Group Blog
All Blog
--- เ ก ร็ ด ค ว า ม คิ ด บ น ก้ า ว วิ่ ง : ฮารุกิ มูราคามิ ---
























... ผมยังคงวิ่งมาราธอนหนึ่งครั้งต่อปีเหมือนเคย ไม่มีใครจะวิ่งมาราธอนได้ตลอดทางหากมีใจแค่แบ่งรับแบ่งู้ ดังนั้น ผมฝึกซ้อมพอประมาณและวิ่งให้ผ่านเส้นชัยมาได้ แต่ไม่เคยผ่านระดับ 'พอใช้ได้' ประหนึ่งว่าการคลายปมขมวดที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอยู่ จะคลายความกระตือรือร้นในการวิ่งของผมให้ลดลงตามไปด้วย ไม่เพียงความปรารถนาในการวิ่งเหือดหาย ผมรู้สึกว่าผมเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างในตัว มีอย่างอื่นเข้ามาหยั่งรากลึกในร่างนักวิ่งของผม กระบวนการสิ่งหนึ่งจากไป อีกสิ่งหนึ่งเข้ามาแทนที่ ให้บรรยากาศของ ค ว า ม ซึ ม เ ศ ร้ า ข อ ง นั ก วิ่ ง

สิ่งใหม่ที่มายึดครองอยู่ในตัวผมคืออะไรกัน? ผมไม่มีคำมาบรรยาย แต่รู้สึกคล้ายการยอมพ่ายรามือ กล่าวขยายความให้หรูหราเกินจริง การวิ่ง 100 กิโลเมตรพาตัวผมหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอื่น...

อะไรบางอย่างกระตุ้นให้ผมมองย้อนกลับไปในตัว และสายตาใหม่ที่มองเห็นก้นบึ้งตัวตนแปลงโฉมทัศนคติของผมที่มีต่อการวิ่ง อาจเป็นไปได้ที่ผมไม่เหลือการยืนยันเด็ดเดี่ยวสุดสามัญของเมื่อก่อน ที่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ผมจะออกวิ่ง

... ผมอาจจะวิ่งมากเกินไป เหนื่อยล้าเกินไป อีกอย่างหนึ่ง อายุของผมอยู่ในช่วงปลายวัยสี่สิบ ผมอาจมาชนกำแพงศักยภาพทางร่างกายที่ผู้ชายวัยนี้จะต้องพบเจอ ผมอาจยอมจำนนว่าเคลื่อนคล้อยผ่านจุดสูงสุดทางกายภาพไปแล้ว หรืออาจเป็นความซึมเศร้าของผู้ชายวัยทอง ...ผมตั้งชื่อเรียกขานอาการนี้ว่า ค ว า ม ซึ ม เ ศ ร้ า ข อ ง นั ก วิ่ ง

นานหลังจากการวิ่ง 100 กิโลเมตร สถิติของผมตกต่ำติดดิน (ใช่ว่าเลิศหรูตั้งแต่ต้น) ทุกคราวที่ลงวิ่งมาราธอน ผมทำเวลาได้แย่ลง การฝึกซ้อมและการแข่งขันเป็นแต่เพียงรูปแบบเป็นทางการที่ผมจำเป็นต้องเคลื่อนผ่าน ไม่มีความดาลใจล้นเหลือเหมือนเมื่อก่อน ความฮึกเหิมจากอะดรีนะลีนฉีดพล่านในการแข่งขันลดวูบลงไปอีกระดับ ด้วยเหตุนี้เอง ผมหันความสนใจจากการวิ่งมาราธอนไปยังการแข่งขันไตรกีฬา และกระตือรือร้นไปเล่นสควอทในโรงยิม วิถีชีวิตผมเปลี่ยนไปทีละน้อย ผมไม่ถือว่าการวิ่งเป็นแก่นหลักของชีวิตอีกต่อไปแล้ว กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า เกิดช่องว่างทางใจระหว่างตัวผมกับการวิ่ง เหมือนการสูญเสียความรู้สึกร้อนรนคลั่งเพ้อจากการตกหลุมรัก...

ผมไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุของความซึมเศร้าของนักวิ่ง และไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้หมอกไอนั้นเลือนหายไปได้ ยังเร็วเกินกว่าจะอธิบายให้แจ่มแจ้งในตอนนี้ เท่าที่ผมพอจะกล่าวให้ชัด...ชีวิตเป็นเช่นนี้ หนทางเดียวที่เราจะทำได้คือ การค้อมยอมรับ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวใด เหมือนภาษีอากรหรือน้ำขึ้นน้ำลงหรือการตายของจอห์น เลนนอน...

กล่าวโดยสรุป ผมได้ความคิดชัดในใจว่า เวลาอันเหมาะสมเคลื่อนมาบรรจบจนครบวงแล้ว การวิ่งกลับมาเป็นการพักผ่อนแสนสุข กลับมาเป็นส่วนจำเป็นในการดำเนินชีวิตของผมอีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ ผมวิ่งต่อเนื่อง สม่ำเสมอ วิ่งทุกวัน ไม่เหลือเค้าของการเคลื่อนที่เยี่ยงเครื่องจักรกลอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่พิธีกรรมที่กำหนดรูปแบบเคร่งครัดตายตัว ร่างกายของผมกระหายที่จะทะยานออกไปบนท้องถนน เคลื่อนที่ด้วยการวิ่ง กระหายเหมือนในยามที่ร่างกายขาดน้ำ...

หนึ่งในเอกสิทธิ์ของคนที่ไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรคือ คำอวยชัยให้พรแก่สิทธิที่จะแก่ชรา เกียรติยศของการเสื่อมโทรมของร่างกายรออยู่ข้างหน้า ทำใจไม่ได้ก็ต้องทำใจให้ชินกับความเป็นจริงนั้น

การแข่งขันกับเวลาไม่ใช่สาระสำคัญ ความหมายสูงสุดสำหรับตัวผม จะอยู่ที่ว่าผมสนุกและยินดีกับตัวเองได้มากแค่ไหน

ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ทุ่มเทขนาดหนักเพื่อทำลายสถิติและไม่ใช่เครื่องจักรกลอนินทรีย์ที่จะหอบซากสังขารให้เคลื่อนที่ ผมไม่ได้เป็นอะไร ไม่มากไม่น้อยไปกว่านักเขียนอาชีพ (ผู้บอกเล่าเรื่องราวอย่างสัตย์ซื่อ)...

::
::

บางความรู้สึกของฮารูกิ มูราคามิ จากหนังสือ ' เ ก ร็ ด ค ว า ม คิ ด บ น ก้ า ว วิ่ ง '
ในช่วงที่เขาฝึกซ้อมเพื่อจะเข้าร่วมการแข่งขันนิวยอร์กซิตี้มาราธอน

ความรู้สึกบางอย่างมากระทบใจฉัน(อย่างแรง) เหมือนได้ยินเสียงในใจลึก ๆ ของเพื่อนนักวิ่งคนหนึ่ง เพื่อนที่ฉันทึกทักเอาเองเพราะรู้สึกสนิทกับตัวหนังสือจริงใจและซื่อสัตย์กับตัวเอง ไม่อวดโอ่และไม่ถ่อมตัว เขาผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนัก มันอาจจะหนักเกินไป เหนื่อยล้าเกินไป อะไรที่ขาดความพอดีก็ทำให้สงสัยใคร่ครวญต่อสิ่งนั้น ๆ ก็เหมือนความรักของมนุษย์ ไม่เคยมีใครรักใครอย่างปกติ

ย้อนให้คิดถึงตัวเองเมื่อแรกเริ่มเตรียมตัวเตรียมใจจะลงมาราธอนครั้งแรก อารมณ์ที่ไม่เคยมีคำว่าครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ลังเลเพราะตัดสินใจแล้ว จะฝึกซ้อมตามตารางอย่างตั้งใจ ทุกอารมณ์เปี่ยมความหมาย ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะซ้อม (แม้บางวันก็ยากเหลือเกินที่จะพาตัวเองออกไปวิ่งสู้อากาศหนาวหลังตีสอง) จนกระทั่งวันแข่งที่อุปสรรคมารบกวนให้จิตซัดส่ายและท้อถอยทุกช่วงตอน แต่ก็พยายามวิ่งให้ทะลุศักยภาพที่ซ่อนลึก พอทำได้จริง ๆ ก็ภาคภูมิใจ สุขใจ ที่นึกถึงครั้งใดก็แอบยิ้มให้ตัวเองอย่างเงียบ ๆ และบอกตัวเองเบา ๆ ว่า นี่คือสิ่งที่ฉันต้องทำ

แม้หลังจากนั้น สถิติและเวลาที่แอบตั้งเป้าหมายไว้ก็ไม่ดีไปกว่าเดิม ได้แต่เฝ้าคิดและทบทวนทุกครั้งและเข้าใจว่า ไม่เคยมีมาราธอนครั้งไหนที่จะสมบูรณ์พร้อม หรือเพราะความขาด ๆ เกิน ๆ และไม่พอดีนี้เองเป็นเสน่ห์เรียกร้องให้เราอยากวิ่งมาราธอนอยู่ก็เป็นได้

แต่ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้นและสังขารเสื่อมโทรมไปตามเวลา ทำให้ต้องตั้งสติ อย่าประมาท ประมาณตัวประเมินตนใหม่อยู่ตลอดเวลา แข่งหนักก็ต้องรู้จักพัก รักและถนอมร่างกาย ฟังเสียงของร่างกาย ไม่ฮึกเหิมเวลาเพื่อนฝูงชวนไปชนกำแพงที่ไหน ๆ ... ฉันเข้าใจเพื่อน ๆ เพราะเป็นครั้งแรกของเขา เรารับรู้ความรู้สึกนั้นได้ เราไม่จำเป็นต้องวิ่งก็สนุกได้ ไปให้กำลังใจข้างสนาม เห็นดวงตาปีติเอ่อล้นยามพวกเขาข้ามเส้นชัย ยิ้มชื่นกับความมีชีวิตชีวาของพวกเขาอย่างแท้จริง

แน่ล่ะ...ฉันยังไม่รู้สึกอิ่มตัว เพียงแต่ปีนี้พักและระมัดระวังกับการวิ่งมากขึ้น ฉันมีธาตุธรรมชาติในตัวบางอย่างที่อาจจะไม่เหมือนใคร ก็ใครจะเหมือนใครได้ล่ะ เรื่องของเรื่องคือ ฉันไม่ได้ออกวิ่งเพราะมีใครร้องขอให้วิ่งต่างหาก แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกสำนึกในข้อจำกัดของตัวเองหลาย ๆ อย่าง ยังมีทัศนคติที่ดีกับสิ่งที่ทำอยู่ ฉันรู้สึกดีมากแค่ไหนที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันบางรายการที่ตัวเองเก็บตัวและฝึกซ้อมโดยไม่มีการซุ่มซ้อม พูดคุยกับเพื่อน ๆ ที่วิ่งเหมือนกัน อ่านหนังสือวิ่งซึ่งเล่มนี้อ่านไม่รู้กี่รอบแล้ว อ่านอีกครั้งก็ยังมีบางช่วงตอนที่เพิ่งมองเห็นเสียด้วย มันคือความรู้สึกหลังกิโลที่ 35 ที่ฉันเพิ่งเข้าใจลึกซึ้งขึ้นกว่าเมื่ออ่านตอนยังไม่วิ่ง เหมือนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนเก่งมาก ๆ คนหนึ่ง และอ่านบทความทั่ว ๆ ไปของนักวิ่งประสบการณ์ นักวิ่งท่านหนึ่งก็กรุณาให้คำตอบและพูดคุยกับฉันด้วยความเมตตาเสมอมา คลี่คลายความรู้สึกหนัก ๆ เพราะความไม่รู้ แม้บางเรื่องเล็ก ๆ ที่แบกทับความรู้สึกตัวเองเพราะคิดไปตามกระแสอย่างเช่น เราเป็นนักวิ่ง เราจะไม่เดินสักก้าวในการวิ่งมาราธอนเพราะดูไม่สมศักดิ์ศรี เป็นต้น

ฉันยังอยากวิ่งไปจนหมดอายุขัย ไม่ใช่วิ่งไปจนกว่าจะวิ่งไม่ได้ ซึ่งความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง

บันทึกก็ดีอย่างหนึ่งคือ เมื่อผ่านไป เราอาจจะเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดไปอีกก็ได้ อย่างน้อยก็รู้ว่า ปีนั้น ๆ เรากำลังทำอะไรอยู่

และได้สำรวจตัวเองแล้วว่า ตอนนี้ ฉันยังไม่มีอาการซึมเศร้าของนักวิ่ง ไม่หดหู่กับการฝึกซ้อมใด ๆ มีขี้เกียจบ้างเป็นธรรมดา แต่มีอาการของคนวัยทองซึ่งเป็นธรรมชาติของชีวิต

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
1 มีนาคม 2561










Create Date : 02 มีนาคม 2561
Last Update : 12 มีนาคม 2561 11:04:31 น.
Counter : 584 Pageviews.

0 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณfor a long time

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com