Group Blog
 
All blogs
 
ทฤษฎีจำกัดความเสี่ยง สูตรเล่นหุ้นนอกตำรา


หมอคนนี้มีหลักคิดแหวกแนวตั้งแต่ยังมีอาชีพ "หมอฟัน" เจ้าตัวบอกว่าเวลาจะคิดค่าทำฟันลูกค้า แทนที่จะกำหนดราคาตามป้ายแต่กลับคิดราคาตาม "ฐานะ" ของลูกค้าแต่ละคน

"ดูแล้วคนไหนรวยผมก็คิดแพง คนไหนไม่ค่อยมีเงิน ผมจะทำให้ฟรี" นี่คือวิธีการทำการค้าที่กรมการค้าภายในอาจไม่ชอบใจนัก

ถึงจะเล่นหุ้นนอกตำราแต่วิธีจำกัดความเสี่ยงที่หมอเรียกว่ากฎเอาตัวรอดสำหรับนักเล่นหุ้นระยะสั้นก็คือ

ถ้าขาดทุนต้องรีบ "Stop Loss" หมายถึง "รีบขายเพื่อหยุดยั้งการขาดทุน"

ถ้ายังมีกำไรให้ถือต่อไป ซึ่งในตำราฝรั่งเรียกว่า "Let the Profit Run"

และกฎอีกข้อหนึ่งคือ "เมื่อมีกำไรแล้วห้ามกลับมาขาดทุน"

ถ้ามีใครไปถามหมอว่า "ไปลอกกฎของฝรั่งมาเหรอ!" เขาจะรีบปฏิเสธและบอกว่า "ผมไม่ค่อยเชื่อวิธีของฝรั่ง ไม่เห็นว่าจะเก่งกว่าเราตรงไหนเลย..."

หมอมักย้ำเสมอว่า "ตำรา" ที่เขาใช้ คือ "ประสบการณ์" และเรียนรู้มาจากเพื่อนในวงการมากกว่า

อย่างไรก็ตาม "ทฤษฎีจำกัดความเสี่ยง" ของหมอ เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และต้องนำมาขยายความเพิ่มเติม

วิธีจำกัดความเสี่ยงอันดับแรก คือ คุณต้องอ่านสภาวะตลาดหุ้นให้ออก ต้องตอบตัวเองได้ว่าพรุ่งนี้ หรืออาทิตย์หน้า หรืออีก 1 เดือนข้างหน้า ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร? หุ้นที่ถืออยู่จะเป็นอย่างไร?

"ผมมองว่าอะไรที่ตอบไม่ได้ หรืออะไรที่คุณไม่รู้ คือ...ความเสี่ยง แต่อะไรที่คุณรู้ คือ..ไม่เสี่ยง" น.พ.ยรรยงกล่าว

ยกตัวอย่างเช่นหุ้นบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (บาฟส์) "หุ้นตัวนี้ผมได้เงินเยอะ" ถ้าเราดูจากข่าวหนังสือพิมพ์ บาฟส์หาผู้แทนจัดจำหน่ายได้ดี และทำโฆษณาได้ดี คือ ออกทั้งวิทยุ หนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ มันทำให้เกิดกระแสนิยมขึ้นมา ทำให้ความต้องการหุ้นตัวนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ

"ผมจะดูว่ากิจการเป็นอย่างไร? ผูกขาดรึเปล่า! รายได้ และกำไรเป็นอย่างไร? ผู้บริหารวางแผนเพิ่มสภาพคล่องโดยการแตกพาร์ เราก็จับจุดตรงนี้ รู้ว่ามวลชนมีความต้องการมาก ในแง่ของราคา IPO ก็ต่ำ จำนวนหุ้นที่ออกมาก็ไม่มาก ผมก็ได้ข้อสรุปตรงนี้ว่าผู้บริหารคงอยากจะให้หุ้นของตัวเองขึ้น"

จากนั้นก็เจาะลงไปดูรายละเอียดของผู้บริหาร อย่างแรกเลยต้องรู้ว่าผู้ถือหุ้นเป็นใคร? ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ การบินไทย 30% สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 10% บริษัทน้ำมัน 5 แห่ง ถือหุ้นรวมกัน 43% และการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย 6%

"ผมก็ตั้งคำถามว่าแล้วผู้ถือหุ้นใหญ่จะขายหุ้นออกมั้ย! ผมก็ประเมินว่าเขาคงไม่ขายแน่! ดังนั้นถ้าผมเจอหุ้นอย่างนี้บอกได้เลยว่า "ได้เงิน" เพราะเราประเมินออกตั้งแต่แรกว่า หุ้นตัวนี้มีดีมานด์มากกว่าซัพพลาย ลักษณะการซื้อ คือ ผมจะซื้อหุ้นที่ประเมินแล้วว่าตลาดจะเกิด "ความนิยม" เพราะฉะนั้นความเสี่ยงจะต่ำ"

หมอตั้งข้อสังเกตว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าพบว่าผู้บริหารตั้งใจจะเอาหุ้นเข้าตลาด "เพื่อขาย" หุ้นตัวนั้นจะไปไม่ไกล หลักในการดูตรงนี้ หมอบอกว่า...อันนี้ดูง่ายมาก

"ผมจะบอกหลักให้เลย ไปดู "สัดส่วน" ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ถือคนเดียว 20-30% อย่างนี้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไปดูแล้วเห็นสัดส่วนมันกระจายยาวเป็นหางว่าว อย่างนี้มีเจตนาชัดเจนว่าต้องการขายออก"

เช่นคนแรกถือ 15% คนที่สองถือ 7% คนที่ 3 ลงมาถือคนละ 5% ไล่ลงมาเหลือ 4% 3% 2% อย่างนี้บอกได้เลยว่ากระจายให้นอมินีถือแล้วตั้งใจขายออกหลังเข้าตลาด หุ้นประเภทนี้จะไปได้ไม่ไกล หมอจึงแนะนำว่าวันที่จะทำกำไรดีที่สุด ก็คือ "ขายวันแรก" แต่ถ้าเจอหุ้นดี เรามองออกว่าราคาจะไปไกล ดีที่สุด ก็คือ เราต้อง "ซื้อวันแรก"

หมอมีวิธีประเมินมูลค่าหุ้นอย่างไร?

อย่างแรกต้องรู้พื้นฐานของหุ้นให้หมด เช่น P/E เท่าไร? Book Value เท่าไร? ยอดขายเท่าไร? กำไรเท่าไร? ผู้ถือหุ้นเป็นใคร? มีหุ้นจดทะเบียนกี่หุ้น สัดส่วนที่ถือมีใครบ้าง! อยู่ในมือผู้ถือหุ้นใหญ่กี่เปอร์เซ็นต์

"เวลาผมจะซื้อหุ้นผมต้องรู้ข้อมูลพวกนี้ให้หมด แต่เวลาซื้อหุ้นจริงๆ จะไม่สนใจว่าราคาหุ้นสูงกว่า P/E กี่เท่า สูงกว่า Book Value กี่เท่า ผมไม่ได้นำมาใช้ตัดสินใจ เป็นแค่ตัวสนับสนุนว่าหุ้นที่เราซื้อมีพื้นฐานรองรับแค่ไหน"

ส่วนเรื่องราคา หมอคิดว่าจะมีกลไกตลาดรองรับเองว่าควรจะอยู่ตรงไหน! เขาจะไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ยินดี "ซื้อแพง" ถ้ามั่นใจว่าสามารถ "ขายแพง" กว่าราคาที่ซื้อมา แต่สำหรับหุ้น IPO จากประสบการณ์ของหมอ ถ้าหุ้นตัวไหนที่มีความนิยมสูง ราคาหุ้นวันแรกจะ "เปิด" กระโดด

"ผมจะดูอารมณ์ของตลาด ถ้าน่าสนใจผมจะเข้าไปซื้อตอนเปิดตลาดวันแรก อย่างหุ้นบาฟส์ผมได้หุ้นจอง 60 บาท ราคาเปิดกระโดดวันแรก ผมก็เข้าเก็บที่ 94 บาท มาซื้ออีกทีที่ 100 บาท 110 บาท และ 120 บาท จากนั้นก็หยุดซื้อ พอขึ้นมา 140 กว่าบาท ผมก็ขาย"

เขาอธิบายอีกว่าเวลาได้หุ้นจองมาส่วนหนึ่ง ก็จะมา "เฉลี่ย" กับ "ต้นทุน" ที่ซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่คือหลักจำกัดความเสี่ยง "ฟังผมพูดเหมือนจะมีความเสี่ยง...แต่จริงๆ แล้วไม่มี เช่น ผมได้หุ้นจองมา 3 หมื่นหุ้น ในราคา 60 บาท พอเข้าตลาดวันแรกผมเริ่มซื้อที่ราคา 94 บาท สมมติซื้อเข้าไปอีก 3 หมื่นหุ้น ผมก็จะเฉลี่ยต้นทุนโดยเอา 60 บวก 94 หาร 2 ต้นทุนผมก็จะอยู่ที่ 77 บาท ก็ยังได้กำไรเยอะเมื่อเปรียบเทียบกับราคาในตลาด

แสดงว่าผมไม่มีความเสี่ยงเลยใช่มั้ย!...เพราะทุกครั้งที่เรา "มีกำไร" เท่ากับว่าเรา "ไม่มีความเสี่ยง" ตราบใดที่เรา "ขาดทุน" ถึงจะเรียกว่ามี "ความเสี่ยง"

เขาเล่าว่าตอนที่จองหุ้นบาฟส์ได้หุ้นมาไม่เยอะ จำได้ว่าครั้งแรกเข้าไปซื้อที่ราคา 94 บาท ซื้อไปประมาณ 5 แสนหุ้น แล้วมาซื้อที่ 100 บาท อีกประมาณ 2-3 แสนหุ้น โดยทุกสเต็ปท์ที่ซื้อจะลดจำนวนหุ้นลงเรื่อยๆ

"วิธีการของผม ก็คือ เวลาที่ผมซื้อหุ้นขาขึ้น ผมจะลดสัดส่วนลงประมาณครึ่งหนึ่งทุกครั้ง"

สมมติว่าเขาเริ่มซื้อหุ้นบาฟส์ที่ราคา 94 บาท จำนวน 5 แสนหุ้น ซื้อที่ 100 บาทที่ 2.5 แสนหุ้น ซื้อที่ 110 บาทที่ 1.25 แสนหุ้น และซื้อที่ 120 บาทที่ 6.25 หมื่นหุ้น (เวลาซื้อหุ้นขาขึ้นจะลดจำนวนหุ้นลงสเต็ปท์ละ 50%) เขาจะใช้เงินไปทั้งหมด 93.25 ล้านบาท เท่ากับว่าต้นทุนเฉลี่ยของเขาจะอยู่ที่หุ้นละ 99.46 ล้านบาท

"ซื้ออย่างนี้เพื่อให้ "ต้นทุน" เฉลี่ย "ต่ำกว่า" ราคาตลาด "พอเราเห็นว่าราคามันขึ้นไปเยอะก็รอดูอย่างเดียว เพื่อหาจังหวะขาย" เขาบอกเคล็ดลับนี้ให้ฟัง

ปรัชญาการจำกัดความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งของหมอ คือ เวลาหุ้นขึ้นมาแรงๆ ถ้าขึ้นมาถึง 50% ยังไง!ก็ขาย เพราะยังไง!หุ้นก็ต้องปรับตัวลง

และถ้าหุ้นลงมาถึง 50% ยังไง!ก็ต้องซื้อ เพราะยังไง!ก็ต้องปรับตัวขึ้น

"มันเหมือนกับเป็นสูตรในใจผมเลยว่าถ้าหุ้นขึ้น 50% ลง 50% ยังไง!ก็ต้องปรับตัว" เขาเชื่อเช่นนั้น

แต่กรณีที่ซื้อแล้ว ราคามีแนวโน้มลดลง หมอจะไม่ยอมให้ "กำไร" กลับมาเป็น "ขาดทุน" อย่างเด็ดขาด เขาจะใช้วิธีลดความเสี่ยงโดยการทยอยขายหุ้นออกจากพอร์ต

น.พ.ยรรยงได้อธิบายปรัชญาของเขาว่า "จะกำไรน้อย หรือกำไรมากไม่สำคัญเท่ากับ ทำยังไง!ก็ได้ไม่ให้กำไรต้องกลับมาเป็นขาดทุน เพราะมันเป็นวิธีเล่นหุ้นที่ผมถือว่าตัวเอง "โง่" มาก"

หมอสรุปให้ฟังว่า กฎการจำกัดความเสี่ยงของเขาจริงๆ แล้วมีอยู่แค่ 4 ข้อ คือ หนึ่ง ขาดทุนต้อง "Cut Loss" (ยอมตัดขาดทุน) สอง ถ้ามีกำไรให้ถือต่อ สาม ถ้ามีกำไรห้ามกลับมาขาดทุน และสี่ ถ้าขาดทุนครั้งแรกต้องหยุดการลงทุน มิฉะนั้นจะทำผิดซ้ำสอง

"นี่คือกฎเกณฑ์ที่ผมจะยึดถือเอาไว้ตลอด ผมถือคติว่าถ้าเราผิดครั้งแรกแสดงว่าเราเริ่ม:-) มองหุ้นไม่ออก แสดงว่าสิ่งที่เรามองว่าถูกที่จริงมันผิด อย่างนี้ผมจะลงจากเวทีชั่วคราว"

หมอยังมีกฎอีกว่า จะไม่เล่นหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ จะซื้อเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องซื้อขายสูง และจะเล่นเฉพาะหุ้นที่อยู่ใน "กระแสนิยม" ขณะนั้น

เขาเปรียบวิธีการเลือกหุ้นของตัวเองว่าเหมือนดูเทรนด์แฟชั่น "สมมติว่าคนกำลังบ้าหลุยส์วิตตอง ผมก็จะซื้อหลุยส์วิตตอง ถ้าผมประเมินว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะไป ดูข้อมูลทุกอย่างแล้วเข้าคอนเซ็ปท์ ผมจะเข้าไปซื้อเลยโดยไม่สนใจราคา แต่ถ้าคนเลิกเห่อ....ผมก็เลิกเล่น" ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าหุ้นที่ซื้อราคาจะ "ถูก" หรือ "แพง"

หากจะว่าไปแล้วสไตล์การเล่นหุ้นของน.พ.ยรรยงจัดว่า "เฉียบคม" อย่างยิ่ง เขากล่าวว่า "สไตล์ของผมคือเล่นหุ้นตาม "แฟชั่น" คือผมไม่ชอบนำแฟชั่น และไม่ชอบตามแฟชั่น แต่ผมจะ "เกาะกระแส" แฟชั่น เพราะผมเชื่อว่า นี่คือวิธีการจำกัดความเสี่ยงที่ดีที่สุด"

อาจจะพูดได้ว่าน.พ.ยรรยงก็คือ "นักเก็งกำไร" ที่เฉลียวฉลาด เพราะไม่ใช่แค่ตามแห่ แต่มีหลักการของการเก็งกำไรพอตัวทีเดียว

"วอลุ่ม" เป็นปัจจัยหนึ่งที่หมอใช้เป็นเงื่อนไขในการซื้อหรือขาย

ช่วงไหนที่ตลาดไซด์เวย์วอลุ่มไม่ค่อยมี หมอจะหยุดดู และทำตัวเหมือนกับ "เหยี่ยว" ที่รอคอยจังหวะเข้าโฉบเหยื่อ เมื่อไรก็ตามที่เขาบอกตัวเองว่าช่วงนี้หุ้น "เล่นยาก" ลงทุนไปก็ไม่คุ้ม เขาจะหยุดเล่นเลย นี่เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ทำให้น.พ.ยรรยงแตกต่างจากนักเก็งกำไรทั่วไป

นักเล่นหุ้นคนนี้ล่ำซำมาได้ไม่ใช่เพราะ "โชคดี" แต่เป็นเพราะเขาเลือกจับเฉพาะ "ปลาใหญ่" และกล้า "วางเดิมพันหมดหน้าตัก" ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูม เพราะเขามองว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่สุดของการทำกำไร และ "จำกัดความเสี่ยง"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา น.พ.ยรรยงเชื่อว่า ตลาดหุ้นมี "ฤดูกาล" ของมัน ในแต่ละปีจะมีช่วง "นาทีทอง" อย่างน้อย 1-2 เดือน และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ

เขาเผยว่า จะไม่เล่นหุ้นแบบ "ทอดแห" และไม่ซื้อหุ้นโดยไม่มีเป้าหมาย "ผมถือคติว่าจะไม่จับปลาเล็ก ผมชอบจับ "ปลาวาฬ" วิธีการคือ จะซื้อหุ้นน้อยตัว แต่จะซื้อทีละเยอะๆ โดยมองผลตอบแทนต่อครั้งประมาณ 20-30% หรืออย่างน้อยก็ต้อง 10% ขึ้นไป

สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่เขาเห็นส่วนใหญ่จะซื้อขายหุ้นบ่อยเกินไป และหวังกำไรเพียงแค่ 3-4% ก็ขาย น.พ.ยรรยงบอกว่า "ภาษานักเล่นหุ้นเขาเรียกว่า "กินน้ำหวานบนปลายมีด" คือได้รับผลตอบแทนน้อย แต่ลิ้นคุณต้องเจ็บตลอด อย่างนี้ผมจะไม่เล่น เพราะผิดหลักการจำกัดความเสี่ยง"

คนส่วนใหญ่มักจะมองน.พ.ยรรยงว่าเขาเป็น "นักเสี่ยงโชค" บางคนมองว่าเขาเป็น "นักพนัน" ด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครจะให้คำ "จำกัดความ" ตัวเขาว่าอย่างไร? หมอก็ยังยืนยันว่าเขาเป็นคนที่ "ไม่ชอบเสี่ยง"

"ผมจบทางด้านวิทยาศาสตร์ ผมจะเล่นด้วยเหตุผล อะไร?ที่คิดว่าเป็นความเสี่ยงผมจะไม่เล่น อะไร?ที่ผมมองว่าอนาคตไม่ดีผมจะไม่เล่น ไม่ใช่ว่าการที่ผมเป็นนักเก็งกำไร ผมต้องเล่นหุ้นสุ่มสี่สุ่มห้า เปล่า! เพราะถ้า "เสี่ยง" ผมไม่เข้า"

นี่คงเป็นบทสรุปชัดเจนว่า ทำไม! เขาจึงแตกต่างจากนักเก็งกำไรอื่นๆ


จากคุณ : popo \\\\\\\\\\\\\\\\-_-/ - [3 มิ.ย. 45 13:28:57 ]

จากคุณ : GABLIEL - [ 20 ก.ค. 48 08:00:40 ]


Create Date : 21 กรกฎาคม 2548
Last Update : 23 กรกฎาคม 2548 13:42:08 น. 0 comments
Counter : 404 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สักวันเราคงจะรู้จักกัน
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add สักวันเราคงจะรู้จักกัน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.