Group Blog
All Blog
--- ป า ฏิ ห า ริ ย์ ร้ า น ชำ ข อ ง คุ ณ น า มิ ย ะ ---





























หลังจากอ่าน ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะจบ ก็ออกไปเดินรอบสระ คิดนั่นคิดนี่กับเนื้อหาในหนังสือ แม้ความรู้สึกแบบที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองสมัยเด็กคือ อยากรู้เรื่องราวในอนาคตของตัวเอง อยากรู้ว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร วันข้างหน้าจะลำบากอย่างวันนี้ไหม จะได้เรียนถึงไหน ทำงานที่ไหน อย่างไร ความหวังและความฝันที่อยากจะมีโดเรมอนนั่งเครื่องไทม์แมชชีนไปเที่ยวดูโลกอนาคต มีคนคอยช่วยแก้ปัญหา คอยปกปิดความผิด คอยช่วยเหลือเพราะเราอ่อนแอและถูกรังแกบ่อย ๆ

แต่พอโตขึ้น แล้วย้อนกลับไปดูตัวเองตอนนั้น พร้อมกับมีคนตั้งคำถามว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากจะเปลี่ยนแปลงอดีตช่วงไหน อยากลบความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต หรือมีอะไรที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ ฯลฯ ฉันกลับรู้สึกว่า ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องสมมติทำนองนี้เหมือนก่อน อาจจะคิดเขียนไปเล่น ๆ แต่จริง ๆ ก็ไม่คิดอยู่ดี คำพูดที่ว่า มีวันนั้นถึงมีวันนี้น่ะจริงที่สุด สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอก็จริงอีกนั่นแหละ แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องที่ไม่พึงใจก็ตาม แต่มันก็เกิดแล้ว เรียนรู้ได้บ้างไม่ได้บ้าง เรื่องร้าย ๆ ที่ผ่านมาได้ก็ต้องขอบคุณเช่นกัน มันทำให้เราแกร่งขึ้นหลังจากที่หลงทิศบิดเบี้ยววู่วาม เราก็ผ่านมันไปได้แม้ไม่ดีนัก เหมือนกับคำที่เคยได้ยินจนชินหูชินใจว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่ปิดประตูทุกบานหรอก ไม่มีทางที่ไม่มีทางนั่นแหละ

เรื่องนี้ทำให้คิดถึงเรื่องการเขียนจดหมายถึงกันและรอคอยคำตอบ จดหมายช่างมีเสน่ห์มากมายเหลือเกิน สำหรับคำแนะนำในจดหมายของคุณนามิยะ ก็เป็นคำแนะนำดี มีค่าสำหรับคนเห็นค่า ขณะที่เราขอคำปรึกษาใครสักคน เรามักจะมีคำตอบของเราอยู่ในใจ เราถามเพื่อต้องการใครสักคนมายืนยันในสิ่งที่เราคิดว่าถูกแล้ว ดีแล้ว ในมุมมองที่อยู่ในกรอบและตีบตัน จนหนทางสำหรับเวลานั้น

จดหมายที่ตอบโต้ระหว่าง สามหัวขโมยในปัจจุบันกับคนที่ส่งจดหมายผ่านกล่องนมที่บ้านหลังนั้นผ่านอดีตเป็นเรื่องน่าพิศวงสำหรับเรา แต่เนื้อหาในจดหมายตอบกลับและสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้เราต้องติดตามว่า พวกเขาจะเปลี่ยนอดีตมาเชื่อฟังคนในโลกอนาคตแนะนำหรือเปล่า

ตั้งแต่คุณกระต่ายในดวงจันทร์ นักกีฬาฟันดาบที่กำลังจะตัดสินใจเข้าร่วมคัดตัวไปโอลิมปิก แต่ก็ติดที่แฟนป่วยและจะอยู่ได้อีกไม่นาน เธออยากสละความฝันครั้งนี้เพื่อดูแลแฟน แต่การไปโอลิมปิกนี้ก็เป็นความฝันของพวกเขาเช่นกัน เธอจะทำเพื่อเขาหรือเชื่อตามคำแนะนำในจดหมายของสามหัวขโมยที่เข้ามาในร้านวันที่อดีตกับปัจจุบันเชื่อมกันพอดี พวกเขารู้เหตุการณ์ของญี่ปุ่นในช่วงนั้นว่าจะเป็นอย่างไร

ขณะที่สามหัวขโมยงุนงง เราเองก็งงเช่นกัน เรื่องราวก็ย้อนกลับไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว สมัยที่ยังมีร้านชำแห่งนี้ คุณนามิยะ ยูจินั้น เคยรับคำปรึกษาปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ร้าน ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไปก็จะแปะไว้ที่ประตูหน้า แต่ปัญหาที่จริงจังขึ้นให้ส่งไว้ในกล่องนม

บางคนก็นึกสนุก อยากลองดี เขียนจดหมายโดยกุเรื่องขึ้นมาแกล้งให้คุณนามิยะตอบ บางทีจดหมายถึงสามสิบฉบับแปะไว้ อ่านดูก็รู้ว่ามาจากคนเดียวกัน คำถามบางคำถามดูไร้สาระมาก อย่างเรื่อง ทำข้อสอบอย่างไรจะได้คะแนนเต็ม แต่ที่สนุกกว่านั้นคือ คุณยูจิมีคำตอบและคำตอบนี้ส่งผลต่อเด็กคนนั้นอีกต่างหาก

เรื่องของคุณแม่น้ำสีเขียว เธอท้องกับผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว ปัญหาคือจะทำแท้งหรือเลี้ยงเด็กคนนั้นไว้ / เรื่องของนักดนตรี ลูกชายร้านขายปลาที่กำลังจะเลือกทางในการดำเนินชีวิตว่าจะสืบต่อกิจการของพ่อหรือเป็นนักดนตรีที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีชื่อเสียงเลย / เรื่องของเด็กชาย พอล เลนนอน ผู้คลั่งไคล้เดอะ บีตเทิ่ล เขากำลังประสบปัญหาครอบครัว พ่อแม่มีหนี้สินจนต้องหนีหนี้และย้ายบ้าน หรือเหตุการณ์ของสาว 19 ที่อยากทำงานเป็นสาวนั่งดริ๊งก์เพื่อเก็บเงินและอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ฯลฯ

คนเหล่านี้กำลังหลงทาง กำลังต้องการกำลังใจจากใครสักคน กำลังจะตัดสินใจ ไม่รู้จะไปทางไหน ใครคือผู้กำหนดชะตาชีวิตเรากันแน่นะ คำบอกเล่าของคนอื่นหรือการตัดสินใจของเราที่จะมีอิสระ ทำตามสิ่งที่เราเชื่อจนถึงที่สุด และหากมีวิธีที่ทำให้คนประสบความสำเร็จได้ง่าย ๆ โลกนี้คงไม่มีใครรู้จักคำว่าลำบากมาก่อนหรอก

แต่...ผู้คนเหล่านี้เชื่อมโยงกันอย่างเหลือเชื่อ ราวกับโลกแคบลงนิดเดียว แคบลงจนมีเวลามาซ้อนทับ ทุกคนมาเกี่ยวพันกันได้ยังไงกันนั้น ความสัมพันธ์เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ต้องลองอ่านดูนะคะ และคำตอบของคุณนามิยะและสามหัวขโมยนั้น น่าสนใจอย่างไร

คุณนามิยะมีทัศนคติในการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย คำแนะนำของคุณนามิยะตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่อ้อมค้อม ไม่เกรงใจและมารยาท เพราะเขาถือว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ดึงความรู้สึกที่แท้จริงของคน ๆ นั้นออกมาได้ เขามองปัญหาแบบผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต เขาจริงจังในการตอบจดหมายมาก ใส่ใจที่จะตอบทุกปัญหาที่ผู้คนถามมา สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตของเขา เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้รับคำขอบคุณจากผู้คนเหล่านั้น แม้ดูเหมือนว่า คนเหล่านั้นจะเลือกทางของเขาไว้ก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม

ชีวิตที่เป็นผู้ให้ ให้ในสิ่งที่เขามี ช่วยในสิ่งที่เขาทำได้ คำขอบคุณมีค่า หล่อเลี้ยงหัวใจคุณนามิยะ เหมือนกับความรู้สึกที่หัวขโมยได้รับคำขอบคุณจากคนที่ตอบจดหมายพวกเขา มีคนรับฟังคำแนะนำจากคนที่สังคมตีตราว่าไร้ค่า มีคนได้ยินเสียงที่เขาพูด ไม่โดดเดี่ยว พร้อมกันนั้น เราก็เห็นปัญหาครอบครัวของคนเหล่านี้ด้วย

เนื้อหาในจดหมายจะอ่อนโยนและมีความหมายต่อชีวิตใคร อย่างไร คงต้องลองอ่านเอง

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
26 มิถุนายน 2561


















Create Date : 27 มิถุนายน 2561
Last Update : 27 มิถุนายน 2561 11:56:53 น.
Counter : 614 Pageviews.

3 comment
--- อ ย่ า เ รี ย ก ฉั น ว่ า นั ง แ พ ศ ย า : I didn't kill my husband ---


























อ ย่ า เ รี ย ก ฉั น ว่ า นั ง แ พ ศ ย า
หลิวเจิ้นอวิ๋น เขียน
ศุณิษา เทพธารากุลการ แปล
สำนักพิมพ์มติชน

::

นวนิยายเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามบท

ตอนอ่านบทที่หนึ่งนั้น จับใจความสำคัญได้ว่า นางหลี่เสวี่ยเหลียนหรือต่อไป ฉันขออนุญาตเรียกเธอสั้น ๆ ว่า นางหลี่ฯ คุณป้าหลี่ฯ นะคะ

เธอแต่งงานกับฉินอวี้เหอ มีลูกชายคนแรกได้เจ็ดขวบ ก็ท้องอีกครั้งจึงต้องทำแผนการหย่าปลอม ๆ กับสามีเพราะมันผิดกฎหมาย ไม่ทำตามนโยบายแห่งชาติคือหนึ่งครอบครัวมีลูกได้เพียงหนึ่งคน

ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แค่สองคนตกลงหย่าหลอก ๆ เพื่อทำให้ถูกกฎหมาย และจะได้เลี้ยงลูกที่กำลังจะเกิดมาในไม่ช้า แต่กลายเป็นว่า หลังจากหย่า ฉินอวี้เหอไปแต่งงานใหม่ และถูกสามีดูถูกอีกว่า เธอเป็นพานจินเหลียนหรือนังแพศยาเพราะก่อนที่จะมาแต่งงานกับเขานั้น เธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ หัวเด็ดตีนขาดเขาก็จะไม่หย่ากับภรรยาใหม่เพื่อมาแต่งงานกับเธอและหย่าอีกครั้ง

คดีที่เธอไปฟ้องร้องกับอธิบดีผู้พิพากษาหวังกงเต้านั้น เพียงแค่ต้องการฟ้องหย่าว่า การแต่งงานครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องหลอก จำเป็นต้องขอให้สามีเธอหย่ากับเมียใหม่ก่อนและมาแต่งงานกับเธอ ครั้งนี้ต่างหากที่จะเป็นการหย่าจริง

ดูเหมือนเรื่องไม่เป็นเรื่องนะ แต่ก็เป็นคดีความและหวังกงเต้าก็ตัดสินว่า สิ่งที่เธอมาฟ้องร้องนั้นเป็นเรื่องไม่จริง ทำให้เธอแพ้คดี

เธอจึงเริ่มประท้วงในข้อหา ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากศาล เธอฟ้องสามีเก่าเพื่อบังคับให้เขาหย่า มาแต่งงานกับเธอและค่อยหย่ากันจริง ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเหมือนครั้งแรก

สอง เธอฟ้องเขา เธอต้องการต่อสู้เพื่อลบคำครหาที่ถูกตราหน้าว่าเป็น พานจินเหลียน

เธอฟ้องทุกฝ่ายว่าไม่ใส่ใจในคดีของเธอ ไม่ว่าจะอธิบดีผู้พิพากษาหวังกงเต้า / นายอำเภอ/ อธิบดีผู้พิพากษาอำเภอ/ ผู้พิพากษาชำนัญพิเศษ เธอบุกเข้าไปศาลประชาคมในปักกิ่ง เธอเป็นคนที่ทำให้เมล็ดงากลายเป็นลูกแตงโม ทำให้มดกลายเป็นช้าง ทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำคดีของเธอและไม่ทำคดีให้เรียบร้อยถูกไล่ออกทั้งหมด

ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า ข้าราชการทุกคนตกเป็นลูกไก่ในกำมือเพราะผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา ๆ คนนี้

อ่านจบบทแรก ฉันถึงกับวางหนังสือ นึกไม่ออกว่า เรื่องเล่าของหญิงชาวบ้านคนนี้จะไปทางไหน มันจะบานปลายไปได้อย่างไร

และแอบบอกเพื่อนไปว่า อ่านไม่ค่อยสนุก แต่ยังอ่านไม่จบนะ เหลืออีกครึ่งเล่ม

จนกระทั่งมาอ่านบทที่สอง ค ร า ว นี้ ข อ ง จ ริ ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า

อ่านไปถึงกับวางไม่ลง ตบเข่าฉาด นึกไม่ถึงว่าเรื่องเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนเรื่องไม่เป็นเรื่องนั้นสะท้านสะเทือนไปทุกฝักฝ่ายเพราะทุกคนมีผลประโยชน์แอบแฝงกันทั้ังนั้น คำพูดซื่อ ๆ ของเธอกลับลึกล้ำ ลึกซึ้งและเล่นเอาข้าราชการผู้ใหญ่ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีจนขาวซีด

หลี่เสวี่ยเหลียน ประท้วงเรื่องการหย่าครั้งแรกว่าเป็นเรื่องปลอม ประท้วงเพื่อพิสูจน์ว่า ไม่ได้เป็นพานจินเหลียน เรื่องแค่นี้ แต่หวังกงเต้าเหมือนมีชนักติดหลังมายาวนานเพราะคดีที่เขาทำนี้ยังก่อกวนจิตใจมาถึงยี่สิบปี

นายอำเภอคนใหม่ เจิ้งจ้ง เพิ่งย้ายมาอยู่ เขาไม่เชื่อว่า ผู้หญิงคนนี้จะมีอิทธิพลจากการประท้วงขนาดนี้เลยเหรอ ไม่น่าเชื่อ

นางหลี่ฯเองก็เหนื่อยกับการประท้วงตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมาเช่นกัน เธอได้รับสมญานามว่า นางผักกาดขาวแห่งยุคสมัย

ความที่เธอเหนื่อยมามาก ก็ลั่นวาจาออกไปว่า จะเลิกประท้วงแล้ว เอาเวลาที่ล่วงเลยมาถึงยี่สิบปีนี้ไปดูแลลูกสาว ดูแลบ้านช่องที่ปล่อยทิ้งไว้จนทรุดโดทรม และจะดำเนินชีวิตไปตามปกติ เหลือสิ่งที่เธอต้องการอย่างเดียวคือ ต้องการให้สามีเก่าไม่ดูถูกเธอหรือกล่าวหาเธอว่าเป็นนังแพศยาเท่านั้น แต่สามีของเธอกลับรุนแรงและว่าให้เธอเจ็บปวดใจจนเธอแทบจะวางเรื่องการฟ้องร้องไม่ไหว

นายอำเภอและข้าราชการต่างส่งของมาเซ่นไหว้เธอ เพียงเพื่อจะขอร้องไม่ให้เธอไปประท้วงระหว่างมีการประชุมระดับประเทศ เพราะถ้าปล่อยให้มี พวกเขาจะสูญเสียอำนาจและอาจถูกปลด

นายอำเภอเจิ้งจ้งมาหาเธอ เกลี้ยกล่อมต่าง ๆ นานา และขอให้เธอเซ็นชื่อยินยอมและยืนยันว่า ต่อแต่นี้ไป เธอจะไม่ไปประท้วงอีก และนี่ใกล้วาระใหญ่ ยิ่งต้องขอร้องจริงจัง

เธอโกรธมาก ต่อว่าเขาว่า คำพูดของเธอไม่มีความหมายหรือไร ทำไมต้องเซ็นผูกมัดคำพูดอีก เท่ากับกดดันและบีบคั้นให้เธอไปประท้วงอีกครั้ง แม้คราวนี้ไม่ได้ประท้วงเรื่องต้องการแต่งงานใหม่กับสามีเก่าก็ตาม

ต้นเหตุของการประท้วงครั้งนี้เพราะ นายอำเภอไม่เชื่อใจเธอ เมื่อไม่เชื่อใจเธอแล้วจะคุยกันไปเพื่ออะไร หมาจนตรอกก็อาจจะกระโดดจนข้ามรั้วกำแพงได้ถ้าเจอเหตุการณ์บีบคั้นแบบนี้

เรื่องราวไปถึงนายกเทศมนตรี หม่าเหวินปิง เขาตำหนินายอำเภอด้วยกิริยาอาการแบบเเนิบ ๆ เชือดนิ่ม ๆ ใช้วาจาคมคายลึกซึ้ง โดยธรรมชาติ เขาสุขุมมาก ตำหนิคน วิเคราะห์คนได้ลึกสามชั้น

นายกฯหม่า เห็นว่า การทำงานของนายอำเภอมีข้อผิดพลาด เป็นข้าราชการต้องรับใช้ประชาชน อยู่ข้างประชาชน ไม่ใช่อยู่เหนือประชาชนหรืออยู่ตรงกันข้าม เขายกภาษิตมากมายมาสอน เช่น เขื่อนยาวนับพันลี้ ทลายเพราะรังมด / ตัดไฟแต่ต้นลม / เสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็ก ฯลฯ

เพื่อตระหนักว่า สิ่งที่ 'เล็ก' นั้นสำคัญเพียงใด โชคร้ายจะกลายเป็นดีได้เมื่อเราเรียนรู้ความผิดพลาดและคิดต่อยอดแก้ปัญหา

นายกฯหม่าเองก็อยากเจอนางหลี่เสวี่ยเหลียนหรือแม่นางผักกาดขาว หญิงสามหัวหกแขนนี่เช่นกัน อยากรู้ว่า นางป่วนโลกเหมือนคำที่ได้ยินมานักต่อนักนั้น จริงเท็จอย่างไร

เขาเห็นนางครั้งแรก เธอไม่ได้สะสวยเหมือนในละครสามคนในร่างเดียวอย่างที่คิด แต่เป็นหญิงชราผมหงอกเต็มหัว เขาอยากให้เลขาฯของเขาเชิญนางหลี่ฯมาร่วมโต๊ะเจรจา ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะได้เช็คทัศนคติของลูกน้องของเขาด้วยว่า จะมีวิธีการเลือกร้านอาหารในการเจรจาครั้งนี้อย่างไร

ช่วงที่เลขาและนายอำเภอหาร้านและหาคนไปเชิญนางหลี่ฯให้นายกเทศฯหม่านั้น เฮฮากับคำพูดของนางหลี่ฯที่ย้อนเกล็ดผู้คนเหล่านี้มากจริง ๆ หนำซ้ำ ระหว่างการเจรจาหว่านล้อมด้วยการเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของนายกหม่าฯนั้น ไม่สามารถโน้มน้าวใจให้นางหลี่ฯเลิกล้มการประท้วงได้ จะสนทนาอย่างไรก็อยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเอง เพราะคุณป้าหลี่ฯ ย้อนเกล็ดได้เจ็บแสบ ลึกซึ้ง เหนือชั้นกว่านายกหม่าฯที่เป็นยอดคนและวิเคราะห์คนได้ลึกสามชั้นเสียอีก คุณป้าหลี่ฯผู้ที่ยอมฟังคำพูดของวัวซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ไม่ยอมฟังคำพูดของรัฐบาลนั้น แท้จริงแล้วคืออะไร

เมื่อฝ่ายข้าราชการโน้มน้าวนางหลี่ฯไม่ให้ไปประท้วงไม่ได้ ก็ต้องคิดหาวิธียัดเยียดข้อหาให้เธอเข้าคุก แต่เธอใช้ชีวิตปกติดีงาม ทำได้แค่ตามเธอทุกฝีก้าวเพื่อขัดขวางเธอในการเดินทางไปปักกิ่งเพื่อประท้วงระดับโลก

พวกข้าราชการสรรหาวิธีตลบแตลงปลิ้นปล้อนกับเธอ ฉันต้องตามติดหนังสือแบบวางไม่ลงเพราะอยากรู้ว่าเธอจะรักกับจ้าวหัวโตได้มั้ย ความรักจะช่วยดึงเธอออกจากวังวนอยุติธรรมได้หรือไม่

จ้าวหัวโตเพื่อนสมัยเด็กที่เคยแอบรักเธอและมีโอกาสมาเจอกันอีกครั้ง มาคอยเกลี้ยกล่อมไม่ให้เธอไปประท้วง เขามาพร้อมกับความรักที่มีอยู่เต็มหัวใจ เขาผู้ที่คอยเป็นคู่คิดและชี้แนะให้เธอเห็นว่า การประท้วงนั้นคือการหนีห่างจากคนที่เรารัก ไปอยู่กับคนที่เราเกลียด เราควรจะอยู่กับคนที่เรารักหรือคนที่เราเกลียด และการที่เราคิดเคียดแค้นทรมานคนอื่นมาตั้งยี่สิบกว่าปีนั้น เธอเคยคิดไหมว่า เธอเองนั่นและคือผู้ทุกข์ทรมานกว่าใคร

ชีวิตมักจะพลิกแพลงและไม่แน่นอน คนเราจะหนีเสือปะจระเข้ไปตลอดเชียวหรือ คนในระบบข้าราชการนั้นมีแต่เรื่องของผลประโยชน์จริงหรือ เรื่องราวสะท้อนภาพสังคมจีน สะท้อนระบบข้าราชการและความเป็นอยู่ของชาวจีนได้อย่างดี ผู้เขียนเล่าตลกร้ายเหล่านี้ด้วยคำพูดง่าย ๆ แต่มีลูกเล่นแพรวพราว เล่าการต่อสู้ดิ้นรนของคนตัวเล็ก ๆ กับอำนาจของรัฐที่ปะปนไปทั้งเรื่องเศร้าและอารมณ์ขันขื่น

เล่มนี้อ่านสนุกมาก ๆ คำเล่าเรียบง่ายมีชั้นเชิงแต่เข้าใจได้ เป็นอีกเล่มที่อ่านแล้วลุ้นตลอดครึ่งหลังว่าผู้เขียนจะจบนิยายเล่มนี้อย่างไร สามีเก่าคุณป้าจะหย่าและกลับมาแต่งงานใหม่เพื่อหย่าจริงอีกมั้ย และคำที่คุณป้าหลี่ฯต้องการได้ยินจากสามีของเธอว่าเธอไม่ใช่นังแพศยาหรือพานจินเหลียนนั้น เธอจะได้ยินหรือเปล่า คุณป้าจะไปประท้วงที่ปักกิ่งครั้งสุดท้ายนี้สำเร็จหรือไม่ จะอยู่จนเป็นที่หวาดผวาแก่ข้าราชการชั้นสูงไปอีกเท่าไร ข้าราชการเหล่านี้เลวไปเสียทุกคนจริงหรือ ชีวิตของคุณป้าฯจะเป็นอย่างไรหลังจากนี้

::
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
23 มิถุนายน 2561











Create Date : 24 มิถุนายน 2561
Last Update : 24 มิถุนายน 2561 12:58:57 น.
Counter : 492 Pageviews.

1 comment
--- เ สื อ ล่ อ ง ว า รี : อุเทน วงศ์จันดา ---













นวนิยายเรื่อง “เสือล่องวารี” เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย แสดงถึงความเสื่อมทรุดแทบทุกส่วนตั้งแต่ระดับชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ในแต่ละองค์กร กระทั่งสถาบันต่าง ๆ กำลังเข้าสู่จุดเสื่อมและส่งสัญญาณถึงการล่มสลายในระยะเวลาอันใกล้

ในการบอกเล่าเหตุการณ์ในเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับท้องถิ่นที่มีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับผีต้นตะเคียนซึ่งอยู่คู่ความศักดิ์สิทธิ์ของคนในชุมชน บางคนอาจไม่ชอบหรือไม่สนุก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการดำเนินเรื่องให้น่าติดตามนั้น ผู้เขียนเขียนได้น่าอ่าน ตื่นเต้น ผูกเรื่องได้ชวนติดตามมาก ๆ ฉาก(หลัก ๆ อยู่ที่บ้านควน)และพล็อตในเรื่องนี้เป็นมุมมองสร้างสรรค์อย่างยิ่ง เป็นเสียงสะท้อนแสดงถึงความหายนะจากคนโลภ หาแนวร่วมเพื่อทำลายธรรมชาตินั้นดังกึกก้องด้วยภาษาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ความอยุติธรรมของคนมีอำนาจระดับท้องถิ่น ต้องการรวบหัวรวบหาง กินตามน้ำใช้อำนาจและร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการกระทำผิดต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะการรับสัมปทานการบุกรุกป่า ตัดไม้ทำลายป่า โค่นป่าด้วยเลื่อยเครื่อง---เสียงคมเลื่อยจากเลื่อยเครื่องขณะตัดไม้ '...เสียงมันช่างดังเหลือเกิน ไร้สุ้มเสียงของความไพเราะ มันแหบโหยและหอนไปทั้งป่า ยิ่งกว่าการกรีดร้องของภูติผีไร้ญาติซึ่งทุกข์ทรมานต่อความหิวโหยและถูกทัณฑ์ทรมานจากบาปที่เคยทำครั้งยังมีชีวิตอยู่จนต้องยกมือปิดหู'

ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนหยัดมานานนับร้อยปีได้เรียนรู้ดินฟ้าอากาศจนแตกฉานซึ่งรากได้หยั่งถึงครึ่งโลกยังถูกโค่นลงโดยง่าย เสียงกัมปนาทฉีกฟ้านั่นเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของต้นไม้ เหล่าบรรดาสิงสาราสัตว์ที่อาศัยต้นไม้ทำรังหรือหาอยู่หากินบนนั้นหรือพวกสัตว์ที่อาศัยเก็บผลหมากสุกหรือใบไม้กิน ต่างพากันรับรู้ถึงรสชาติที่ผิดแผกแตกต่างของต้นไม้ มีแต่ความหวาดกลัวอันแสนเศร้าที่ทำให้รสชาติหรือกลิ่นของต้นไม้เปลี่ยนไป ข้าจึงได้ยินเสียงต้นไม้ร้องไห้ดังระงมไปทั้งป่า นั่นล่ะขุนเขาที่นอนสงบอยู่จึงพลิกตัวด้วยความตกใจ....ปล่อยไว้เช่นนี้ต้นไม้ที่เหลืออยู่จะพลอยถูกโค่นลงในไม่ช้า จากต้นหนึ่งไปสู่ต้นหนึ่ง คนพวกนั้นไม่มีทีท่าว่าจะพอง่าย ๆ หัวเราะหยาบกระด้าง พ่นคำหยาบออกจากปากจนดอกไม้ป่าไม่กล้าผลิบาน...

‘เสียงเลื่อยมอดดับ เสียงพูดคุยอันหยาบถ่อยก็เงียบตาม
มันคงเหลือแต่เสียงร่ำไห้ของข้าแผ่วโหยซอกซอนฉีกเปลือกไม้แห้งหลุดจากต้น เหนี่ยวดึงใบไม้ชำรุดให้หลุดจากกิ่งก้าน

กลัวว่าต้นไม้ซึ่งเป็นญาติสนิทของพวกเราจะหายไปหมดจากป่านี้
กลัวว่าขุนเขาที่สงบจะฉีกปริออกจากกันและพังทลายลง
กลัวว่าแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ พลอยเก็บตัวเงียบในชั้นใต้ดินลึกลงไปเรื่อย ๆ จนถึงแก่นกลางของโลก
กลัวว่าแม้กระทั่งแสงเดือนในยามดึกจะรังเกียจไม่ยอมออกมาเผยแสงระยิบระยับอีก..’

การที่หัวหน้าชุมชนระดับท้องถิ่นร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐใช้ช่องโหว่ของกฎหมายควบคุม ครอบงำชาวบ้านและจัดระเบียบพระสงฆ์องค์เจ้าที่เห็นตรงข้ามกับชาวบ้านให้ตกอยู่ใต้เงื้อมมือพวกอำมหิตฉายอิทธิพลของความชั่วร้าย เปี่ยมด้วยความโง่ ความโลภ ความมักมากอยากได้ และใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อเงิน ด้วยหลงผิดว่า --- ป่าให้ประโยชน์กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน เจ้าหน้าที่ได้เงิน ชาวบ้านได้ผืนดินทำกิน ส่วนตัวชั่วนั้นได้ทั้งเงินและผืนดิน…

‘ในฐานะผู้ใหญ่บ้านย่อมรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งที่พระสงฆ์องค์เจ้าได้ประกาศตนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่รัฐ นายทุนและชาวบ้านอย่างชัดเจนด้วยการสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นที่ป่าช้าและอือออเพียงลำพังว่าป่าทั้งหมดในเขาสวนรุมนั้นต้องถูกปกป้องดูแลเพื่อฟื้นฟูสภาพป่าให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนเก่าก่อน กระผมก็ได้แต่แอบยิ้มในใจ ป่าทั้งหมดที่หลวงพี่เห็นอยู่นั้นมีคนจับจองหมดแล้ว แต่มิกล้าบอกท่านตรง ๆ ว่าเขาทั้งลูกที่เขาสวนรุมกระผมได้ซื้อไว้หมดสิ้นแล้วแต่เพียงผู้เดียว

ลมหายใจของชาวบ้านไม่ใช่พุทเข้าโธออกเหมือนหลวงพี่ ลมหายใจของชาวบ้านเข้าก็เงิน ออกก็เงินและคนที่จะทำให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้ก็มีแต่กระผมคนเดียวเท่านั้น ผู้รู้ซึ้งถึงความต้องการของชาวบ้านอย่างแท้จริงไม่ใช่พระ

กระผมเฝ้ารอวันที่ต้นตะเคียนล้ม หากเวลานั้นมาถึงความเชื่อดั้งเดิมเหล่านี้จะถูกลบล้างจากสมองของชาวบ้านเสียที...หากผีถูกกำจัดให้พ้นทางอะไรก็ง่ายขึ้น

สำหรับหลวงพี่ต้องดูท่าทีของท่านก่อนว่าทำตัวเยี่ยงไร หากท่านเชื่อฟังไม่ดื้อแพ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับชาวบ้าน กระผมก็จะให้ท่านได้มีที่จำวัดในป่าช้าต่อไป แต่ถ้าท่านไม่เชื่อฟังคำตักเตือน กระผมก็มีแผนการที่จะกำจัดท่านออกจากหมู่บ้านไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ต้นตะเคียนยังคงยืนต้นตรงขึ้นสู่ฟ้า กระผมจึงยอมคล้อยตามท่านทุกอย่าง ขอเพียงต้นตะเคียนล้มลง ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน ...’

การเปิดเรื่องเพื่อเข้าสู่เนื้อหาที่เข้มข้นนั้นน่าสนใจทั้งเรื่อง มองเห็นความเชื่อเกี่ยวกับต้นตะเคียนผ่านสายตาผู้เล่า การโค่นต้นตะเคียน การมาถึงของตะเคียนทองที่หมู่บ้าน ความเชื่อปากต่อปากอย่างเป็นเหตุเป็นผลและที่ไม่ต้องการเหตุผลใด ๆ นอกจากจะเชื่อ การขุดเรือลำใหญ่ ๆ ให้พุ่งพลิ้วเหนือสายน้ำ เรื่องเล่าของช่างขุดเรือที่อยู่ในสายเลือดและอยากสร้างเรือที่ดีที่สุด เห็นความคิดขัดแย้งระหว่างการดำเนินชีวิตแบบเดิมและการศึกษาซึ่งอยู่อีกฟากฝั่งที่อาจทำให้ชีวิตสบายกว่าวิถีของคนที่ผูกพันกับสายน้ำและเรือมาแต่ปางบรรพ์ การบอกเล่าถึงประเพณีแข่งเรือยาว การพากย์เรือ การแข่งขันช่วงชิงธงแดงช่างเร้าใจ เสียงโห่ร้องเอ็ดอึงถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จนเหล่าพระอินทร์เทวดาต้องชะโงกหน้ามองจากบานหน้าต่างก้อนเมฆนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกสนุกสนานและได้รู้จักประเพณีบางอย่างเหล่านี้ด้วยวิธีการเล่าจนเห็นภาพฝอยน้ำกระทบหน้าขณะพายจ้วงด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมงเป็นจังหวะ สายตาจับจ้องจะคว้าธงบนเรือ ‘เสือล่องวารี’ ลำนี้

ข้าพเจ้าอ่านจบด้วยความรู้สึกว่าป่าของประเทศไทยยังมีความหวังอยู่ จะด้วยบทบาทของความดีงามในการบอกผ่านความรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วยการปฏิบัติดีของพระสงฆ์ ความยึดมั่นในเรื่องความถูกต้องและหากสร้างชุมชนให้เกิดขึ้นทั่วประเทศด้วยการปลูกต้นไม้ในหัวใจของคนก่อนนั้นเป็นเรื่องดี สำนึกดีและมีความเป็นไปได้ หรือเพราะความหนักหนาสาหัสจากน้ำท่วมที่ผ่านมายิ่งทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการมีอยู่ของป่าไม้ในเมืองอุตสาหกรรมเช่นนี้

‘เมื่อความเมตตาปรานีมันได้สูญสิ้นไประหว่างกัน สิ่งที่เราได้รับคือความแล้งไร้น้ำใจเช่นเดียวกัน

ทุกอย่างเริ่มต้นจากคนและสุดท้ายก็วกมาสู่คนเช่นเดิม ถ่มน้ำลายรดฟ้าย่อมตกใส่หน้าตัวเอง ด่าขุนเขา ขุนเขาย่อมด่าตอบ ยิ่งเราไร้น้ำใจกับธรรมชาติเท่าไหร่ ธรรมชาติก็ยิ่งไร้น้ำใจต่อเราเท่านั้น แต่ถ้าคนรักธรรมชาติเท่าไหร่ ธรรมชาติก็รักคนเท่านั้น’

ขอบคุณค่ะ
ภูเพยีย
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕
















Create Date : 28 พฤษภาคม 2561
Last Update : 28 พฤษภาคม 2561 8:16:24 น.
Counter : 513 Pageviews.

0 comment
--- The Glass Palace : ร้ า ว ร า น ใน ว า ร วั น ---









บันทึกการอ่าน
The Glass Palace : ร้าวรานในวารวัน
Amitav Ghosh เขียน
ธีรศักดิ์ จิรรัตนไพโรจน์ แปล





หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เล่มนี้ แบ่งออกเป็นเจ็ดภาค ฉากเกิดขึ้นแต่ละแห่งต่อเนื่องกัน

เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์คองบอง ราชวงศ์สุดท้ายของกษัตริย์พม่า พระเจ้าธีบอและพระราชินีศุภยาลัตในเมืองมัณฑะเลย์ก่อนถูกเนรเทศไปยังเมืองรัตนคีรี บอกเล่าถึงไม้สักที่เป็นเงินเป็นทอง เห็นภาพการลากไม้ซุงซึ่งไม่ได้ไหลมาเพียงท่อนเดียวเดี่ยว ๆ แต่มาทีละเป็นกลุ่ม ไม้เนื้อแข็งหนักหลายตันไล่เบียดเสียดลอยน้ำมาพร้อม ๆ กัน ได้ยินเสียงซุงกระแทกปะทะสะเทือนเลื่อนลั่น ติดแก่ง ติดผืนทราย ซุงท่อนแล้วท่อนเล่าไหลมากระทบกัน เขื่อนท่อนซุงสามารถพังหรือทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามไหล่หรือเหลี่ยมเขา จะเห็นภาพเหล่านี้ตื่นตาตื่นใจในวันวาน เพราะพม่าเป็นประเทศที่มั่งคั่ง อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอย่างล้นเหลือ

ระหว่างที่อังกฤษเข้ายึดครองอำนาจ เกิดเหตุการชุลมุนวุ่นวาย มีเหตุจลาจลทั้งคนพม่าและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำมาหากินในพม่า ว่ากันว่าคนอินเดียมากกว่าคนพม่าเสียอีก การรุกรานของเจ้าอาณานิคมนำมาซึ่งเศรษฐกิจหลากหลายและมีพ่อค้ามาลงทุน เนื่องจากพม่าเป็นแหล่งไม้สัก อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชเศรษฐกิจ ต่างคนต่างเข้ามาเพื่อตักตวงหาผลประโยชน์ทุกอย่างจากป่า เราจะเห็นช้างลากซุงที่ปางไม้ จะเห็นภาพคนยุโรปที่ใช้ช้างมากกว่าการออกงานพระราชพิธีหรือการทำสงคราม ตื่นตาตื่นใจในความมั่งคั่งของป่าและธรรมชาติ เท่าที่จินตนาการจะพาไปถึง

ใช่...เริ่มอ่านสนุกก็ตรงนี้เพราะฉากเกริ่นนำในมัณฑะเลย์ เป็นสมัยพระเจ้าธีบอกับพระมเหสีศุภยาลัตในช่วงที่อังกฤษเข้าปกครองประเทศและกำลังจะเนรเทศสองพระองค์ไปอินเดีย ยังเป็นภาพสะเทือนใจล้นเหลือตอนอ่าน ราชันผู้พลัดแผ่นดินและเซ็ตงานประวัติศาสตร์เมื่อกลางปีที่แล้ว ยอมรับว่าสะเทือนใจไม่หาย เห็นภาพเบื้องหลังราชันและราชินีที่เดียงสาต่อโลกภายนอก ไม่รู้ความเป็นไปนอกรั้วพระราชวัง มีแต่เสนาบดีเพ็ดทูล คนที่หวังดีต่อพระองค์ก็เข้าไม่ถึง เป็นความล่มสลายของราชวงศ์พม่า การถูกเนรเทศครั้งนี้ กษัตริย์ธีบอไม่มีโอกาสกลับมามัณฑะเลย์อีกเลย

ก่อนที่จะถูกเนรเทศนั้น ราชินีศุภยาลัตจูงมือเจ้าหญิงองค์ใหญ่ อายุไม่กี่ชันษาและกำลังตั้งพระครรภ์อยู่ การเดินทางโดยเกวียนนั้นแสนทุลักทุเล สาหัสสากรรจ์ แทบจะไม่มีผู้ใดอาสาตามพระองค์เพื่อรับใช้ติดตามไปด้วย

แน่ล่ะ...พวกเขาเหล่านั้นมิใช่สหายหรือคนสนิทของพระองค์ เพราะตลอดชีวิตของบรรดาผู้รับใช้กษัตริย์ได้รับการฝึกฝนมาให้รับใช้เจ้านาย เป็นพันธะของพวกเขาต่อพระเจ้าแผ่นดิน พอถึงเวลาปลดแอกด้วยการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เหล่าเสนาบดีจึงเหมือนได้ปลดภาระหน้าที่ของตนลงเช่นกัน เป็นความสะเทือนใจอย่างยิ่งเมื่อพระองค์เอ่ยปากถามว่าใครจะอาสาตามไปรับใช้เราบ้าง ทุกคนก้มหน้าไม่สบพระพักตร์สักคน ไม่มีใครยอมติดตามพระองค์เลยสักคน เพราะเหตุการณ์ช่วงนั้น ราชินีศุภยาลัตทรงโหดร้ายจนเลื่องลือไปทั่ว

ผู้เขียนพาเราไปรู้จักกับ ราชกุมาร เด็กชายอินเดียอายุเพียงสิบเอ็ดขวบแต่ร่างกายกำยำล่ำสัน ชื่อของเขาหมายถึงเจ้าชาย แต่สารรูปกลับไม่มีส่วนไหนละม้ายเจ้าชายเลยสักนิดเดียว ความที่เป็นเด็กตัวโต จึงโม้ไปทั่วเรื่องอายุที่มากกว่าความเป็นจริง หลอกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่เขาก็คือเด็กชายคนหนึ่งเท่านั้น

เขาเป็นเด็กรับใช้จิปาถะมากับเรือสำปั้นที่จำต้องจอดซ่อมแซมหลังจากล่องจากอ่าวเบงกอลขึ้นมาตามลุ่มน้ำอิรวดี งานซ่อมกินเวลาร่วมเดือน เจ้าของเรือจึงให้เขาหางานทำระหว่างนี้

เรื่องราวกำลังเริ่มขึ้นเมื่อเขาเจอดอลลี่ สาวรับใช้วัยขบเผาะที่ต้องตามไปรับใช้ราชินีศุภยาลัต ราชกุมารรู้สึกต้องตาต้องใจ หาทางเพื่อจะไปส่งอาหารและขนมให้เธอระหว่างการเดินทางอันยาวไกลนี้ เขารู้สึกน้อยใจเมื่อเห็นเธอเอาของที่เขาฝากให้แจกจ่ายแก่ทหารอังกฤษที่กำลังคุมตัวไปนั้นก่อนจะทำความเข้าใจว่า เธอทำเช่นนี้เป็นการฉลาดและเอาตัวรอดได้ดี ราชกุมารตั้งใจว่า อยากจะเจอเธออีกสักครั้ง

เหตุการณ์ที่เมืองรัตนคีรีนั้น เรื่องราวของกษัตริย์ธีบอและราชินีศุภาลัตจะถูกกล่าวถึงเพียงคร่าว ๆ แต่ภาพของพระเจ้าธีบอที่ส่องกล้องดูความเวิ้งว้างของทะเลจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันกลับกลายเป็นภาพจำของทุกคน แม้แต่ชาวเลที่ออกเรือก็จะต้องมองมายังที่พระองค์ประทับอยู่ จะเห็นแสงจากกล้องส่องวิบวับราวกับสัญลักษณ์ประจำตัว แต่โดยรวมคือความเป็นอยู่อัตคัด แร้นแค้นและยากลำบาก อยู่ท่ามกลางโรคร้ายที่คร่าชีวิตจนต้องขอย้ายที่อยู่และขอคนรับใช้เพิ่ม บ้านพักที่มีนางกำนัลอย่างดอลลี่ มีคนรับใช้ที่เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาบ่อยเนื่องจากแต่ละคนไม่คุ้นชินกับการทำชิโคหรือหมอบกราบ ถวายงานเบื้องพระพักตร์ราชินี

แม้พระองค์จะถูกยึดอำนาจไปแล้วก็ตาม แต่ทรงเคร่งครัด ทระนง ยึดมั่นในพระราชประเพณีอย่างยิ่งยวด ไม่ทรงเปิดพระทัยในการเรียนรู้ภาษาของเหล่าอาณานิคม ยกเว้นเจ้าหญิงสี่ผู้ทรงสนพระทัยใฝ่รู้ในการศึกษาและหาทางกลับประเทศ กระนั้นความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างดอลลี่กับสาวันต์ คนขับรถม้าก็เกิดขึ้น ก่อนถูกพระองค์จับได้และห้ามการคบหากันอีก ขณะนั้นก็เป็นช่วงที่ท่านผู้ว่าเบนี ประสาท เฑและภรรยาคืออุมา เฑ สตรีคนแรกของอินเดียที่ห่มส่าหรีแบบพิเศษจนเป็นที่จับตาพระราชินีศุภยาลัต จากการเข้าเฝ้าครั้งนั้น ดอลลี่และอุมาจึงได้สนิทสนมกัน อุมาเป็นคนเปิดประเด็นให้ดอลลี่หาทางออกเรือนและหาทางกลับพม่าก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกเลย ขณะนั้นเจ้าหญิงองค์ใหญ่ทรงพระครรภ์กับสาวันต์ พลขับรถม้า เป็นเรื่องที่ทำใจยากทุกฝ่าย

ตัดมาที่ราชกุมารซึ่งทำงานกับสะหย่าจอห์น เขามีความคิดไกล กล้าได้กล้าเสีย ทะเยอทะยานที่จะทำบริษัทลากไม้ซุง ทำทุกวิธีเพื่อเข้าวงการธุรกิจกับพ่อค้าต่างชาติ จนวันที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าราชินีผ่านทางท่านผู้ว่าฯ เขาจังงังที่ได้เจอกับนางกำนัลที่เขาฝันถึงมาเนิ่นนาน

ดอลลี่เป็นผู้หญิงฉลาด มีความคิดอ่านที่เด็ดเดี่ยวหนักแน่น ไม่เหมือนใคร เธอไม่คิดจะกลับไปพม่าอีก เธอจากพม่ามายี่สิบปีแล้ว การกลับไปครั้งนี้ก็เท่ากับกลายเป็นคนต่างถิ่น เป็นแค่ผู้ผ่านทาง เป็นแค่คนนอกที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมา หรือไม่ชีวิตเธอก็ติดอยู่ในกำแพงสูงเกินที่จะก้าวออกไป เป็นความรู้สึกที่ยากจะตัดสินใจ แต่ก็ทนการรบเร้าของอุมาที่ยกเหตุผลต่าง ๆ นานาจากที่เคยได้ยินมาถึงความโหดร้ายของราชินี เธอเป็นห่วงดอลลี่อย่างแท้จริง กระตุ้นให้ดอลลี่คิดหวังหรือใฝ่ฝันถึงอนาคตบ้าง ทำไมจะต้องถูกจองจำอย่างนี้ไปชั่วชีวิต อุมาคิดแผนการเพื่อให้ดอลลี่ได้แต่งงาน รวมถึงชีวิตของเจ้าหญิงทุกพระองค์ด้วยทั้งที่รู้ว่าพระราชินีไม่ทรงยอมเพราะติดยึดกับจารีตประเพณีต่าง ๆ ในการสืบเชื้อสายกษัตริย์ซึ่งเป็นสายเลือดแท้โดยที่พระองค์อาจลืมไปแล้วว่าเคยสั่งสังหารคู่แข่งในราชบัลลังก์ของพระเจ้าธีบอจนแทบสิ้น

แต่ดอลลี่ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น และก็เหมือนชะตาฟ้าลิขิตให้ราชกุมารได้มาเจอเธอในครั้งนี้

ดอลลี่ก็เลือกที่จะไปราชกุมารในที่สุด หลังจากที่อุมาแนะให้ดอลลี่เลือกทางชีวิตของเธอเอง

เนื่องด้วยเหตุการณ์ของเจ้าหญิงใหญ่รักกับสาวันต์ สามัญชนนั้น ทำให้ผู้ว่าฯและอุมาต้องย้ายออกจากรัตนคีรี ในฐานะละเลย ไม่ดูแลและทรงทำให้กษัตริย์พม่าทรงเสื่อมพระเกียรติ เขาตกเป็นแพะรับบาปไปในที่สุด แต่อะไรคงไม่สำคัญเท่ากับที่เขาไม่เคยได้รับความรักจากภรรยาของตัวเองเลย

อุมากลับบ้านที่ลังกาสกะบ้านของพ่อแม่ที่กัลกัตตาในฐานะหม้าย ถูกจำกัดสิทธิมากมาย ทั้งต้องโกนหัว ห่มขาวและห้ามกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

ดอลลี่กับอุมาเจอกันอีกที่ร่างกุ้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาดอลลี่ไม่เคยอยู่กับภาพลวงตา เธอเคยเป็นนักโทษที่รู้ตื้นลึกหนาบางหลังกรงขัง เธอหาความพึงพอใจในพื้นที่จำกัดนั้นได้ วันนี้เธอจึงปรับตัวได้ไม่ยากนัก

มีจุดเปลี่ยนมากมาย ตั้งแต่การลอบสังหารในซาราเจโว จุดชนวนสงครามโลก ยางพารากลายเป็นวัตถุดิบมีค่ามหาศาลในเวลาต่อมา ข่าวจากรัตนคีรีเรื่องการสวรรคตของพระเจ้าธีบอที่ว่ากันว่าทรงพระทัยสลายหลังจากที่ทราบว่าเจ้าหญิงสองหนีตามผู้ชายไป ราชินีโกรธและไม่ให้เจ้าหญิงเข้าเฝ้าอีกตลอดชีวิต ดอลลี่ก็เช่นเดียวกัน

เรื่องน่าเศร้ากว่านั้นคือ การที่พระศพของกษัตริย์องค์สุดท้าย เจ้าหน้าที่สร้างอนุสรณ์ทับหลุมฝังพระศพชั่วข้ามคืนเพื่อไม่ให้มีโอกาสเคลื่อนย้ายพระสรีรังคารกลับ เกรงว่าจะจุดชนวนในการประท้วงในพม่า

กลายเป็นว่า เจ้าหญิงสองพระองค์ที่เกิดในพม่า เลือกอยู่อินเดีย
ส่วนเจ้าหญิงที่เกิดในอินเดีย เลือกอยู่พม่า
(รายละเอียดเหล่านี้หาอ่านในหนังสือที่สำนักพิมพ์มติชนนำเสนอในราชันผู้พลัดแผ่นดินและพระราชินีศุภยาลัต มีรายละเอียดค่อนข้างครบในมุมของกษัตริย์พม่าในฐานะเชลย)

ส่วนอุมา ตัดสินใจไปยุโรป

สะหย่าจอห์น มาร์ตินส์ผู้ช่วยเหลือราชกุมารมาตลอด ราชกุมารนับถือเขาเหมือนพ่อ เขามีลูกชายคนหนึ่งชื่อ แมทธิว แต่ที่ลูกชายเขาไม่ยอมกลับบ้านเพราะมีคู่หมั้นคู่หมายคือ เอลซ่า ชาวอเมริกันและเธอเป็นโปรแตสแตนท์

ราชกุมารมีลูกชายสองคน คนแรกชื่อ เส่งวินหรือนีลาธรีหรือเรียกสั้น ๆ ว่านีล ตั้งชื่อกันได้ทันก่อนสะหย่าจอห์นย้ายไปมลายู หลังจากนี้อีกสี่ปี เขาก็มีลูกชายคนที่สองชื่อ โทนเผ่ หรือดินู

นีลเหมือนพ่อ ดินูเหมือนแม่

ที่ต้องเขียนถึงชื่อบุคคลเหล่านี้เพราะเป็นคนสำคัญจนปิดเล่มของหนังสือเล่มนี้ ทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง ทาสหรือ Roots แม้จะต่างกันที่ฉากหลังทางประวัติศาสตร์ แต่มีความเป็นไปต่าง ๆ นานาจากรุ่นสู่รุ่น มีความเกี่ยวพันตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นลูกจนถึงรุ่นหลาน เป็นการตามหากันเพราะต่างสูญหายช่วงสงคราม ความผันผวนปรวนแปร การมุ่งล้างทำลายกัน ความตกต่ำของสงครามถึงขีดสุด ความล่มสลายในทุกกิจการ ชะตากรรมของทุกคนในครอบครัวผ่านการยึดครองมัณฑะเลย์ของอังกฤษ การรุกรานมลายูของกองทัพญี่ปุ่น และสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งส่งผลกระทบสำคัญต่อความมั่นคงของครอบครัวนี้

ฉันตื่นตากับตัวละครเนรมิตที่กำลังดำเนินเรื่องทุกตัว ผู้เขียนจำลองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อย่างถึงเลือดถึงเนื้อ ลึกลงไปในความรู้สึกนึกคิด เชื่อมโยงเราเข้าไปโลดแล่นกับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ รับรู้ความยากจนข้นแค้นของผู้ถูกรุกราน รู้สึกถึงความรู้สึกลึก ๆ ของทหารรับใช้อย่างกิซัน ซิงก์จนวาระสุดท้าย เห็นความตลบตะแลงปลิ้นปล้อนในแวดวงทหาร (เห็นใจอรชุน คู่แฝดของมันจู ฉันรักในความเป็นอรชุนมาก )การเมืองและผู้ใช้อำนาจและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เกิดความเข้าใจผิด คิดชั่ว ใส่ร้ายกันไปต่าง ๆ นานา ไม่รู้ไหนจริงไหนเท็จ อยู่อย่างหวาดระแวงและศรัทธาบางอย่างสุดจิตสุดใจแม้ในสายตาของอีกฝ่ายคือความเขลา

ทุกเหตุการณ์ดำเนินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน ปรับอารมณ์และหัวใจแทบไม่ทัน ลงลึกลงในรายละเอียดของลูก ๆ หลาน ๆ ของทางฝ่ายราชกุมารและดอลลี่อย่าง นีลและดินู ไปจนถึงทางฝ่ายลูกหลานของอุมา เฑ และสะหย่าจอห์น พลิกผันตลอดเวลาจนเหมือนจะหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีอะไรมารับประกันความมั่นคงในชีวิตและกิจการที่พวกเขาทำกันอยู่ มีการตักตวงกักตุนสินค้าระหว่างสงครามอย่างน่ารังเกียจ ไม่มีประกันอะไรทั้งสิ้นในภาวะสงคราม

อุมาใช้ชีวิตที่อเมริกาเกือบยี่สิบปี เธอกลับมาอินเดีย และเจอราชกุมาร ดอลลี่ นีลและดินูที่บ้านของลูกชายสะหย่าจอห์นที่มลายู

แมทธิวและเอลซ่า ทำกิจการในชื่อมอร์นิ่งไซด์ อนุสรณ์สถานแห่งไม้สักที่ดีที่สุดของพม่า

การรู้หนังสือจะเป็นหนทางสำคัญในการเอาตัวรอด เราจะเห็นประเทศสยามของเราโผล่เข้ามาในช่วงเวลาสำคัญนี้ สยามมองเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเชื้อพระราชวงศ์ แต่อินเดียกลับมองตรงกันข้าม งบประมาณผลาญไปกับการทหาร และเป็นช่วงที่มหาตมะ คานธีมีบทบาท ใช้ไม้นวมรับมือกับจักรวรรดิ

เรื่องนี้ผู้เขียนผูกเรื่องได้งดงาม อัศจรรย์ คำว่าอัศจรรย์ในที่นี่คือความละเอียด เขาลงรายละเอียดในวิถีชีวิตที่นำพาให้คนเหล่านี้มาพบกันไม่ว่าจะเป็น ราชกุมารกับดอลลี่ / แมทธิวกับเอลซ่า /มะละกากับนิวยอร์ก / พม่ากับอินเดีย ฯลฯ

และยังมีเรื่องที่คาดไม่ถึงอีกมากกับการนอกใจของราชกุมาร จนอุมาทนแทบไม่ได้ เธอเป็นเดือดเป็นแค้นแทนดอลลี่ โดยที่เธอก็เข้าไม่ถึงจิตใจลึก ๆ ของดอลลี่อย่างแท้จริงว่า สิ่งที่ดอลลี่ต้องการมากที่สุดในชีวิตคืออะไร

แต่เธอเองก็ลืมถามเรื่องราวของคู่ชีวิตของตัวเธอเองเหมือนกัน ระหว่างเธอกับท่านผู้ว่าฯที่แสนดี จริงใจและรักเธอ แต่เธอไม่เคยสนใจไยดีในสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเธอ

เราจะเห็นภาวะเงินทอง การเมือง เจ้าหนี้เงินกู้อินเดียยึดที่นาทำกินหมด คนอินเดียเป็นเจ้าของร้านค้า คนอินเดียใช้ชีวิตเหนือคนพม่า( เอ่อม ผู้เขียนเป็นคนอินเดียนะเนี่ย) อย่างเจ้าอาณานิคม

ดอลลี่เองก็หวั่นกลัวเพราะการที่เธอแต่งงานกับราชกุมารซึ่งเป็นคนอินเดียนั้น อาจจะถูกปองร้ายและถูกหมายหัวว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ

เราจะเห็นภาวะอ่อนไหวท่ามกลางสงคราม แต่ความงามในการเรียงร้อยของผู้เขียนนั้นกินใจมาก ภาษาสละสลวย งดงาม มีชีวิตชีวา บางครั้งเหมือนร้อยแก้วในบทกวีซึ่งฉันไม่ทราบว่าต้นฉบับของผู้เขียนนั้นเป็นอย่างไร แต่ก็วางใจในผู้แปลที่จำเป็นต้องเก็บ 'เสียง'จากต้นฉบับให้ดีที่สุด ใกล้เคียงที่สุดซึ่งหมายถึง ภาษาต้นฉบับที่เป็นบทกวีด้วยเช่นกัน

กว่าจะถึงชยา ซึ่งเป็นหลานของราชกุมารที่เกิดจากนีลและมันจู เธอกำลังตามหาประวัติศาสตร์ของครอบครัวเธอ

ช่วงสุดท้ายทำให้นึกถึงคุนต้า คินเต้ในเรื่อง 'ทาส' ที่รุ่นเหลนของเขาล่องแม่น้ำตามหาบรรพบุรุษ ชยาก็อยากตามหาคุณอาของเธอและคนในครอบครัวของปู่ที่พลัดพรากกันในช่วงสงคราม

กว่าจะสืบค้นข้อมูลจนถึง The Glass Palace หรือ หอแก้วนั้น เล่นเอาคนอ่านขนลุกและน้ำตาซึมไปหลายครั้ง ภาพทุกภาพในหอแก้วเชื่อมโยงเรื่องราวและรายละเอียดที่เราสามารถเก็บเกี่ยวเอาเองมาตลอดเรื่อง ราวกับว่า คนนอกไม่มีทางจะเข้าถึงหากไม่ได้ร่วมรับรู้เรื่องราวมาแต่ต้น เหมือนกับเราที่ยืนชมภาพในพิพิธภัณฑ์แต่ไม่เคยทราบประวัติความเป็นมาที่แท้จริงนอกจากเหมารวมว่าตนเองรู้หรือจากการค้นคว้าของคนนั้นคนนี้

ที่หอแก้วนี้ การถ่ายภาพจึงเป็นภาษาลับสำหรับคนที่รู้เท่านั้น


ฉันก็ยับเยินไปกับตัวละครเหมือนกัน รักตัวละคร เหมือนนั่งมองอดีตคนอื่น บ้านเมืองอื่น มองเขา เห็นเรา ...

แต่ก็อมยิ้มไปกับฉากสุดท้ายของราชกุมารและอุมาที่เคยเป็นคู่ปรับและหมางใจกันมาช่วงหนึ่ง เวลาละลายความร้าวรานให้บางลง

ฉันเล่าได้แต่โครงเรื่องใหญ่ ๆ แต่ไม่สามารถบรรยายความซาบซึ้ง ตรึงใจ กินใจหรือความประทับใจที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ได้ นอกจากดีใจที่ได้อ่านและอยากอ่านงานอื่น ๆ ของเขาอีก
::
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
10 พฤษภาคม 2561













Create Date : 15 พฤษภาคม 2561
Last Update : 15 พฤษภาคม 2561 14:11:55 น.
Counter : 1592 Pageviews.

3 comment
--- สุ ด ชี วิ ต : แอลิซ มันโร ---















'เราพูดถึงบางสิ่งไม่น่าให้อภัย
หรือสิ่งที่เราไม่มีทางให้อภัยกับตัวเอง
แต่เราก็ยังทำ...
เราทำเช่นนั้นกันอยู่ตลอดเวลา'

สุ ด ชี วิ ต
แอลิซ มันโร

::

ปีที่แล้ว ฉันอ่านรวมเรื่องสั้นทั้ง 14 เรื่องของแอลิซ มันโร แปลโดย อรจิรา โกลากุลและ วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา จบไปแล้ว

แต่ไม่ได้เขียนถึง นั่นเพราะไม่มีเวลาหรือไปทำอะไรที่อยากทำมากกว่า (ไม่ค่อยแน่ใจ)

ปีนี้ฉันมีหนังสือที่ซื้อมาอ่านหลายเล่ม แต่ยังไม่ได้เปิดอ่านเป็นส่วนใหญ่ อาจจะเพราะได้จัดตู้หนังสือ จึงเห็นหนังสือบางเล่มที่ยังค้างคาอยู่ในใจ อยากอ่านแต่เล่มเดิม ๆ ที่เคยชอบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

เล่มนี้ก็ใช่

มีโน้ตแทรกในหนังสือสำหรับทุกเรื่องสั้น
แต่จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว
จึงค่อย ๆ อ่านใหม่อีกครั้ง

เรื่องสั้นเรื่องแรก -- ไ ป ถึ ง ญี่ ปุ่ น



เป็นเรื่องราวของครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่ง ปีเตอร์เป็นวิศวกร เกรตาเป็นกวี มีลูกสาวเล็ก ๆ ด้วยกันหนึ่งคนคือแคธี

เธอได้รับเชิญไปงานเลี้ยงพร้อมนักเขียนคนอื่น ๆ เนื่องจากบทกวีของเธอได้ตีพิมพ์ แต่บรรยากาศในงานเลี้ยงนั้นน่าสะพรึงภาพที่ฉันเห็นในงานเลี้ยงของนักเขียนคือ ภาพของสังคมเล็ก ๆ มีบรรยากาศน่าวิงเวียน ต่างคนต่างสนทนาเสียงดังอย่างออกรสออกชาติ ดูเหมือนอันตรายอยู่รอบตัว ดูเหมือนทุกคนพร้อมจะพ่นถ้อยคำดูถูกดูแคลนออกจากปากทันที่ที่มองมา เราจะเข้าใจทันทีว่า ทฤษฎีแห่งความไม่เป็นมิตรทำงานอย่างไร

' การใคร่ครวญดังกล่าว ทำให้เกรตานั่งลง เนื่องจากไม่มีเก้าอี้ เธอจึงนั่งลงกับพื้น เธอคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง เธอคิดถึงตอนที่ไปงานเลี้ยงของพวกวิศวกรกับปีเตอร์ บรรยากาศเป็นมิตรแม้บทสนทนาจะน่าเบื่อก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะทุกคนล้วนมีสถานะมั่นคงและลงตัวอยู่แล้วอย่างน้อยก็ในเวลานั้น ที่นี่ไม่มีใครปลอดภัย การพิพากษาตัดสินอาจเกิดขึ้นลับหลังแม้กับคนที่เป็นที่รู้จักหรืองานที่เคยได้รับการตีพิมพ์ ผลก็คือบรรยากาศของความฉลาดเฉลียวหรือความตึงเครียดอบอวลไปทั่ว ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม...'

แต่บางถ้อยคำก็กระทบใจฉันโดยไม่รู้ตัว ข้อความสั้น ๆ แต่เศร้าจับใจ

'การเขียนจดหมายฉบับนี้เสมือนหย่อนข้อความลงในขวดแล้วเฝ้าฝันว่าสักวันมันจะไปถึงญี่ปุ่น'

และเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนรถไฟระหว่างที่เธอและลูกสาวกำลังเดินทางไปโตรอนโต เป็นเรื่องที่ลื่นไหลไปตามกิเลส พูดไม่ออกบอกไม่ถูก แล้วเธอก็ตกใจสุดขีดระหว่างที่กลับมายังตู้นอนของเธอและลูกสาว เกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้น...

ผู้เขียนเล่าเรื่องและบรรยายความรู้สึกได้ละเอียดอ่อน กระทบใจ เผยความอ่อนไหวและซับซ้อนของมนุษย์ โดยเฉพาะผู้หญิง ใช่...เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น สามีและลูกน่ารัก บางเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพียงแค่เติมสีสันหรือช่องว่างที่มันหายไป มันกลับมีชีวิตชีวา แน่นอน เธอไม่ได้ยึดมันไว้ และมีบางสิ่งบางอย่างที่รอเธออยู่ที่ปลายทาง...

2. อามุนด์เซน

ว่าง ๆ จะมาเล่าต่อนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย



Create Date : 27 เมษายน 2561
Last Update : 27 เมษายน 2561 7:39:50 น.
Counter : 640 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com