|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ภูมิปัญญาตะวันออกฝ่า "มรสุม" โลกาภิวัตน์ (3)...ยุค ศรีอารยะ
มีบทความของอาจารย์เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณที่ดูน่าสนใจเป็นบทวิเคราะห์ประเทศจีนที่อาจารย์ได้เดินทางไปมาระยะหนึ่ง และได้ให้มุมมองที่น่าสนใจไว้ บทความสองตอนแรกจะนำมาลงอีกครั้งนะครับ ค่อนข้างยาวและไม่แน่ใจว่าจะอ่านกันไหวหรือเปล่า ลงไว้ใน นสพ.ผู้จัดการรายวันฉบับวันพุธ
อาจารย์เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ เป็นอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสูงมากในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เป็นผู้ก่อตั้งสภาหน้าโดมร่วมกับเสกสรรค์ ประเสริฐกุลและเพื่อนพ้อง อันนำไปสู่การแสวงหาทางภูมิปัญญาในยุคนั้นและทำให้นักศึกษาหันกลับมาศึกษาปัญหาของบ้านเมืองและนำมาสู่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ในที่สุด
=================================
ภูมิปัญญาตะวันออก ฝ่า "มรสุม" โลกาภิวัตน์ (3) โดย ยุค ศรีอาริยะ 12 ตุลาคม 2548 19:27 น. แผ่นดินไหวใหญ่ทางสังคม คำว่า "แผ่นดินไหว" ในที่นี้เป็นคำเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพว่า เวลาเกิดแผ่นดินไหว เกิดจากพื้นที่หรือแผ่นดินบางส่วนถูกยกขึ้น ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งทรุดตัวลง ถ้าตีความทางสังคมศาสตร์ก็คือ การเปลี่ยนผ่านอารยธรรม กล่าวคือ เกิดปรากฏการณ์ที่ระบบ หรือศูนย์อารยธรรมในพื้นที่หนึ่งทรุดตัวลง ในขณะเดียวกัน ศูนย์อารยธรรมในอีกพื้นที่หนึ่ง พัฒนารุ่งเรืองขึ้น หลังจากนั้น ก็เกิดการเผชิญหน้าระหว่างศูนย์อารยธรรมต่างๆ และสงคราม เหตุการณ์การเปลี่ยนผ่านในลักษณะเช่นนี้ปรากฏขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก ถ้าเราย้อนประวัติศาสตร์โลก ระบบโลกที่ผ่านมาเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ทางสังคมปรากฏขึ้น 2 ครั้ง ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวครั้งแรกเกิดขึ้นก่อนเกิดสงครามครูเสด อะไร คือสาเหตุแห่งแผ่นดินไหว ช่วงประมาณ ค.ศ. 600 ถึง 700 จักรวรรดิโรมันเริ่มเสื่อมอำนาจลง เดิมทีจักรวรรดิโรมันมีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในพื้นที่และดินแดนย่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งรวมถึงตะวันออกกลาง ตอนเหนือของแอฟริกา และยุโรปมายาวนานนับร้อยๆ ปี ในขณะที่ โรมันเสื่อมอำนาจ พอถึงช่วงประมาณ ค.ศ. 622 ถึง 750 อาณาจักรมุสลิมซึ่งมีศูนย์อยู่ที่ตะวันออกกลางเริ่มเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ กองทัพมุสลิมได้ขยายอำนาจยึดครองเหนือตะวันออกกลางทั้งหมดและขยายอำนาจไปถึงยึดครองอัฟกานิสถาน อาร์เมเนีย แอฟริกาเหนือ และบางส่วนของยุโรป อย่างเช่น สเปน ในช่วงนี้ ระบบโลกแบ่งออกเป็น 3 ภูมิรัฐศาสตร์ใหญ่ มีจีน และอินเดียอยู่ด้านตะวันออก มีชาติอาหรับ หรือมุสลิมอยู่ตรงกลาง (ตะวันออกกลาง) และมีโรมันและยุโรปอยู่ด้านตะวันตก มองในแง่นี้ อาณาจักรมุสลิมซึ่งตั้งอยู่ตะวันออกกลางจึงมีฐานะเป็นศูนย์ของตลาดและของวัฒนธรรมโลกในสมัยนั้น พ่อค้าชาวยุโรปจะเดินทางมาค้าขายในเอเชีย หรือพ่อค้าชาวจีนและชาวอินเดียจะไปค้าขายในย่านเมดิเตอร์เรเนียน และยุโรป จะต้องผ่านเขตมุสลิม หรือโลกอาหรับ จักรวรรดิมุสลิมจึงมีฐานะที่เป็นศูนย์อารยธรรมใหม่ของโลก ที่เบียดขับความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันลงไปเรื่อยๆ ในสมัยนั้น แม้แต่เมืองเยรูเซเลม (Jerusalem) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาคริสต์ ก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมุสลิม กล่าวแบบสรุป ในช่วงนี้ได้เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินไหวทางสังคมขึ้น เนื่องจากจักรวรรดิโรมันเสื่อมถอย และถูกท้าทาย เนื่องจากการขยายตัวของอาณาจักรมุสลิม สงครามจึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เริ่มต้นจาก ค.ศ. 1095 สันตะปาปาเออร์บานที่ 2 ได้ประกาศสงครามครูเสด โดยสั่งให้เคลื่อนกำลังรบจากยุโรป เข้าตีจักรวรรดิมุสลิม และเข้ายึดครองกรุงเยรูซาเลม รบกันประมาณ 7 ครั้งใหญ่ ยาวนานเกือบ 200 ปี มาสิ้นสุดประมาณปี 1291 กล่าวแบบสรุปคือ แม้ว่ากองทัพอัศวินจากยุโรปจะยึดกรุงเยรูซาเลมได้ แต่ก็รักษาไว้ไม่ได้ ในที่สุดก็พ่ายแพ้สงครามอย่างยับเยิน ถึงอย่างไรสงคราม "โลก" ครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์ยุโรป ส่งผลทำให้ยุโรปย่างก้าวเข้าสู่ยุคทุนนิยม เนื่องจาก สงครามครั้งนี้มีส่วนทำให้ระบบศักดินาในยุโรปสิ้นสลายลง เพราะบรรดาขุนนาง และอัศวินจำนวนมาก รวมทั้งกำลังรบต้องเสียชีวิตหลายแสนคนในช่วงสงคราม บางครั้ง ยกกำลังรบไปนับแสน แต่เกือบไม่มีใครได้กลับมาเลย อย่างเช่นใน ค.ศ. 1212 กำลังกองทัพเยาวชนจากฝรั่งเศส และเยอรมนีประมาณ 50,000 คน ต้องจบชีวิตด้วยการอดตาย ที่เหลืออยู่ทั้งหมดก็ต้องถูกจับ และตกเป็นทาส การพังลงของระบบศักดินาในยุโรปได้กลายเป็น "เงื่อนไข" หรือที่มาของการขยายตัวของระบบการค้า เกิดชนชั้นพ่อค้า และเกิดเมืองการค้าขึ้น รวมทั้งการเกิดขึ้นของรัฐขนาดใหญ่ที่ทำการค้าซึ่งกลายเป็นที่มาของอารยธรรมทุนนิยมในปัจจุบัน ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวครั้งที่ 2 ก่อตัวขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจาก ค.ศ. 1900 จักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งเคยถือว่าเป็นศูนย์ของอารยธรรมทุนนิยมโลก และเป็นศูนย์ของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มเสื่อมอำนาจลงด้วยสาเหตุหลายประการ ประการแรก คือ การสูญเสียเขตแดนที่เคยเป็นอาณานิคม เริ่มจากสหรัฐอเมริกาซึ่งสามารถต่อสู้เพื่อแยกเป็นอิสรภาพจากอังกฤษ หลังจากนั้น อำนาจเหนืออาณานิคมของอังกฤษก็เริ่มเสื่อมทรุดตัวลงอีก ในที่สุดจักรวรรดิอังกฤษต้องยอมให้อิสรภาพแก่แคนาดาใน ค.ศ. 1867 และต้องยอมให้อิสรภาพแก่ออสเตรเลียใน ค.ศ. 1901 พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การลุกขึ้นสู้เพื่อเอกราชของบรรดาประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้หันไปคุกคามความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษ ประการต่อมา ถ้ามองในแง่เศรษฐกิจ เยอรมนีและอเมริกาเริ่มกลายเป็นคู่แข่ง และแซงหน้าประเทศอังกฤษในฐานะผู้นำเหนืออุตสาหกรรมโลก แต่เราจะยิ่งเห็นภาพแผ่นดินไหวชัดเจนขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งอังกฤษ และเยอรมนี รวมทั้งยุโรปทั้งหมดเกิดการทรุดตัวลงอย่างหนัก เพราะต้องเผชิญผลกระทบโดยตรงจากการทำสงคราม แม้ว่าอังกฤษคือผู้ชนะ แต่ผู้ชนะที่แท้จริงคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมสงครามด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ สหรัฐอเมริกาจึงกลายเป็นผู้รับผลพวงแห่งความรุ่งเรืองจากสงคราม จากการขายอาวุธสงคราม และการให้เงินกู้ จนเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างไม่มีใครคาดถึงมาก่อน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จาก ค.ศ. 1925 ถึง ค.ศ. 1929 กิจการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาขยายตัวจาก 183,900 แห่งเป็น 206,700 แห่ง เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่สู่ระบบอุตสาหกรรมหนัก เริ่มจากรถยนต์ และรถไฟ รวมทั้งการสร้างถนนที่เรียกว่า Super Highway เชื่อมต่อประเทศอเมริกาทั้งประเทศเข้าด้วยกัน ค.ศ. 1929 Ford และ General Motor กลายเป็น 2 บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับแนวหน้าของโลกที่ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว ประมาณ ค.ศ. 1926 บรรษัททั้งสองสามารถผลิตรถยนต์ออกขายมีจำนวนประมาณกว่า 4 ล้านคัน ในเวลาเดียวกัน ก็เกิดการปฏิวัติด้านการสื่อสาร นั่นคือการสร้างและขยายตัวของวิทยุกระจายเสียง และกิจการหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุเริ่มจาก 1 สถานี ใน ค.ศ. 1920 มาเป็นกว่า 500 แห่ง ใน ค.ศ. 1923 แต่ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการปฏิวัติด้านอุตสาหกรรมและการสื่อสาร ก็คือการปฏิวัติด้านการเงินของระบบโลก ศูนย์การเงินของโลกค่อยๆ เคลื่อนย้ายจากตลาดลอนดอนมาสู่ตลาดนิวยอร์ก ค.ศ. 1924 Index ตลาดหุ้นอยู่ที่ 106 พอสิ้น ค.ศ. 1927 เพิ่มเป็น 245 จุด ในขณะที่ GNP ของอเมริกาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ทำสถิติประวัติศาสตร์อเมริกา ใน ค.ศ. 1929 ปีเดียวกันนี้ มีบรรษัทยักษ์ใหญ่เกิดขึ้นใหม่อีก 140 แห่ง ที่สำคัญใน ค.ศ. 1929 นี้เอง ก็เป็นปีที่เกิดการแตกตัวของฟองสบู่ จนเกิดปรากฏการณ์โลกที่เรียกว่า The Great Depression ถ้าผู้อ่านตามเหตุผลข้างต้น ก็จะรู้ว่า เบื้องหลัง The Great Depression คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบโลก หรือการย้ายศูนย์ระบบโลกจากยุโรปมาสู่ทวีปอเมริกา ผลที่ตามมาคือ อเมริกาเท่านั้นกลายเป็นแหล่งเดียวที่เศรษฐกิจขยายตัว และเป็นแหล่งสร้างกำไร และเนื่องจากอเมริกาเป็นแหล่งเศรษฐกิจใหม่ พร้อมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วอย่างยิ่ง แต่การขยายตัวของอเมริกาอย่างรวดเร็วได้มีส่วนดึงเอา "ทุน" หรือเงินจำนวนมหาศาลจากจุดอื่นๆ โดยเฉพาะจากยุโรปมาลงที่อเมริกา ผลที่ตามมาก็คือ เศรษฐกิจโลกในจุดอื่นๆ หดตัว หรือพูดอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ ยุโรปไม่สามารถฟื้นตัวจากสงครามได้ (เศรษฐกิจยุโรปในช่วงนั้นขยายตัวแค่ 1 ถึง 1.3 เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่ ระบบเศรษฐกิจอเมริกาขยายตัวประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อการผลิตของอเมริกาขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ก็นำสู่สภาวะช็อกใหญ่เพราะตลาดโลกไม่สามารถรองรับสินค้าจากอเมริกาได้ สภาวะช็อกใหญ่ของเศรษฐกิจจริง คือที่มาของการแตกของฟองสบู่ หลังฟองสบู่แตก ประเทศในยุโรปพยายามดิ้นรนให้พ้นวิกฤต (The Great Depression) ก็ต้องหันไปใช้ยุทธศาสตร์สงครามกระตุ้นเศรษฐกิจ(อุตสาหกรรมอาวุธ) ซึ่งเป็นที่มาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ประวัติศาสตร์โลกสอนเราว่า ระบบโลกมีการเปลี่ยนผ่านที่รุนแรงเป็นช่วงๆ และเคลื่อนตัวแบบก้าวกระโดด หรือปฏิวัติเป็นระยะๆ ก่อนเกิดสงคราม หรือการเปลี่ยนใหญ่จะเริ่มจากศูนย์ของระบบอารยธรรมโลกเก่าเริ่มพังตัวก่อน และเกิดการท้าทายจากศูนย์อารยธรรมใหม่ที่ก่อตัวขึ้นอีกจุดหนึ่งของโลก ในที่สุด ความ "สำเร็จ" หรือความยิ่งใหญ่ของศูนย์โลกใหม่จะนำไปสู่การเผชิญหน้า และกลายเป็นที่มาแห่งสงคราม ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวในยุคโลกาภิวัตน์ ปีที่แล้ว เจอเพื่อนรักคนหนึ่งเพิ่งกลับมาจากเซี่ยงไฮ้ บอกผมว่า "คุณยุคต้องรีบเดินทางไปจีน เดี๋ยวนี้เมืองเซี่ยงไฮ้ได้กลายเป็นมหานครของโลกไปแล้ว" ประมาณเดือนที่ผ่านมา ผมเดินทางไปปักกิ่งเพื่อดูด้วยตาตัวเองว่า จีนพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วขนาดไหน คำตอบที่ผมได้คือ รวดเร็วอย่างยิ่ง จนยากที่ใครจะคาดถึง ทำไมจีนถึงประสบความสำเร็จ ผมได้พยายามอธิบายคำตอบส่วนหนึ่งในงานเรื่อง จีน : มังกรผงาดฟ้า ไปแล้ว แต่ก่อนจะพบถึงความยิ่งใหญ่ของจีน ขอย้อนประวัติศาสตร์ไปหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงนี้ ระบบโลกได้ก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมหนักและระบบโลกแบ่งออกเป็น 2 ค่ายซึ่งดุลอำนาจกันอย่างพอดี ค่ายหนึ่งเรียกว่า ทุนนิยม และอีกค่ายหนึ่งเรียกว่า สังคมนิยม นับจากช่วงหลังสงครามโลกประมาณ ค.ศ. 1950 ถึง 70 อารยธรรมทั้งแบบทุนนิยม และสังคมนิยม รวมทั้งแบบรัฐสังคมสวัสดิการ (กึ่งทุนนิยม และกึ่งสังคมนิยม) ได้ขยายตัว และแพร่ระบาดไปทั่วโลก ไม่มีใครคาดว่า พอถึงวันนี้ระบบโลกที่เคยดุลอำนาจกัน และขยายตัวอย่างต่อเนื่องเริ่มทรุดตัว ค่ายทุนนิยมเริ่มทรุดตัวก่อน เริ่มจากสหรัฐอเมริกา การแพ้สงครามที่เวียดนามประมาณปี 1970 หลังจากนั้นเล็กน้อย ค่ายสังคมนิยมก็เกิดการแตกขั้ว (ระหว่างจีนกับรัสเซีย) พอถึงช่วงก่อน ค.ศ. 1990 เล็กน้อยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ จักรวรรดิโซเวียตพ่ายแพ้สงครามที่อัฟกานิสถาน และเริ่มล่มสลาย ในเวลาเดียวกัน ค่ายทุนนิยมภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัว (1985 ถึง 2000) ด้วยการปฏิวัติเทคโนโลยีใหม่ (คอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร) หลังจากรัสเซียล่มสลาย ชนชั้นนำสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะบุช (พ่อและลูก) หวังว่า การล่มสลายครั้งนี้จะนำมาซึ่งระบบการเมืองโลกใหม่ หรือที่เรียกว่า New World Order ภายใต้การนำเดี่ยวของสหรัฐอเมริกาเหนือระบบโลกทั้งหมด บุช (ลูก) จึงประกาศนโยบายผู้นำเดี่ยวเหนือระบบโลก หลังขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คาด เนื่องจากระบบโลกเริ่มแตกตัวเป็น 3 ค่าย ค่ายหนึ่งคือ อเมริกา ค่ายสองคือ ยุโรป และอีกค่ายหนึ่งคือ จีน เพื่อสถาปนาอำนาจเดี่ยวเหนือระบบโลก และแก้วิกฤตฟองสบู่แตก ค.ศ. 2001 ชนชั้นนำอเมริกาได้ขยายอำนาจสู่ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก หวังยึดแหล่งน้ำมันของโลกทั้งสองแหล่งไว้ในมือ โดยอ้างเหตุที่เกิดการถล่มตึก World Trade ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามคาด ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาต้องติดกับ "สงคราม" ทั้งในอัฟกานิสถานและอิรัก กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ จักรวรรดิอเมริกากลับตกอยู่ในฐานะเดียวกับจักรวรรดิอังกฤษประมาณช่วง ค.ศ. 1900 ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ใครจะคิดว่า..... วันนี้จักรวรรดิอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ มีทั้งฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงอย่างยิ่ง มีกองทัพที่ทันสมัยที่สุด และมีเทคโนโลยีสูงสุด กำลังจะเสื่อมทรุดอย่างรวดเร็ว ในทางเศรษฐกิจ จักรวรรดิอเมริกาได้พลิกจากประเทศเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในช่วง ค.ศ. 1980 กลับกลายเป็นประเทศที่ต้องตกเป็นหนี้มากที่สุด ในช่วง ค.ศ. 2000 นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในระบบการเงินโลก เกิดการขาดดุลแฝด (Twin Deficits) ด้วยตัวเลขมหาศาล ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ถึงปีละ 500,000 ถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 5 ถึง 6 เปอร์เซ็นต์ของ GNP และขาดดุลงบประมาณอีก 400,000 ถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ นี่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอีกเช่นกัน
Create Date : 17 ตุลาคม 2548 |
Last Update : 22 ตุลาคม 2548 16:01:43 น. |
|
11 comments
|
Counter : 620 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:11:59:39 น. |
|
|
|
โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:13:20:45 น. |
|
|
|
โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:13:21:08 น. |
|
|
|
โดย: สำเภางาม IP: 61.91.229.234 วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:15:00:38 น. |
|
|
|
โดย: erol วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:23:37:31 น. |
|
|
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 18 ตุลาคม 2548 เวลา:7:06:09 น. |
|
|
|
โดย: เหมยหลีง IP: 61.19.33.50 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:17:22 น. |
|
|
|
โดย: ซูเนโอะ IP: 125.24.74.80 วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:16:22:44 น. |
|
|
|
โดย: นายธรรม์สรรค์ สุกไกรรักษ์ 0813 IP: 180.180.141.35 วันที่: 21 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:51:03 น. |
|
|
|
|
|
|
|
วันนี้เขียนยาวจัง กำลังง่วงๆน่ะค่ะ ขออนุญาต มาอ่านทีหลังนะคะ
ขืนอ่านตอนนี้ ตาคงปิดแน่ๆค่ะ
รูปพระอาทิตย์ขึ้นสวยดีนะคะ