บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
26 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 
เรื่องราวของอำนาจในมุมมองของสื่อและนักวิชาการ

นับถอยหลังก่อนถึง 9 ธันวาคม แล้วอำนาจทุกอย่างก็อาจมลายหายไปในพริบตา...

โลกนี้มีอะไรที่แน่อน

ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ...
สัจธรรมที่รอการพิสูจน์.......

**มีบทความของอาจารย์ชัยอนันต์--"สนธิ-ทักษิณ" มาให้อ่านด้วยโปรดติดตาม




===============================

บทวิเคราะห์ : จุดจบสถาบัน'ไทยรักไทย'

25 พฤศจิกายน 2548 17:21 น.
การวินิจฉัยของศาลภายในวันเดียวกัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศ"สิทธิและหน้าที่"ของประชาชนคนไทยพึงมีตามรัฐธรรมนูญ ให้ปรากฏเด่นชัดใน"ใจ"ของคนไทย แต่กลับเป็น "จุดจบ"ของความพยายามสร้างพรรคไทยรักไทยให้เป็น"สถาบัน"ทางการเมือง

การวินิจฉัยของศาลจังหวัดยโสธร ที่ไม่อนุมัติหมายจับ "สนธิ ลิ้มทองกุล " และศาลแพ่ง มีคำสั่งแก้ไขการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้มีการพาดพิงถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เนื่องจากนายกฯเป็นบุคคลสาธารณะ ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการพัฒนาของสังคมไทยโดยรวม

การวินิจฉัยของศาลภายในวันเดียวกัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศ"สิทธิและหน้าที่"ของประชาชนคนไทยพึงมีตามรัฐธรรมนูญ ให้ปรากฏเด่นชัดใน"ใจ"ของคนไทย แต่กลับเป็น "จุดจบ"ของความพยายามสร้างพรรคไทยรักไทยให้เป็น"สถาบัน"ทางการเมือง

หากจำกันได้ พรรคไทยรักไทย โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะหัวหน้าพรรค รวมทั้งแกนนำคนอื่นๆได้ประกาศสร้างหรือสถาปนา ให้พรรคไทยรักไทยเป็น"สถาบันการเมือง"ของประเทศ หลังจากได้รับชัยชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดอย่างท่วมท้น และสามารถจัดตั้ง"รัฐบาลพรรคเดียว" ซึ่งถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ในการเมืองไทย(หากมองอย่างผิวเผิน)

ในช่วงที่บรรดาแกนนำของพรรคไทยรักไทย ประกาศสร้าง"ความเป็นสถาบัน"เมื่อต้นปีที่ผ่านนั้น หลายคนมองด้วยความสงสัย และบางคนแอบขบขันลึกๆ โดยเห็นว่าเป็นเพียง"ความหลงของนักการเมือง"ที่ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศเท่านั้น

เพราะความเป็น"สถาบัน"หาใช่สร้างกันง่ายๆ และไม่อาจสร้างได้เพียงชั่วข้ามคืน หรือช่วงเวลาเพียง 4-5 ปี จากพรรคการเมือง"เฉพาะกิจ"อย่างพรรคไทยรักไทยเท่านั้น

ตามทฤษฎีแล้วการเกิดขึ้นของ"สถาบัน"ไม่ง่าย (ยกเว้นตามตำราของพวกเอ็มบีเอ) และยิ่งกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ"พ่ายแพ้"ครั้งนี้ ก็ยิ่ง"ดับฝัน"ความเป็นสถาบันของพรรคไทยรักไทย

ในประการแรก จุดเริ่มต้นของความเป็น"สถาบัน" ต้องเริ่มการมีตัว "ผู้นำ" โดยผู้นำจะต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกกลุ่ม หรือ คนส่วนมาก ให้เป็นผู้นำได้ ซึ่งในกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ถือว่ามีจุด"เริ่มต้น"ที่สามารถเป็นผู้นำในความหมายนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ไม่ว่าความเป็นผู้นำของพ.ต.ท.ทักษิณ จะเกิดจากปัจจัยอะไร แต่ก็ถือว่าเป็น "ผู้นำ"ในความหมายนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สิ่งที่จำเป็นต้องมีสำหรับผู้นำอีกอย่างคือ บุญบารมี(charisma) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีการพูดถึง"คำนี้"กันพอสมควร โดยพูดในความหมายต่างๆกัน แต่ในที่นี้จะหมายถึงว่าเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของผู้นำ ที่"เปล่งประกาย"ออกมา เพื่อดึงดูดให้คนอื่นพร้อม"ทุ่มเท" กายและใจให้กับผู้นำคนนั้นอย่างถวายชีวิต

หากพิจารณาโดยถ้วนถี่แล้ว "บุญบารมี"ของพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในระหว่างการ"ก่อตัว"เท่านั้น เพราะทุกคนที่วิ่งเข้าหานั้น ยังไม่ได้เกิดจากการ"ทุ่มเท" แต่เป็นการวิ่งเข้าหาตาม"ผลประโยชน์"

จึงเรียกว่าบุญบารมีเริ่ม "ก่อตัว"

แต่การเริ่ม"ก่อตัว"ของบุญบารมี ก็เริ่มหม่นหมอง เมื่อเผชิญกับกระแสการต่อต้าน ซึ่งเป็น "มลทิน"ต้องห้าม หากใครจะก้าวเป็นผู้นำแบบ"บุญบารมี" และ ผู้นำแบบนี้เองที่จำเป็นอย่าง "ยิ่งยวด"สำหรับการเกิดสถาบัน

ประการที่สอง ความเป็นสถาบัน กับผู้นำแบบ"บุญบารมี" เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ซึ่งการก่อกำเนิดสถาบันนั้น จะต้องเกิดจากมี"กลุ่มผู้ตาม"จำนวนมาก และอยู่ภายใต้ผู้นำเป็นเวลาพอควร จากนั้น กลุ่มดังกล่าว(ในกรณีนี้ไทยรักไทย)จะต้องสร้างกติกา กฎระเบียบ เพื่อมาดูแลให้กลุ่มสามารถอยู่ได้ และเป็นกฎกติกามารยาท ที่เป็นที่พึงพอใจของสมาชิกจำนวนมากด้วย

ในกรณีนี้ พรรคไทยรักไทย ล้มเหลว โดยสิ้นเชิง เพราะไม่มีกฎกติกาเช่นนั้นที่นำไปสู่การกำเนิดสถาบันได้ แต่เป็นกฎกติกาจากคนเพียงกลุ่มเดียว หรือบางครั้งก็เป็นกฎกติกาที่ไม่มีมาตรฐานใดๆ ขึ้นกับสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม หากกล่าวอย่างเป็นกลางๆ อาจถือว่าเป็นช่วงระหว่างการ"ก่อตัว"ก็เป็นได้

แต่ทุกอย่างมาล้ม"คลืน"เพียงวันเดียว คือ วันที่ศาลตัดสินนี้เอง ซึ่งเป็น"สัญลักษณ์"ของการล่มสลายของ"บุญบารมี"ครั้งใหญ่กับผู้นำคนหนึ่ง และเป็นการล่มสลายที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

เพราะด้านหนึ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่พยายามแสดง "อำนาจ" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ"บุญบารมี"นั้น ได้สิ้นสุดลง ดังนั้น ต่อไปเราจะค่อยๆเห็นความ"เสื่อมถอย"ของบุญบารมีของผู้นำลงทีละน้อยๆ จนเขากลับกลายเป็นคนธรรมดาสามัญ

เราอาจอ่านสัญญาณแห่งความเสื่อมถอยได้โดยง่าย คนที่เคยอยู่ภายใต้"ท่านผู้นำ"บางส่วนจะเริ่มถอยห่าง และในที่สุดเมื่อสถานการณ์สุกงอมเต็มที่ เราจะเห็นว่าเหลือแต่คน"แวดล้อม"ที่เป็น "แกนจริงๆ"อยู่ไม่กี่คน

เมื่อถึงเวลานั้น "ผู้นำ"ที่น่าสงสาร ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วทั่วโลก หากอยู่ในสังคมต่อไป ก็เต็มไปด้วยความปวดร้าว"ภายใน" นั่งนึกถึงวันอันยิ่งใหญ่ และนึกเสียดาย"โอกาส"ที่ปล่อยผ่านไป

เป็นความปวดร้าวของผู้นำที่มิอาจก้าวพ้นจนก่อร่างสร้าง"สถาบัน"ให้กับตนเอง

โดย...ซันเดย์ ฮิสตรอเรียน

==============================

บทวิเคราะห์ : เกาะติด'ม็อบดิจิตอลโค่นรัฐบาล'

การชุมนุมใน "รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร" ที่มี "สนธิ ลิ้มทองกุล" เป็นผู้ดำเนินรายการ ต้องถือว่าเป็น "ม็อบออนไลน์" หรือ "ม็อบดิจิตอล"

ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 "เอนก เหล่าธรรมทัศน์" นักวิชาการที่"อกหัก"จากการเมืองในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ได้ตั้งฉายาการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยว่า "ม็อบมือถือ"


เนื่องจาก เป็นการชุมนุมของ"ชนชั้นกลาง" ที่ใช้อุปกรณ์สื่อสารที่แสดงฐานะใหม่ของชนชั้นกลางไทยในช่วงนั้นคือ "โทรศัพท์มือถือ"


แต่การชุมนุมใน "รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร" ที่มี "สนธิ ลิ้มทองกุล" เป็นผู้ดำเนินรายการ ต้องถือว่าเป็น "ม็อบออนไลน์" หรือ "ม็อบดิจิตอล" เพราะกลุ่มที่มาชุมนุมส่วนใหญ่มีการติดต่อสื่อสารด้วย โทรศัพท์มือถือแบบม็อบยุคปี 2535 แล้ว ยังสื่อสารและติดตามข่าวสารที่มีเนื้อหาสาระ เห็นจริง มีความละเอียดของข้อมูล ที่"มากกว่า" ผ่านเครือข่ายออนไลน์ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต


เป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสาร ถูกส่งผ่านกันอย่างรวดเร็วและลึกกว่า "ม็อบมือถือ"ยุคแรก แต่เป็นม็อบมือถือยุค 3G ที่ส่งผ่านได้ทั้งภาพและเสียง รวมทั้งข้อมูล ผนวกกับข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต


เครือข่ายออนไลน์ ที่เป็นศูนย์กลางของการ"ต่อต้าน"รัฐบาล คือ เว็บไซต์ของบริษัทไทยเดย์ หรือของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ //www.manager.co.th ซึ่งเสนอทั้งข้อมูลข่าวสาร บทวิเคราะห์ และสื่อสารกับแฟนประจำรายการ(ทั้งขาประจำและขาจร)


จากเครือข่ายอินเตอร์ ที่คนส่งผ่านกันอย่างรวดเร็วและเข้าถึงง่ายเช่นนี้เอง จึงเกิด"ชุมชน" และก่อตัวเป็น "ม็อบออนไลน์"

เว็บไซต์ของผู้จัดการ ถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนของการชุมนุม ซึ่งมีความพยามจะปิดเว็บไซต์จากคนในรัฐบาล แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถทำได้ และเว็บไซต์ก็ยังเป็นเครื่องมือส่งผ่านข้อมูลที่รัฐบาลไม่อาจคุมได้


เหมือนกับรัฐบาลจีนเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้


ไม่เพียงแต่เว็บไซต์ของผู้จัดการเท่านั้น ยังมีเว็บไซต์ของสื่อต่างๆมากมาย ทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะบรรดาธุรกิจสื่อเอกชน ต่างก็มีเว็บไซต์ของตัวเองแทบทั้งสิ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนถึง 217 เว็บไซต์ที่จัดอยู่ในหมวดสื่อ

แต่เว็บไซต์ที่วิจารณ์รัฐบาลอย่าดุเดือด เหมือนกับ //www.manager.co.th มีไม่มากนัก ที่เห็นเด่นชัด คือ //www.thaiinsider.com เป็นเว็บไซต์ของขาประจำ คือ เอกยุทธ อัญชันบุตร ที่ก่อม็อบสนามหลวงเพื่อถล่มรัฐบาลมาแล้วโดยเฉพาะ ซึ่งเปิดให้พูดคุยกับ "เอกยุทธ"ได้โดยตรง โดยผู้อ่านสามารถตั้งคำถามเข้าไปได้ และ"เอกยุทธ" จะเป็นผู้ตอบ มีทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับคนในรัฐบาลและสอบถามเกี่ยวกับหุ้น


นอกจากนั้น ยังมีเว็บไซต์ ที่วิจารณ์รัฐบาลแบบเข้มเข้นกว่าหนังสือพิมพ์ทั่วไป เป็นเว็บไซต์เฉพาะกลุ่ม อาทิ //www.prachatai.com หรือ ประชาไท ที่ต้องการทำหนังสือพิมพ์อิสระบนเว็บ , //www.midnightuniv.org/ จัดเป็นเว็บไซต์ที่ถกเนื้อหาสาระประเด็นหลักๆของสังคม ในเชิงลึก ,//www.thaingo.org/ เป็นศูนยืการติดต่อของผู้ที่อยู่ในแวดวงองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ เอ็นจีโอ ฯลฯ
เว็บไซต์เหล่านี้ยังมีอีกมาก ที่ต้องการเสนอข่าว เพื่อเป็น "ทางเลือก"ให้กับประชาชนที่สนใจติดตามข่าวสาร ประเด็นทางสังคม ฯลฯ ที่ไม่อิงกับสื่อกระแสหลัก ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จำนวนผู้เข้าชมไม่มากนัก เพราะจำกัดตัวเองเฉพาะกลุ่มเท่านั้น อีกทั้งไม่มีเป้าหมายทางการค้า ทำให้ไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงกว้าง


แต่ปรากฏว่าในช่วง 1-2 เดือน เว็บไซต์เหล่านี้ มีผู้เข้าเยี่ยมชม เพิ่มขึ้น 20-30% เช่นเดียวกับเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์อื่น และมีการตั้งกระทู้"ด่ารัฐบาล" หรือ คนในรัฐบาล ค่อนข้างรุนแรงและดุเดือดเป็นพิเศษ ไม่แพ้ชุมชนใหญ่อย่าง //www.pantip.com หรือ //www.manager.co.th


แต่ที่ดุเดือด และร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ คือ เว็บไซต์ของผู้จัดการ //www.manager.co.th นั่นเอง


และจำนวนผู้เข้าชม นับว่าน่าตื่นตกใจอย่างยิ่ง!!!

หากดูสถิติจำนวนผู้เข้าชม //www.manager.co.th จากปี 2547 มีจำนวนผู้เข้าชมเฉลี่ยเพียงวันละ 19,147 คน ซึ่งเป็นเว็บไซตืที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของจำนวนเว็บไซต์ทั้งหมดของไทย และในปีต่อมา ยอดผู้เข้าชมขยับขึ้นตามจำนวนการใช้คอมพิวเตอร์ของคนไทยที่เพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2548 มีจำนวนผู้เข้าชมเฉลี่ย 35,621 คน/วัน


และในต้นปีนี้ จำนวนผู้เข้าชม ขยับขึ้นมาในระดับ 50,000 คน/วัน ก่อนที่จะเริ่มขยับเป็น 70,000 คนต่อวันในช่วงที่รัฐบาลเริ่มมีปัญหากับสื่อ และเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วงและรุนแรง


แต่ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของผู้จัดการ ก็เริ่มทะลัก เพิ่มขึ้นระดับ 100,000 ต่อวัน และขยับขึ้นอย่างรวดเร็วอยูทที่ประมาณ 120,000 คน/วัน และในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่มี"รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" ยอดผู้เข้าชม ทะลุ 150,000 คน/วัน


ยอดที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับจำนวนม็อบที่หนาตามากขึ้น ในทุกครั้งที่มีรายการเมืองไทยฯที่สวนลุมพินี จากหลักพันเป็นหลักหมื่น และไม่แน่ว่าจะขึ้นหลักแสน หากมีการดำเนินรายการนี้ต่อๆไป


ซึ่งไม่น่าแปลกที่ผู้เข้าชมจะเพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถชมถ่ายทอดสดทางเว็บไซต์ และดูข่าวสารอื่นๆได้อย่างครบถ้วน และไม่เพียงเว็บไซต์"แม่"เท่านั้นที่ยอดผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น เว็บไซต์ //www.managerradio.com คลื่นสามัญประจำบ้าน FM 97.75 เป็นคลื่นบันเทิงและข่าวสารทั่วไปในเครือก็เพิ่มมากขึ้นด้วย จนขึ้นอันดับหนึ่งเว็บไซต์ประเภท"สถานีวิทยุ-รายการวิทยุ"ในเวลาอันรวดเร็ว และยอดผู้เข้าชมในวันศุกร์เพิ่มขึ้นกว่า 50,000 คน


ไม่เพียงเว็บไซต์สื่อในเครือผู้จัดการเท่านั้นที่ยอดผู้เข้าชมเพิ่มมากขึ้น เครืออื่น เช่น ของเครือเนชั่น มติชน เดลินิวส์ จำนวนผู้เข้าชมเพิ่มมากเป็นสองเท่าของช่วงก่อนหน้านั้น


ที่สำคัญกว่าจำนวนผู้เข้าชม คือ ข้อความแสดงความคิดเห็นท้ายข่าวหรือกระทู้ในหัวข้อต่างๆ ปรากฏว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์รับบาลอย่างรุนแรงและดุเดือดแทบทุกเรื่อง แม้จะมีกระทู้ชมรัฐบาลอยู่บ้าง แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร มีจำนวนผู้เข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นน้อยอย่างเทียบไม่ติด


หากประเมินจากจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เป็น"ศูนย์กลาง"ของการต่อต้านรัฐบาล อย่าง //www.manager.co.th ว่ามีเพื่อนฝูง 4-5 คน ผู้ที่รับรู้ข้อมูลและเป็น"ขาประจำ" หากรวมตัวชุมนุม เนื่องจากความไม่พอใจรัฐบาลเพิ่มมากเกิน"ขีดจำกัด" อะไรจะเกิดขึ้น


เรานึกถึง"ม็อบดิจิตอล"เป็นแสน ชุมนุมอยู่ภายในสวนลุมพีนี และเกิดอารมณ์ร่วมเช่นนั้น


ม็อบจำนวนมหาศาล รัฐบาลพลเรือนอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความั่นใจหรือไม่จะคุมอยู่ ซึ่งหากเปรียบกับพฤษภาทมิฬ 2535 ในยุคนั้นนายกรัฐมนตรีมาจากทหารโดยตรงยังเอาไม่อยู่

ดีไม่ดี ไม่ใช่ฝ่ายค้าน หรือ ทหาร ที่ออกมาถล่มรัฐบาล แต่เป็น"ม็อบดิจิตอล"นี่เอง ที่โค่นรัฐบาล

โดย...ซันเดย์ ฮิสตรอเรียน




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2548 11:28:24 น. 2 comments
Counter : 344 Pageviews.

 
ทำดีได้ดีครับ



โดย: VinKaBees วันที่: 26 พฤศจิกายน 2548 เวลา:10:16:59 น.  

 
ในฐานะ เกาะติด สถานการณ์ ค่ะ
แถมมีหนึ่งสหาย ...ไว้ ...ตามใจ


ตัวเองเป็นหนึ่งคน ที่ อกหัก จาก ทักษิณ
คงเพราะเห็น ระบบ บริโภคนิยม ไร้รากค่อยๆ คืบคลาน
กลืนกิน และ ครอบครองประเทศมั้งคะ

แถม มีคน เดือนตุลา ตั้งมากมาย หลายหน่วยไป
เติบโต ช่วยเปิดทาง เป็นหูเป็นตาให้ ตานายกคนนี้อีก
ยิ่งทำให้ หงุดหงิดค่ะ เช่นอีตาภูมิธรรม เป็นต้น
แท้ที่จริง คุณสนธิ เป็นเพียง คนที่ทำให้ คนที่มความคิด
ในทางใกล้เมืองที่ใกล้ถึงจุด ..มาพบเจอกัน เพราะ
หูตาสว่างไสวแล้วเท่านั้นมั้งคะพี่


โดย: ประกายดาว วันที่: 26 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:37:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.