Group Blog
All Blog
--- U N B R O K E N ---




















เมื่อวาน ดูหนังเรื่อง UNBROKEN จนจบ ฉากสวยมาก ทะเลกว้างใหญ่ไพศาล ท้องทะเลน่าหลงใหลและอัศจรรย์ในธรรมชาติดิบ ๆ ที่มีความซื่อตรงและตรงไปตรงมา สัมผัสทั้งความสงบและน่าสะพรึง ในภาวะนั้น หัวใจใฝ่ฝันถึงฝั่ง ผืนดินเพื่อหยั่งรากฝังกายใจในอ้อมกอดของคนรัก แต่เราก็ไม่อยากตกน้ำตกทะเลเวิ้งว้างกว้างกว่ากว้างอย่างนั้นกว่า 47 วัน บนแพยาง ขาดน้ำขาดอาหาร แสงแดดแผดเผา ฉลามลอยวนรังควาน กว่าจะเอาชีวิตรอดไปแต่ละวัน ฝันร้ายแล้วฝันร้ายอีก ซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ครั้นเครื่องบินผ่านมาแต่ละลำ ก็ฉายให้เห็นแสงแห่งความหวัง ทว่ากลับตาลปัตรเป็นกระสุนปืนกลมาแทน แพยางเป็นรูพรุน เกยเกาะ กว่าจะเอาชีวิตรอดขึ้นฝั่งได้ก็เหมือนกับหนีเสือปะจระเข้ เพราะเกาะนั้นเป็นเกาะที่ทหารญี่ปุ่นครองอยู่ พาสองชีวิตที่เหลือรอดไปตกระกำลำบากและถูกทรมานทั้งกายและจิตใจราวนรกบนดินที่ค่ายกักกัน ตกนรกขุมแรก อีกขุมและอีกขุม... นรกที่ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ให้สิ้นขณะยังมีลมหายใจ กว่าจะผ่านไปได้แต่ละนาที แต่ละวัน แทบขาดใจ แม้ฉันจะรู้เรื่องราวตอนจบมาก่อนแล้วว่า ท้ายที่สุด เขาก็ได้กลับไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นอย่างปลอดภัย


ฉันไม่ควรจะเปรียบเทียบการอ่านหนังสือและดูหนัง ด้วยว่าต่างก็คืองานศิลปะ เรารับและเห็นในบางมุมที่เราอาจไม่ชัดในหนังสือ และบางมุม เราก็เก็บในตัวหนังสือได้มากกว่าในเรื่องรายละเอียดโดยเฉพาะเรื่องสายตาและการบรรยายความรู้สึก ลึก ๆ บางมุมอาจดึงใจเราไปไม่สุด ปูมหลังของเด็กแสบอย่างลูอี้ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนนั้นน่าสนใจมาก ๆ เพราะเรามีจินตนาการกับภาพที่เห็นในหนังสือ อย่างการบรรยายเรื่องวิ่ง เร้าใจและตื่นเต้นมาก เผลอกระทืบเท้าเชียร์ลูอี้โดยไม่รู้ตัว ขณะวิ่งตามความฝันไปกับลูอี้ ก็ไกลเกินจะคว้า ภาพที่ทหารญี่ปุ่นทารุณเขานั่นก็โหดร้ายมากจนต้องคว่ำหนังสือลงชั่วขณะ


แต่ในหนัง เก็บความรู้สึกสวยงาม ละมุนละไมในเรื่องความรักของพี่ชาย พีตให้กำลังใจลูอี้เพราะเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง พีตผลักดันให้น้องชายเข้าสู่การวิ่ง ให้กำลังใจ สอนเทคนิคการวิ่งทุกอย่าง ลูอี้สู้ ฝึกฝน ฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วง พาตัวเองเข้าสู่วงการวิ่งยิ่งใหญ่จนคว้าเหรียญทองโอลิมปิก


หนังจะเล่าย้อนไปย้อนมา เห็นปูมหลังวัยเด็กสลับกับช่วงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงที่เขาถูกไอ้เบิร์ด ทหารญี่ปุ่นทรมานเพื่อทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเขานั้น ทำให้เห็นความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกลึก ๆ ของไอ้เบิร์ดมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งลูอี้ไม่ยอมแพ้ มันกลับยิ่งพ่ายแพ้...


แต่จะกี่คนที่จะกอดศักดิ์ศรีนี้ไว้กับตัวได้ไม่เป็นใบไม้ปลิดปลิวจากต้นท่ามกลางภาวะที่ถูกทรมานเหมือนซากศพเดินได้ในนรกบนดินนั่น

ทำไมคนเราถึงอยากมีชีวิตรอด หาคำตอบให้ตัวเองได้


ฉากสุดท้าย ทำเอาน้ำตาไหลพราก ผู้กำกับนำภาพจริงของคุณปู่ลูอี้ แซมเปอรินี่ ตอนอายุ 97 ปี มาให้ชมด้วย เป็นภาพที่ประทับใจฉันมาก เป็นรอยยิ้มที่ปราศจากอารมณ์คั่งแค้น เห็นสันติสุขในดวงตาขณะที่คุณปู่กำลังวิ่งอย่างมีความสุขบนสนามบ้านเกิดของคนที่ทรมานเขา


เพราะการอโหสิกรรมต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ และดำรงศักดิ์ศรีของมนุษย์ไว้ได้ในทุกย่างก้าวของชีวิต



สปอยล์สุด ๆ เหมือนเคยค่ะ แต่ไม่ได้โคว้ทคำคมที่ชอบจากหนังมาฝากเท่านั้น


ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
15 กุมภาพันธ์ 2561












Don't give up, don't give in.
There's always an answer for everything.

อย่ายอมพ่าย อย่าค้อมยอมจำนน
ทุกเรื่องมีคำตอบเสมอ

ลูอี้ แซมเปอรินี







ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ ลอรา ฮิลเล็นเบรนด์ มีผลงานหนังสือ ซีบิสกิต อีกเพียงหนึ่งเล่ม เธอป่วยด้วยโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะเดินออกไปนอกบ้าน ต้องจำกัดตัวเองอยู่บนชั้นสองของบ้าน การวิจัยข้อมูลละเอียดถี่ถ้วนทุกแง่ทุกมุม...เจ็ดปีเต็ม บ่งถึงความเด็ดเดี่ยวทรหด แม้จะไม่มีพละกำลังในร่างกาย

ช่วงเจ็ดปีที่เธอเขียนหนังสือเล่มนี้ เธอไม่ยอมพบหน้าลูอี้ ไม่อยากพบชายชราอายุแปดสิบ อยากวาดภาพเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าบนลู่วิ่งโอลิมปิก และนายทหารหนุ่มทรหดรักษาชีวิตให้รอดในค่ายเชลยศึก แต่ในทุกคราวที่เธอเหนื่อยล้าอัดอั้นตันใจ เธอจะโทรศัพท์ไปถึงลูอี้ จุดแรงบันดาลใจให้สู้งานเขียนต่อไปได้อีกครั้ง

ลูอี้โทรศัพท์ถึงเธอบ่อยครั้ง ยืนยันว่าเธอเป็นแรงบันดาลใจของเขา 'ผมทนทานความทุกข์เพียงแค่ไม่กี่ปี เธอทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุดนานถึง 30 ปี'

--

ฉันคุ้นกับชีวิตของลูอี้เท่าเทียมกับชีวิตของฉันเอง ลูอี้พูดกับเพื่อนไว้ว่า 'ในยามใดที่ผมอยากรู้เรื่องราวที่เกิดต่อตัวผมในญี่ปุ่น...ผมจะโทรไปถามลอรา'

ในการเปิดโลกส่วนตัวให้ฉันได้รับรู้ ลูอี้อ่อนโยนเยือกเย็น เขานั่งให้สัมภาษณ์ 75 ครั้ง ตอบคำถามนับพันนับหมื่นโดยไม่มีท่าทางหงุดหงิดหรือการบ่นรำคาญ ลูอี้สัตย์ซื่อ ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง และแก้ไขจุดคลาดเคลื่อนที่นักข่าวเขียนถึงเขา ความทรงจำของเขาถือได้ว่าเป็นเลิศ แทบทุกคราวที่ฉันสอบทานเหตุการณ์กับเรื่องราวในหนังสือพิมพ์ บันทึกทางการ และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ การย้อนนึกของลูอี้แม่นยำแทบจะเจาะลึกถึงรายละเอียดแม้เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อ 85 ปีล่วงมาแล้ว

ลูอี้เป็นนักสะสมตัวยง ดูเหมือนจะเก็บรักษาโบราณวัตถุทุกชิ้นในชีวิตไว้อย่างดี ตั้งแต่ป้าย 'ห้ามรบกวน' ที่ฉกมาจากหน้าห้องของเจสสี โอเว็นส์ในเบอร์ลิน จนถึงแผ่นกระดาษหมายเลขนักวิ่งในการแข่งขันการวิ่งหนึ่งไมล์ระดับมหาวิทยาลัยที่เขาทำสถิติได้อย่างงดงามในปี 1934 หนังสือข่าวตัดเล่มหนึ่งเก็บข้อมูลเฉพาะปี 1917-1938 มีน้ำหนัก หกสิบสามปอนด์ เขามอบหลักฐานทุกอย่างให้ฉัน (ผ่านมือเดบี จินสเบิร์ก ผู้ล่วงลับไปแล้ว เธอจัดการรวบรวมลงกล่องส่งไปรษณีย์มาให้) นอกจากนี้ยังส่งหนังสือข่าวตัดเล่มอื่น ๆ (โชคดีที่มีขนาดเล็ก) รูปถ่ายหลายร้อยใบ จดหมาย อนุทิน และหลักฐานเลอค่าที่สุด : ข่าวตัดหนังสือพิมพ์เก็บไว้ในกระเป๋าเงินที่ติดตัวไปบนแพยาง หลักฐานเหล่านี้แทบเป็นหีบมหาสมบัติของฉัน ทุกชิ้นพาฉันดิ่งลึกลงไปในชีวิตเขา เผยรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ในนั้น ฉันซาบซึ้งใจยิ่งที่ลูอี้วางใจมอบข้อมูลของชีวิตที่มีค่าล้ำยิ่งต่อตัวเขา และต้อนรับฉันเข้าไปในประวัติชีวิตยาวนานของเขา...


บางส่วนจากคำขอบคุณของผู้เขียน
ลอรา ฮิลเล็นเบรนด์
















Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2561 11:27:40 น.
Counter : 808 Pageviews.

1 comment
--- พ า ยุ ต ะ วั น ต ก : เฉลิมศักดิ์ แหงมงาม ---
















ฉันเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้จบไปเมื่อคืนนี้เอง เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของคุณเฉลิมศักดิ์ แหงมงาม ซึ่งมีงานเขียนออกมามากก่อนหน้านี้ นี่น่าจะเป็นเล่มที่ ๑๗ นะคะถ้านับไม่ผิด แต่เป็นเล่มแรกสำหรับฉัน

พายุตะวันตก เป็นเรื่องราวในครอบครัวตัวละครหลักอย่าง ก้อง ซึ่งเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านร้อนหนาวและเหตุการณ์พลิกผันมาโดยตลอด ๙๐ ปี เขากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ ๕ ขวบ ถือเป็นพายุลูกแรกของชีวิตที่ต้องเผชิญ จนกระทั่งเป็นพ่อคนและเป็นปู่ของหลานสาวที่กำลังเผชิญกับพายุตะวันตกโดยเฉพาะวิชาที่ร่ำเรียนมาและยึดหลักแบบตะวันตก เหมารวมความคิด นิยามแบบนักล่าอาณานิคมแบบตะวันตก เหมารวมอีกว่าระบอบประชาธิปไตยที่ดีต้องเป็นแบบตะวันตก แบบที่เธอยึดมั่นวิถีของประชาธิปไตย อำนาจความเป็นธรรมต้องเป็นของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน

เหตุการณ์เรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลเผด็จการ โดยอ้างถึงระบอบประชาธิปไตยให้เห็นซึ่งอำนาจที่แท้จริงคือเสียงของประชาวันมหาวิปโยคเมื่อ ๑๔ ตุลา ๑๖ หรืออีกครั้งเมื่อปี ๑๙ คุกรุ่นด้วยควันปืนและหายนะ เห็นเงาความตายและการนองเลือดอย่างไร้ความปรานีของชนชั้นปกครองด้วยกระบอกปืน แม้จะไม่กล่าวออกมาอย่างชัดเจนเรื่องทุจริต คอร์รัปชั่นในวงราชการ แต่จากการหาเสียงในพื้นที่ของตัวละคร เราพอวาดภาพที่เหลือออกเองได้ และ 'ทราย' หลานของก้องกำลังสับสนกับความคิดของตัวเองในการเรียกร้องหาความถูกต้อง และสับสนในสิ่งที่ปู่เพียรตอกย้ำด้วยประสบการณ์ของตนบนโลก ให้ถอยออกมา คำพูดตอกย้ำ ซ้ำ ๆ ๆ ว่า 'ประชาธิปไตยคือสงคราม' นั้นลอยวนอยู่ในหน้าหนังสือ ความวุ่นวายตลบอบอวลในอดีตยังผลมาถึงปัจจุบันวันนี้เลยหรือนี่ เหมือนสงครามไม่เคยหมดสิ้นไปจากโลกมนุษย์ แท้แล้ว การเมืองคืออะไร การประชุมหารือเรื่องการเมืองคือสงครามด้วยหรือเปล่า สงครามการเมืองที่เป็นกลเกมการต่อสู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเมื่ออีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ทำอย่างไรจะชนะ หรือมันเป็นเรื่องในอุดมคติที่ไม่ใช่การรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง

...ประชาธิปไตยมาจากไหน
เป็นของฝรั่ง
เรียนไปทำไม
ฝรั่งมันชอบสงคราม
ชีวิตของปู่ เห็นมันก่อสงครามมาโดยตลอด ...

ใช่แล้ว..ก้องเห็นภาพที่พ่อต้องไปปกป้องชาติจากผู้รุกรานอย่างฝรั่งเศส เห็นเรือรบขนาดมหึมาปิดปากอ่าวไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ทันได้เห็นฝรั่งทิ้งระเบิดที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เห็นบางปูที่เต็มไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรม น้ำในคลองเริ่มเน่า ควันไฟ ป่าชายเลน ฟังคำบอกเล่าจากพ่ออีกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝรั่งร้ายแรงแค่ไหน เห็นความรู้สึกเคียดแค้นที่ชาวญี่ปุ่นมาขอเดินทัพในไทยเพื่อต่อสู้กับฝรั่งที่เป็นนักล่าอาณานิคม ในโลกของผู้มีอำนาจมักแย่งชิงอำนาจกันไม่เว้นแต่ละวัน ฝรั่งเป็นชาติที่เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ มันเหนื่อยจริง ๆ นะที่ต้องตั้งคำถามใจอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมคนเราต้องรบราฆ่าฟันกัน ทำไมต้องชิงแผ่นดินกัน ทั้ง ๆ ที่ชีวิตนี้มีแต่ความพลัดพราก ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งเคียดแค้น หัวใจก็เจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า มันไม่ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับหัวใจได้นอกจากสะสมความหยาบกระด้างและชาชินกับเหตุการณ์เลวร้ายบนโลก แต่อะไรก็ไม่ทำร้ายจิตใจมากไปกว่าที่เห็นหลานต้องตกเป็นเหยื่อของอุดมการณ์และการปกครองสมัยใหม่ที่เรียกว่าประชาธิปไตยซึ่งมันเป็นของฝรั่งนั่นเอง

ฉันคิดว่า ฉันพอเข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่อย่าง ทราย และเข้าใจคนผ่านโลกและประสบการณ์ชีวิตอย่าง ก้อง เราต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ คนรุ่นใหม่มีความหวัง มีศรัทธาบริสุทธิ์ที่เชื่อว่าสามารถพลิกผืนแผ่นดินได้ แต่อีกฝ่ายก็จะมองเห็นสัจธรรมว่า 'ชีวิตก็เท่านี้' ในประเทศที่มีพุทธศาสนาจะเข้าใจลึกซึ้งต่างกันในเรื่องที่ว่า 'แท้จริงชีวิตมีแต่ความทุกข์' เพราะถึงที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าไปกังวล เอาตัวให้รอด มีเส้นทางชีวิตที่จะต้องเลือก เราจะเลือกทางหลงใหลให้ได้ซึ่งอำนาจหรือเงินตราก็ได้ แต่ต้องยอมรับผลของมันด้วยว่า มันมีวันเสื่อม กับอีกทางคือทางแห่งการทำความดี ขัดเกลากิเลสในใจตน ทางนี้รับรองไม่มีการทำลายล้าง ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบเพราะมันต่อสู้อยู่เฉพาะภายในใจของตนเท่านั้น
พายุจะถั่งโถมเข้ามาเพียงไร มันก็เหมือนกับทะเลคลั่งที่โหมทำลายบ้านเรือนให้พังในพริบตา พ้นจากพายุร้ายนี้ก็มีพายุร้ายลูกอื่นที่กราดเกรี้ยวรุนแรงเข้ามาอีก หากเราผ่านตรงนี้มาได้ก็ควรมีบทเรียนเพิ่มขึ้น เสียงของสติและธรรมะนั้นเป็นเสียงที่เบา สม่ำเสมอ หนักแน่นและมั่นคง เป็นเสียงที่สามารถนำความสงบมาสู่จิตใจได้และทรงพลังกว่าพายุร้าย ๆ ที่อย่างเรา ๆ กำลังเผชิญอยู่ทุกซอกทุกมุมบนโลกนี้


ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย















Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2561 9:35:37 น.
Counter : 457 Pageviews.

1 comment
--- ‘ลอยนวล’ และ ‘ตะลอนพม่าประสาเจ้าชาย’ : คามิน คมนีย์ ---

















เพิ่งซื้อหนังสือสองเรื่องคือ ‘ลอยนวล’ และ ‘ตะลอนพม่าประสาเจ้าชาย’ของคามิน คมนีย์

แต่ยังอ่านไม่จบ เพิ่งเปิดเล่มแรกคือ ‘ตะลอนพม่าประสาเจ้าชาย’ ไปได้ครึ่งเล่มแล้ว หลังจากดูท่องเที่ยวที่ต้าลี่ ลี่เจียงในทีวีช่อง 11 จบไปเมื่อคืน

สำหรับหนังสือเล่มนี้ในบทแรก เขาจะเกริ่นความเป็นมาของเขาได้น่าอ่าน แต่ฉันมาเห็นภาพวัดที่คามินเล่าถึง เป็น ‘ภาพจับใจ..’ ใช่..เขาบอกว่าเป็นภาพจับใจที่วัดนี้ วัดที่ฉันไปมาแล้ว เป็นวัดที่มีพระ เณรอยู่เป็นพันรูป ฉันเคยไปถ่ายภาพ ‘การฉัน’ ของพระที่ดูสงบเสงี่ยม เรียบร้อยไม่มีเสียงพูดคุยและเงียบกริบ คามินเล่ารายละเอียดซึ่งฉันเห็นกับตาแต่ไม่เห็นเหมือนเขาเลยสักนิด ไม่สามารถบอกได้เลยว่านี่คือภาพสำรวมที่น่าชื่นชมเพียงไรและคงเนื่องมาจากพระเณรเหล่านี้มีการอบรมและความคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง

แน่นอนล่ะ..ฉันไปพม่ามาครั้งหนึ่ง ไปก็เหมือนไม่ได้ไปหรือไปก็ไปไม่ถึง ตอนนั้นฉันอยากกลับบ้านมาก นั่นเป็นเพราะฉันไม่ชอบไปวัด ไกด์พาเที่ยววัดถึง 16 วัดในเวลาไม่กี่วัน ฉันรู้สึกว่ามากเกินไปสำหรับตัวเอง และอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องนิสัยไร้สาระของฉันที่ฉันไม่ชอบถอดรองเท้าเดินเท้าเปลือยกอปรกับที่เราไปเที่ยวหน้าร้อนซึ่งพื้นวัดร้อนมาก ๆ ร้อนจนเราเป็นไข้ นั่นเป็นเพราะสภาพร่างกายเรายังปรับตัวไม่ได้มากกว่าจะรังเกียจพื้นดินที่ทำให้เรารู้สึกถึงความเชื่อมโยงกายใจกับแผ่นดินธรรมของเขา

ทั้ง ๆ ที่ได้อ่านหนังสือแนะนำเที่ยวพม่ามาพอสมควร ทำความเข้าใจกับความเป็นไปของเขาในวันนี้บ้าง แต่ที่ชอบมากที่สุดคือของคุณธีรภาพ โลหิตกุล ประทับใจและมองพม่าไปในทางตรงกันข้ามกับประวัติศาสตร์ที่เคยเรียนมา (ลดอคติไปเยอะกับคนพม่าเพราะที่เห็นแรงงานพม่าแถวบ้าน มีทั้งที่น่าสงสารและน่ากลัว) แต่ความไม่พร้อมของร่างกายและใจก็ทำให้ฉันเที่ยวไม่สนุก เพียงแต่เมื่อคิดถึงพม่าทีไรที่ทำให้ประทับใจไม่รู้ลืมคือการได้ไปไหว้สาพระธาตุอินทร์แขวนและอยากอ่านหนังสือของคุณมาลา คำจันทร์อีกรอบ

ฉันรู้จักคามิน คมนีย์จากหนังสือเรื่อง ‘ไปเป็นเจ้าชายในแคว้นศัตรู’ นั่นเอง อ่านจบแล้วรู้สึกดีมาก ๆ จนต้องบอกคนที่บ้าน บอกเพื่อนและใครต่อใครให้ได้อ่านบ้าง นอกจากนี้ยังซื้อให้แม่ เพราะแม่ชอบไปพม่าและแม่บอกว่าคนพม่าน่าสงสาร แม่ก็ชอบหนังสือเล่มนี้มากเช่นกัน ส่วนเด็ก ๆ ของฉัน ฉันชักชวนให้อ่านเรื่อง ‘ใต้ฟ้าฟากกระโน้น’ เป็นเรื่องราวชีวิตและประสบการณ์ของคามินในการเรียนต่อต่างประเทศ เป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจชั้นยอดของนักเรียน จะด้วยภาษาง่าย ๆ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจ มีความเป็นกันเองหรือทำให้คนอ่านรู้สึกสนิทกับเขาเพราะตัวหนังสือของเขาก็ได้ ลูก ๆ ก็จะได้มีความฝันและตั้งใจเรียนด้วยหากมีจุดมุ่งหมายในการเรียนต่อได้ในอนาคต

ลูกสาวฝาแฝดได้อ่านเรื่อง ‘ตามหาโจตัน’ ของคามินแล้ว และแม่ค่อนข้างจะคาดหวังนิดนึงในการอ่าน จึงบอกไปว่า ขอให้อ่านให้จบ เล่มนี้อ่านสนุกเหมือนดูหนังสืบสวนแบบโคนันนั่นแหละ อ่านจบแล้วเล่าให้แม่ฟังด้วยว่าเป็นยังไง เจ้าแฝดพี่อ่านจบแล้ว ก็เขียนมาทางข้อความว่า

‘อ่านสนุก หนูตื่นเต้นและลุ้นว่า โจตันจะเจอพ่อของเขาหรือเปล่า’
เราก็เลยบอกไปว่า ‘อ่านสนุกก็ดีแล้ว เดี๋ยวแม่จะบอกพี่คามินให้รู้ด้วย เขาคงดีใจ’
‘อ้าว..แม่รู้จักเค้าเหรอ เค้าเป็นเพื่อนแม่เหรอ’
‘เป็นเพื่อนใน FB แม่จะเล่าให้เค้าฟังที่หน้ากระดานบ้านเค้าไง’
หลังจากนั้น เจ้าตัวเล็กก็อ่านตามหาโจตันจบ และเล่าให้แม่ฟังว่า
‘สนุกดีแม่ หนูว่า อาตุนตุนเป็นพ่อของโจตันแน่เลย’ อ๊ากส์ส์ส์ส์ เธออ่านรู้เรื่องหรือเธอพูดเล่นกันเนี่ย พี่คามินรู้จะร้องไห้มั้ยเนี่ย
ก็นะ…ไว้ให้เขาอ่านกันใหม่ อาจจะได้อะไร ๆ เปลี่ยนไปจากการอ่านครั้งแรก

แต่หนังสือของคามิน คมนีย์ก็ยังไม่ถูกส่งผ่านไปยังเพื่อนสาวที่รักคนเดียวของฉันเลย ฉันลังเลนิดนึงเพราะเธอไม่ค่อยได้อ่านหนังสือมากเหมือนสมัยเรียนมัธยมฯด้วยกัน หนังสือที่เธอได้รับจากฉันจะเป็นหนังสือของพิบูลศักดิ์ ละครพล,โดม วุฒิชัย,ปะการังและสิริพันธุ์ สุนทรวิจิตร เสียมากกว่า ในช่วงหลัง ๆ ฉันส่งให้เธอทุกเล่มและบังคับว่าต้องอ่านด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า อาจจะเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันติดตามข่าวคราวเรื่องการอ่านหนังสือซึ่งกันและกันอย่างสม่ำเสมอ

ส่วนงานของคามินที่ยังไม่คิดจะส่งให้อ่านตอนนี้คือ พ่อ เพราะพ่อไม่ชอบพม่า เขาเป็นคนรุ่นเก่า หัวโบราณนิดนึง เขาเกลียดพม่าก็เพราะเขาป็นคนอยุธยานั่นเอง เขาบอกลูก ๆ เสมอว่าพม่าเผาเมือง และพ่อจะไม่สนใจฉันเลยหากพ่อจะได้ลูกเขยเป็นพม่า ว่าเข้าไปนั่น ฮ่า ฮ่า ฮ่า พ่อก็จะฝังใจกับพม่าในทำนองนี้แหละซึ่งฉันต้องค่อย ๆ เล่าให้พ่อฟังหรืออาจจะตัดสินใจใหม่ให้พ่ออ่าน ก็หวังว่าวันหน้าหากพ่อได้หลานเขยเป็นพม่าก็คงต้องเปลี่ยนทัศนะกันใหม่เพราะเขาเป็นคนดีมากกว่าเชื้อชาตินะพ่อนะ

ถึงตอนนี้ ฉันคิดว่า ฉันคงมีเวลาอ่านหนังสือของคามินจนจบนั่นแหละ และจะส่งต่อหนังสือนี้ให้เพื่อนหรือใครก็ว่ากันอีกที คนใกล้ตัวก็รออ่านอยู่แล้ว เราอ่านงานของคามินด้วยกันและมีเรื่องดี ๆ ของคามินมาคุยกัน ฉันคงได้ไปมัณฑะเลย์ พุกามและอินเลในสักวันแม้ไม่ใช่ตอนนี้ เร็ว ๆ นี้ อาจจะได้ไปดูชินลงที่งานวาโซ อาจจะได้เจอซูซูหล่าย และอาจจะได้ทำความรู้จักมินดาไทยหรือเจ้าชายตุนตุน

ถึงตอนนี้ หาเวลาไป ‘ตะลอนพม่าประสาเจ้าชาย’ กับตัวหนังสือของคามิน คมนีย์ดีกว่า เพราะอันนี้เป็นจริง เป็นไปได้และง่ายที่สุด

ขอบคุณมากค่ะ
ภูเพยีย
๒๕ มกราคม ๒๕๕๕









Create Date : 25 มกราคม 2561
Last Update : 25 มกราคม 2561 7:57:56 น.
Counter : 818 Pageviews.

1 comment
--- ป รุ ง รั ก ป า รี ส ---























บั น ทึ ก ก า ร อ่ า น

Lunch in PARIS
A Love Strory with Recipes
ป รุ ง รั ก ป า รี ส

Elizabeth Bard เขียน
ภัทรา หงษ์พร้อมญาติ แปล



'...ตั้งแต่ฉันยังเด็กมาก ฉันก็เชื่อมโยงความพิเศษสุดไม่เหมือนใครไว้กับยุคสมัยที่ผ่านไปเนิ่นนานและแสนห่างไกล ในขณะที่เพื่อนอนุบาลของฉันฝันว่าจะเป็นนักบัลเล่ต์หรือนักบินอวกาศ ฉันกลับอยากเป็นนักโบราณคดี ฉันมีหนังสือภาพสถานที่ขุดสมบัติดัง ๆ ที่พ่อกับฉันอ่านด้วยกันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งปกแข็งของมันแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ ฉันจินตนาการว่าตัวเองเปิดสุสานตุตันคาเมนออก บรรจงหยิบสร้อยข้อมือทองคำหรือคนโทใส่ไวน์ที่วางอยู่โดยปราศจากคนรบกวนมาเป็นพัน ๆ ปี ฉันชอบกลิ่นอับของหนังสือเก่า ความเรืองของภาพเหมือนของชาร์เจนท์ และประกายวิบวับของคริสตัลอเมธิสต์ในห้องโถงอัญมณีที่มืดสลัว พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ พอหมดยุคเล่นแต่งตัวก็หายเข้าสู่โลกนวนิยาย ดำดิ่งลงไปสู่โลกของจินตนาการของคนอื่น ๆ ฉันเข้าใจถนนหนทางในลอนดอนในยุคของดิคเกนส์มากกว่าเรื่องเศษส่วนตั้งเยอะ

...ปารีสในฤดูหนาวชื้นฉ่ำและเงียบงัน แตกต่างจากแสงอาทิตย์จัดจ้าชวนปวดตาและอากาศเย็นเยียบเฉียบบาดผิวของนิวยอร์กมากมาย ที่จริงสภาพอากาศในปารีสเหมือนในลอนดอนเปี๊ยบ เพียงแต่ปารีสมีสถานที่ให้ซุกตัวที่ดีกว่า ฉันชอบเวลาสายฝนผสมผสานสีสันต่าง ๆ ให้ปนกันเหมือนภาพวาดสีชอล์กตามทางเท้า หลังพระอาทิตย์ตกจะมีเวลาช่วงหนึ่ง เวลาที่ร้านรวงพากันเปิดไฟและไอน้ำเริ่มเกาะตามหน้าต่างคาเฟ่ทั้งหลาย ยามสนธนยาเช่นนี้สื่อถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา มันเรียกว่า อ็องเทรอ เชียง เอต์ ลูป์ หรือระหว่างสุนัขกับหมาป่านั่นเอง...'



สำนวน สำเนียงข้างต้นนี้เป็นของ อลิซาเบธ บาร์ด นักข่าวสาวชาวอเมริกันเจ้าของเรื่องราวผจญภัยในมหานครแห่งรัก ใช่..เธอเขียนถึงปารีส วัฒนธรรมการกินในฝรั่งเศส และรายละเอียดของแต่ละอย่าง

เธอเล่าถึงผู้คนและเมืองหลวงแห่งนี้อย่างมีมิติและสีสันมากกว่าที่เราเคยอ่านมาจากที่ไหน มันไม่เพียงแต่สวยชวนฝัน ทว่ายังซ่อนแง่งาม ความลึกลับ น่าค้นหา



ก้าวสำคัญเริ่มขึ้นเมื่อนักข่าวสาวยอมลดละคำว่า ' สมบูรณ์แบบ' เพื่อคำว่า 'เป็นไปได้' มีความวุ่นวาย นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะใช้ชีวิตคู่ รายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับอาหาร ออเดิร์ฟที่ต้องเลือกสำหรับงานแต่งงาน ยิบย่อยในเรื่องการจองวัน คิดถึงผังที่นั่งแบบสองภาษา เธอไม่ได้เติบโตมากับคู่แต่งงานที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พ่อของเธอเป็นผู้ชายที่วิเศษในหลายเรื่อง เขาตลก สร้างสรรค์ มีเสน่ห์และรูปหล่อ แต่ว่าเขาไม่ได้ร่ำเรียนสูงและไม่ร่ำรวย และสิ่งที่น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดก็คือ เขาไม่ฉลาดหลักแหลมเหมือนแม่ แม่รักพ่อแต่ก็อยากเปลี่ยนพ่อด้วย ทว่ามันกลับไม่ได้ผล นอกจากพ่อจะต้องต่อสู้กับอาการป่วยทางจิตอย่างจริงจังแล้ว ชีวิตสมรสก็มีทีท่าว่าจะทำให้เขาล้มเหลวด้วย ...คนเราเติบโตแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง นั่นแหละคือปัญหา

และวันที่สองครอบครัวจะมาเจอกัน เหมือนอาหารฟิวชั่นที่ดูไม่ค่อยลงตัวแต่น่าสนใจ มีการแนะนำตัวพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายได้น่ารักมาก เห็นภาพครอบครัวแบบอเมริกันและฝรั่งเศสที่ดูความทรงภูมิในแบบของนิโกลและการสงวนท่าทีของยานิก (พ่อแม่ของเกว็นดาล หนุ่มปารีสที่เธอจะแต่งงานด้วย) แต่ต่สิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้อย่างกระตือรือร้นก็คืออาหาร


เธอพยายามอ้าแขนรับและทำความเข้าใจสังคม วัฒนธรรมใหม่ ๆ โดยมีความรื่นรมย์อีกอย่างหนึ่งซึ่งอยากแบ่งปันต่อ ๆ ไป คือความสุขละมุนละไมในห้องครัว บรรดาเมนูชวนลิ้มชิมรสจึงเปรียบเสมือนเพื่อนรู้ใจ สะท้อนถึงความรู้สึกแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะอิ่มเอม ทดท้อหรือให้กำลังใจ แต่หนึ่งในของขวัญล้ำค่าที่มากับความสัมพันธ์แบบหลากวัฒนธรรมก็คือเวลาทะเลาะกัน เราจะไม่รู้เลยว่าเราโกรธอีกฝ่ายหรือว่าโมโหวัฒนธรรมของเขากันแน่ ความสนุกและอารมณ์ขันอันเหลือเฟือของอลิซาเบธทำให้เราอ่านไปอย่างเพลิดเพลิน ความกลมกล่อมย่อมแปรผันไปตามจังหวะของชีวิตที่โลดแล่นขึ้น ๆ ลง ๆ ในทุกย่างก้าวและลมหายใจของชาวเมืองและฤดูกาล เช่นเดียวกับรสชาติแบบเป็นกันเองของปารีสที่ยังอวลกลิ่นเชื้อเชิญในทุกหน้ากระดาษ และอยากลิ้มลองรสชาติของอาหารที่เธอทำ



ขณะที่อ่านนั้น ฉันนั่งอมยิ้มและย้อนความทรงจำในวัยเยาว์ที่เคยหลงใหลใฝ่ฝันจะไปเยือนมหานครแห่งนี้สักครั้งในชีวิต รู้จักและหลงใหลฝรั่งเศสจากการเรียนและการอ่านมากกว่าสิ่งใด และมีวัฒนธรรมใดบ้างที่เคยเรียนรู้ เข้าใจอะไรบ้างจากการเรียนและการอ่าน นึกถึงอะไรอีกเมื่อพูดถึงเรื่องราวในฝรั่งเศส หรือสิ่งที่คนมาถามหามากที่สุดเมื่อมาเที่ยวฝรั่งเศส ราวกับสองสิ่งที่โผล่เข้ามาในหัวเป็นรายการแรกก็คือไวน์ดี ๆ กับชีสต์เยี่ยม ๆ


ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ ชาร์ลส์ เดอ โกลได้แสดงความคิดอันโด่งดังไว้ว่า 'คุณจะปกครองประเทศที่มีชีสตั้งสองร้อยสี่สิบหกชนิดได้ยังไงกัน' ซึ่งที่จริงนั้นเขาหมายความว่า 'คุณจะปกครองประเทศที่มีคนฝรั่งเศสสองร้อยสี่สิบหกชนิดได้ยังไง'นั่นเอง

แค่เรื่องชีสต์อย่างเดียว เราก็เรียนกันไม่หวาดไม่ไหว การกินชีสต์ก็ยังอยู่ในวัฒนธรรมที่เราเรียนรู้อย่างสนุกสนาน เพราะเราเคยกินมื้อค่ำกันในฝรั่งเศสก่อนเมนคอร์สจะมา ต่างตกตะลึงกับชีสต์สารพัดอย่างพร้อมขนมปังอีกหนึ่งถังวางอยู่บนโต๊ะ


ในฝรั่งเศสมื้อค่ำถือเป็นพิธีการอย่างหนึ่ง และอาหารแต่ละอย่างก็มีขั้นตอนเฉพาะของมันที่เราจะต้องเรียนรู้เหมือนกับพิมพ์ปาเตนั่นแหละ มีวิธีกินชีสต์ให้ถูกต้อง แต่เขาไม่ได้มายืนกำกับหรอกว่า ชีสกลม ๆ อย่าง แชฟวร์ หรือแซ็งต์-เฟลีเซียง ต้องตัดจากตรงกลางเหมือนพายชิ้นเล็ก ๆ ชีสสามเหลี่ยมอย่างบรี หรือเบลอต้องตัดจากด้านข้างให้เล็กลงเรื่อย ๆ ส่วนชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าใหญ่ ๆ อย่างกงเตหรือก็องตาลควรจะตัดจากขอบด้านในไปทาง ครุต หรือเปลือกแข็ง ๆ จนกว่ามันจะยาวเท่าคมมีดของเรา เพราะในกรณีนั้นมันควรจะตัดจากด้านข้างแทน แนวคิดมีอยู่ว่าจะต้องไม่ปล่อยให้ผู้ร่วมโต๊ะคนไหนได้กินแต่เปลือกขึ้นรา และแน่นอนถ้าหากเป็นไปได้ก็ต้องพยายามเลี่ยงการกินชิ้นสุดท้ายด้วย เรารู้แบบนี้แต่วิชามันมาไม่ทันการ ใครอยากกินอะไรแบบไหนก็กินกันไป เราคงไม่ได้มากินที่นี่เป็นซ้ำสองหรอก หรือกว่าจะได้มาเยือนอีกครั้งก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


ขณะที่เมนคอร์สกำลังตามมา ฉันก็ตกตะลึงเป็นครั้งที่สอง เพราะเมนูที่สั่งไป ทำไมมันเหมือนเนื้อดิบ ๆ มีไข่ไก่โปะเป็นหลุมกลางเนื้อนั่น จะกินยังไงละเนี่ย ก็จำได้ว่า มันไม่มีคำว่าแซญญ็องต์นี่นา

คนฝรั่งเศสปรุงเนื้ออยู่สองแบบ ถ้าไม่กินดิบหรือเลือดชุ่มก็จะอบหรือเคี่ยวนานเสียจนมันจวนจะละลายกลายเป็นสตูว์ข้น ๆ พร้อมส่งกลิ่นหอมหวนชวนนึกถึงวัยเด็ก

แซญญ็องต์ ศัพท์สำหรับคำว่า ดิบ มีความหมายตรงตัวว่า เลือดไหล ในขณะที่คำว่า กึ่งสุกกึ่งดิบ หรือ สุก ให้ความรู้สึกเหมือนตัดสินใจไม่ได้ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่เคารพสัตว์ชนิดนั้น ๆ เลย คุณจะฆ่าสัตว์บริสุทธิ์ไร้เดียงสาตัวหนึ่งเพียงเพื่อจะกินมันในสภาพสุกเกรียมจนเป็นสีเทาซีดแบบนั้นทำไม แง แง เขาคิดกันแบบนั้นจริง ๆ นะ แต่ฉันไม่เคยกิน หลู้หรือลาบดิบเลยสักครั้ง ตอนนั้นทำได้อย่างเดียวคือปั้นหน้าว่าอยากลิ้มลองและส่งสายตาให้สามีว่า เดี๋ยวจานของเธอมาช่วยยกจานนี้ออกไปที เพื่อนฉันก็ขยิบตาให้ พร้อมกับกระซิบกว่า กิน ๆ ไปเถอะ ไม่หมดเดี๋ยวจะจัดการเอง ฉันก็ละเลงสิ เจาะไข่แดงให้มันไหลลงตรงกลางเนื้อดิบนั่น บริกรก็หล่อโคตร หล่อราวเทพบุตรกรีกที่เป็นฮีโร่หรือไอดอลของคนฝรั่งเศสในอาชีพปอมปิเยร์หรือเจ้าหน้าที่ดับเพลิง คนเหล่านี้หล่อ สมาร์ทและดูสุขภาพดีมาก พวกเขาจะเป็นกลุ่มแรกที่จะออกมากอบกู้สถานการณ์ ไม่ว่าจะแก๊สรั่วหรือหัวใจวาย ชาวฝรั่งเศสจะไม่โทร.หาช่างประปา แต่จะโทร.18 หาปอมปิเยร์แทน

แต่ตรงหน้าฉันตอนนี้คือบริกรหนุ่มหล่อที่เดินไปมาไม่ใช่ปอมปิเยร์สักหน่อย เขาเสิร์ฟอาหารอย่างคล่องแคล่ว สายตาเชื้อเชิญให้กินจริง ๆ ซะทีแม่คุณ เฮ้อ ฉันก็รอดมื้อนั้นมาด้วยความกรุณาของเพื่อนและสามี และเราก็ไม่ควรขยาดกับจานสำคัญคือ เอสการ์โก แม้จะเซียนกินหอยแครง หอยแมลงภู่มาแต่ไม่เคยกินหอยทาก เอสการ์โกที่เสิร์ฟมาในจานพอร์ซเลนที่มีหลุมกลม ๆ เปลือกหอยแต่ละตัวเป็นประกายและมีรูเล็ก ๆ ของมันเหมือนในสนามมินิกอล์ฟ แต่อัดแน่นด้วยครีมที่ทำจากพาสลีย์กับเนยกระเทียมกลิ่นฉุน ก็เป็นเรื่องวิเศษอย่างหนึ่งในชีวิตได้เช่นกัน

ฉันเคยสงสัยว่าทำไมผู้หญิงฝรั่งเศสถึงมีไซส์เปอติต คือเล็กจริง ๆ มันน่าจะเกี่ยวเนื่องเรื่องอาหารการกินด้วยก็เป็นได้ พูดง่าย ๆ คือ ในฝรั่งเศสการกินเป็นกิจกรรมทางสังคมและความอ้วนก็เป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับกัน เหมือนกับที่ฉันค่อยคลี่คลายความสงสัยเมื่ออลิซาเบธเห็นตัวอย่างการกินอยู่ของว่าที่แม่สามีชาวฝรั่งเศสว่า

แม่ของเกว็นดาลเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของสตรีฝรั่งเศส เธอสูงห้าฟุตสองนิ้ว นิโกลเหมือนผู้หญิงฝรั่งเศสส่วนใหญ่ตรงที่สืบเชื้อสายมาจากโจน ออฟ อาร์ค นั่นก็คือสาวผมบลอนด์ รูปร่างแบบบางที่สะกดทั้งกองทัพได้ด้วยสายตาแผดเผาเพียงครั้งเดียว ผู้หญิงฝรั่งเศสดื่มน้ำเปล่าเยอะมาก นิโกลไม่เคยขาดขวดน้ำแร่วิตแต็ลเลย คนฝรั่งเศสแทบไม่กินหรือดื่มอะไรอย่างรีบร้อน แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอหยุดพัก ก็จะมีน้ำดื่มขวดลิตรวางไว้ใกล้มือเสมอ สิ่งที่ขาดหายไปจากกระเป๋าเธออย่างน่าคิดคือขนมขบเคี้ยว นิโกลไม่เคยกินขนมระหว่างมื้อ เธอจะไม่กินจุบกินจิบในครัว เธอไม่หยิบนู่นหยิบนี่กินระหว่างทำอาหาร การไม่กินจุบจิบต้องอาศัยการฝึกปรือ แต่ดื่มไวน์ตอนมื้อเที่ยง

แล้วมีอะไรที่เราจะคิดถึงฝรั่งเศสได้อีกล่ะ อ่อ..ปารีสเป็นเมืองของมหาศิลปินที่ตายไปแล้ว ศิลปินที่มีชีวิตอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก ลอนดอน ไม่ก็โคโลญหรือเซี่ยงไฮ้ หรือพิพิธภัณฑ์ที่เราหมายมั่นปั้นมือว่า จะต้องแพลนว่าจะไปเยี่ยมชมคือ พิพิธภัณฑ์ ลูฟวร์

ฉันฝังตัวอยู่ในพิพิธภัณฑ์แค่สองวันเต็ม ๆ เดินดูภาพพร้อมกับสามีและนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ชมภาพที่ทำการบ้านมาจากบ้านไม่กี่ภาพหรอกเพราะมันมากมายเหลือเกิน ดูกันกี่เดือนกี่ปีจึงจะเห็นครบ แต่เราก็พอใจเพียงแค่นั้น แต่หนังสือเล่มนี้ อลิซาเบธเขียนได้ชวนคิดชวนขำ เธอว่า


'...การพาผู้คนไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นสิ่งยั่วยวนใจ ข้าวของทุกชิ้นมีเรื่องราวเล่าขาน และพอหายตะลึงพรึงเพริดกับขนาดของสถานที่แล้วพวกเขาก็จะมองเราเหมือนเด็ก ๆ ที่เฝ้ารอคอยนิทานก่อนนอน

ทุกคนมีความเห็นกับงานศิลป์ที่ไปดู และจะวิเคราะห์โดยอ้างอิงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พวกหมอจะมีอะไรพูดเยอะเป็นพิเศษ หมอด้านกระดูกและกล้ามเนื้อคนหนึ่งให้ภรรยา ลูกสาวสองคนและฉันยืนอยู่หน้ารูปวีนัส เดอ มีโลถึงสิบนาทีเพื่อพยายามจะเลียนแบบท่ายืนของเธอ เห็นชัดเลยว่าการบิดสะโพกของเธอเป็นจริงไม่ได้ทางกายภาพ เพราะจะต้องมีอะไรแตกหักให้เขารักษาแน่ ๆ

แม้แต่โมนา ลิซ่า ยังไม่รอดพ้นการวินิจฉัย ช่างแต่งหน้าคนหนึ่งเคยบอกฉันว่า หากมองทางซีกซ้าย เธอจะดูเป็นผู้หญิงมากกว่า นั่นก็เพราะการแสกผมของเธอ

แล้วก็มีแพทย์ไคโรแพรคติกอีกคน 'เธอมีซีสต์ที่ข้อมือแน่ะ เห็นก้อนนั้นมั้ย บนนิ้วโป้งเธอน่ะ' และเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นมันจริง ๆ เสียด้วย ...

และถ้าฉันอยากครอบครองพิพิธภัณฑ์ ลูฟวร์ ฉันจะมาตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันพุธ ตอนเดินผ่านบานหน้าต่างด้านกูร์ นาโปเลอง ฉันก็มองเห็นพระอาทิตย์ตกลงเหนือสวนตุยเลอรีส์ ลำแสงสุดท้ายส่องกระทบปลายยอดสีทองของโอเบลิสก์ที่จัตุรัสปลาส เดอ ลา กงกอร์ด แสงไฟจากรถราวิบวับเหมือนไฟคริสต์มาสเส้นยาวบนถนนชองป์ เซลิเซ่ส์ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ยามค่ำคืนดูเหมือนอย่างที่มันน่าจะเคยเป็นสมัยที่กษัตริย์ทั้งหลายทรงพำนักอยู่มาก ๆ ไฟดวงต่ำส่องไปถึงมุมมืด ๆ ของเพดานสูงลิบลิ่ว และคนที่เดินบนบันไดหินอ่อนซึ่งทอดตัวแผ่กว้างก็มีน้อยกว่าเดิมด้วย

พีรามิดแก้วของไอ.เอ็ม. เป้ย สว่างเรืองรองเหมือนมียานอวกาศเพิ่งลงจอดในลาน เครื่องจักรเล็ก ๆ ที่ล้างบานหน้าต่างยังไงละ มันเหมือนหุ่นยนต์หมาพุดเดิลที่มีแปลงหมุนได้แทนอุ้งเท้าทั้งสี่ มันเกาะอยู่ด้านข้างพีระมิดในมุมดิ่งชัน ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไต่ลงจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง สายยางห้อยอยู่ข้างหลังเหมือนหาง ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจเอามาก ๆ ขึ้นมา โชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้ยืนอยู่ตรงจุดนี้ จะมีกี่คนกันที่ได้ไปลูฟวร์บ่อยเสียจนเห็นเจ้าเครื่องล้างกระจก..' ฉันอ่านจบตรงนี้ ถึงกับอ้าปากค้าง ต้องไปอีกกี่ครั้งกันละเนี่ย ทางลัดทางเดียวคืออ่านการบันทึกการเดินทางผ่านสายตาและมุมมองของนักเขียนนั่นเอง


ความจริง รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ เป็นเพียงภาพในความทรงจำที่ผุดพรายขึ้นมาระหว่างการอ่าน ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ตกหลุมรักทั้งหนุ่มฝรั่งเศสผู้แสนจะโรแมนติกและปารีสอย่างถอนตัวไม่ขึ้น อลิซาเบธถ่ายทอดเรื่องราวความรัก การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต เล่าเรื่องการอพยพติดตามหัวใจตัวเองมาอยู่อีกประเทศหนึ่งได้อย่างจับใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในหนังสือเล่มนี้คืออาหาร เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดถึงฝรั่งเศสโดยไม่พูดถึงอาหารฝรั่งเศสด้วย เธอนำเสนอเมนูชวนลิ้มลองสุดใจ แถมมีสูตรอร่อย ๆ ตบท้ายทุกบทด้วย แต่ละจานน่ากินมาก พูดได้ว่าครบเครื่องเรื่องอาหาร ขนมหวาน สูตรปรุง ความโรแมนติก ความกลมกล่อมของสองวัฒนธรรมอเมริกันและฝรั่งเศสซึ่งช่วงที่เขาทั้งสองจะแต่งงานกันนั้น เป็นปี 2003 มันไม่ใช่ปีที่ดีที่คนอเมริกันจะแต่งงานกับคนฝรั่งเศสเลย ประธานาธิบดีชีรัคอาจจะสวมหมวกแก๊ปเอ็นวายพีดีหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน แต่ตั้งแต่นั้นมาฝรั่งเศสและประชากรส่วนใหญ่ในยุโรปก็วิพากษ์วิจารณ์การบุกอิรักกันอย่างมากมาย


แล้วอะไรคือ Lunch in PARIS ล่ะ
การกินมื้อเที่ยงตามลำพังในปารีส ก็กลายเป็นการ 'รับประทานอาหาร' มันให้ความรู้สึกที่หรูมาก หรูมากอย่างไร อยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเองเพราะเขียนได้เซ็กซี่ส์มาก ๆ


แม้เคยอ่านเทพนิยายมาเยอะแยะมากมายจนรู้ว่างานแต่งงานควรจะโผล่มาตอนท้ายเรื่อง แต่ในชีวิตจริง แม้แต่ในปารีสก็เถอะ การครองรักกันตราบชั่วกาลปาวสาน เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เธอเขียนถึงความรักของเธอได้ไม่ขาดไม่เกินและมีเสน่ห์มาก นี่คือชีวิตจริงของอลิซาเบธ บาร์ดและธอเขียนถึง เกว็นดาล ผู้เป็นรักแท้ของชีวิตได้น่ารักและน่าประทับใจที่สุด


อยากชวนเพื่อน ๆ สัมผัสเสน่ห์ความมีชีวิตชีวาที่ทาบทาเป็นฉากของปารีส เสพอาหารละมุนไปกับคู่รักต่างวัฒนธรรมคู่นี้ค่ะ



ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
11 มกราคม 2561










Create Date : 11 มกราคม 2561
Last Update : 11 มกราคม 2561 16:49:26 น.
Counter : 694 Pageviews.

1 comment
--- เ ด็ ก ช า ย ที่ ป ล อ ม ตั ว เ ป็ น ห นั ง สื อ ด อ ก ไ ม้ แ ล ะ อื่ น ๆ : ป ะ ก า รั ง---



















กว่าหนังสือจะเสร็จเป็นเล่มหนึ่ง
ต้องถึงเวลาที่ใช่... อย่างดอกไม้ จึงผลิงาม

หนังสือเล่มนี้นอกจากภาพประกอบน่ารักจาก ภูพเยีย
ปกงดงามด้วยฝีมือดีไซน์ของ วิสิทธิ์ โพ มือหนึ่งแห่งนักออกแบบฟอนต์ แล้ว...

ยังเป็นเพราะฝีมือจัดรูปเล่ม, ดูแลใส่ใจกับงานตั้งแต่ต้นจนจบ
โดยไม่ยอมคิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดของประทีป ปัจฉิมทึก
เขาบอกว่า "เพราะเป็นเล่มแรกที่เราได้ทำงานร่วมกัน"
ไม่ว่าผมจะคะยั้นคะยอเพียงใด เขายังคงยืนยัน - - "ไว้เล่มต่อไป..."
ผมก็หวังว่า เราคงมีโอกาสได้ทำเล่มต่อไปอีก

ขอบคุณมากครับ ประทีป - -
และทุกท่านที่ช่วยทำให้ดอกไม่้ดอกนี้งดงาม

ปะการัง
.

(หนังสือเล่มนี้ ผมจัดพิมพ์เอง ด้วยจำนวนจำกัด ไม่เข้าระบบสายส่ง
จึงไม่มีจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไปนะครับ
นอกจากบางร้านที่สั่งซื้อหนังสือไปจำหน่าย
ต้องการสั่งซื้อ อ่านรายละเอียดด้านล่างครับ)
.....

"เด็กชายที่ปลอมตัวเป็นหนังสือดอกไม้และอื่น ๆ "
รวม 8 เรื่องสั้น โดย ปะการัง
.
. . . . .
พบกับเรื่องราวของเด็กชายหญิง 8 คนที่มีพลังพิเศษแตกต่างกัน- -
.
เด็กคนหนึ่งหายตัวได้, อีกคนบินได้
เด็กคนหนึ่งปลอมตัวเป็นอะไรก็ได้
ขณะที่อีกคนร้องเพลงด้วยเสียงที่มีมนต์พิเศษ
แล้วยังมีเด็กที่พูดกับสัตว์ได้ทุกชนิด
เด็กชายที่เกิดมาตัวเล็กจิ๋ว, กับอีกคนตัวกลมดิก
และเด็กหญิงที่โลกของเธอ มีแต่ท้องฟ้ากลางคืน.
.
ร่วมเดินทางไปในจินตนาการของพวกเขา
เพื่อเข้าถึงสิ่งที่สูญหายไปในตัวเรา..
.
ขนาดหนังสือ 16 หน้ายก ( 14.5 x 19 ซม. )
จำนวน 160 หน้า (ภาพสี 10 หน้า)
กระดาษถนอมสายตาอย่างดี /ปกแข็ง/ เย็บกี่
.
ราคาเล่มละ 320 บาท
(ค่าส่งฟรี + พร้อมลายเซ็น)
.
...........
สนใจสั่งซื้อ- -
โอนเงินได้ที่บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี นายณรงค์ฤทธิ์ ยงจินดารัตน์
เลขที่บัญชี 052-420235-4
บัญชีประเภทออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ (สาขาลาดพร้าว ซอย 111)
.
**** เมื่อโอนเงินแล้ว อย่าลืมส่งสลิปยืนยัน พร้อมชื่อที่อยู่ และจำนวนเล่มที่สั่ง
มาทางกล่องข้อความของผมด้วยครับ - ขอบคุณครับ











หนังสือล็อตแรกเพิ่งเสร็จจากโรงพิมพ์มาสด ๆ ร้อน ๆ เลยครับ
ปกแข็ง เย็บกี่อย่างดี สวยถูกใจจริง ๆ !
- ใครไม่มีเก็บไว้จะเสียดายมาก... 😄

(หนังสือเล่มนี้ ผมจัดพิมพ์เอง ด้วยจำนวนจำกัด ไม่เข้าระบบสายส่ง
จึงไม่มีจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไปนะครับ
นอกจากบางร้านที่สั่งซื้อหนังสือไปจำหน่าย)

ถ้าใครต้องการ ยังสั่งซื้อได้ในราคาปก 320 บาท ดูรายละเอียดข้างล่างครับ

คืนนี้ ผมจะเริ่มเซ็นหนังสือ และทยอยจัดส่งให้ผู้ที่ Pre-Order ก่อนตามลำดับครับ

ขอบคุณมาก ๆ ครับ สำหรับทุกท่านที่สนับสนุนผลงานและเป็นกำลังใจให้ผมตลอดมา ❤️

ปะการัง













“มีคนดี ๆ ช่วยฉันเสมอ เหมือนอย่างเธอ”
“แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เธอพบจะเป็นคนดี”
“ฉันรู้- -ไม่ใช่ทุกคนในโลกนี้เป็นคนดี เพราะที่นี่ไม่ใช่สวรรค์
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนเป็นคนเลว เพราะที่นี่ก็ยังไม่ใช่นรก”

ปะการัง













ยิ่งตัวเล็กเท่ามด
เขี้ยวราชสีห์ก็ยิ่งทำร้ายเราไม่ได้

ปะการัง

__
* จากเรื่อง ‘เด็กชายตัวจิ๋ว’
หนึ่งในหนังสือ #เด็กชายที่ปลอมตัวเป็นหนังสือดอกไม้และอื่น ๆ โดย #ปะการัง
ภาพประกอบ : ภูพเยีย






















เหลือหนังสือ เด็กชายฯ เพียงเล่มเดียวที่อยู่กับตัว เพราะส่งให้แม่ พี่ ป้า น้า อา ไปหมดแล้ว แต่ละคนถามกันมาแบบงง ๆ ว่า ไปทำอย่างไรถึงได้ไปวาดภาพประกอบให้พี่ปะการัง คนที่ทั้งตื่นเต้นและชื่นชมทุกเรื่องของลูกอยู่เสมอก็คือแม่

ทำไมเขาถึงให้เราวาดล่ะ แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเราวาดได้
ไม่รู้เหมือนกันแม่ ก็บอกพี่เขาก่อนแล้วว่า จะลองวาดดู ไม่เคยวาดภาพประกอบหนังสือเลย ตื่นเต้นมาก และขอพี่เขาไว้แล้วว่า ถ้าไม่ชอบ ไม่ใช่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ภาพ ไม่ต้องมาเกรงใจกัน จะได้สบายใจกันทั้งหมด

นึกย้อนกลับไป พี่ปะการังก็ใจดีเหลือหลาย เขารับรู้ว่าเราเกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติในการวาด เราเองก็บอกว่าตื่นเต้น กังวล กลัวไม่ดีเพราะพี่ปะการังมีชื่อเสียง ที่สำคัญคือฉันไม่เข้าใจว่าวาดภาพประกอบคืออะไร พี่อธิบายเรื่องการวาดภาพประกอบนั้นมีหลายวิธี วิธีพื้นฐานสุด คือ แค่ดึงคาแรคเตอร์ของตัวหลักออกมา แล้วก็มีฉากใดฉากหนึ่ง ที่โดดเด่นจากท้องเรื่อง เป็นฉากหลัง Background ถ้าจะวาดแนวเหนือจริง ก็อาจจะมีวัตถุ สิ่งอื่น ๆ ประกอบ อยู่ตามจุดต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและความลงตัวขององค์ประกอบภาพ หรือดึงแค่เหตุการณ์หนึ่งในเรื่องมาวาดเป็นภาพ ไม่ต้องมีอะไรมาก ใช้ท่าทางของคาแรคเตอร์เป็นตัวแสดงบอกเล่าความรู้สึกของเรื่องและภาพนั้นต้องไม่เล่าเรื่องทั้งหมด จนคนเดาถูก พี่ก็กรุณาเล่าให้ฟังตามประสบการณ์ แต่ก็ทำให้เข้าใจและลงมือวาดหลังจากอ่านเรื่อง พี่ห่วงแต่ว่า ยังสนุกอยู่หรือเปล่า อยากให้วาดด้วยความสนุก เท่านี้เอง

ช่วงเวลาที่วาดภาพนี้ เป็นช่วงที่ฉันเดินทางไปต่างจังหวัดทุกอาทิตย์ จะนั่งอ่านเนื้อเรื่องของเด็กชาย เด็กหญิงที่มีพรสวรรค์พิเศษเหล่านี้ข้างเตียงพ่อ อ่านแล้วก็คิดไว้ว่าจะกลับไปวาดตอนกลับบ้าน มีภาพไว้ในหัว แต่บางอย่างก็กังวลเนื่องจากใช้สีน้ำไม่ค่อยเก่ง คิดแต่ว่า ต้องหาเวลาไปเรียนรู้พื้นฐานการใช้สีน้ำให้ได้

ขณะพ่อหลับ ฉันก็เล่าให้พ่อฟังไปเรื่อย ๆ ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เชื่อว่าพ่อรับรู้เรื่องราวของลูก พ่อยินดี ภูมิใจและมีความสุขกับสิ่งที่ลูกรักและชอบเสมอ

ว่าไปแล้ว นับเป็นการวาดภาพประกอบหนังสือเล่มแรก แม้จะเคยมีภาพการ์ตูนสไตล์นี้ของฉันอยู่ในหนังสือของพี่ที่นับถืออยู่บ้าง แต่ไม่ได้ทำตามเนื้อหาของเรื่องเสียทีเดียว แต่จะเป็นโจทย์ใหญ่รวม ๆ ของเนื้อหาหนังสือ อย่างเช่น วาดภาพความสุข วาดนกสามัญประจำบ้าน วาดดอกไม้มีชีวิต เป็นต้น

ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็พยายามวาดและใส่ใจในสิ่งที่พี่ ๆ ไว้วางใจให้ทำ ทำในแบบของตัวเอง โดยไม่ต้องเกร็งหรือกลัวว่าใครจะไม่ชอบ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมมีคนชอบและไม่ชอบ เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่สำคัญที่สุดคือ ฉันอยากให้เพื่อน ๆ คนที่รักฉันและฉันรัก และคนทั่ว ๆ ไปได้อ่านเนื้อหาในเรื่องสั้นของพี่ปะการังมาก ๆ เผื่อจะได้รู้จักเด็กอัศจรรย์คนนั้นในตัวเราเองก่อนที่จะสูญหายไปตลอดชีวิต

ดีใจที่ได้วาด และลงมือด้วยความสุขใจ ทำให้ดีเท่าที่จะดีได้ แม้ไม่ใช่หนังสือของตัวเอง แต่ฉันก็มีความสุขมากอย่างเหลือเชื่อ

ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่อุดหนุนหนังสือของพี่ปะการังนะคะ ขอให้มีความสุขกับจินตนาการในหนังสือและโลกจริงค่ะ

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
27 ธันวาคม 2560



















Create Date : 27 ธันวาคม 2560
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 10:56:13 น.
Counter : 1460 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com