Group Blog
All Blog
--- นั ก ก อ ล์ ฟ มือ ใ ห ม่ ใ จ เ กิ น ร้ อ ย : ทศพล โสภโณวงศ์ ---














เห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ออกใหม่ ๆ แล้ว แต่ไม่จับจังหวะหามาอ่าน นึกไม่ออกว่าเขาจะเขียนเรื่องกอล์ฟอย่างไรเนื่องจากข้าพเจ้าไม่เคยรู้กฎ กติกาเกี่ยวกับกอล์ฟ แต่พอรู้เรื่องมารยาทในสนามกอล์ฟ ศิลปะของการเล่นกอล์ฟจากหนังสือ 'ใคร ๆ ก็อยากให้เล่นกอล์ฟ' ของคุณขจรฤทธิ์ รักษา บางเวลากอล์ฟก็เหมือนการใช้ชีวิตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ อ่านแล้วก็เล่นกอล์ฟไม่เป็นเหมือนเดิม ยังไม่ค่อยเข้าใจเพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องการเล่นต่อ แต่ได้อะไรต่อมิอะไรจากหนังสือเล่มนี้มากมายโดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิต และชีวิตดีแค่ไหนที่มีกัลยาณมิตร สิ่งที่ควรได้ควรมีคือ สุขภาพที่แข็งแรง มีเพื่อนดีสักจำนวนหนึ่ง ไม่ต้องมาก แต่ให้รักเขาเต็มที่เท่าที่เรารักได้ ทำดีกับเพื่อน พูดดีกับคนที่อยู่ใกล้ชิด --- น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีที่ฉันได้รับจากหนังสือเล่มนี้ด้วย

จากหนังสือกอล์ฟเล่มนั้นก็มาอ่าน ก๊อปตูเอง ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่มนี้เฮฮา มีสาระ คำคมชวนคิดติดมุก อ่านสนุกตลอดเล่ม แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจการเล่นกอล์ฟอยู่ดีเพราะแค่อยากอ่าน เก็บเกี่ยวบรรยากาศจากตัวหนังสือเท่านั้น

วันนี้อ่านกอล์ฟของคุณทศพลอีกครั้ง ยังคงฮาตั้งแต่หน้าแรกไปเรื่อย ๆ เขาเล่าตั้งแต่ออกรอบครั้งแรกที่สนามไพน์เฮิร์ส รอยัล ฮิลล์ สนามกอล์ฟ ทองไท เซาท์เทิร์น ฮิลล์ สนามงู หนู นก เอ๊ะ อย่างหลัง ๆ นี่มีหรือเปล่าจนไปถึงสนามกอล์ฟเมืองนอก จำชื่อไม่ค่อยได้หรอกเพราะไม่ได้ออกรอบด้วย จากเสียง หึ หึ ในลำคอก็ฮาออกมาแบบลืมตัว ไม่รู้จะฮาได้อีกถึงไหน อ่านมาถึงหน้า 22 อ่านถึงตอนแกปวดท้องอึ๊ระหว่างรถติดบนถนนที่เขากำลังจะไปสนามกอล์ฟ อ่านไปลุ้นไป เอาใจช่วยเพราะมันทรมานจริง ๆ นะเออ สำนวนการเล่าสนุกจริง ๆ ดูเป็นธรรมชาติของเขา ไม่รู้เลี้ยงหอยมุกไว้กี่โกดังกันนะ เล่าจนเห็นภาพชั๊ดชัด แต่บางมุมกลิ่นไม่ต้องมาก็ยังเดาได้ โดดงานไปเล่นบ้างหรือเปล่าน้อ (อุ๊ย เจ้านายเขาจะได้ยินมั้ย) เล่าถึงความงามของแคดดี้ระดับนางงาม(ไม่รู้แม่น้องฟืนเคยอ่านหรือเปล่านะ ฮา ๆ แบบนี้) เล่นกอล์ฟเจอบิ๊กจิ๋วฮัมเพลงอารมณ์ดี บางสนามก็ร้อนแดดดุอย่างกับน้ำร้อนเดือด ขึ้นภูเขากันไปตี พวกเขาก็ยังสนุกกัน อ๊ะ ฉันเขียนเกินจริงหรือเปล่า ก็เขาเล่าแบบนั้นนี่ ถึงว่าเล่นกอล์ฟแล้วหุ่นดี หล่อแบบหน้าเกรียมก็ยังดูดี บางวันสนามกอล์ฟปิดพี่แกจะลงแดงเหมือนกันนะถ้าไม่ได้แดจังกึมจอมนางแห่งวังหลวงช่วยไว้ ครั้งหนึ่งเคยสงสัยว่าถ้าหนุ่ม ๆ ไม่ตีกอล์ฟหรือเล่นกีฬาเขาไปทำอะไรกันที่ไหน (สงสัยไปทำไม) แต่บางกอกมีอะไรให้ดูเยอะแยะแล้วแต่ความสนใจของแต่ละคน ฉันไม่คุ้นเมืองหลวงแต่ก็รู้ว่าสาวออฟฟิศเมืองหลวงสวย น่ารัก เยอะมา า า า า ก ก ก อิอิ ก็ว่าไปตามเขานั่นแหละ

แต่ยิ่งอ่านไป ๆ ก็อยากไปเรียนรู้เรื่องกติกากอล์ฟบ้างแล้วเพราะจะทำให้อ่านสนุกขึ้น เขาใช้ศัพท์แสงในกีฬาน่าสนใจมาก อยากรู้ว่ามันคืออะไร ตีแบบนี้ อย่างนี้ มันยังไง จินตนาการไปไม่ถึง นึกถึงตอนที่ตัวเองอยากอ่านโคลง อาทิตย์ถึงจันทร์ ของคุณเนาวัตน์ พงษ์ไพบูลย์(ไม่ใช่เย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์ของคามิน คมนีย์นะ เล่มนี้ไม่มีโคลง มีแต่แรงบันดาลใจให้อยากวิ่ง) ครั้งแรกอ่านไม่ได้ ไม่รู้เรื่องเพราะตอนเรียนไม่สนใจเรื่องกลอน ฉันท์ กาพย์ โคลง ร่าย จำได้แค่ว่า ฉันทลักษณ์นี่ยากทุกอย่าง แต่วันหนึ่งอยากอ่านโคลงเป็นจึงไปถามครูที่สอนเขียนกลอนว่า ทำอย่างไรจึงจะอ่านรู้เรื่อง อยากหัดเขียน พอมีใครจะสอนได้บ้าง ครูที่สอนก็แนะนำว่าให้ไปเรียนกับคุณวฤกหรือหมอหนุ่ยผู้เชี่ยวชาญการเขียนโคลงและเขียนงานได้ไพเราะเพราะพริ้งมาก เราก็กลัวมากแต่ก็เขียนไปแปะที่เว็บไซต์ไว้และขอคำแนะนำจากคุณหมอวฤก ซึ่งอาจจะจำลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ ท่านก็เมตตามาก มาอ่าน วิจารณ์และให้กำลังใจให้ฝึกเขียนต่อไป การเขียนทำให้เรียนรู้ขึ้นเรื่อย ๆ จึงอ่านโคลงของคุณเนาวรัตน์ได้ทั้งเล่ม จากนั้นครูก็ส่งนิราศสุพรรณของสุนทรภู่มาให้อ่านอีก ซาบซึ้งไปนานกับสัมผัสอักษรในนั้น ฉันคิดว่า ถ้าอ่านกติกากอล์ฟให้พอรู้เรื่องการเล่นสักหน่อยจะอ่านหนังสือกอล์ฟสนุกขึ้น หรือคนที่เขียนกติกาย่อยง่ายอย่างคุณพิษณุ นิลกลัดก็น่าสนใจ เคยอ่านมาบ้าง ภาษาเข้าใจง่าย ๆ อาจจะเหมาะกับฉัน

ฉันเพลิดเพลินใจและมีความสนุกกับหนังสือกอล์ฟเล่มนี้มาก บอกคนที่บ้านว่า อยากให้เธออ่านก่อนใครเลย วางเล่ม พี่กับน้องของหยูหัวที่ฉันนั่งพล่าม(จนเขาอยากอ่านตามเพราะถูกบังคับ)ก่อนก็ได้ เล่มนั้นเขาพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า หนังสืออะไรมีแต่เรื่องส้วม ๆ อืม..ก็นั่นแหละ เปิดเรื่องส้วมก่อนล่ะ แต่สนุกทั้งเล่ม คนเขียนเป็นเภสัชกรนะ เล่าละเอียดมาก ฉากปฏิวัติวัฒนธรรมในเมืองจีน อ่านไปร้องไห้ไปสลับหัวเราะเหมือนคนบ้า เล่มนี้ก็เล่มโปรดของฉันอีกเล่ม เอ้า..เล่าออกนอกเรื่องจนได้ อยากเล่าถึงหนังสือกอล์ฟคุณทศพลหรือคุณพ่อน้องฟืนคนนี้แต่คงจืดแน่เพราะมุกเขาไม่รู้เอามาจากไหน ฮาทุกบรรทัด คนเส้นลึกอย่างฉันยังฮาได้ตลอด นึกถึงเก็บตังค์ หมารอตไวเลอร์ที่อ้วนท้วนและไม่มีวี่แววจะดุเป็นโรคกินไม่หยุดตัวนี้ แอบนึกถึงเจ้าอองออ หมาชราลูกรักที่บ้านที่วัน ๆ เอาแต่นอน ขาหลังจะยกตัวแทบไม่ไหว เดินจนแทบจะไม่ได้ แต่อย่าให้เห็นขนมที่ฉันเอามาให้ละกัน อองออไม่ยั่น ปากที่มีแต่เหงือก ฟันฟางหายหมดสามารถงับลมได้ฟึ่บ ฟึ่บเพราะโดนฉันแกล้ง(แกล้งหมา บาปมากมั้ยเนี่ย)ก็จะลุกโขยกเขยกมาขวางลำหมาหนุ่มอย่างพี่หมอกได้ ดีไม่ดีคำรามขู่ในคอได้อีกเพราะอยากกินคนเดียว

ที่เขียนโม้มาข้างบนนั่นน่ะแค่อยากชวนเพื่อน ๆ อ่านอะไรสบาย ๆ ในหนังสือเล่มนี้ บันเทิงใจและมีสาระ เล่นกอล์ฟไม่เป็นก็อ่านสนุกได้ นอกจากเป็นหนังสือเพื่อสุขภาพกายแล้ว หัวใจยังได้เติมอารมณ์ขัน มีชีวิตชีวา ยังมีเรื่องเล่าน่ารักถึงลูกชาย ความสามารถเฉพาะของผอบอทอบอที่บ้านตอนไปแข่งรถ เพื่อนก๊วนกวนของเขา เรื่องไปสมัครงาน สนามกอล์ฟ ผับ ท่าเต้นที่ฉันฮาซะจนย้อนวัยนึกถึงเพื่อนสมัยเรียนที่ก๊วนสาวเฒ่าเต้นไม่เป็นสักคน พอถึงเวลาเพลงมัน ๆ คันแข้งคะยึกคะยักอยากออกสเต็ปบ้างก็กลายเป็นท่าเต้นแอโรบิคกลางวงซะงั้น เล่าขวัญกันจนเดี๋ยวนี้

::
::
นักกอล์ฟมือใหม่ ใจเกินร้อย
ทศพล โสภโณวงศ์
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย


















Create Date : 16 ตุลาคม 2561
Last Update : 16 ตุลาคม 2561 8:33:35 น.
Counter : 790 Pageviews.

0 comment
--- ท ะ เ ล แ ล ะ ก า ล เ ว ล า : อัศศิริ ธรรมโชติ ---














วันหยุดหลายวัน มีเวลาอยู่บ้าน จัดเก็บหนังสือที่อ่านแล้วขึ้นชั้น พยายามจะเลือกงานของนักเขียนคนเดียวกันไว้ใกล้ ๆ กัน แต่เมื่อดูช่องหนังสือที่จัดไว้ก่อนหน้านี้คือ แยกตามสำนักพิมพ์บ้าง แต่บางทีดูแล้วก็ไม่ใช่ บ้างจัดเก็บตามหมวดหมู่ เช่น หนังสือแนวท่องเที่ยวหรือรวมบทกวี ฉันรวมไว้ใกล้ ๆ กัน หนังสือนักเขียนหญิงที่เราชอบก็ไว้ตู้เดียวกัน แต่หนังสือบางเล่มที่นึกถึง รู้ว่ามี แต่จำไม่ได้ว่าเก็บไว้ช่องไหน จะเอามาอ่านก็หาไม่ค่อยเจอ ยิ่งหาก็ยิ่งหาย แต่ก็ปล่อย ๆ ไป เดี๋ยวก็คงเจอ

แต่ถ้าใครเคยจัดหนังสือก็คงนึกภาพออกนะคะว่า มันไม่ไปถึงไหนหรอก จับเล่มนั้นเล่มนี้มาเปิด หนังสือที่ฉันอ่านแล้วส่วนใหญ่จะมีโน้ตเล็ก ๆ คั่นไว้ในหนังสือ ชอบตรงไหนก็โน้ตไว้ อดที่จะอ่านทวนข้อความเหล่านั้นไม่ได้ พออ่านก็นึกออกเป็นฉาก ๆ ว่าทำไมถึงชอบ การจัดเก็บหนังสือก็เลยไม่เสร็จสักที

อีกทั้งต้องทำใจกับหนังสือที่ปลวกกินชุดใหญ่ มีหนังสือที่ขาดชุดไป แสนเสียดาย คาดว่า หากได้ไปงานหนังสือค่อยไปเลือกเก็บที่อยากเก็บอีกครั้ง

ในตู้หนังสือนั้น มีหนังสือที่ฉันชอบมาก ชอบน้อย ต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา หนังสือก็เหมือนเพื่อน มีลักษณะนิสัยหลายแบบ มีปัญหา สุข ทุกข์ ราวกับบอกเรากลาย ๆ ว่า ไม่ได้มีชีวิตใครน่าอิจฉากว่าใครหรอก เราทุกคนล้วนมีปัญหาที่ต้องเผชิญด้วยกันทั้งนั้น หรือบางทีหนังสือก็เหมือนขนมหรืออาหาร มีสารพัดรสชาติแล้วแต่ชอบ นักเขียนก็ปรุงรสมือตามที่ตนเองชอบเป็นหลักด้วยซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง หากคนกินชอบด้วยก็ดีใจ

ฉันซื้อหนังสืออยู่เรื่อย ๆ บางครั้งก็อ่านจนครบ บางครั้งก็ไม่ แต่ขอซื้อไว้ก่อน คิดว่าว่าง ๆ ค่อยมาอ่านก็ได้ เดี๋ยวนี้อ่านหนังสือช้ามากไม่ว่าเล่มไหน เฉลี่ยอาทิตย์ละเล่มเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็รู้สึกคุ้มค่าทุกที เจอแต่หนังสือที่ทำให้อิ่มเหมือนกินอาหารชั้นเลิศอยู่เรื่อย ๆ

ฉันหยิบชุดหนังสือของคุณอัศศิริ ธรรมโชติออกมาวางรวมกัน กะจะรวมไว้ช่องเดียวกันในตู้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่า หนึ่งในสามเล่มนี้ ยังไม่เคยเปิดอ่านเลย (ขอบฟ้าทะเลกว้าง /ทะเลร่ำลมโศก /ทะเลและกาลเวลา) เปิดอ่านนวนิยายเรื่อง ทะเลและกาลเวลา แล้วก็ไม่อยากวาง หนังสือที่ขนมากองไว้ตรงหน้าก็ไม่อยากจัดต่อ ถึงจัดก็ไม่เสร็จลงง่าย ๆ ตัดสินใจอ่านให้จบเลยดีกว่า

ฉันเป็นคนรุ่นเก่าที่เติบโตมากับหนังสือของนักเขียนรุ่นใหญ่หลายท่าน หลับตานึกถึงชื่อนักเขียนที่ชื่นชอบและนักเขียนในดวงใจก็จะมีชื่อผุดขึ้นมาเหมือนดาวระยิบพริบพราย สำหรับคุณอัศศิริ นักเขียนท่านนี้ ฉันยังคงประทับใจในสำนวนสำเนียงการเขียน การเล่าเรื่อง เป็นความเรียงร้อยแก้วที่งดงามราวบทกวี

ครั้งหนึ่ง สมัยหัดเขียนบล็อกใหม่ ๆ เคยบันทึกเรื่องมหกรรมในท้องทุ่ง เป็นหนังสือที่ทำให้ย้อนวัยเยาว์ได้ดีที่สุด เป็นวัยสนุกสนานและมีชีวิตชีวาที่สุด เด็กบ้านนอกกับเรื่องเล่นในท้องทุ่งนั้น ฉันรู้สึกมีส่วนร่วมกับตอนนั้นตอนนี้จนเผลอแอบเป็นตัวละครในนั้นที่กำลังเล่นซนกับพรรคพวก

แต่กับท้องทะเลไทย ฉันกลับไม่รู้จักสักนิด

เปิดเรื่อง 'ท ะ เ ล แ ล ะ ก า ลเ ว ล า ' ด้วยตัวละครสองสามคน รวมถึง 'ผม' ผู้กลับมาบ้านและค่อย ๆ เล่าเรื่องราวของผู้คนที่นี่

ฉันอ่านจนจบไปหนึ่งรอบและย้อนกลับมาอ่านตัวละครตอนเปิดหนังสืออีกครั้ง ภาพของตัวละครแต่ละตัวชัดขึ้น ไม่ว่าจะน้อย หญิงสามผัวที่ประสบกับกับโศกนาฏกรรมต่าง ๆ นานาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ต้องรับมือ คนอ่านเหมือนจมทะเลโศกไปด้วย อัดอั้นตันใจเหลือเกินกับเรื่องราวของสามีแต่ละคน ต่างอาชีพ ต่างดิ้นรนทำมาหากิน วิ่งวนบนความเปลี่ยนแปลงและตกเป็นเป็นเหยื่อของความเข้าใจผิดอีกนานัปการ อย่างพร สามีนักมวยคนแรกของเธอผู้ซึ่งผิดหวังกับอาชีพบนผืนผ้าใบ ต้องฝืนใจไปหากินกับผืนทะเล จนกระทั่งสมหมาย สามีตำรวจของน้อย / สิ่ว ซึ่งเป็นเสมือนพี่และเพื่อนของผู้เล่า เขาเป็นนักเลงหัวไม้ กำพร้าแม่ โตมาอย่างที่ต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ไม่รู้จักหนังสือ ไม่รู้จักโรงเรียน เขาคล้ายปลาหลายน้ำที่เวียนว่ายไม่สิ้นสุดกับการเป็นนักเลงพนัน เหล้า กัญชา ผู้หญิงหากิน และตกเป็นผู้ต้องสงสัยกับคดีของสมหมาย / คำปุน(คนจากที่ราบสูง) ผู้ทำให้คำว่า 'ลูกทะเลโดยกำเนิด' นั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป และใครต่อใครที่เป็นญาติพี่น้อง ครอบครัว-ชุมชนชาวประมง

แต่ละชีวิตมีลมหายใจบนท้องทะเลไทยที่เปลี่ยนโฉมหน้าจากยุคเรือตังเกสู่ยุคเรืออวนลาก ทะเลยุคใหม่ที่ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง ฉันค่อย ๆ เห็นภาพสงครามค้าสัตว์น้ำจากทะเลผ่านกลุ่ม จปล (จองปลาลัง) ฉงนใจและอดยิ้มไม่ได้กับเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาของเขาตาม่องล่าย เขาเต่า เกาะสิงโต เขาช่องกระจก เขาตะเกียบและคำสาป การระเบิดปลาจนปะการังเสียหาย ปลาไร้ที่อยู่ เรื่องของคุณมหา ออนซี โรงน้ำเค็ม ฯลฯ สารพัดที่อย่างเรา ๆ ไม่เคยเห็นหรือรู้จักและยังจินตนาการไปไม่ถึงเสียด้วย

หนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มนี้มีทุกอย่างทั้งความเป็นสารคดี เป็นบันทึกความเปลี่ยนแปลงของท้องทะเลไทย มีนิทานพื้นบ้าน ร้อยเรียงด้วยภาษาประณีต ภาพชัด ได้กลิ่น สั่นสะเทือนใจ ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน คืออ่านจบแล้วเหมือนเรื่องราวยังกรุ่นอยู่ในใจ

ขอบคุณมากค่ะ
ภูพเยีย
30 กรกฎาคม 2561

















Create Date : 31 กรกฎาคม 2561
Last Update : 31 กรกฎาคม 2561 11:38:44 น.
Counter : 463 Pageviews.

0 comment
--- บั น ทึ ก น ก ไ ข ล า น : ฮารุกิ มูราคามิ ---














บั น ทึ ก น ก ไ ข ล า น
THE WIND-UP BIRD CHRONICLE
ฮารุกิ มุราคามิ เขียน
นพดล - จินตนา เวชสวัสดิ์ แปล

::
::

ยิ่งโลกแคบยิ่งห่างไกลจากการหยุดอยู่กับที่
โลกแคบผลิผุดเรื่องประหลาด คนพิลึก
ทั้งเรื่องทั้งผู้คน ...


ฉันซื้อหนังสือเล่มนี้มาทิ้งไว้น่าจะครบปีพอดี ซื้อเพราะเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า อ่านดี อยากให้อ่าน ปกติก็ไม่มีใครมาชวนอ่านงานของมูราคามิอยู่แล้ว ฉันก็ไม่ใช่แฟนหนังสือของเขา เพียงแต่ไม่ค่อยจะพลาดถ้าสำนักพิมพ์กำมะหยี่เลือกงานมาแปล อ่านสนุกก็ดี อ่านไม่สนุกก็ไม่เป็นไร

นิยายเจ็ดร้อยหกสิบหน้า มีอะไรนักหนามาเขียนมาเล่า แต่พอมีใจจะอ่านก็กระตือรือร้นขึ้นมาเฉย ๆ เพราะไม่ได้อ่านหนังสือออกใหม่สักเท่าไร

มันคือบันทึกของคนที่สมัครใจว่างงาน อยู่กับบ้านเฉย ๆ จู่ ๆ แมวหาย เขาตามหาแมวผู้ตัวโต น้ำตาลลายเสือ ปลายหางบิดเบี้ยวนิดหน่อย การตามล่าหาแมวตัวหนึ่งที่มีความสำคัญทำให้มีเรื่องเล่าของผู้คนในละแวกบ้าน

เอาล่ะ เรื่องในหนังสือพาเราโบยบินไปสู่โลกใบใหญ่ เป็นดินแดนจินตนาการที่เรื่องราวไม่น่าจะเป็นไปได้แต่กลับมีความสมเหตุสมผลจนดึงเราให้อ่านไปเรื่อย ๆ เพราะความอยากรู้

เรื่องของคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เราไม่รู้ว่าเรื่องของพวกเขาเพี้ยน คนเหล่านัี้ไม่มีจริงหรอก หรือว่าเป็นเราเองที่เพี้ยนกว่าพวกเขา

อย่าง เมย์ คาซาฮาระ สาวน้อยวันสิบหกข้างบ้าน ที่ชวนเขาไปทำงานร้านวิกผม ไม่น่าเชื่อว่า บริษัทวิกผมจะทำกำไรได้มหาศาลเพียงเพราะคนเรามักอับอายกับการหัวล้าน คนหัวล้านจะกอดเกี่ยววิกผมประหนึ่งว่าเป็นชะตากรรมประจำชีวิต บริษัทวิกผมไม่ต่างไปจากพวกขายยาเสพติด ให้ทดลองใช้ เมื่อใดเสพติดก็ถอนตัวไม่ขึ้น บริษัทจะได้ลูกค้าหัวล้านไปตลอดชีวิต มันไม่แค่นั้นนะ เมื่อขายวิกผมก็มีร้านเสริมสวยรับสระวิกผมและตัดและเล็มผมแท้อีก ฉันก็เพิ่งรู้ว่าเส้นผมเหล่านั้นมาจากที่ไหนบ้าง เราไม่เคยหัวล้าน เราอาจจะเข้าไม่ถึงความรู้สึกนี้

แล้วเด็กสาวคนนี้ทำไมถึงอยู่ที่บ้าน มีกล้องส่องทางไกลคอยส่องความเคลื่อนไหวของมิสเตอร์นกไขลาน (หรือ โทรุ โอกาดะ ชายว่างงานคนนี้แหละ ) เธอแกล้งเดินกะเผลก ๆ เพื่อจะได้ไม่ไปโรงเรียน แกล้งเดินจนกลายเป็นสันดาน ซ้อมเดินกะเผลกด้วยความคิดที่ว่า ต้องหลอกตัวเองให้ได้ก่อนที่จะหลอกคนอื่น ความคิดคำนึงของเธอมีแต่เรื่องหม่น ๆ คิดถึงแต่เรื่องความตาย

แล้วก็มีเรื่องเล่าถึงบ้านร้างหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านของสาวเมย์ ถ้าเล่าเรื่องบ้านที่มีครอบครัวเปี่ยมสุขคงไม่น่าสนใจ เราพอนึกออกใช่มั้ยคะว่า เรื่องของเขาต้องชักชวนให้เราฉงนและหยุดมองบ้านหลังนี้บ่อย ๆ ราวกับว่า เรื่องดี ๆ เราสนใจน้อย เหมือนข่าวเช้าที่นำเสนอเรื่องร้าย ๆ ดราม่า ๆ ไม่ว่าจะน่าสะอิดสะเอียดก็เป็นข่าวที่คนสนใจ เราเป็นคนแบบไหนก็คิดเอาเอง

จากนั้นก็เป็นเรื่องราวในบ้านของมิสเตอร์นกไขลาน ซึ่งฉันก็เดาว่านกตัวนั้นคือนกอะไร ร้องแกรกกราก ไขลานโลกยามเช้าและมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ยินมัน

คูมิโกะ โอกาดะ ภรรยาของเขานั้น ดูภาพรวมภายนอกก็เนี้ยบมาก เรื่องราวของเธอก็คงเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นั่นแหละ บางคนมีปมวันเด็กและมีที่มาที่ไปทั้งนั้น ต่างกันที่รายละเอียดภายในครอบครัว เธอถูกบังคับให้เรียนเปียโนเพราะจะต้องมีใครมาแทนที่พี่สาวของเธอที่ตายไป พี่สาวที่ทั้งสวย เก่ง ฉลาด ยิ่งต้องเป็นเงาของพี่สาวเธอยิ่งไม่ต้องการ เธอไม่อยากแทนที่ใคร และช่วงชีวิตวันเด็กของคูมิโกะ บิดเบี้ยวแสนเข็ญ

แต่เรื่องทีี่เธอสารภาพในจดหมาย นั้น สั่นสะเทือนหัวใจไม่น้อย เป็นเรื่องสามัญของมนุษย์หรือเปล่า ก็ต้องอ่านเอง มันกระเทาะหัวใจใครบ้างแหละ เป็นอารมณ์ละเอียดอ่อนและซับซ้อนในใจมนุษย์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่อบอุ่นและมีสามีที่ดี อ่านแล้วนึกถึง แอลิซ มันโร เรื่องที่ไม่น่าให้อภัยและเป็นสิ่งผิด แต่เราก็ทำ อารมณ์กรุ่นขึ้นมาแบบนั้นเลย

เธอมีพี่ชายคือ โนโบรุ วาทายะ (แถมยังเป็นชื่อของแมวที่หายไปและกำลังตามหาไปจนสุดหล้าโลก) เขาผิดเพี้ยนอัปลักษณ์ไปอีกทาง สำหรับฉันนะ เขาเป็นผู้ชายที่ฉลาดและน่ากลัวมาก เป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีในเชิงปัญญา เขาทุ่มเททุกอย่างไปในทางทำลายล้างสถานเดียว และไม่น่าเชื่อ คนแบบนี้จะได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากคนภายนอกเปลือกที่ดูดี เขาฉลาดในการออดอ้อนฝูงชนกลุ่มใหญ่ เขารู้วิธีนำตรรกะที่จะให้ฝูงชนสะเทือนใจมาใช้ ไม่ว่าจะโปรยศัพท์เทคนิคเป็นระยะ ๆ คิดแล้วเหมือนเราเจอคนแบบนี้ใกล้ตัว โทษเขาก็ไม่ได้ เพราะความอ่อนด้อยของเราเองที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงในเรื่องพวกนั้น ยิ่งถ้าโปรยสถิติเป็นตัวเลขเข้ามาอีก ยิ่งดูฉลาดและน่าเกรงขาม เราเองก็เหมือนโดนมนต์สะกด กว่าจะตื่น บางทีอะไรก็สายเกินไปเสียแล้ว

ยังมีเรื่องของร่างทรง ฮนดะ กับเรื่องราวของมหาสงครามโนมงฮัง เรื่องเล่าซ้ำนี้เชื่อมโยงไปยังผู้หมวดนามิยะ ผู้ซึ่งพิศวงและในสภาวะสงครามที่ความหวังแทบไม่กล้ำกรายผ่าน สิ่งเดียวที่เขากอดไว้กับตัวคือคำทำนายเดียวที่ฮนดะพูดถึงเขายามวิกฤตินั้น

พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่สะเทือนใจ เขย่าหัวใจฉันมากที่สุด ถึงกับอึ้ง เงียบงันในหัวใจเลยทีเดียว ยิ่งตอนที่นายทหารรัสเซียทรมานเชลยญี่ปุ่นด้วยการแล่เนื้อ คำบรรยายขณะใบมีดคมกรีดลงบนผิวหนังนั้นเป็นจริงเหมือนการปอกเปลือกลูกท้อ เสียงกรีดโหยหวนของมนุษย์ดังไม่ขาดสาย มันไม่ใช่เสียงร้องของมนุษย์ในโลกนี้ ภาพเด่นชัดผ่านตัวหนังสือทุกตัวอักษรและความรู้สึกเมื่อมีดแล่หนังจากหัวไหล่ขวา ไล่ลงล่าง เชื่องช้า ระมัดระวัง แทบจะเรียกได้ว่านุ่มนวล เบามือ เป็นความเจ็บปวดที่สุดจะพรรณนา ฯลฯ สลดหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงคราม ชะตากรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่เราย้อนกลับไปมองตอนที่เราผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้ว

เขาเล่าได้ยังไง เขาสื่ออารมณ์เหล่านี้ได้ละเอียดลออชวนอ้างว้างและหดหู่จนใจแทบจะขาดตายไปด้วย และเรื่องราวการรอดชีวิตของผู้หมวดนามิยะใต้ก้นบ่อลึกนั่นก็อีก แม้เคยมีคนซ่อนตัวใต้บ่อน้ำลึกเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันเต็ม ๆ ในระหว่างปฏิวัติรัสเซีย ซึ่งเขาก็รอดชีวิตมาได้นะแต่ผมร่วงฟันร่วง อะไรหลุดได้หลุดหมด แม้จะเหลือชีวิตรอดแต่ชีวิตก็ไม่สุขนัก เราจนต้องถามตัวเองเลยว่า นี่คือชะตากรรมใช่ไหม ไม่มีใครบอกเราว่าเราควรมีชีวิตอยู่หรือควรตายไปตั้งแต่ตอนนั้นหรือตอนไหน ซึ่งมาตรงกับตอนที่โทรุ โอกาดะปีนลงไปใต้ก้นบ่อน้ำลึกเพื่อคำนึงถึงความตายโดยมีสาวน้อยเมย์ คาซาฮาระคอยถามไถ่ความรู้สึกและอารมณ์ระหว่างที่อยู่ใต้ก้นบ่อนั้น แล้วก็ยังครีตา คะโนอีกคนที่ลงไปใต้ก้นบ่อ...

จะว่า คนว่างงานก็มีเรื่องราวเรื่องเล่าของคนนั้นคนนี้อยู่ตลอด ยังมีเรื่องของตัวละครที่น่าสนใจแทบทุกคน ไม่ว่าจะ มอลตา คะโน / ครีตา คะโนที่ครั้งหนึ่งเคยโดนแก๊งค์นักเลงจับไปขายตัวและได้เจอกับพี่เขยของโทรุ โอกาดะ เป็นคนสุดท้าย /เรื่องของสาวเซ็กส์โฟนคนนั้นที่ฉันยังเดาไม่ออกว่าเธอควรเป็นใคร แต่มันจะสำคัญแค่ไหน ไม่รู้อะไรบ้างก็ได้ จริงไหม

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามภาค

ภาคหนึ่งคือ นกแม็กพายขี้ขโมย ภาคสองคือ นกพยากรณ์ ฉันอ่านจบไปแค่สองภาคแรกเท่านั้น เหลืออีกหนึ่ีงภาคคือ คนจับนก เป็นภาคที่ยาวที่สุด ฉันคิดว่าฉันคงไม่ต้องรีบร้อนที่จะรู้เรื่องราวว่าจะสัมพันธ์กันหรือไม่ ก็แค่อ่าน ไม่คิดจะตั้งคำถามอะไรมากมายแค่ตามอ่านไปเรื่อย ๆ รับรู้อย่างสงบเงียบและสันโดษ คือหนังสือมันก็มีอะไรของมันนั่นแหละ เรื่องเล่าก็ทรงพลัง ดุดันและบางเรื่องก็เป็นความสามัญของมนุษย์ เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพียงแต่คนว่างงานคนหนึ่งอาจดูไรค่าและแปลกแยกในสายตาของโลกทุนนิยม และไม่ยอมก้มหัวให้กับการเป็นมนุษย์เงินเดือน

ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเชิญชวนหรือเรียกร้องให้ใครต่อใครมาอ่านเล่มนี้ มันก็อ่านอร่อยอยู่นะ ไม่รีบอ่าน รีบไม่ได้ด้วย เป็นความชอบส่วนตัว คงเหมือนที่ชอบ นอร์วีเจี้ยนวู้ด / 1Q84 / การปรากฎตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก ฯลฯ แต่เล่มที่อ่านบ่อยที่สุดคงจะเป็นเกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง เล่มนี้คงจะอ่านง่ายและอ่านบ่อยที่สุดก็ว่าได้

อ่านไปเพียงแท่านี้ก็เหลือเชื่อเหมือนกันว่า เรื่องของคนคนเดียวแต่สอดประสานไปกับเพื่อนร่วมโลกคนอื่น ๆ เจาะลึกและถลำเข้าไปในความเจ็บปวดของคนอื่น ๆ และตัวเอง และยังพาเราเข้าไปร่วมรับรู้ชะตากรรมของประเทศชาติและสงคราม

ภาคสาม คนจับนก
อ่านจบค่อยมาเขียนบันทึกต่อ

ขอบคุณที่อ่านบันทึกนี้ด้วยกันค่ะ
ภูพเยีย
17 กรกฎาคม 2561













Create Date : 17 กรกฎาคม 2561
Last Update : 17 กรกฎาคม 2561 10:55:24 น.
Counter : 490 Pageviews.

1 comment
--- SEAL TARGET GERONIMO : เ ห ยี ย บ พ ญ า ย ม ---













อ่ า น อี ก ค รั้ ง
SEAL TARGET GERO์NIMO
เ ห ยี ย บ พ ญ า ย ม
ปฏิบัติการ SEAL TEAM 6 สังหารบิน ลาเดน
CHUCK PFARRER เขียน
วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ถอดความ





...ทั้งกรีนเบเรต์และซีลนั้นก่อตั้งโดยประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ในปี 1962 แรกเริ่มเดิมที หน่วยกรีนเบเรต์ของกองทัพบกถูกสถาปนาขึ้นมาเพื่อเป็นหน่วยอำนวยการฝึกสอน หากในกรณีที่โซเวียตบุกยุโรปตะวันตก กรีนเบเรต์จะถูกปล่อยไว้ที่นั่นเพื่อจัดตั้งหน่วยต่อต้านในกลุ่มประเทศที่ถูกโซเวียตยึดครอง ในแต่ละหน่วยของกรีนเบเรต์ เอ-ทีมนั้นถูกอกแบบมาเพื่อให้ก่อตั้ง 'สมอง' อันเป็นจุดศูนย์กลางสำหรับสนับสนุนให้กองโจรเติบโต และแน่นอนว่าเมื่อรักจะสอนวิชามารกันแล้ว มันจำเป็นเหลือเกินที่ครูฝึกต้องเป็นมารฝีมือฉกาจ ดังนั้นกรีนเบเรต์ เอ-ทีมแต่ละนายจึงถูกฝึกมาอย่างดีเยี่ยม พวกเขาต้องชำนาญทั้งภาษาและเก่งในภาคปฏิบัติ บ้างเป็นนักสื่อสาร บ้างชำนาญด้านวัตถุระเบิด บ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอากาศ บ้างก็ฝึกการดำน้ำอย่างช่ำชอง กรีนเบเรต์ทุกนายต้องกระโดดร่มได้และผ่านโรงเรียนข่าวกรอง การสื่อสารแฝงเร้นเทรดคราฟต์หรือเทคนิควิชามารเกี่ยวกับงานจารกรรม และท้ายที่สุดคือการวางแผนภารกิจ

กองทัพเรือก็สร้างหน่ายสงครามพิเศษขึ้นมาจากโครงสร้างเดิมของหน่อยทำลายใต้น้ำที่รบในสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเกาหลี หน่วยที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้รู้จักกันในนามหน่วยซีล - SEAL อันย่อมาจากสภาพแวดล้อมที่หน่วยนี้ถูกฝึกมาให้ทำงาน SEA , AIR and LAND

...แต่หน่วยซีลก่อตั้งขึ้นมาภายใต้อีกจุดมุ่งหมายหนึ่ง หน่วยนี้เอาไว้ชนกับข้าศึกโดยตรง แม้ว่าหน่วยซีลยังคงความสามารถที่จะสอนและมีความสามารถที่จะก่อตั้งกองกำลังชาวบ้านได้แบบกรีนเบเรต์ แต่แก่นแท้หรือหัวใจจริง ๆ ของหน่วยซีลคือเพื่อสร้างความบรรลัยสาหัสให้แก่ศัตรูและในภารกิจประเภทนี้ ไม่มีใครในโลกเก่งไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว

การประกาศว่ามีหน่วยพิเศษโดยคนกลุ่มพิเศษที่เลือกเฟ้นอย่างดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่จะทำให้โครงการนี้จับต้องได้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อประธานาธิบดีเคนเนดี้อนุมัติการก่อตั้งหน่วยกรีนเบเรต์และหน่วยซีล ก็เกิดสองคำถามสำคัญที่เพ็นทากอนต้องตอบทันที นั่นคือ จะเลือกใคร ? และจะฝึกพวกเขาอย่างไร ?

.. คนที่ถูกเลือกให้เข้าซีลนั้นต้องผ่านมรสุมแห่งการเรียน การฝึกถูกวางแผนมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเจ้าหน้าที่ซีลทุกนายต้องเป็นทุกอย่าง จะไม่มีหน่วยย่อยซึ่งชำนาญการใดพิเศษคอยให้ความช่วยเหลือ ซีลทุกนายต้องเก่งรอบตัวในปฏิบัติการพิเศษทุกแขนง แต่ละคนผ่านการฝึกกระโดดร่ม ทำลายใต้น้ำ ขับเรือเล็ก และปฏิบัติการในทุกสภาวะอากาศ - ในป่า ในหนองน้ำและบนน้ำแข็ง ...ในเวียดนาม ซีลไปโผล่ยังจุดที่ศัตรูคาดไม่ถึง และโจมตีด้วยความรุนแรงเกินพิกัดของจำนวนคนในหน่วย เวียดกงเรียกพวกนี้ว่า 'ไอ้หน้าเขียว' และตั้งค่าหัวไว้สำหรับหน่วยนี้โดยเฉพาะ

บัดส์ (BUD / S - Basic Underwater Demolition / SEALs - หน่อยทำลายใต้น้ำ ) อยู่ที่ศูนย์สะเทิ้นน้ำสะเท้นบกของกองทัพเรือที่คอโรนาโด รัฐแคลิฟอเนียร์ ห่างจากโฮเต็ล เดล คอโรนาโดอันสวยงามราวหนึ่งไมล์ และตั้งอยู่ท่ามกลางเนินทรายที่มีเสียงลมพัดหวิวไหวแห่งซิลเวอร์สแตรนด์ สเตท พาร์ค ของแคลิฟอเนียร์

มันเป็นเรื่องน่าประชดประชันยิ่งนักที่สถานที่อันงดงามที่สุดของรัฐแคลิฟอเนียร์เป็นศูนย์กลางแห่งความทุกข์ลำเค็ญอย่างใหญ่หลวง บัดส์จัดเป็นโรงเรียนที่ยากที่สุดในบรรดาหลักสูตรการทหารทั้งปวงของสหรัฐฯ การฝึกนั้นสาหัสถึงขั้นที่บางชั้นเรียนไม่มีนักเรียนจบหลักสูตรแม้แต่คนเดียว - ทุกคนยอมแพ้ มันยิ่งทำให้นักเรียนซีลขวัญหนี เมื่อพวกเขาตระหนักได้ว่าบัดส์นั้นไม่ใช่จุดสุดท้ายของการคัดเลือกหรือการฝึกฝนในฐานะผู้ปฏิบัติการของศูนย์สงครามพิเศษทางทะเล - นี่คือจุดเริ่มต้นเท่านั้น

จากอาสาสมัครจำนวนหนึ่งพันคนที่ต้องการเป็นซีล สองร้อยคนเท่านั้นที่จะได้เข้ารับการฝึก ก่อนเริ่มฝึก อนาคตมนุษย์กบเหล่านี้จะต้องผ่านการตรวจสอบสภาพร่างกาย จิตใจ และผ่านการสอบด้านวิชการต่าง ๆ พวกที่ถูกคัดออกในทันทีคือพวกที่เคยมีประวัติกับตำรวจ มีคดีเยาวชน กระทำความผิดเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว ติดยา ล้มละลาย หรือพวกทีหนี้สินท่วมตัว - แม้กระทั่งการตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้สมัครถูกตัดสิทธิ์

นักเรียนที่ถูกคัดเลือกให้เข้าเรียนในชั้นบัดส์ต้องมีโสตรับฟังที่สมบูรณ์และผ่านการตรวจสายตาอย่างเข้มข้น ร่างกายของพวกเขาจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อผ่านเกณฑ์การบินและดำน้ำตามมาตรฐานของกองทัพเรือ ผู้เข้ารับการฝึกต้องถูกทิ่ม แทง เอ็กซเรย์ แค็ทสแกน และถูกสัมภาษณ์โดยจิตแพทย์ จากนั้นก็วนกลับไปสู่การตรวจสอบอีกครั้ง ขั้นตอนเหล่านี้มิได้มีขึ้นเพื่อกีดกันคนเข้าร่วมหน่วยซีล แต่เป็นการคัดกรองนักเรียนที่เข้ารับการฝึกว่า เขาเหล่านั้นมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างแท้จริง ฉะนั้นย่อมมีแนวโน้มที่จะฝึกสำเร็จการฝึกตามหลักสูตร

กองทัพเรือใช้เงินหลายล้านเหรียญในการตรวจสอบและการวินิจฉัยด้านจิตวิทยาเพื่อหา'พันธุ์' ของชายที่มีแนวโน้มที่จะอดทนได้ในยามคับขัน แต่ความจริงก็คือ พวกเขาไม่รู้หรอก นักกีฬาโอลิมปิค นักอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล นักยังชีพ และครูฝึกฟิตเนส ล้วนเคยมีประวัติอยู่ในพวกที่ฝึกไม่สำเร็จทั้งสิ้น

ส่วนพวกที่สำเร็จการฝึกก็มีตั้งแต่พวกนักเล่นกระดานโต้คลื่น ช่างไม้ หนอนคอมพิวเตอร์ และชาวไร่จากไอโอว่า ผู้ผ่านการฝึกออกมาเป็นเนวี่ซีล มันเป็นเรื่องยากนักที่จะหยั่งวัด

...หลักสูตรบัดส์คือการฝึกตลอดหกเดือนที่กองทัพเรือจำกัดความไว้หลวม ๆ ว่า ' ท้าทายสภาพร่างกายและจิตใจ' นี่น่าจะเป็นวลีที่อ่อนด้อยกว่าความเป็นจริงที่สุด

หลังจากบรรจุเข้าชั้นเรียนแล้ว นักเรียนก็จะเริ่มเข้าสู่สองสัปดาห์แห่งการฝึกความพร้อมที่เรียกว่า 'พรีเทรนนิ่ง' ตลอดวันและคืนอีนยาวนานของการฝึก

พวกเขาจะได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง หากใครดันบู๊ทแคมป์มาได้โดยไม่รู้จักการเดินแถว การขัดรองเท้าหรือหัวเข็มขัด พวกเขาจะมารู้จักกับสิ่งเหล่านี้อีกทีที่นี่ เรือนพักริมหาดของพวกเขาจะถูกตรวจ และพบว่าเกลื่อนไปด้วยทราย ถูกรื้อจนเละ แล้วถูกตรวจใหม่ พวกเขาจะต้องเข้าโปรแกรมการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงที่เรียกว่า บัดส์ พีที (BUD/S PT) ชุดกายบริหารอันทรมานกล้ามเนื้อที่ว่านี้คิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว (kinesionlogists) โดยมีจุดมุ่งหมายให้กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายมนุษย์ถูกบีบและยืดอย่างถี่ถ้วน ตลอดหกเดือน นักเรียนจะทำกายบริหารชุดนี้ซึ่งมีความยาวเก้าสิบนาทีเป็นประจำทุกวัน

พวกเขาจะต้องวิ่ง วิ่ง และวิ่ง นักเรียนจะถูกพาวิ่งบนเส้นทางยาวเหยียดไม่รู้จบรอบแล้วรอบเล่า ที่เรียกกันว่า 'conditioning hikes'- - ชื่อที่ตารางการเรียนระบุเอาไว้ พวกเขาจะถูกต้อนไปเป็นฝูงขนาดหนึ่งกองร้อยวิ่งกันไปบนหาดทราย นำโดยครูฝึกของซีลที่ดูเหมือนไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย ขณะที่พวกฝีตีนอ่อนหล่นลงไปกองอยู่ท้ายกลุ่ม พวกฝีตีนดีก็วิ่งจ่อท้ายครูฝึกอยู่หัวแถว การหล่นเข้ามาอยู่กลางกลุ่มหมายถึงการร่วงลงมาในกลุ่มตีนห้าสิบคู่ของชายฉกรรจ์ห้าสิบคน และกำลังหอบหายใจเอาฝุ่นของชายห้าสิบคนข้างหน้านั้นเข้าปอด

มีแต่คนที่วิ่งนำอยู่หัวแถวเท่านั้นที่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ทุกครั้งที่กลุ่มออกวิ่งในช่วงพรีเทรนนิ่ง จะมีครูฝึกราวครึ่งโหลวิ่งตามไปใกล้ ๆ คล้ายหมาป่าที่คอยล่าลูกกวางหลงฝูง ครูฝึกจะพุ่งเข้า ๆ ออก ๆ อยู่กับกลุ่มที่รั้งท้าย ผลักดันให้พวกนี้วิ่งเร็วขึ้นด้วยการวิดพื้น ซิทอัพและกระโดดตบ ในระหว่างที่เพื่อนร่วมชั้นทิ้งห่างออกไปลิบ ๆ ไม่นานนัก ครูฝึกก็สมประสงค์คือการพยายามตัดส่วนที่ช้าที่สุดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ออกไปจากชั้น

หนุ่ม ๆ เหล่านี้จะถูกขู่กรรโชกและแยกตัวออกมารวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เรียกว่า สัตว์ประหลาด ( Goon Squad) ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะพวกที่วิ่งช้ามักตัวใหญ่ สมาชิกในฝูงนี้ส่วนมากจะสูงกว่าหกฟุตทั้งสิ้น เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ที่หล่นลงมาอยู่ในฝูงสัตว์ประหลาดคือพวกนักอเมริกันฟุตบอลและนักเพาะกาย

และในกลุ่มเล็ก ๆ ที่รั้งท้ายนี่เอง ครูฝึกจะดูแลคนพวกนี้อย่างใส่ใจด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะทำให้พวกเขาวิ่งเร็วขึ้นอย่างฉับพลันทันที แต่คำสั่งของครูฝึกนั้นก็ยากที่จะทำตาม เพราะสมาชิกในกลุ่มนี้ได้รับโอกาสให้หยุดพักกันบ่อย ๆ - หยุดวิดพื้น ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่ของแคลิฟฟอเนียร์ถาโถมบนหลังของพวกเขา เท่านั้นไม่พอ สมาชิกในฝูงสัตว์ประหลาดยังได้รับคุ้กกี้เคลือบน้ำตาลกันอย่างถ้วนหน้าอีกด้วย - นั่นคือการนอนเกลือกกลิ้งไปบนทรายจนกระทั่งทุกตารางนิ้วบนร่างกายเกรอะทรายเม็ดละเอียดอย่างหมดจดและชอนไชเข้าไปทั่วทุกทวาร เมื่อถี่ถ้วนเรียบร้อยดีแล้ว พวกเขาก็ถูกปล่อยตัวกลับไปวิ่งต่อ

พวกช้าที่สุดจะถูกโขกสับอย่างนี้ทุกวัน ครูฝึกจะเพียรบอกนักเรียนในชั้นเสมอว่า 'ผู้ชนะย่อมได้รางวัล' และ 'วันเสบาย ๆ ' ได้ผ่านไปแล้ว 'แม้การฝึกจะโหดเพียงใด นักเรียนก็จะปลอบใจตัวเองได้ว่า 'เอาวะ ยังไงกูก็ไม่ได้อยู่ในฝูงสัตว์ประหลาด' นักเรียนเกือบทุกคนต้องเคยตกเป็นสัตว์ประหลาดอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครอยากลองอีก แต่สำหรับนักเรียนบางคน ชีวิตในฝูงสัตว์ประหลาดนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่า

หลังจากผ่านไปสองสามสัปดาห์พลังงานลึกลับบางอย่างเกิดขึ้นในกลุ่มผู้รอดตาย นักเรียนคนอื่น ๆ ยืนดูขณะที่ฝูงสัตว์ประหลาดถูกโขกสับตั้งแต่เช้าจดเย็น พิสูจน์ได้บ่อยครั้งว่านี่คือชายที่เด็ดเดี่ยวที่สุดในชั้น คนในฝูงสัตว์ประหลาดมีกึ๋นพอสำหรับการเป็นซีลในทุก ๆ ด้าน - เว้นแต่วิ่งไม่ได้อย่างละมั่ง ว่ายน้ำไม่ได้เหมือนโลมา และปีนป่ายสิ่งกีดขวางไม่คล่องเท่าชิมแปนซี สัตว์ประหลาดบางตัวจะเติบโตไปเป็นซีลที่แข็งแกร่งและฝีมือเยี่ยมที่สุดในทีม แต่ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อถูกตัดออกจากฝูง พวกเขาจะยอมพ่ายแพ้เพราะความเดียวดายและท้อแท้

'สำหรับพวกที่รั้งท้าย คุณต้องมีความอยากจริง ๆ ' ศิษย์เก่าฝูงสัตว์ประหลาดกล่าว 'ครูฝึกเขาทำให้คุณสำนึกทุกวัน'

คนที่วิ่งเสร็จก่อน-ถึงก่อน จะได้ดื่มน้ำเย็นจากตู้ และพอมีเวลาแห่งสันติเล็กน้อยโดยปราศจากครูฝึกมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช ชั่วแวบที่ฝูงสัตว์ประหลาดพากันเดินโผเผกลับมาถึงที่พัก นักเรียนคนอื่น ๆ ก็เริ่มสำเหนียกได้ว่า 'ผู้ชนะย่อมได้รางวัล' และอีกหนึ่งคติพจน์ของซีลคือ 'คนชนะไม่เคยเลิก คนเลิกไม่เคยชนะ'

ทีละน้อย ๆ นักเรียนจะค่อย ๆ ผันเวลาเข้าสู่ทีมไทม์ (Team Time) อันหมายถึงเวลาที่ฝึกที่ยาวถึงสิบแปดชั่วโมง และบ่อยครั้งอาจจะยืดเป็นยี่สิบหรือมากกว่านั้น การพักผ่อนนอนหลับกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่จะได้มาก็ต่อเมื่อห้องพักสะอาดเอี่ยมอ่อง พื้นต้องผ่านการกวาดถู ยูนิฟอร์มและเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ต้องเรียบร้อย เขาสอนนักเรียนให้รู้จักทีมเวิร์กผ่านเทคนิคง่าย ๆ ด้วยการให้เพื่อนร่วมห้องร่วมรับกรรมหากอีกคนทำผิดกฎ ถ้าตู้เสื้อผ้าของใครสกปรก ตู้ข้าง ๆ ก็จะโดนรื้อกระจุยไปด้วย ถ้ายูนิฟอร์มของใครไม่เนี้ยบ เพื่อนร่วมห้องก็โดนด้วย - สองคนพากันวิ่งข้ามเนินหลังเรือนนอนลงไปสู่อ้อมกอดของแปซิฟิค ก่อนที่จะกลับมาโดนครูฝึกอีกคนหนึ่งเล่นงานเรื่องใส่ยูนิฟอร์มเปียกและเปื้อนทรายมาเข้าแถวตรวจ ไม่มีใครผ่านบัดส์ไปได้โดยไม่มีเพื่อน ซีลไม่ได้มองหาคนสันโดษ ครูฝึกจะดูแลอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษที่จะไม่ให้ใครเอาเปรียบใคร ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตนในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของทีม

ครูฝึกในภาพยนตร์มักจะสวมบทบาทโดยคนหน้าตาถมึงทึงและอารมณืร้ายกาจ ครูฝึกซีลไม่จำเป็นต้องตะโกน ถ้าต้องออกคำสั่งเป็นครั้งที่สองก็หมายความว่าเดี๋ยวมีนรกแตก...








การทำงานของซีลอยู่ในระดับสุดยอดของลำดับชั้นทหาร ในทีมส่วนใหญ่แล้ว นายทหารชั้นสัญญาบัตรจะเรียกกันด้วยชื่อ ไม่ใช่นามสกุล พฤติกรรมแบบผักชีโรยหน้านั้นแทบไม่มีให้เห็น ซีลที่ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจทุกนายได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วทั้งสิ้น ทุกคนตระหนักดีว่าครั้งเดียวที่พลาด ครั้งเดียวที่อุปกรณ์ขัดข้อง ครั้งเดียวที่หละหลวมในการวางแผนหรือการปฏิบัติ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุให้สูญเสียพี่น้องร่วมทีมได้

นี่คือโลกที่แตกต่างไปจากที่ทำงานของพลเรือนจนแทบจะอธิบายให้เข้าใจไม่ได้ ลองคิดถึงการเมืองในที่ทำงานของคุณ คิดถึงเพื่อนร่วมงานที่อ่อนด้อย จู้จี้ หรือเจ้าคิดเจ้าแค้น สมมติว่าเกิดการยิงหูดับตับไหม้ในตรอกแคบ ๆ ของเมืองมาส-ไอ-ชารีฟอันห่างไกลสุดกู่ แล้วเพื่อนที่คุณไม่ชอบหน้าคนนี้เกิดหกล้มขึ้นมา คุณจะพุ่งไปโดยไม่คิด ไม่ลังเล คุณจะออกจากที่กำบัง เปิดตัวเองเป็นเป้ากระสุนศัตรู แล้วลากเขาเข้าสู่ที่ปลอดภัย อะไรที่น้อยไปกว่าการทุ่มเทหมดใจ ความลังเลแม้เพียงน้อยนิด อิดออด ขลาดกลัว หรือแม้แต่โต้เถียงเกี่ยงงอน จะทำให้คุณถูกคัดออกจากทีมทันทีและตลอดไป

พลเรือนแทบจะไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้มีเยื่อใยต่อกันและเชื่อใจกันเพียงใด ในสายอาชีพของเจ้าหน้าที่ซีลพื้น ๆ คนหนึ่ง เพื่อนร่วมทีมจะช่วยชีวิตเขานับสิบครั้ง เขาจะถูกเพื่อนดึงตัวออกจากซากเพลิงไหม้หลายกรรมหลายวาระ เตะระเบิดมือออกจากรัศมี ยิงต่อสู้เมื่อเขาถูกสาดกระสุนจากศัตรูปูพรมกดหัวไว้ หรือดึงร่างที่จมน้ำหมดสติของเขาเข้าสู่เรือดำน้ำ ในทีม สิ่งเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นการกระทำอันน่าสรรเสริญของวีรบุรุษ - ตรงกันข้าม - เหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่กระทำกันอยู่ทุกวี่ทุกวันในชีวิตการทำงาน

พวกซีลจะบอกคุณว่า 'มันไม่ใช่สำหรับทุกคน'

เจ้าหน้าที่ซีลแต่ละคนนั้นเกลียดการออกสื่อเข้าไส้ ทั้งนี้ยกเว้นโฆษกซึ่งได้รับมอบหมายงานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เคยมีซีลระหว่างปฏิบัติหน้าที่คนไหนเคยให้สัมภาษณ์ ถึงแม้กองทัพเรือจะอนุญาตให้การฝึกซีลบางส่วนมีการบันทึกเทป ซึ่งก็เป็นการอนุญาตอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ด้วยหวังว่าสื่อจะทำให้มีพลเรือนเข้ามาสมัครมากขึ้น ถ้าให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทีมแล้วละก็ มันจะไม่มีอะไรแพร่งพรายออกสู่สาธารณะเลย ทุกวันนี้ยังเหลือพวกมนุษย์กบรุ่นดั้งเดิมที่ยังจำได้ถึงวันที่กองทัพเรือปฏิเสธการมีตัวตนของหนาวยซีล สำหรับพวกเขาแล้ว หากหนุ่มคนไหนอยากเป็นซีล บทพิสูจน์ขั้นต้นก็คือ มันต้องคลำหาทางเข้าให้เจอเสียก่อน

ชีวิตที่ต้องอยู่กับความลับของซีลนั้นเป็นดาบสองคม ด้านที่ดีคือมันทำให้พวกเขาสมัครสมานสามัคคีอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ความลับอันเป็นหัวใจแห่งความปลอดภัยของภารกิจก็ทำให้ต้องตัดขาดจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า 'โลกปกติ' ไปโดยปริยาย ชายเหล่านี้ฝึกด้วยกัน ออกปฏิบัติหน้าที่ด้วยกัน และถูกส่งตัวไปทำงานนอกประเทศด้วยกัน ในเวลาว่าง พวกเขาจะวิ่งมาราธอน กระโดดร่ม ปีนเขา เซิร์ฟ ดำน้ำ พายคายแย็ก และขี่จักรยานวิบากกับเพื่อนที่มักจะเป็นซีลด้วยกันเสมอ ที่ทำงานของพวกเขาอาจเป็นโลกทั้งใบ แต่สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว พื้นที่นั้นน้อยนิดและคงฟิตอยู่เพียงแค่ฝ่ามือเดียว

ถ้าคุณเกิดเดินไปเจอซีลเข้าโดยบังเอิญ คุณอาจจะคิดว่า เขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นสูง เข้ากับคนง่าย และบางทีอาจจะกะล่อนเสียด้วยซ้ำถึงแม้เขาจะดูเหมือนเป็นคนเจ้าสังคม แต่คุณจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกินที่คุณจะรู้จักเขาอย่างถ่องแท้ ซีลไม่วางใจขคนแปลกหน้าและมันจะใช้เวลานานแสนนานสำหรับพลเรือน ไม่ว่าหญิงหรือชาย ที่จะทำให้เขาวางใจหรือเชื่อใจ

ภารกิจของซีลนั้นขึ้นอยู่กับการอำพรางและนวัตกรรมทางด้านเทคนิคใหม่ ๆ ซีลเก็บความลับของทีม และได้ทำเช่นนั้นมากกว่าห้าสิบปีแล้ว คำสาบานและพันธะแห่งความเป็นพี่น้องคือสองสิ่งที่ถูกที่ผูกยึดพวกเขาไว้ด้วยกัน








::

.

'... ผมอยากออกตัวไว้ ณ ที่นี่ว่า ที่ผมแปลหนังสือเล่มนี้เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องครบรส มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์อันเป็นที่มาของความขัดแย้ง เทคนิคการรบและการจารกรรมสมัยใหม่รวมอยู่ เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง โดยเฉพาะสำหรับผู้อ่านที่อยู่ในข่าวสายกรองและการทหาร ผมไม่ได้แปลเพราะความสะใจที่ใครสังหารใครได้สำเร็จ

บอกตามตรงครับ ว่าหลังจากเข้าไปคลุกคลีกับข้อมูลมาก ๆ ถึงวันนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า สิ่งที่เราเห็นกันอยู่ชัด ๆ ... สิ่งที่เขาบอกว่ามันเกิดขึ้น...แท้แล้วมันเกิดขึ้นด้วยต้นเหตุที่เขานำเสนอหรือเปล่า...'


วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ






หยิบมาอ่านอีกครั้ง
เราปลื้มนักถอดความคนนี้
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย












Create Date : 13 กรกฎาคม 2561
Last Update : 13 กรกฎาคม 2561 11:19:26 น.
Counter : 403 Pageviews.

0 comment
--- ก า ซี โ ก กี : ค น ที่ ผ ม รั ก ที่ สุ ด ใ น โ ล ก มี แ ค่ พ่ อ ---
























อ่านกาซีโกกีจบแล้ว นึกถึงแม่คนหนึ่งที่ดูแลลูกป่วยโดยไม่เคยพร่ำบ่นหรือโอดครวญใด ๆ แต่ลึก ๆ แล้ว ฉันคิดว่าเธอคงจะผ่านช่วงเวลานั้นมาอย่างแสนสาหัสแล้วก็ได้ มีบ้างบางครั้งที่เธอเล่าด้วยน้ำเสียงกึ่งยิ้มกึ่งเศร้า ทำงานหนักเพื่อลูกและอยู่กับวันนี้จริง ๆ ความหวังอันแรงกล้าที่จะให้ลูกฟื้นกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติดูริบหรี่เสียเหลือเกิน เราทำได้แต่รับฟังและเป็นกำลังใจให้เท่านั้น

สำหรับหนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปนี้ ชื่อแปลก ๆ ตอนแรกก็อ่านไม่ค่อยเข้าปากเพราะไม่รู้จัก

กา ซี โ ก กี เป็นชื่อของปลา ปลาชนิดนี้จะแปลกมาก ๆ ตรงที่หลังจากแม่ปลาวางไข่ไว้ก็จะหายตัวไปเลย ไม่สนใจว่าลูกจะเป็นอย่างไร พ่อปลาจะทำหน้าที่เฝ้าไข่และปกป้องไข่ไว้เพียงลำพัง หลังจากที่ลูก ๆ เจริญเติบโตแล้ว ลูกปลาก็จะทอดทิ้งพ่อไปตามทางของตนเอง พ่อปลาที่อยู่เพียงลำพังและโดดเดี่ยว จะว่ายเอาหัวชนหินจนตาย ...

ชองโฮยอน หรือ พ่ อ ป ล า ก า ซี โ ก กี ตัวนี้เป็นเป็นกวี โดนภรรยาผู้ซึ่งหลงใหลในโลกศิลปะและพบรักใหม่เป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงขอหย่า เธอได้ย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสกับเขา ทิ้งลูกชายไว้ให้สามีดูแลเพียงลำพัง ก่อนที่เธอจะไป ชองโฮยอนเล่าอาการป่วยของลูกชาย หวังว่าจะมีโอกาสกลับมาเป็นครอบครัวดังเดิม แต่เธอก็ส่งทนายลงนามการหย่าพร้อมเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูบุตร

เขาดูแลทาอุม ลูกชายที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อาการป่วยของเขาไม่ดีขึ้น การรักษาขั้นพื้นฐานมะเร็งเม็ดเลือดขาวไม่ดีขึ้นทั้งเคมีบำบัดกับรังสีรักษาก็ถึงขีดจำกัดแล้ว เหลือเพียงปลูกถ่ายไขกระดูก

การปลูกถ่ายไขกระดูกก็เหมือนวิ่งมาราธอนทางไกล กว่าจะปลูกถ่ายกันได้ คนไข้ต้องอดทนกับการรักษามาก และถึงปลูกถ่ายไขกระดูกได้แล้ว ก็อาจต้องลำบากกว่าตอนรักษาด้วยยากับรังสีเป็นเท่าตัว ทั้งยังสุ่มเสี่ยงจะมีผลข้างเคียงหลังการปลูกถ่ายไขกระดูกด้วย การหาไขกระดูกอันดับแรกก็ต้องมีเอชแอลเอตรงกัน ซึ่งก็หายากเช่นกัน

แต่ตอนนี้ ลูกชายวัยสิบขวบของเขาก็ทรมานกับเคมีบำบัดอยู่แล้ว และจะต้องให้ยาเคมีบำบัดแรงกว่านี้ประมาณสิบเท่า ส่วนรังสีรักษาก็ต้องฉายทั้งตัว ลูกชายเขาแทบจะทนรับการรักษามะเร็งตอนนี้ไม่ไหว นับประสาอะไรกับการรับยาแรงกว่านี้อีกสิบเท่า และการฉายรังสีทั้งตัวก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะหายสนิท

การรอดชีวิตมักคิดเป็นเปอร์เซ็นต์อยู่เสมอ โอกาสรอดและความหวังของคนยังแทนด้วยตัวเลขอยู่ แต่สิ่งที่เขาละเลยไม่ได้เลยคือ ความผิดหวังที่มักจะแฝงตัวอยู่เบื้องหลังความหวังเสมอ

ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายสูงมาก กวีจะวิ่งหาเงินจากค่าต้นฉบับที่ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่ามาจากที่ไหน

ในที่สุด เขาตัดสินใจพาลูกออกจากโรงพยาบาล ก่อนจะมีเหตุให้ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ

'ผมเคยถามพ่อว่า ต่อไปพ่ออยากให้ผมเป็นอะไร พ่อยิ้ม ตอบว่า พ่ออยากให้ผมมีความสุข หมายความว่าพ่อไม่ว่าอะไรเรื่องอาชีพผม พ่อแค่อยากให้ผมมีชีวิตที่มีความสุขครับ... ความสุขคืออะไรเหรอครับ พ่อผมบอกว่า ...คือการได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารักและได้ทำอะไรเพื่อเขา...'

เหตุการณ์ช่วงที่พ่อลูกอยู่ด้วยกันนั้นงดงาม ตื้นตัน ทุกช่วง ทุกตอนผ่านคำพูด การกระทำ ความรักสื่อออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นความรักที่บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ของพ่อ ฉันอินไปทุกอารมณ์ บอกไม่ถูกว่าทำไม ถามตัวเองเหมือนกันว่า เราจะตัดใจและยอมให้ลูกชายไปอยู่กับแม่ที่ฝรั่งเศสได้หรือไม่ แล้วก็เข้าใจอีกนั่นแหละว่า ทำไมเขาถึงยอมเซ็นยินยอมยกลูกให้เธอนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะอะไร ก็คงต้องอ่านและรู้สึกเอง เพราะเรื่องเหล่านี้แม้ไม่เข้าไปตัดสินแต่ย่อมรู้สึก ถึงจะบอกว่าเข้าใจแต่ก็เสียน้ำตา สะเทือนใจมาก

'ผมสวดภาวนาทุกวันเลย
พระเจ้าครับ โปรดบันดาลให้พ่อกลับมาเป็นพ่อคนเดิมในเร็ววัน
ไม่มีเวลาแล้ว ผมต้องไปฝรั่งเศสแล้ว ไปแล้วพ่อผมจะเป็นยังไง

คนที่ผมรักที่สุดในโลกมีแค่พ่อ
และคนที่พ่อรักที่สุดในโลกก็คือผม
ก็พ่อนั่นแหละที่เคยบอกผมว่าคนที่รักกันจะต้องอยู่ด้วยกันเสมอ
แล้วทำไมพ่อถึงลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ได้ลงคอล่ะครับ

ถ้าผมไม่อยู่แล้วพ่อจะทำยังไง
พ่อจะโล่งใจจริงเหมือนที่พ่อพูดหรือเปล่า
ผมเอาแต่นึกถึงปลากาซีโกกี
พ่อปลากาซีโกกีที่ว่ายเอาหัวชนหินจนตาย
ถ้าผมไม่อยู่ พ่อคงจะเศร้าและเศร้า
จนอาจจะเป็นเหมือนปลากาซีโกกีไปจริง ๆ ก็ได้
ถ้าผมตามไปอยู่กับแม่ที่ฝรั่งเศสแล้วจริง
ก็ขอให้พ่อเศร้าแค่นิดเดียวก็พอนะครับ
ถ้าเศร้าแค่นิดเดียว สักวันหนึ่งเราอาจกลับมาพบกันใหม่ก็ได้

.

.

ผมอยากให้พ่อเข้าโบสถ์
คนไม่เชื่อในพระเจ้าจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์นะครับ
คนเราทุกคนต้องตาย
ถ้าตายแล้วไม่เจอผม
พ่อจะไม่เป็นไรหรือครับ'

คิดไม่ถึงว่าหัวใจจะหนักอึ้ง ตรึงใจ
ระหว่างเส้นทางความรักของพวกเขา

เราสัมผัสความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อคนนี้ได้
อบอุ่น งดงามและจับใจ

::
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
28 มิถุนายน 2561



















Create Date : 29 มิถุนายน 2561
Last Update : 29 มิถุนายน 2561 8:54:50 น.
Counter : 1008 Pageviews.

5 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com