Leh ดินแดนแห่งขุนเขา และ...วัด - ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด ...II

2 กค. 2552 - 7.30 น. ได้เวลารวมพลกินอาหารเช้ากัน อาหารเช้าของโรงแรมก็ไม่มีอะไรมาก มีขนมปังปิ้ง ไข่เจียวแบบแบนๆด้านๆ มีอะไรอีกจำไม่ได้แล้ว ดีที่ปลาเตรียมพวกน้ำขิง ซีเรียลแบบชงสำเร็จ คนที่ทานไม่ค่อยได้ก็มีพวกนี้ช่วยไว้
วันนี้เราจะไปดูเทศกาลหน้ากากที่วัดเฮมิส อันที่จริงแล้วเราเองเฉยๆกับเทศกาลหน้ากากนี้นะ อยากมาเที่ยวชมวัด ชมบรรยายกาศแบบสบายๆมากกว่า ใจจริงแล้วอยากมาเลห์ในช่วงเดือนกันยายน เพราะเท่าที่หารายละเอียดดูภาพแล้ว เลห์ช่วงกันยาอากาศกำลังดี ถ่ายรูปสวย แต่จุดขายหรือ High season ของ เลห์คือช่วงเทศกาลหน้ากากนี้ ถ้ารอถึงกันยาก็กลัวว่าจะไม่มีทริปออก
วัดเฮมิส Hemis Monastery เป็นวัดพุทธตันตระนิกายหมวกแดงซึ่งเป็นนิกายดั้งเดิมของศาสนาพุทธสายทิเบต ถูกสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่17โดยพระเจ้าเซงกีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลาดัก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธในอินเดียกำลังล่มสลายเมื่อกองทัพชาวเติร์กได้บุกเข้าสู่อินเดีย ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานทังคาพระปทุมสมภพซึ่งเป็นของเก่าแก่ที่สำคัญมากสำหรับชาวพุทธตันตระซึ่งจะมีพิธีบูชาทังคาทุกๆ12 ปี
 ทางขึ้นวัดเฮมิส
 คุณยายคนนี้แกนั่งสวดมนต์อยู่คนเดียว ขณะที่รอบข้างชุลมุนวุ่นวาย
เส้นทางเข้าวัดเฮมิสเป็นเส้นทางที่สวยมากเส้นทางหนึ่งทีเดียว แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยจะทัน เพราะรถเด้งดึ๋งกระดอนกระเด็นตลอดทาง พอเข้าใกล้เขตวัดเห็นผู้คนคึกคักรถติดกันเป็นทาง ไม่ต่างจากงานวัดบ้านเราเท่าไหร่ บางคนมากางเต็นท์นอนที่เชิงเขาวัดรอเวลา เรามาถึงสายไปหน่อยรถไม่สามารถขึ้นไปส่งถึงที่วัดได้แล้ว พวกเราต้องเดินขึ้นไปอีกตามเคย วันนี้อากาศหนาวเย็นมากๆ เดินๆหยุดๆพักเหนื่อยกันไป โดยที่มีชาวเลห์บ้างชาวต่างชาติบ้างเดินแซงหน้าพวกเราไปหลายคณะ
พอเข้าใกล้ตัววัด สองข้างทางมีร้านขายของตลอดแนว บ้างเป็นอาหารขนม ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว รวมถึงเครื่องประดับ ผู้คนคึกคักเดินกันแน่นทางเดิน จนลืมถ่ายภาพสถานที่ในวัดไปเลย เพราะหันไปทางไหนก็เห็นแต่คน
 ลามะผู้หญิงนั่งรอชมพิธี
 ลามะผู้หญิง พูดคุยทักทายกัน
 ลามะชาย จะนั่งคนละฝั่งกับลามะผู้หญิง
เมื่อเข้าไปภายในวัดพวกเราพยายามสอดส่ายสายตาหาที่นั่งที่ยืนหรือมุมเพื่อชมพิธี แต่เราก็พบว่าไม่ว่าจะเป็นตามระเบียง ทางเดินล้วนแล้วถูกจับจองด้วยเก้าอี๊ทั้งของวัดเองที่จัดไว้ให้แขกวีไอพีที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายในราคาสูง พวกบริษัททัวร์หัวใสส่งคนมาจับจองที่ตั้งแต่ตอนกลางคืน แล้วเอาไว้ขายให้พวกฝรั่ง ในขณะที่คนพื้นเมืองที่ต้องการเข้าร่วมพิธีถูกเบียดบังออกไปนั่งจนไกลจากบริเวณพิธี ทั้งๆที่เป็นเทศกาลที่พวกเขาเลื่อมใสศรัทธา พวกเราได้ที่ยืนตรงทางเดินด้านหลังเก้าอี้ที่พวกบริษัททัวร์จองไว้ให้แขกฝรั่งซึ่งสามารถมองเห็นพิธีกรรมได้ดีพอควร กว่าพิธีจะเริ่มก็อีกร่วมชั่วโมงกว่าๆ แต่พวกเราไม่สามารถไปไหนได้ หากหลุดจากตรงนี้เราก็จะเสียพื้นที่ทันที ขนาดว่ายืนกันอยู่ยังมีพวกทำเนียนทำเป็นจะเดินผ่านให้พวกเราหลบ แล้วก็ยืนยึดพื้นที่กันหน้าตาเฉย
กว่าพิธีจะเริ่มพวกเราก็เริ่มขาแข็ง ปวดหลัง ปวดขากันแล้ว ไหนจะเจออากาศที่หนาวมากๆ ฝนตกพรำๆ จนกลายเป็นปุยน้ำแข็ง บ้างก็เป็นฝนเม็ดใหญ่ๆลงมา แต่เพียงชั่วไม่ถึงชั่วโมงแดดก็ออกเปรี้ยงส่องเข้ามาแบบเต็มๆหน้า ถึงตอนนี้เสื้อและอุปกรณ์กันหนาวเริ่มเกะกะและเป็นภาระ
 ลามะสองรูปถือกระถางธูปออกมาวนรอบพิธี
 อยากเตะก้นไอ้พวกนี้มากเลย
พิธีกรรมเริ่มเมื่อราวๆ 10 โมงกว่าๆ โดยมีลามะสองรูปเดินถือกระถางธูปออกมาวนรอบๆ และมีลามะอีกสองรูปเป่าแตรยาวๆ ถึงตอนนี้พวกเราเริ่มหงุดหงิดกับการจัดการของวัดที่ไม่เป็นระเบียบ ดูเหมือนวัดจะมองพิธีกรรมและการเข้าชมของนักท่องเที่ยวเป็นธุรกิจไปซะแล้ว มีการปล่อยให้เหล่าช่างภาพสื่อมวลชนเข้าไปรุมถ่ายภาพและวุ่นวายอยู่ในเขตพิธีจนผู้คนที่ชมอยู่รอบนอกเห็นแต่ก้นพวกช่างภาพ ช่างภาพบางคนมีการไปจัดท่าทางให้ลามะโพสท่าเพื่อถ่ายภาพแบบไร้มารยาทมากๆ พวกเราคุยกันว่าถ้ามาทำแบบนี้กับพระไทยแกโดนพวกฉันเหยียบแน่ๆ หลังจากนั้นทางวัดคงเริ่มคิดได้จำกัดพื้นที่พวกช่างภาพให้อยู่เป็นที่เป็นทาง พวกเราค่อยคลายความหงุดหงิดไปได้



ชมพิธีกรรมหน้ากากได้เพียง 2 ชุดเริ่มต้น ก็เริ่มไม่ไหวกันแล้ว เพราะยืนกันมากว่า 3-4 ชม. ขาเริ่มแข็งหลังเริ่มปวด จึงตกลงกันว่ากลับออกไปดีกว่า แต่การจะกลับออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เพราะทุกช่องทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนเบียดเสียดเพื่อดูพิธีกรรม กว่าจะฝ่าฝูงชนออกไปได้ก็เล่นเอาสะบักสะบอมกันที่เดียว เจอทั้งแขน ขา เท้า กลิ่น ครบส่วน ระหว่างทางเดินลงจากวัดดีที่คนรถของพวกเรามายืนดักรออยู่ ก็เลยไม่ต้องวนหารถกันอีก แต่ระยะทางจากวัดกว่าจะไปถึงตัวรถก็ไกลเอาการ จากรถของเรายังมีรถจอดต่อไปอีกไกลจนสุดสายตา ทั้งรถบัส รถส่วนตัว รถจี๊บนักท่องเที่ยว รถโดยสาร เรียกว่าคนทั้งเลห์คงมารวมตัวกันอยู่ที่วัดเฮมิสในวันนี้
 คุณยายสุดเท่ห์ นั่งอยู่ท่ามกลางนักท่องเที่ยวฝรั่ง
 คนพื้นเมืองถูกนักท่องเที่ยวเบียดบังพื้นที่จนต้องออกไปนั่งซะไกล
ออกรถได้พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่วัด ธิคเชย์ (Thiksey Monastery) ก่อนเข้าตัววัดหยุดพักกินมื้อกลางวันกันที่ร้านอาหาร โดยมีอาหารกล่องที่ประกอบไปด้วยแซนวิช ที่ข้างในมีเพียงผักกาดหอม แตงกวาและมะเขือเทศ และมีซอสมะเขือเทศให้ 1 ซอง มีไข่ต้ม 1 ฟองเล็กๆ และมันฝรั่งต้ม 1 หัวเล็ก กล้วยหอม 1 ลูก น้ำผลไม้ 1 กล่อง ปลาสั่งซุปผักและแผ่นแป้งปิ้ง(เรียกไม่ถูกเพราะมีหลายแบบหลายชื่อ) มาเสริมให้อีก
 วัดธิคเซย์มุมหนึ่ง เจอเสาไฟ สายไฟบดบังความงาม
 วัดธิคเซย์ มุมยอดฮิต เพราะไม่มีอะไรมาเกะกะสายตา
หลังอาหารก็รีบออกไปเก็บภาพวัดธิคเชย์ตรงหน้าร้านอาหาร ที่จริงแล้วมุมนี้สวยมากเหมาะกับการถ่ายภาพ แต่ด้านล่างนี่สิ เต็มไปด้วยเสาไฟและสายไฟฟ้า เมื่อรถขับเลยไปได้นิดเดียวเราก็เจอมุมโล่งที่ไม่มีเสาไฟมาเกะกะสายตา อ้อ มุมนี้นี่เองที่เราเห็นภาพสวยๆจากหลายๆคน วันนี้แหละเราได้ถ่ายภาพนี้ด้วยมือตัวเองแล้วหลังจากที่ชื่นชมของคนอื่นมานาน
วัดธิคเซย์ ถือเป็นวัดที่สวยงามที่สุดของลาดัก เป็นวัดของนิกายเกลุคปา ภายในวัดมีรูปปั้นของพระศรีอารยะเมตไตรย์ ซึ่งชาวพุทธสายมหายานเชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์ต่อไปที่จะคอยช่วยเหลือมนุษย์
 พระศรีอารยะเมตไตรย์ ในวัดธิคเซย์
 พระศรีอารยะเมตไตรย์
 ซุ้มประตูทางขึ้นวัดธิคเซย์
เราใช้เวลาอยู่ภายในวัดนี้ค่อนข้างนาน เนื่องจากภายในค่อนข้างร่มเย็น ภายในวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปของวัดนี้กว้างกว่าทุกวัดที่เคยไปมาและมีแสงสว่างพอที่จะถ่ายภาพได้อย่างสบายๆโดยไม่ใช้แฟลช ภายในเย็นสบาย พวกเราเลยนั่งมองพระพุทธรูปไป ถ่ายภาพและคุยกันไปจนลืมตัวเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนลามะที่เฝ้าอยู่ต้องส่งสัญญาณให้เงียบๆ ถึงได้ขยับออกมาข้างนอกกันได้ ต่อจากนั้นก็เดินชมภายในบริเวณวัดกันอีกพักใหญ่
 ตัวอาคารภายในวัด
 อาคารภายในวัด
 เหนื่อยแล้วพักก่อน
จากนั้นก็เดินทางต่อสู่เมืองเชย์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของลาดัก โดยแวะเที่ยวที่พระราชวังเชย์ (Shey Palace) สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ Deldan Namgyal เพื่อระลึกถึงผู้เป็นพระบิดา Singge Namgyal กำแพงพระราชวังถูกฉาบด้วยทองคำผสมทองแดงก่อสร้างเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์แห่งลาดัก ภายในมีรูปปั้นของพระศากยมุณีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้
 ทางขึ้น Shey Palace
 ทางขึ้น Shey Palace
 วิวถ่ายจากบน Shey Palace
มาถึงที่นี่เราเริ่มมีอาการหมดแรงแล้ว ชาร์ทแบตอย่างไรก็แทบจะไม่ขึ้น เริ่มมีเสียงโอดครวญลอยมาว่า เดินขึ้นอีกแล้วเหรอ วัดอีกแล้วเหรอ ไหว้พระอีกหรือเปล่าตกลงนี่เป็นทัวร์ไหว้พระ 9 วัดหรือเปล่า ถ้ารถเข้าถึงจ่อหน้าโบสถ์ล่ะก็ใช่เเลย ไหว้พระ 9 วัดอยุธยาแน่ๆ (ที่ลาดักนี้ถึงจะเป็นพระราชวังแต่ภายในก็จะมีวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ อย่างที่เชย์พาเลซนี้วันที่เราไปก็เปิดให้เข้าแค่ในวัดเพื่อไหว้พระ) พี่นุชพยาบาลสาวใสวัยละอ่อนเลยขอตัวรออยู่ข้างล่างดีกว่า ที่นี่ก็ต้องเดินขึ้นทางชัน เป็นระยะทางพอสมควร และยังมีบันไดขึ้นต่อไปอีก กว่าเราจะเดินขึ้นไปถึงบริเวณวัดที่เปิดให้เข้าไปชมได้ก็หมดแรง ดีนะที่ได้นั่งพักพอหายเหนื่อยก็ฮึดลุกขึ้นมาถ่ายรูปได้อีกนิดหน่อย อีกอย่างขาลงไม่ต้องใช้พลังมากเหมือนขาขึ้นแล้ว แต่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ถ่ายภาพได้มากนัก
 กำแพงใน Shey Palace
 กำแพงใน Shey Palace
จากที่นี่พวกเราก็เดินทางกลับโรงแรมกัน เพราะทุกๆคนหมดแรงแล้ว โปรแกรมดูพระอาทิตย์ตกที่ Shati stupa ล้มเลิกอีกแล้ว
กลับถึงโรงแรมพวกเราก็นัดแนะกันว่าเย็นนี้จะไปช็อปปิ้งเสื้อกันหนาวกัน ปลาและน้องตาลไปค้นพบร้านที่ขายของคุณภาพดีและราคาไม่แพง เย็นนั้นพวกเราแห่ไปดูเสื้อร้านนี้กันจนแน่นร้าน ไปถึงก็เจอคนไทย 2-3 คนกำลังต่อรองราคากันอยู่ พวกเราเข้าไปอีกก็เต็มร้านพอดี จนคนขายทำหน้าตกใจว่าจะโดนคนไทยรุมต่อราคาหรือเปล่า รื้อๆค้นๆกันจนเสื้อกันหนาวกองจะท่วมคนขาย ก็ได้เสื้อกันหนาวกันมา 4 คน 5 ตัว ที่เหลือที่ไม่ได้เพราะไม่มีไซส์และสีที่ต้องการ ไม่งั้นก็คงได้กันครบคน สรุปเย็นนี้เราใช้เวลาอยู่ร้านนี้ร้านเดียวร่วม 2 ชั่วโมง แล้วยังหมายมั่นว่ากลับจาก นูบราวาเล่ย์แล้วจะมาอีก
อาหารเย็นวันนี้ก็ไม่ค่อยต่างจากเมื่อวานมากนัก อาการกินไม่ลงของเรายังคงเป็นอยู่ ได้แต่กินพวกซุปและของหวานที่คล่องคอหน่อย ส่วนคนอื่นก็มีที่กินได้บ้างไม่ได้บ้างเหมือนกัน

ติดตามตอนอื่นๆ
Leh ดินแดนแห่งขุนเขา และ...วัด - ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด ...I
Pangong Tso ทะเลสาบพันกอง - พันกอง...จริงๆนะ
Nubra Valley หุบเขาแห่งดอกไม้ ...ไม่ยักกะเห็นดอกไม้
Bye...Nubra Valley...แล้วจะกลับมาตามหาดอกไม้
Kargil ระยะทางสั้นๆแต่ช่างยาวนาน
Sonamarg ดินแดนแห่งเทพนิยาย
จากทะเลสาบดาล (Dal Lake)..สู่..กุลมาร์ค (Gulmarg)
Pahalgam กำเนิดนางเอกหนังแขกดวงใหม่
บอกลาศรีนาการ์ ..ชม นครแห่งรัก - จบการเดินทาง
Create Date : 16 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2552 9:09:15 น. |
|
11 comments
|
Counter : 3632 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: พี่หนิง IP: 125.26.83.36 วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:22:15 น. |
|
|
|
โดย: chadapha วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:34:20 น. |
|
|
|
โดย: Tristy วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:10:12 น. |
|
|
|
โดย: mook (haiti ) วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:3:37:25 น. |
|
|
|
โดย: pumorg วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:7:27:34 น. |
|
|
|
โดย: ตุ้มเม้ง IP: 58.137.173.50 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:09:15 น. |
|
|
|
โดย: อนันต์ครับ วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:57:22 น. |
|
|
|
โดย: Cookie Nim วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:20:30 น. |
|
|
|
โดย: KhunKARN วันที่: 19 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:58:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 71 คน [?]

|
ขอสงวนสิทธิ์ภาพถ่ายทุกภาพในบล็อคนี้
มีหลายๆคนสงสัยว่าทำไมต้อง Cookie Nim (คุกกี้นิ่ม) ที่มาของชื่อนี้มาจากชอบกิน soft cookie มาก หัดทำขนมใหม่ๆก็เริ่มจากเจ้านี่แหละ พอมาเล่นเนทนึกชื่อไม่ออก ก็เลยใช้ คุกกี้นิ่ม ตั้งแต่นั้น หลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำให้มีเวลาว่างทำอะไรๆที่ชอบมากขึ้น ทำขนม ทำสบู่ และทำงานฝีมือ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ชอบนั้นจะไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่ากับเงินเดือนที่เคยได้ แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณผู้มีอุปการะคุณคนเดียวของเรา ซึ่งก็คือ"คุณพ่อบ้าน" นั่นเอง
สำหรับเพื่อนๆที่อยากได้ภาพ หรือบทความในบล็อกนี้ไปใช้ในทางบริสุทธิ์ใจ เช่น อยากนำไปตกแต่งบล็อคของคุณ หรือสูตรขนมไปทำแล้วเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้หาผลประโยชน์ส่วนตน จขบ.ยินดีค่ะ รบกวนแค่อ้างอิงแหล่งที่มาสักหน่อยเท่านั้น
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|