป็นหินก้อนโตๆระเกะระกะ (ข้อนี้เพิ่งมารู้ทีหลัง ว่าทางเดินเท้าีดีกว่ามาก) ประกอบกับฝนก็ตกๆหยุดทำให้ทางเดินเละเป็นโคลน ก้อนหินลื่น บางครั้งเท้าม้าก็เหยียบพลาดลื่นปรื๊ด คนนั่งหัวใจจะวาย กระดูกแทบหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ กลิ่นฉี่ม้าขี้ม้ารุนแรงคละคลุงตลอดเส้นทาง หาอากาศหอมบริสุทธิ์ไม่ได้ (น้องฝนที่เดินขึ้นบอกว่า จมูกหนูดับไปตั้งแต่กิโลแรกแล้ว) ในระยะทาง 13 กิโลนี้ ขาขึ้นคนจูงม้าจะให้ม้าพัก 2-3 รอบ ระหว่างทางมีเพิงขายชา ขายอาหารให้ได้พักกัน ม้าแต่ละเจ้าของจะมีร้านประจำของตัวเอง ขอให้หยุดที่อื่นจะไม่ยอมหยุดให้
 ธารน้ำระหว่างทาง
 ธารน้ำระหว่างทาง
พอถึงจุดพักม้า แต่ละคนลงจากหลังม้าด้วยความอิดโรย พร้อมกับคำพูด “โอ๊ย เจ็บตรูด” “ปวดก้น” ม้าแถบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอานหนังเพียวๆไม่มีผ้าอะไรลองให้ พอนั่งกระแทกๆไปได้ไม่นาน ผิวอันบอบบางของบั้นท้ายพวกเราก็เริ่มรับไม่ไหวกันแล้ว เราโดนน้องๆแซวว่า “พี่ตุ๊กกลับไปไม่ต้องผ่าเนื้องอกแล้ว ป่านนี้มันแตกกระจายหายไปหมดแล้ว” มีพี่น้อยเชียงใหม่คนเดียวที่เตรียมตัวมาพร้อม บอบช้ำน้อยที่สุด


กว่าจะขึ้นถึงแกงกาเรีย เราและปลาก็ตรูดถลอก(ถลอกจริงๆนะ) ด้วยความพร้อมเพรียง เพราะโดนจับสลับม้ากันครึ่งทาง แล้วไอ้เจ้าม้าตัวนี้อานไม่เหมือนตัวอื่น มีสันนูนๆ 3 เหลี่ยม ซึ่งมันพอเหมาะพอเจาะกับร่อง...พอดีเชียว *** บางท่านเข้ามาอ่านแล้ว อาจว่าทำไมต้องเล่ากันละเอียดขนาดนี้ แต่จุดประสงค์ของการเขียนลงบล็อคนี้ ก็เพื่อต้องการบอกรายละเอียดทุกอย่าง เพื่อว่าคนที่สนใจอยากจะไป ได้เตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อม ข้อมูลเหล่านี้ไม่มีใครเขียนบอกไว้มาก่อน ซึ่งเมื่อเดินทางเองทำให้เราได้รู้ซึ้งว่า ถ้าเรารู้รายละเอียดมากเท่าไหร่ เราก็สามารถเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์ในการป้องกันได้มากเท่านั้น ***
ส่วนคนที่ต้องการเดินขึ้น แนะนำว่าควรจะมีไม้เท้าสำหรับเทรคกิ้งติดไปด้วยจะดีมาก เพื่อนๆที่เดินขึ้นบอกว่าไม้เท้าช่วยผ่อนแรงขาและเข่าได้มาก ถ้ามี ไม้เท้า 2 ข้างจะยิ่งดีมาก และควรจะใส่ Knee support ด้วยจะดีมาก เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพเข่า
เส้นทางบางช่วงสวยงามร่มรื่น มีน้ำตกและธารน้ำหลายสาย ก่อนถึงแกงกาเรียประมาณ 3 กิโลสุดท้าย มีธารน้ำตกขนาดใหญ่และแรงมาก ม้าหยุดพักอีกรอบ คราวนี้พวกเรามาหยุดพักพร้อมกันทุกคน(ยกเว้นคนที่เดิน) มีร้านอาหารที่มีลานกว้างติดธารน้ำตก ลมเย็นอากาศดีมาก วางโต๊ะเก้าอี้ไว้ให้นั่งทานอาหาร พวกเราสั่งอาหารว่าง 2-3 อย่าง แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางเริงร่าถ่ายรูปซะมากกว่า
 ธารน้ำตรงร้านอาหารที่จุดพักม้า น้ำแรง อากาศดีมาก
รวมเวลาขี่ม้าขึ้นแกงกาเรีย ประมาณ 4 ชั่วโมง เมื่อไปถึงระหว่างรอพวกที่เดินและ Porter ก็เดินสำรวจในหมู่บ้านเพื่อมองหาร้านอาหาร แล้วก็พบว่า รร.ที่เราจองไว้ดูดีที่สุดแล้ว คนที่เดินใช้เวลา 7 ชั่วโมงก็ขึ้นมาถึง ส่วน Porter น่าจะราวๆ 8 ชั่วโมง คนพื้นเมืองที่นี่มีความแข็งแรงและอดทนสูงมาก Porter 1 คน แบกเป้ของพวกเรา 4-5 ใบซึ่งน้ำหนักรวมๆแล้ว ประมาณ 50 กิโล แหม่มที่เดินขึ้นได้มาบรรยายสภาพ Porter ตอนเดินให้ฟัง จนพวกเรารู้สึกเหมือนเป็นพวกทารุณกรรมยังไงยังงั้น พวกเราก็เลยให้ทริปนอกเหนือจากค่าจ้างที่ตกลงไว้ รวมๆค่าทริปแล้วเกือบจะมากกว่าค่าจ้างที่เขาเรียกซะอีก
 คนแก่คนนี้เดินไม่ไหว ลูกหิ้วปีก 2 ข้างขึ้นไป ศรัทธาแรงกล้ามาก

 คู่นี้กระหนุงกระหนิงกันเดิน อิจฉาวุ้ย
 เริ่มเข้าสู่กิโลสุดท้าย
ค่ำวันนั้นเราทานอาหารเ้ย็นกันที่ รร.ที่พัก ทุกคนพอใจกับรสชาติอาหารและการบริการของ รร.มากทีเดียว อาหารรสชาติดีทุกอย่าง จานชามช้อนสะอาดใช้ได้ ห้องพัก ห้องน้ำถือว่าสะอาดในระดับดีของอินเดียและเมืองเล็กๆในหุบเขาแบบนี้ ทางรร.มีบริการน้ำร้อนให้อาบในราคาถังละ 50 รูปี โดยยกขึ้นไปส่งให้ถึงห้อง พวกเราส่วนใหญ่ก็ใช้บริการกันถ้วนหน้า ยกเว้นคนที่ไม่อาบน้ำ อากาศที่นี่หนาวเย็นและชื้นมาก ผิดกับอากาศจากเมืองที่เราผ่านมา หน้ามือเป็นหลังมือ ห้องพักมีบริการผ้าห่มอย่างหนาและหนักที่ห่มแล้วอุ่นมากๆ
ก่อนนอนคืนนั้นเราต้องโด๊บสารพัดยาและวิตตามิน เพื่อถนอมร่างกายไว้สำหรับการเดิน 14 กิโลในวันพรุ่งนี้ และนอนหลับไปพร้อมๆกับเสียงสวดมนต์ของชาวซิกส์
ติดตามการเดินทางสู่ The Valley of Flowers ได้ตามนี้
เกริ่นนำ นับถอยหลังสู่ Valley of Flowers ดินแดนในฝัน
ตอนที่ 1 จาก Delhi ถึง Haridwar เส้นทางเริ่มต้นสู่ The Valley of Flowers
ตอนที่ 2 Joshimath ถึง Ghangaria เมืองสุดท้ายก่อนถึง Valley of Flowers
ตอนที่ 3 เดินชมทุ่งดอกไม้ สายธาร ท่ามกลางหุบเขาน้ำแข็ง
ตอนที่ 4 Hemkund Sahib : The Paradise on Earth
ตอนที่ 5 (จบ) สุดท้ายของการเดินทาง
ใครที่ไม่เห็นรูป ลองรีเฟรชหลายๆครั้งนะคะ
Create Date : 07 สิงหาคม 2554 |
Last Update : 1 กันยายน 2554 8:30:21 น. |
|
9 comments
|
Counter : 2946 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: Nie IP: 125.25.14.28 วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:19:48:28 น. |
|
|
|
โดย: Jolly Joey วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:19:59:11 น. |
|
|
|
โดย: woranat IP: 58.9.187.120 วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:20:35:55 น. |
|
|
|
โดย: พี่อ๋อย IP: 118.173.113.162 วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:22:28:26 น. |
|
|
|
โดย: ป้ายุพ IP: 10.249.110.4, 182.255.9.36 วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:10:21:49 น. |
|
|
|
โดย: พี่นุช IP: 118.173.224.101 วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:11:07:14 น. |
|
|
|
โดย: Cookie Nim วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:11:25:58 น. |
|
|
|
โดย: ช่าเองคะ IP: 124.121.75.187 วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:18:59:03 น. |
|
|
|
โดย: เจน IP: 14.207.230.149 วันที่: 9 กรกฎาคม 2558 เวลา:11:22:25 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 71 คน [?]

|
ขอสงวนสิทธิ์ภาพถ่ายทุกภาพในบล็อคนี้
มีหลายๆคนสงสัยว่าทำไมต้อง Cookie Nim (คุกกี้นิ่ม) ที่มาของชื่อนี้มาจากชอบกิน soft cookie มาก หัดทำขนมใหม่ๆก็เริ่มจากเจ้านี่แหละ พอมาเล่นเนทนึกชื่อไม่ออก ก็เลยใช้ คุกกี้นิ่ม ตั้งแต่นั้น หลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำให้มีเวลาว่างทำอะไรๆที่ชอบมากขึ้น ทำขนม ทำสบู่ และทำงานฝีมือ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ชอบนั้นจะไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่ากับเงินเดือนที่เคยได้ แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณผู้มีอุปการะคุณคนเดียวของเรา ซึ่งก็คือ"คุณพ่อบ้าน" นั่นเอง
สำหรับเพื่อนๆที่อยากได้ภาพ หรือบทความในบล็อกนี้ไปใช้ในทางบริสุทธิ์ใจ เช่น อยากนำไปตกแต่งบล็อคของคุณ หรือสูตรขนมไปทำแล้วเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้หาผลประโยชน์ส่วนตน จขบ.ยินดีค่ะ รบกวนแค่อ้างอิงแหล่งที่มาสักหน่อยเท่านั้น
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
แต่ของนี้เป็นม้านั่งนุ่มๆหน้าจอ
ไม่งั๊นก้นคงระบมหมดแน่
พี่ตุ๊กเล่าเรื่องได้อารมณ์ดีจังคะ
รูปก็สวย
จนอยากตามไปด้วยในทริปหน้า แต่รู้ตัวว่าไม่อึดพอ