โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน Meniere's disease เป็นหนึ่งนโรคที่เกิดขึ้นกับช่องหูที่ไม่ค่อยพบบ่อยนักในคนไทย แต่ก็พบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน หูอื้อ หรือมีเสียงดังในหูตลอดเวลาย เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่อาการที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต และการดำเนินชีวิตประจำวัน
โรคนี้เกิดจากการที่มีน้ำคั่งบริเวณหูชั้นในมากกว่าปกติ โดยหูชั้นในจะทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว และการได้ยิน ผู้ป่วยจึงมักมีปัญหาเรื่องการทรงตัว และการได้ยิน
สาเหตุเกิดจากการไหลเวียนถ่ายเทของน้ำในหูผิดปกติ เช่น การดูดซึมของน้ำในหูไม่ค่อยดี ทำให้มีน้ำเก็บอยู่ในบริเวณหูชั้นในมากกว่าปกติ (Enbfolymphatic Hydrops) ส่งผลให้เซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัว และการได้ยินทำงานผิดปกติ
หูของคนเราเป็นอย่างไร ?
หูชั้นในแบ่งออกตามหน้าที่ได้ 2 ส่วน
ส่วนที่ทำหน้าที่รับเสียง จะมีลักษณะคล้ายก้นหอย
ส่วนทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว มีอยู่ 3 ชิ้น โดยมีรูปร่างคล้ายเกือกม้า
แต่ถ้าแบ่งตามการทำงานแล้วแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน
ส่วนกระดูก จะทำหน้าที่ห่อหุ้มส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน
เยื่อหุ้มภายใน โดยจะมีของเหลวอยู่ในเยื่อหุ้ม เมื่อเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะเกิดแรงดันของน้ำในหูหูผิดปกติ ทำให้ปริมาณของเหลวภายในเยื่อหุ้มเพิ่มมากขึ้น เกิดการคั่งและไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้เกิดแรงดันในหูชั้นใน ซึ่งจะขัดขวางการทำงานของกระแสประสาท ส่งผลต่อการได้ยิน และการทรงตัว ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน หูอื้อ และได้ยินเสียงอื้อในหู
สาเหตุของโรค
ไม่พบว่ามีสาเหตุที่แน่ชัด แต่สิ่งที่มีผลต่อการเป็นโรคย หรือถ้าเป็นแล้วก็จะส่งผลให้มีเกิดอาการรับประทานอาหารเค็ม
สูบบุหรี่
ดื่มแอลกอฮอล์
ทำงาน หรืออยู่อาศัยในบริเวณที่มีเสียงดัง
ความเครียด
นอนน้อย ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี ซึ่งหูชั้นในต้องการเลือดมาเลี้ยงมากทำให้เกิดการเสียสมดุลของน้ำในหู
อาการของโรค
- เวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน มักจะเป็นอยู่ช่วงประมาณ 20 นาทีจนถึง 3 ชั่วโมง โดยจะเป็นๆ หายๆ หรือบางครั้ง หลังมีอาการก็จะมีความ รู้สึกเวียนศีรษะตามมา บางครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเหงื่อออกร่วมด้วย
- หูอื้อ อาจเป็นในบางครั้ง หรือเป็นถาวร ช่วงแรกๆ อาจรู้สึกมีอาการหูอื้อเพียงชั่วคราว ซึ่งมักเกิดพร้อมๆ กับอาการเวียนศีรษะ แต่เมื่อหายปวดศีรษะแล้วการได้ยินก็จะกลับมาเป็นปกติ ถ้ามีอาการบ่อยๆ หรือเวียนศีรษะบ่อยๆ หรือถ้าเป็นมานานโดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องมักเกิดอาการหูอื้อถาวร
- เสียงอื้อๆ ในหู อาจเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้าง หรือเป็นเพียงข้างเดียว
รักษาอย่างไร
ทั้งนี้ การรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค
ระยะที่ 1 ผู้ป่วยจะรู้สึกเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเหงื่อออกร่วมด้วย และอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นทันที และเป็นอยู่นานประมาณ 20 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง แต่ไม่ได้หมดสติ หรือมีอาการเป็นอัมพาต และเมื่อหายแล้วจะรู้สึกว่าทุกอย่างกลับเป็นเหมือนปกติ ระยะนี้สามารถหายได้โดยการดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์
ระยะที่ 2 ระยะเริ่มเสื่อม หูอื้อ ช่วงแรกๆ อาจเป็นชั่วคราว หรือเป็นๆ หายๆ และกลับมาได้ยินแบบปกติเมื่อหายเวียนศีรษะ ซึ่งระยะนี้ต้องรักษาโดยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ยากล่อมประสาท หรือยานอนหลับ
ระยะที่ 3 และ 4 อาจมีอาการหูอื้อแบบถาวร และหรือได้ยินเสียงอื้อในหู รู้สึกตึงๆ ภายในหูคล้ายมีแรงดันซึ่งอาจเกิดขึ้นตลอดเวลา หรือเฉพาะเวลาที่เวียนศีรษะย อาจรักษาโดยการใช้ยาฉีด หรือการผ่าตัด ซึ่งการฉีดยาเพื่อทำลายเซลล์ที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ถ้าการฉีดยาสามารถทำลายเซลล์ดังกล่าวได้ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด
ดูแลตนเองเมื่อมีอาการ
เมื่อรู้สึกเวียนศีรษะ ถ้าเดิน ทำงาน หรือขับรถอยู่ ควรหยุด นั่งพัก หากฝืนทั้งที่รู้สึกเวียนศีรษะอาจล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุได้ และควรรับประทานยาที่แพทย์สั่งเพื่อลดอาการ
เมื่อเวียนศีรษะมาก ควรนอนพักบนพื้นราบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่นถ้าอยู่ในรถ ควรจอดให้ผู้ป่วยนอนพักราบบนเบาะหลังรถ และควรจ้องมองวัตถุที่อยู่นิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว
อาการคลื่นไส้ ควรลดการดื่มน้ำ หรือการรับประทานให้น้อยลง เพราะอาจทำให้อาเจียน
หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเรือ เพราะอาจกระตุ้นอาการเวียนศีรษะ
ควรรับประทานยาขยายหลอดเลือด (Histamine) เพื่อช่วยให้การไหลเวียนของน้ำในหูดีขึ้น
ป้องกันและดูแลตนเองเบื้องต้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดให้ไปเลี้ยงหูชั้นใน
- ลดความเครียด อาจจะด้วยการพักผ่อน ฟังเพลงเบา ๆ ลดการทำงานลง
- พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี อาจเปิดเพลงเบา ๆ ขณะนอนเพื่อช่วยกลบเสียงในหู
- หลีกเลี่ยงอยู่ในที่ที่มีเสียงดังย แดดจ้า หรืออากาศร้อนอบอ้าว
- หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ สูบบุหรี่ และเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ย เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหูชั้นในได้น้อยลง
- ลดการทานอาหารเค็ม เนื่องจากโซเดียมทำให้มีการคั่งของน้ำในร่างกาย ไม่ควรรับประทานเกลือย เกินย วันละ 2 กรัม (1 ช้อนชา)
- ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผงชูรส เนื่องจากผลชูรสก็เป็นโซเดียมชนิด โมโนโซเดียมกลูตาเมต
ที่มาข้อมูล : //www.e-magazine.info