|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Timorization : มองเขา-คิดถึงเรา
วันนี้นำบทความของอาจารย์สุรชาติ บำรุงสุขที่เขียนลงใน นสพ.รายสัปดาห์มติชนมาลงให้อ่านกันเกี่ยวกับปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แนะนำผู้เขียน : อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุขเป็นคนเดือนตุลาอีกคนหนึ่ง ปัจจุบันสอนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเชี่ยวชาญด้านการทหารและอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่าง ๆ
Timorization :มองเขา-คิดถึงเรา!
โดย ดร. สุรชาติ บำรุงสุข
"ถ้ารบด้วยวิธีการรับทางยุทธศาสตร์นั้น โดยทั่วไปมักจะเลี่ยงการรบแบบแตกหักที่เสียเปรียบก่อน จนเมื่ออยู่ในสภาพที่ได้เปรียบแล้ว จึงเริ่มแสวงหาการรบแตกหัก"
ประธานเหมา เจ๋อ ตุง กล่าวอ้างถึงคำสอน
ของนักการทหารต่างประเทศ
ธันวาคม 1936
มองเปรียบเทียบ
การต่อสู้เรียกร้องเอกราชเพื่อก่อตั้งประเทศใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่เดิมนั้นจะมีอยู่ 3 กรณีที่สำคัญได้แก่ การเรียกร้องเอกราชของชนมุสลิมในมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ การต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวติมอร์ตะวันออก และการจับอาวุธลุกขึ้นสู้ของชาวอาเจะห์ประเทศอินโดนีเซีย
จากกรณีทั้งสาม จะเห็นได้ว่ามีเพียงกรณีของชาวติมอร์ตะวันออกเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จในการก่อตั้งประเทศติมอร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศล่าสุดในอาเซียน ส่วนในอีกสองกรณีคือ การต่อสู้ในมินดาเนาและในอาเจะห์นั้น ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ดังนั้น หากพิจารณาเปรียบเทียบเพื่อสร้างสิ่งที่วงการวิชาการเรียกว่า comparative perspectives หรือ "ทัศนะเชิงเปรียบเทียบ" แล้ว ก็น่าสนใจที่จะนำเอากรณีทั้งสามในข้างต้นมาพิจารณาคู่ขนานกับปัญหาการต่อสู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย แม้จะมีเพียงกรณีของติมอร์ตะวันออกเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการเรียกร้องเอกราช แต่ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว (หรือยังไม่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน) ก็น่าจะมีส่วนทำให้เกิดข้อพิจารณาเชิงเปรียบเทียบ เพราะจะคิดง่ายๆ ว่า ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีลักษณะเฉพาะ จนไม่เหมือนกับปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นไม่ได้
เพราะการมีทัศนคติในลักษณะเช่นนั้น จะทำให้การมองปัญหาของผู้คนในรัฐและสังคมไทย ติดกับอยู่ในความเป็น "ลักษณะเฉพาะ" จนมองไม่เห็นการคลี่คลายและความเป็นไปในเชิงเปรียบเทียบ
นอกจากนี้ การขาดทัศนะเชิงเปรียบเทียบ จะทำให้เราขาดการมีสำนึกต่อปรากฏการณ์ในลักษณะของบทเรียนที่ต้องรับรู้ (และเรียนรู้ด้วย) หรือที่ภาษาอังกฤษในทางทหารชอบใช้คือ "lessons learned" กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การขาดทัศนะดังกล่าว จะทำให้สิ่งที่ควรจะรับรู้ในความเป็นบทเรียนนั้น กลายเป็น "บทลืม" (หรือผู้เขียนอยากจะเรียกว่าเป็น "iessons unlearned") ที่ถูกปล่อยให้ผ่านเลยไปกับการเดินทางของเวลา และจนวันหนึ่งปัญหาดังกล่าวสามารถขยายตัว จนกลายเป็น "วิกฤตแห่งชาติ" ได้โดยง่าย เช่นที่เคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศอื่น
ดังปัญหาติมอร์ในกรณีของอินโดนีเซีย ที่ขบวนการเรียกร้องเอกราช ซึ่งมีกำลังพลอันไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความเข้มแข็งทั้งปริมาณและคุณภาพของกองทัพอินโดนีเซียเลย แต่ทำไมพวกเขาจึงสามารถประสบความสำเร็จในการต่อสู้ดัง "แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์" จนนำไปสู่การก่อตั้งประเทศติมอร์ได้
การพิจารณาเปรียบเทียบเช่นนี้อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ อันจะนำไปสู่การสร้าง "องค์ความรู้" ในการแก้ปัญหา และเพื่อให้ตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่กำลังเดินทางมารอรัฐและสังคมไทยอยู่ข้างหน้า
Timor Model
สืบเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในโปรตุเกสในเดือนเมษายน 1974 ทำให้อำนาจของรัฐบาลโปรตุเกสในการปกครองดินแดนในอาณานิคมของตนต้องอ่อนแอลง และผลจากการนี้ นำไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่มต่างๆ ในติมอร์ตะวันออก จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองขนาดย่อมขึ้น และพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายคือพรรคเฟติลิน (FRETILIN) ได้ใช้ในโอกาสนี้ประกาศเอกราชในเดือนพฤศจิกายน 1975
รัฐบาลอินโดนีเซียเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการประกาศเอกราช ก็ตัดสินใจส่งกำลังเข้ายึดครองติมอร์ตะวันออกในวันที่ 7 ธันวาคม 1975 และประกาศการผนวกดินแดนส่วนนี้เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศในวันที่ 14 สิงหาคม 1976 ซึ่งส่งผลให้ขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชทั้งหลาย หันไปสู่การทำสงครามกองโจรในชนบทต่อสู้กับการยึดครองของกองทัพอินโดนีเซียในเวลาต่อมา
สงครามกลางเมืองในติมอร์ตะวันออกดำเนินไปอย่างรุนแรง และจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่สำคัญก็คือ การยกระดับของปัญหาการต่อสู้นี้ให้เข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวทีของสหประชาชาติ ประกอบกับขบวนการต่อสู้มีลักษณะที่ชัดเจนทั้งในแง่ขององค์กรและผู้นำ ไม่ได้อยู่ในสถานะของการเป็นองค์กรปิด ที่ไม่รู้ว่าใครคือผู้นำ หรือขบวนการใดเป็นองค์กรนำ
แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่สามารถขยายวงกว้างได้ในเวทีสากล เพราะปัญหานี้ผูกพันอยู่กับเงื่อนไขของสงครามเย็น ที่สหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตก ยังคงให้ความสนับสนุนรัฐบาลทหาร เพราะยุทธศาสตร์ถูกวางน้ำหนักไว้กับการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ภายในอินโดนีเซีย
แต่ความสำเร็จที่สำคัญก็คือ เมื่ออินโดนีเซียต้องประสบกับปัญหาทางวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 1997 ทำให้ฐานะของรัฐบาลทหารต้องอ่อนลงอย่างมาก จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา ซึ่งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือภาพสะท้อนถึงการเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลตะวันตกต่ออินโดนีเซียด้วย
กล่าวคือ รัฐบาลตะวันตกที่เคยสนับสนุนรัฐบาลทหารให้สู้กับคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น ได้หันไปสนับสนุนกลุ่มประชาธิปไตย และต้องการเห็นการเมืองอินโดนีเซียเป็น "การเมืองเปิด" ในยุคหลังสงครามเย็น (สงครามเย็นยุติในเวทีระหว่างประเทศในปี 1989/1990)
ในอีกด้านหนึ่ง การหันไปสนับสนุนให้เกิดขบวนการประชาธิปไตยเช่นนี้ ทำให้ตะวันตกหันไปสนับสนุนการให้เอกราชแก่ติมอร์ตะวันออกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งภาพเหล่านี้ถูกนำไปสร้าง "ภาพลบ" ของรัฐบาลอินโดนีเซียในเวทีสากลจนรัฐบาลอินโดนีเซียตกเป็น "จำเลย" อย่างหนักและไม่อาจแก้ตัวได้เท่าใดนัก
ตัวแบบของความสำเร็จจากกรณีติมอร์ตะวันออก ซึ่งอาจจะเรียกว่า "Timor Model" ชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องของการใช้กำลังอาวุธ เพราะดังได้กล่าวแล้วว่านักรบกองโจรในติมอร์ตะวันออกเทียบไม่ได้เลยกับกองทัพอินโดนีเซีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยุทโธปกรณ์ หรือขีดความสามารถในการรบก็ตาม
แต่สิ่งที่ขบวนการเรียกร้องเอกราชมีความเหนือกว่ารัฐบาลอินโดนีเซียก็คือ การใช้การเคลื่อนไหวในเวทีระหว่างประเทศเป็นดั่ง "อำนาจกำลังรบทวีคูณ" โดยใช้กิจกรรมที่ในภาษาความมั่นคงร่วมสมัยเรียกว่า "ปฏิบัติการสารสนเทศ" กระทำกับรัฐบาล และทั้งยังอาศัยการเคลื่อนไหวและการสนับสนุนจากกลุ่ม NGOs ระหว่างประเทศ เช่น
การใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนที่เกิดจากการปฏิบัติการอย่างสุดโต่งของทหารบางหน่วย หรือจุดอ่อนจากความเชื่อของบางคนที่มองว่า การใช้มาตรการรุนแรงจะช่วยทำให้นักรบกองโจรเกิดความกลัว หรือในขณะเดียวกันก็เป็นการบอกแก่ประชาชนให้ยุติการให้ความร่วมมือกับกลุ่มกองโจร
ผลในความเป็นจริงดูจะแตกต่างจากความคาดหวังดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง การกระทำด้วยมาตรการตอบโต้เช่นนี้ ทำให้ประชาชนยิ่งออกห่างจากรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ชาวบ้านในพื้นที่มองว่า ทหารอินโดนีเซียเป็นภัยคุกคามมากกว่าบรรดานักรบกองโจร ซึ่งหากพิจารณาย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของสงครามการก่อความไม่สงบแล้ว สิ่งที่เป็นมาตรการ "ไม้แข็ง" ที่รัฐบาลอินโดนีเซียใช้ในติมอร์ตะวันออก ก็ไม่แตกต่างกับสิ่งที่กองทัพฝรั่งเศสเคยใช้ปฏิบัติการในแอลจีเรีย หรือโครงการฟีนิกซ์ของหน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกาที่ใช้ในเวียดนามใต้มาแล้ว
ผลด้านกลับของปฏิบัติการในลักษณะเช่นนี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่มองว่า รัฐเป็นศัตรูของพวกเขาไปโดยปริยาย เพราะรัฐเองก็มักจะอ่อนด้อยในการตอบโต้การโฆษณาทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม และยิ่งฝ่ายตรงข้ามสามารถยกระดับของปัญหาให้ขึ้นสู่เวทีนานาชาติ ด้วยการโฆษณาที่มุ่งเน้นประเด็นในเรื่องของการปราบปราม และการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้ว รัฐบาลอินโดนีเซียก็ยิ่งเป็น "ผู้ร้าย" ในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศ
จนแม้คำชี้แจงของรัฐบาลก็จะถูกต่อต้านว่าเป็นเพียง "การแก้ตัว" เท่านั้นเอง
บทสรุป
ดังนั้น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นได้ว่า "ตัวแบบติมอร์" ใช้การเคลื่อนไหวทางการทหารเป็นจุดเปิด และไม่ต่างอะไรกับการล่อให้รัฐบาลอินโดนีเซียใช้กำลังทหารที่เหนือกว่าเข้าปราบปราม เพราะจิตวิทยาความมั่นคงของรัฐทั้งหลายนั้น ไม่แตกต่างกัน ที่จะต้องตอบโต้กับปัญหาความรุนแรงที่คุกคามรัฐด้วย ความรุนแรงที่มากกว่า โดยหวังว่าจะสยบปัญหาเช่นนี้ได้ในเบื้องต้น เพราะข้าศึกเป็นเพียงกองโจรที่ไม่ได้มีจำนวนอะไรมากนักโดยไม่ได้ตระหนักว่าสงครามการทหารในพื้นที่เป็นเพียงการเปิด "เวทีสงครามการเมือง" เพื่อยืนยันให้ประชาคมระหว่างประเทศเห็นถึงการต่อสู้ของขบวนการทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสงครามกลางเมืองนี้
ในอีกด้านหนึ่งสงครามการทหารนี้ เปิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้รับชัยชนะในการยุทธ์ หากแต่เป็นการเริ่มต้นเปิดตัวเพื่อการปลุกระดมทางการเมืองในหมู่ประชาชนต่างหาก ซึ่งก็ไม่ต่างกับบทเรียนของสงครามประชาชนในเวทีอื่นๆ ที่ระยะเวลาของสงครามจรยุทธ์ คือเงื่อนไขในมิติของเวลาที่ใช้เพื่อปลุกระดมให้ประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ
นอกจากนี้ สงครามกลางเมืองในติมอร์ตะวันออกยังมีมิติของศาสนาและวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะติมอร์ตะวันออกส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ อันเป็นผลจากการเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส ในขณะที่สังคมอินโดนีเซียส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และทั้งยังรวมถึงความแตกต่างในเรื่องชาติพันธุ์อีกด้วย ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ได้เป็นปัจจัยอย่างดีสำหรับขบวนการเรียกร้องเอกราช ที่จะใช้ในการสร้างความรู้สึกชาตินิยม และการต่อต้านรัฐบาลกลาง
ดังนั้น เมื่อระยะเวลาทอดนานไปหลังจากการเปิด "สงครามการทหาร" ภายในติมอร์ตะวันออก จนสามารถยกระดับของปัญหาขึ้นสู่เวทีสากล ก็เปิด "สงครามการทูต" ในประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลต้องพ่ายแพ้ในเวทีการสงครามที่สำคัญที่สุดก็คือ การแพ้ใน "สงครามการเมือง" ซึ่งในท้ายที่สุดก็คือ การตัดสินใจของประชาชนอันเป็นผลมาจากการคิดคำนวณของรัฐบาลจาการ์ตา (หรือถูกบังคับให้ตัดสินใจ) ลงประชามติ
ฉะนั้น บทเรียนอันสำคัญที่ "ตัวแบบติมอร์" บอกแก่เราก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ปัญหาการต่อสู้ภายในถูกยกระดับขึ้นสู่สากล และถูกบังคับให้ต้องลงประชามติแล้ว รัฐบาลกลางจะเป็นผู้แพ้อย่างแน่นอน
การต่อสู้ในแนวทางเช่นนี้ ก็คือแบบแผนการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเป็น "กระบวนการทำให้เป็นติมอร์" หรือ "Timorization" และก็ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่กำลังถูกทำให้เกิดขึ้นในภาคใต้ของไทยด้วย!
=================================
Create Date : 26 ตุลาคม 2548 |
Last Update : 26 ตุลาคม 2548 14:09:14 น. |
|
11 comments
|
Counter : 486 Pageviews. |
|
|
|
โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 26 ตุลาคม 2548 เวลา:13:08:01 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 26 ตุลาคม 2548 เวลา:13:25:37 น. |
|
|
|
โดย: กุมภีน วันที่: 26 ตุลาคม 2548 เวลา:13:32:40 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 26 ตุลาคม 2548 เวลา:20:28:26 น. |
|
|
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 27 ตุลาคม 2548 เวลา:7:36:28 น. |
|
|
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 27 ตุลาคม 2548 เวลา:8:38:27 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 27 ตุลาคม 2548 เวลา:9:52:33 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 27 ตุลาคม 2548 เวลา:10:45:57 น. |
|
|
|
โดย: ประกายดาว วันที่: 27 ตุลาคม 2548 เวลา:10:46:56 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 27 ตุลาคม 2548 เวลา:12:22:24 น. |
|
|
|
|
|
|
|