ความผิดมหันต์ 7 กระทง ของนักลงทุน(หุ้น) ...............แมงมู่
(กระทู้เก่ามาเล่าใหม่ครับ) -- ความผิดมหันต์ 7 กระทง ของนักลงทุน(หุ้น) เนื้อหานี้ย่อและคัดใจความมาจาก MSN Money Central
หัวข้อ Careful Investor -- นักลงทุนผู้รอบคอบ เรื่อง ความผิดมหันต์ 7 กระทง
ถ้าหากคุณเป็นผู้กระทำผิดตามนี้ คุณมีเพื่อนเยอะครับ นักลงทุนหลาย ๆ ท่านตกเป็นเหยื่อของความมั่นใจเกินเหตุ ซื้อ-ขายบ่อยครั้งเกินความจำเป็น และไม่เห็นความเสี่ยงอยู่ในสายตา และเราจะเสียใจกับความผิดพลาดเหล่านี้
เราทุกคน (ไม่มียกเว้น) ได้เคยตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องการลงทุน
สำหรับบางท่านแล้ว สิ่งที่แตกต่างระหว่างอดีตและปัจจุบันคือการที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามีส่วนช่วยเราในการตัดสินใจและให้อำนาจในการควบคุมมากขึ้น นักเก็งกำไรรายวันมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง คนเป็นหมื่นติดตามราคาหุ้นจากที่บ้านหรือสถานที่ทำงานทุกวัน ๆ เราสามารถตัดสินใจ(และซื้อ-ขาย)ได้ในทันทีทันใดซึ่งอาจจะก่อผลดีหรือผลเสียต่อเงินในบัญชีเราได้
ที่ว่ามานี้เป็นทั้งประโยชน์และโทษต่อเรา เพราะมันอาจจะทำให้เรากระทำผิดพลาดได้ง่ายกว่านักลงทุนรุ่นพ่อหรือรุ่นปู่ของเรา แต่ข้อสำคัญคือ "อย่าให้เรากระทำผิดซ้ำสอง" ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรง 7 กระทง
1. Chasing Performance "ซื้อตามหุ้นแรง" นักลงทุนหลาย ๆ คนซื้อหุ้นตอนอยู่ยอดดอย หลังจากที่มันขึ้นไม่หยุด ดูจากตัวอย่างที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น กองทุนเช่น Fidelity Japan (FJPNX) พุ่งขึ้น 170% จากราคาเมื่อต้นปี และทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากใน chatroom ของ MSN MoneyCentral ว่าควรจะซื้อกองทุนนี้หรือไม่ เวลาที่ควรซื้อกองทุนนี้คือเมื่อมกราคมที่ผ่านมา!!! (ดูอีกตัวอย่างก็คือ KK ของบ้านเราตอนที่มันวิ่งไม่หยุดนั่นแหละ โน่น 80 ก่า ๆ หรือดู EFS เมื่อสามเดือนที่แล้ว)
2. Misunderstanding Risk "มีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับความเสี่ยง" นักลงทุนบางท่านเลือกลงทุนแบบ "รวยหรือหมดตัวไปเลย" และเรียกตัวเองว่าเป็นคนชอบความเสี่ยง ที่จริงแล้วคนเราไม่ได้เกิดมาพร้อมกึ๋นและการรักความเสี่ยง
ในความเป็นจริงแล้ว "การบริหารความเสี่ยงที่ยอมรับได้" นั้นเป็นเหมือนกล้ามเนื้อ มันสามารถพัฒนาได้ด้วยความรู้ ประสบการณ์และการฝึกฝน ฝึกฝนมาก ๆ ด้วย ผมอยากให้นักลงทุนฝึกและทำความเข้าใจกับการบริหารความเสี่ยงมาก ๆ
เรื่องตลกคือนักลงทุนเป็นจำนวนมากไม่รู้สึกว่าหุ้นหรือกองทุนที่เป็นกระทิงวิ่งไม่หยุด นั้นมีความเสี่ยงมากต่อการสูญเสีย
การยอมรับความเสี่ยงมากนั้นหมายถึงการที่เราอาจจะหกล้มหัวฟาดพื้นได้ เราเห็นตัวอย่างจาก Fidelity Disciplined Equity (FDEQX) ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า S&P 500 อย่างเปรียบกันไม่ได้ และต่อมาไม่นานกองทุนนี้ก็เริ่มมีผลตอบแทนน้อยลงกว่า S&P 500 และนักลงทุนหลาย ๆ คนก็ช๊อค
3. Loss aversion. "ไม่ยอมเสีย(น้อย)" นักจิตวิทยาผู้ที่ทำการตรวจวัดเรื่องนี้ พบว่าคนทั่วไปไม่ชอบเสียเงิน เราจะรู้สึกเจ็บปวดกับการขาดทุน 1 บาท มากกว่าความยินดีจากการทำกำไร 1 บาท ความเจ็บปวดนั้นเทียบได้เป็นมากกว่าสองเท่าของความยินดี
ดังนั้นนักลงทุนจำนวนมากยอมเสี่ยงกับการสูญเสียมากขึ้นเพื่อจะมีโอกาสเท่าทุนหรือกำไรนิดหน่อยในภายหลัง ซึ่งเป็นแนวคิดกลับตาลปัดกับที่เราควรจะทำ เราควรจะเสี่ยงกับผลกำไรที่จะเพิ่มขึ้น (เช่นไม่ยอมขายเมื่อหุ้นเป็นกระทิง) ไม่ใช่เสี่ยงเพื่อบรรเทาการสูญเสีย (ไม่ยอมขายเมื่อหุ้นปักหัวลง และเราขาดทุนเล็กน้อย) ความคิดเช่นนี้จะทำให้เราไม่ยอมขายหุ้นที่ขาดทุนถึงแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลมากกว่า
4. Trading too much. "ซื้อ-ขายมากเกินเหตุ" สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เด่นชัดมากเนื่องด้วยการซื้อ-ขายทางอินเตอร์เน็ตโดยนักเก็งกำไรวันต่อวัน การซื้อ-ขายมากทำให้กำไรหด ศจ. Terrance Odean จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส ได้ศึกษาและแสดงให้เห็นจากการสำรวจบัญชี 150,000 บัญชีจากโบรคเกอร์แห่งหนึ่ง จากนั้นท่านได้แยกนักลงทุนแบ่งเป็น 5 กลุ่มจากพฤติกรรมการซื้อ-ขายของแต่ละบัญชี ผลปรากฏว่ากลุ่มที่มีการซื้อ-ขายมากที่สุดได้รับผลตอบแทนน้อยกว่ากลุ่มที่มีการซื้อ-ขายน้อยที่สุดถึง 7%
5. Ignoring expenses with mutal funds. "ไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายเนื่องด้วยการบริหารกองทุน" ค่าใช้จ่ายมีความสำคัญ การที่คิดถึงแต่ผลตอบแทนจากกองทุนโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่เสียไปกับการบริหารกองทุนเป็นเรื่องเหลวไหล
กองทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูงนั้นถือเป็นการดูถูกและไม่ใส่ใจต่อนักลงทุนหรือผู้ถือหุ้น ผู้จัดการกองทุนที่ดีจะยอมลงทุนกับกองทุนของเขาเอง และเขาจะไม่ยอมเสียค่าใช้จ่าย 2% จากผลกำไร เราก็ไม่ควรจะยอมเช่นกัน
6. Buying on tips/Not researching investments. "ซื้อหุ้นตามข่าว/ไม่วิเคราะห์การลงทุน" ความผิดสองกระทงนี้ใกล้เคียงกันและไปด้วยกัน อย่าซื้อถ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาที่มีมาแต่ปฐมกาล ในปี 1980 นักลงทุนทั้งหลายให้คำแนะนำกันที่ปาร์ตี้หรืองานสังคมต่าง ๆ ปัจจุบันนี้ข่าวหรือคำแนะนำมาทางอินเตอร์เน็ตตามห้องสนทนาหรือกระทู้ทั้งหลาย อย่างไรก็ตามการซื้อ-ขายหุ้นตามข่าวทำให้การลงทุนเป็นกิจกรรมทางสังคมอย่างหนึ่ง หากเราขาดทุนเนื่องจากการลงทุน"ตามข่าว" เราสามารถหาแพะหรือคนปลอบใจได้
ทำการวิเคราะห์ด้วยตัวของเราเอง ถ้ามีใครมาถามว่าเราซื้อหุ้นตัวนี้ด้วยเหตุผลอันใด เราต้องสามารถตอบได้ภายในสามหรือสี่ประโยค ใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อตรวจสอบความแข็งแกร่งของสถาณะการเงินของบริษัท ค้นหาว่านักวิเคราะห์คิดอย่างไรกับหุ้นตัวนั้น ๆ อ่านข่าวต่าง ๆ ที่บริษัทแจ้งต่อคณะกรรมการบริหารหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(สำหรับบ้านเรา ค้นหาข้อมูลได้จาก websites ต่าง ๆ ที่แนะนำกันบ่อย ๆ ที่โต๊ะสินธรครับ)
7. Overconfidence "มีความเชื่อมั่นเกินเหตุ" ผู้เขียนยอมตามความคิดเห็นของนักวิเคราะห์พฤติกรรม เขาว่าเมื่อเราตัดสินใจในเรื่องใดแล้ว เราจะมีทัศนะคติที่ดีเกี่ยวกับการตัดสินใจอันนั้น (เข้าข้างตัวเอง ว่างั้นดีกว่า) นักวิจัยอย่าง ศจ. Daniel Kahneman แห่งมหาวิทยาลัยพริ้นส์ตั้นบอกว่าการมีทัศนะคติที่ดีต่อการตัดสินใจของเรานั้น เป็นจริงกับเรื่องเช่นการทายหัว-ก้อย หากเรา"เป่าและขอให้ออกหัวหรือก้อย"กับเหรียญก่อนทอยเหรียญ เราจะมีความมั่นใจสูงขึ้น 15% กับการทายของเรา
มีคนประเภทเดียวเท่านั้นที่ไม่มีความเชื่อมันเกินเหตุหลังจากที่เขาตัดสินใจ คือผู้ป่วยทางจิตด้วยโรคซึมเศร้า เขามีความคิดเห็นที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงต่อการเสี่ยงทาย
แท้จริงแล้วการที่มีความเชื่อมั่นเกินเหตุนั้นดีกว่าการเป็นโรคซึมเศร้าเป็นไหน ๆ เพียงแต่ให้เราใช้วิจารนญาณที่เหมาะสมเมื่อเราต้องลงทุน เมื่อตลาดหันหัวลงผู้ที่มีความเชื่อมั่นเกินเหตุ(เนื่องจากซื้อเต็มปอด)จะกลัวว่าโชคของเขาจะหนี(ปอดแหก)และเริ่มขายแหลก
เราควรจะพึงพิจารณาตนเองว่ามีพฤติกรรมเช่นนี้หรือไม่ และพยายามแก้ไขให้ไม่กระทำผิดเช่นนี้ต่อไป
**************************** ป.ล. ถ้าจำไม่ผิด กระทู้นี้ post ไว้ตั้งแต่ต้นปี 2000 โน่น ผมก็เอามาอ่านทบทวนเพื่อตรวจสอบตัวเอง และเห็นว่ากระทำผิดทั้ง 7 กระทงเหมือนกัน ต้องฝากเพื่อน ๆ ในห้องสินธรช่วย ๆ กันเตือนนักเก็งกำไรด้วยกันด้วยครับ
จากคุณ : แมงมู่ - [11 ต.ค. 44 23:12:57]
Create Date : 25 ตุลาคม 2548 | | |
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2548 16:32:52 น. |
Counter : 887 Pageviews. |
| |
|
|
|