Leh ดินแดนแห่งขุนเขา และ...วัด - ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด ...I

30 มิย. 2552 - 11.00 น. ได้เวลานัดพบที่สุวรรณภูมิ ปลาและนุ้ย ทีมงานวันแรมทางคอยต้อนรับ ผู้ร่วมทางเริ่มทยอยกันมาไม่นานก็ครบ ก็มีกันอยู่แค่ 9 คนเท่านั้นเอง ทริปนี้ มีผู้นำกรุ๊ปเพียงคนเดียวคือปลา ส่วนนุ้ยเป็นฝ่ายประสานงานและให้กำลังใจอยู่ที่เมืองไทย โชคดีทีไฟล์ทวันนี้ไม่ดีเลย์ เราจึงได้ออกเดินทางและถึงเดลีตรงเวลา
บนเครื่องแอร์อินเดียเสิร์ฟอาหารกลางวันให้ด้วย แอร์โฮสเตสกับสจ๊วท อายุรวมกันปาไปหลายร้อย ลุงแกตลกมากมาถึงก็ถามว่าจะรับอะไรมีฟิชกับชิคเก้น พอสั่งฟิชแกทำท่าทางตลกประกอบพร้อมบอกว่าอยู่บนฟ้าจะจับฟิชที่ไหนมาให้ พอบอกว่าเอาชิคเก้นก็ได้ แกก็ทำท่าทางเป็นไก่ตีปีกประกอบก่อนส่งอาหารมาให้ แต่พอเปิดฟลอยด์ห่ออาหารออกต้องหัวเราะกันอีกรอบเพราะว่าชิคเก้นของลุงกลายเป็นซีฟู้ด เลยไม่รู้ว่าเราฟังภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียไม่เข้าใจหรือว่าลุงแกมั่วกันแน่
ถึงเดลีก็ค่ำแล้ว รถบัสคันใหญ่มารับพวกเรา ขึ้นรถมาได้ไม่นานก็เจอพายุทราย ลมแรงพัดทรายฟุ้งไปทั่วจนแทบไม่เห็นถนนหนทาง แต่เราเห็นแขกเดินกันหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปลาบอกว่าแบบนี้เกิดขึ้นเป็นปกติ พวกเราตกลงกันมุ่งหน้าไปร้านอาหารเพื่อกินอาหารค่ำก่อน แล้วค่อยไปเช็คอินเข้ารร. จะได้ไม่เสียเวลา (อันที่จริงก็หิวกันแล้วล่ะ) กว่าจะถึงร้านอาหารใช้เวลาร่วมชั่วโมงเชียวล่ะ ฝนตกรถติดตามสไตล์บ้านเราเป๊ะ อาหารค่ำมื้อแรกที่อินเดียก็ต้องอาหารแขกสิ วันนี้ปลาพาพวกเราไปกินอาหารแขกในร้านอาหาร ไปถึงยังไม่มีแขกมานั่งกินแม้แต่โต๊ะเดียว สอบถามได้ความว่าอินเดียนเขากินอาหารเย็นกันดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม เวลาบ้านเราก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว อาหารมื้อแรกผ่านได้ด้วยความเอร็ดอร่อย คงเพราะเลยเวลาอาหารเย็นจากเวลาปกติมามากแล้ว และได้ลิ้มรสอาหารรสชาติแปลกใหม่ที่ไม่เคยกินมาก่อน มีบางคนที่กินอาหารแขกไม่ได้ก็ต้องไปพึ่งมาม่าเอายามดึก
 Florence Inn ที่นอนในเดลี
คืนนั้นกว่าเราจะเข้าไปถึงโรงแรมที่พักได้ก็เล่นเอาดึก จนพี่นุชพยาบาลสาวเอ่ยขึ้นมาว่า นอนมันในรถนี่แหละไม่ต้องเช็คอินแล้ว เสียเวลานอน เพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องตื่นกันแต่ตี 3 เพื่อเตรียมตัวบินต่อไปเลห์ เห็นสภาพการจราจรที่เดลีแล้ว คนอยู่กรุงเทพอย่างเราที่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายกับฝนตกรถติด พอมาเห็นที่เดลีแล้วถึงได้รู้ว่าพวกเราชาวกรุงฯยังโชคดีกว่าชาวเดลีมากมายนัก
 Leh - ถ่ายจากบนเครื่องบิน
1 กค. 2552 - 4.00 น พร้อมกันที่ล็อบบี้โรงแรม ทุกคนดูกระฉับกระเฉงดีทั้งๆที่นอนดึกและต้องตื่นแต่เช้า คงด้วยเพราะเพิ่งจะเป็นวันแรกของการเดินทาง ยังตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่จะได้พบ
พวกเราสำรองอาหารเช้าลงท้องกันที่สนามบินนั่นเอง เนื่องจากปลาเกรงว่าถ้าเครื่องเกิดดีเลย์ขึ้นมาไม่รูว่าจะได้กินอาหารเช้ากันกี่โมง(ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆกับอินเดีย) มื้อนี้ก็เลยฝากท้องกันไว้กับ อินเดียน KFC อินเดียนพิซซ่าฮัท(แบบมังสวิรัท) โชคดีเป็นของเราอีกแล้ววันนี้ไฟล์ทไม่ดีเลย์ เราจึงไปถึงเลห์ตามกำหนด
 Leh - ถ่ายจากบนเครื่องบิน
Ladakh เป็นดินแดนทะเลทราย ผู้คนจะใช้ชีวิตอยู่ตามหุบเขาซึ่งมีลำธารที่เกิดจากการละลายของหิมะไหลผ่าน ตามหุบเขาจึงเขียวชอุ่มไปด้วยพืชไร่ นาข้าว และมีชีวิตชีวาจากผู้คนและสัตว์เลี้ยงที่ใช้ชีวิตอยู่ เมื่อมองจากบนเครื่องบินจึงเห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างผืนทรายและความเขียวขจี
 ถนนกลางทะเลทราย
รถจี๊บ 3 คันมารับพวกเราที่สนามบินเลห์ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงแรมที่พัก Lumbini Hotel ดูจากภายนอกก็ธรรมดาๆ แต่พอเดินเข้าไปข้างใน สถานที่โดยรอบดูอบอุ่นเป็นกันเองดี โดยมี welcome drink เป็นชานมร้อนกับคุกกี้ พวกเราได้ห้องพักบนชั้น 3 ของอาคาร กว่าจะเดินขึ้นบันไดถึงห้องได้ก็เหนื่อยหอบ ทั้งๆที่ตอนขึ้นก็หยุดพักเป็นระยะๆ รู้สึกว่าเป็นการขึ้นบันได้ 3 ชั้นที่ใช้เวลานานมาก หน้าห้องพวกเราเป็นระเบียงมีโต๊ะเก้าอี้หวายวางอยู่ 2-3 ตัว มองไปเห็น Shanti Stupa อยู่ลิบๆเบื้องหน้า กะไว้ว่าจะต้องมานั่งจิบกาแฟชมวิวสักหน่อย (แต่จนวันสุดท้ายก็ไม่ได้นั่ง)
 ทางออกสนามบินเลห์
 สวนใน Lumpini Hotel
 วิวจากหน้าห้องพัก
ปลาให้เวลาพวกเราพักผ่อนนอนหลับกันให้เต็มอิ่ม เพื่อให้ร่างกายปรับเข้ากับอากาศเบาบางบนที่สูง (เพราะเมืองเลห์ตั้งอยู่ที่ราบหุบเขาบนความสูงมากกว่า 3000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ประมาณ บ่าย 2 โมงกินมื้อกลางวันแล้วค่อยออกเที่ยวตามโปรแกรม แต่ละคนแยกย้ายกันเข้าห้อง ส่วนเราและคุณพ่อบ้านเข้าไปนอนอยู่ได้ 1 ชม. ก็ชวนกันออกไปเดินเล่นในตัวเมืองเลห์ ช่วงกลางวันแบบนี้อากาศในเลห์กำลังสบายๆ แต่แดดแรงมาก เดินกลางแดดนานๆก็ทำเอาร้อนเหมือนกัน
 ตลาดขายเครื่องประดับใกล้ๆโรงแรม
 ร้านขายผ้าหน้าโรงแรม
 ขายกันแบบนี้เลย
บรรยากาศในเลห์ย่านชุมชนก็มีแต่ร้านขายเสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าคลุมไหล่ที่มาจากแคชเมียร์ ร้านขายเครื่องประดับที่ทำจากหิน โดยเฉพาะเทอควอยซ์ และร้านสารพัดของฝาก แล้วเราก็ได้ของฝากตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง เป็นกระเป๋าหนังกลับที่คนขายบอกว่าเป็นหนังจามรี(ไม่รู้จริงป่าว) ปักลายลูกโซ่ราคาไม่แพงแต่ดูดีเหมาะป็นของฝากพอดี
 แถบใจกลางเมืองจะพบเห็นผักสดๆขายทั่วไปตามบาทวิถ๊

 ขายถั่วและผลไม้แห้ง
เดินครบรอบเมืองก็กลับโรงแรม ด้วยความเคยชินเราก็เดินขึ้นบันไดเพื่อจะเข้าห้องโดยที่ไม่ได้หยุดพักก่อน ตัวเราเองยังหยุดพักเป็นระยะระหว่างขึ้นบันไดเพราะไม่ไหวจริงๆ แต่คุณพ่อบ้านของเรานั้นด้วยความลืมตัว เดินรวดเดียวถึงชั้น 3 พอถึงหน้าห้องคงรู้สึกเหนือยก็นั่งพัก ส่วนเราหันไปเพื่อจะไขกุญแจเข้าห้อง ยังไขไม่ทันเสร็จเราก็เห็นคุณพ่อบ้านตัวเอียงๆเหมือนจะล้มลง เราขยับเเดินไปหายังไม่ทันถึงตัว เขาก็ล้มลงไปนอนและไม่รู้สึกตัวโดยที่ตายังลืมอยู่ เราเองตกใจมากเรียกชื่อเขาดังๆพร้อมกับเอามือลูบตรงหน้าอก พอดีกับหมอต่วนเพื่อนร่วมทริปได้ยินเสียงเราดังจึงเดินออกมาดู แต่ว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร คุณพ่อบ้านเราก็รู้สึกตัว แล้วลุกขึ้นมานั่งแบบงงๆ พี่อ๋อยและหมอต่วนช่วยกันพยุงเข้าไปในห้องเพื่อนอนพัก โชคดีที่เขาลงไปนั่งก่อนและมีเป้สะพายหลังอยู่ก็เลยไม่กระแทกกับอะไร พอนอนพักสักครู่อาการก็ปกติ ถามอาการดูคุณพ่อบ้านบอกว่ามันเหมือนนอนหลับแล้วกำลังฝัน ได้ยินเสียงเราเรียกก็เลยตื่นขึ้นมา หมอต่วนบอกว่าไม่ใช่อาการของเป็นลมเพราะตายังลืมอยู่ ถ้าเป็นลมตาต้องหลับ ปลาบอกว่ามีหลายคนที่วูบเแบบนี้ เพราะลืมตัวทำอะไรเร็วๆ แล้วหายใจไม่ทัน แต่เราว่ามันน่ากลัวมากถ้าเกิดไม่ได้วูบแค่แป๊บเดียวล่ะ เลยเอามาเล่าไว้เผื่อใครจะไปที่อากาศเบาบางจะได้ระวังไว้
 ศาลาอะไรสักอย่าง ตรงทางขึ้น Shati Stupa
หลังอาหารกลางวัน พวกเราเริ่มออกเที่ยว (คนที่วูบไปก็ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น) ที่แรกคือ Shanti stupa อยู่ห่างจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นเจดีย์สันติภาพที่สร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น และทำพิธีเปิดโดยองค์ดาไลลามะเมื่อปี ค.ศ. 1985

พวกเราแทบไม่มีใครชื่นชมกับตัวเจดีย์เลย ทุกคนหันไปสนใจแต่วิวสวยๆตรงหน้าเท่านั้น ชื่นชมกับวิว และถ่ายภาพกันจนอิ่มเอมจึงเคลื่อนขบวนลงมาพร้อมกับสำทับว่าจะกลับมาอีกครั้งเย็นนี้เพื่อดูพระอาทิตย์ตก
 กำลังดื่มด่ำกับวิวตรงหน้า
สถานที่ต่อไปเป็นวัดอะไรจำชื่อไม่ได้แล้ว เพราะไม่ได้อยู่ในโปรแกรม พวกเราได้แต่เดินเข้าไปเที่ยวชมในวัดซึ่งมีบริเวณไม่กว้างมากนัก และเข้าไปไหว้พระข้างในซึ่งไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพโดยใช้แฟรช ข้างในมืดมากๆ ได้ภาพระฆังกับกลองที่พอจะมีแสงรอดลงมาให้ถ่ายภาพได้


 เริ่มนั่งพักกันแล้ว
อีกแห่งเป็นวัดที่จำชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน ชื่อย๊าวยาวและไม่ได้อยู่ในโปรแกรม วัดนี้ทางขึ้นโหดมากมาย มีบันไดหลอกล่อให้เดินตามขึ้นไปเรื่อยๆ กว่าจะขึ้นไปถึงทำเอาเหนื่อยแทบขาดใจ หยุดถ่ายภาพเป็นระยะ เพื่อพักไปในตัว
 โอ๊ย เหนื่อย ขอพักก่อน
 ขึ้นอีก อยากเห็นความงามต้องอดทน


ต่อจากนั้นก็ไปที่ Leh Palace เป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1630 มีลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรรมใกล้เคียงกับพระราชวังโปตาลาในทิเบต คือมีผนังเอียงเข้าหากันทุกด้าน
ตอนนี้พวกเราเริ่มหมดแรงกันแล้ว เพราะแต่ละสถานที่ที่ไปล้วนต้องเดินขึ้นทางชันหรือบันไดสูงๆทุกที่ กับอากาศที่เบาบางทำให้เหนื่อยง่าย กว่าที่ทุกคนจะเดินขึ้นไปถึงก็ใช้เวลาพอควรที่เดียว ดีนะที่คอนเซบของวันแรมทางไม่เร่งรีบ ไม่จำกัดเวลา อยากอยู่ที่ไหนนานเท่าไหร่ ถ่ายรูปกันนานแค่ไหนก็ได้ ถ้าเป็นชะโงกทัวร์อื่นๆ พวกเราคงแทบไม่ได้ไต่ขึ้นไปชมความงามกันหรอก

 หมดแรงแล้วจ้า
 ส่วนคนนี้ยังมีแรงขึ้นต่อ มาแล้วต้องเอาให้คุ้ม เหนื่อยแค่ไหนน้อยทนด้าย
ทั้งๆที่พวกเราหยุดถ่ายภาพกันเป็นระยะ(อันที่จริงก็พักหนื่อยนั่นแหละ) กว่าจะเดินชมกันทั่วและลงมารวมตัวกันที่ด้านล่างก็หมดสภาพแล้ว ตอนนี้อาการแพ้ความสูงของคุณพ่อบ้านเราเริ่มสำแดงอาการอีกครั้ง โครงการชมพระอาทิตย์ตกที่ Shanti stupa เป็นอันเลื่อนไปก่อน

กลับเข้าโรงแรม ต่างคนแยกย้ายไปพักผ่อน และนัดกันลงไปเดินเล่นในตัวเมืองตอนเย็นๆ ส่วนเราและคุณพ่อบ้านขอตัว เพราะเดินแล้วเมื่อกลางวัน และอาการแพ้ความสูงของคุณพ่อบ้านก็ยังไม่ดีขึ้น ขอนอนพักเอาแรงไว้พรุ่งนี้ดีกว่า

มื้อเย็นวันนั้นกินกันตอน 1 ทุ่มครึ่ง หลังจากทุกๆคนกลับจากเดินเล่นและเราได้นอนพักไป 1 งีบ หน้าตาของอาหารเหมือนกับที่ปลาพาไปกินที่ร้านอาหารในเดลี แต่รสชาดนั้นต่างกันพอสมควรทีเดียว มื้อนี้เราเริ่มกินอาหารไม่ค่อยลงแล้ว คงเพราะเหนื่อย และความกดอากาศทำให้ท้องอืดมากๆ คุยๆกันแทบทุกคนจะมีอาการท้องอืดแต่มากน้อยต่างกันไป
เสร็จจากมือค่ำก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ดีหน่อยที่พรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก
ติดตามตอนอื่นๆ Leh ดินแดนแห่งขุนเขา และ...วัด - ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด ...II
Pangong Tso ทะเลสาบพันกอง - พันกอง...จริงๆนะ
Nubra Valley หุบเขาแห่งดอกไม้ ...ไม่ยักกะเห็นดอกไม้
Bye...Nubra Valley...แล้วจะกลับมาตามหาดอกไม้
Kargil ระยะทางสั้นๆแต่ช่างยาวนาน
Sonamarg ดินแดนแห่งเทพนิยาย
จากทะเลสาบดาล (Dal Lake)..สู่..กุลมาร์ค (Gulmarg)
Pahalgam กำเนิดนางเอกหนังแขกดวงใหม่
บอกลาศรีนาการ์ ..ชม นครแห่งรัก - จบการเดินทาง
Create Date : 15 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2552 9:10:01 น. |
|
8 comments
|
Counter : 3731 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: sak (psak28 ) วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:50:49 น. |
|
|
|
โดย: pumorg วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:38:59 น. |
|
|
|
โดย: pumorg วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:40:11 น. |
|
|
|
โดย: Cookie Nim วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:55:15 น. |
|
|
|
โดย: mook (haiti ) วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:05:13 น. |
|
|
|
โดย: เตือนค๊า IP: 124.121.177.198 วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:36:01 น. |
|
|
|
โดย: NieNie IP: 125.25.20.34 วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:00:27 น. |
|
|
|
โดย: ตุ้มเม้ง IP: 58.137.173.50 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:00:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 71 คน [?]

|
ขอสงวนสิทธิ์ภาพถ่ายทุกภาพในบล็อคนี้
มีหลายๆคนสงสัยว่าทำไมต้อง Cookie Nim (คุกกี้นิ่ม) ที่มาของชื่อนี้มาจากชอบกิน soft cookie มาก หัดทำขนมใหม่ๆก็เริ่มจากเจ้านี่แหละ พอมาเล่นเนทนึกชื่อไม่ออก ก็เลยใช้ คุกกี้นิ่ม ตั้งแต่นั้น หลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำให้มีเวลาว่างทำอะไรๆที่ชอบมากขึ้น ทำขนม ทำสบู่ และทำงานฝีมือ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ชอบนั้นจะไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่ากับเงินเดือนที่เคยได้ แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณผู้มีอุปการะคุณคนเดียวของเรา ซึ่งก็คือ"คุณพ่อบ้าน" นั่นเอง
สำหรับเพื่อนๆที่อยากได้ภาพ หรือบทความในบล็อกนี้ไปใช้ในทางบริสุทธิ์ใจ เช่น อยากนำไปตกแต่งบล็อคของคุณ หรือสูตรขนมไปทำแล้วเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้หาผลประโยชน์ส่วนตน จขบ.ยินดีค่ะ รบกวนแค่อ้างอิงแหล่งที่มาสักหน่อยเท่านั้น
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|