Group Blog
All Blog
--- มู ซ า ชิ ---











หัวใจของคนเรานั้นมิได้เข้มแข็งอย่างที่ตัวเองคิดกันหรอก มนุษย์ทุกคนย่อมกลัวความโดดเดี่ยว กลัวความเหงา ความว้าเหว่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถูกมองด้วยสายตารังเกียจจงเกลียดจงชังจากคนรอบข้าง...



::

นวนิยายเรื่องมูซาชิเปิดวิถีซามูไรตามที่อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุลเขียนไว้ ทำให้เล่มนี้น่าอ่านขึ้นอีกเยอะทั้งที่เล่มนี้เขามีดีไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ประโยคข้างบนนี้ คัดคำมาในช่วงที่พระทาเกอัน พระเซนรูปนี้ขออาสาไปจับตัวมูซาชิด้วยตัวท่านเอง ใช้เชือกธรรมะจับ ก่อนที่จะถูกจับ ท่านพูดแทงใจดำคนทำผิดนี้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบเพราะพระเอกใช้ชีวิตสองภาค ทั้งภาคโลกย์และภาคธรรมะ ก่อนนี้เขาเคยร่วมสงคราม หัวใจสะกดแต่คำว่าชัยชนะ อยากเรียนวิชาดาบ เคียว หอกฯจากพระอาจารย์ที่วิทยายุทธ์เลิศล้ำทุกสำนัก บุกป่าฝ่าดงดั้นด้นไป ทิ้งหัวใจของตัวเองเพื่ออยากฝึกวิชาขั้นสูง อยากเอาชนะทั้งหมดทั้งมวล ไม่รู้จักความหมายของชีวิตที่แท้ ฉันมีข้อข้องใจบ้างกับเรื่องการเจ็บป่วย เรื่องสุขภาพที่คนเราชะล่าใจ บางทีการเจ็บป่วยทางร่างกายสามารถบอกความต่างในยามปกติธรรมดาได้มากมาย หนทางประมาทไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดี ใจไม่สามารถเอาชนะความเจ็บป่วยทางกายได้ บาดทะยักนี่ถึงตายนะ ข้อขัดแย้งมีบ้าง คลางแคลงใจมีบ้าง แต่ไม่ถึงกับทำลายบรรยากาศหลักที่ยอดเยี่ยมของหนังสือ ฉันลิสต์ข้อความไว้มากมายเพราะคิดว่าคงจะอ่านรอบเดียว ไม่รู้ว่าจะได้อ่านซ้ำหรือเปล่าในภายภาคหน้า มีเกร็ดน่าสนใจเยอะ โดดเด่นและมีพลัง เขามีพรสวรรค์ มีความสามารถและสามารถบ่มเพาะ พัฒนา ขัดเกลาตัวเองได้อย่างถึงที่สุด ที่ชอบที่สุดคือเขามีปัญญาที่มองเห็นธรรมะเป็นสิ่งมีค่าต่อการดำเนินชีวิต ...


ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย













Create Date : 15 กรกฎาคม 2560
Last Update : 15 กรกฎาคม 2560 8:31:30 น.
Counter : 812 Pageviews.

0 comment
--- จั ณ ฑ า ล : นเรนทรา จาดฮาฟ ---
















'เงาของแกเป็นราคีจนขนมพวกนี้กินไม่ได้แล้ว'
คุณนายกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม และฉันไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า
เหตุใดเพียงแค่จับถาดอาหารนั้น จะพาลทำให้ขนมทั้งถาดแปดเปื้อน
ฉันไม่เข้าใจว่าใครเป็นคนตัดสินให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ ฉันเองก็สงสัยเช่นกันว่า
จัณฑาลอย่างเรามันแย่กว่าสัตว์เดรัจฉานหรือไง ฉันอดทนยอมรับที่เขาบอกว่า
เพราะบาปมหันต์ในชาติก่อน ชาตินี้จึงเกิดเป็นจัณฑาล
จัณฑาลต้องแขวนหม้อดินไว้ที่คอ
เพื่อรองรับน้ำลายของตนที่ไม่อาจถ่มลงบนพื้นให้แปดเปื้อนได้
ต้องห้อยไม้เท้ากวาดติดไว้ที่สะโพกเพื่อคอยกวาดลบรอยเท้าตัวเองขณะเดิน
จัณฑาลถูกห้ามสวมรองเท้า จึงต้องหิ้วรองเท้าเดินไปนอกหมู่บ้านถึงจะสวมได้'
มนุษย์ทุก ๆ 6 คนในโลกของเราเป็นชาวอินเดีย 1 คน
และชาวอินเดียทุก ๆ 6 คนอยู่ในวรรณะจัณฑาล 1 คน
นับพัน ๆ ปีมาแล้วที่คนวรรณะต่ำสุดในศาสนาฮินดูอย่างจัณฑาล
ถูกปฏิบัติราวไม่ใช่มนุษย์
::
จัณฑาล
นเรนทรา จาดฮาฟ : เขียน
วีระยุทธ เลิศพูลผล : แปล











นี่คือเรื่องจริงของผู้เขียน นเรนทรา จาดฮาฟ ถ่ายทอดเรื่องราวจากสมุดบันทึกของพ่อผู้เป็นจัณฑาล และตะเกียกตะกายฝันที่จะได้รับความเท่าเทียมในสังคมอินเดีย ความแน่วแน่กล้าหาญของพ่อที่จะปลดแอกตัวเองและลูก ๆ ออกจากระบบวรรณะ

'การศึกษาคือหนทางขจัดปัญหาทั้งปวง ขณะที่เรายืนหลับตานิ่งเพื่อไว้อาลัยต่อเบื้องหน้าบาบาซาเฮป ผมสาบานว่าจะให้ลูก ๆ มีการศึกษาสูงที่สุดเท่าชีวิตหนึ่งจะมีได้ พวกเขาจะเติมเต็มความฝันของท่านบาบาซาเฮป...และความฝันของผมด้วย'








'นายผู้ชายแปลกใจใหญ่ ท่านยื่นมือมาพาฉันไปนังบนโซฟาติดกับท่าน ฉันตัวชาไปหมด รู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ทางที่เราควรนั่ง ความเป็นคนชั้นต่ำมันฝังลึกเข้าไปในใจเสียแล้ว พอใครเข้ามาทำดีหน่อยเลยไม่กล้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ฉันเองก็งงอยู่สักพักใหญ่ แต่ก็เดาไปว่า สงสัยนายท่านยังไม่รู้มั้งว่าฉันเป็นพวกจัณฑาล'

เป็นบันทึกของดามู(พ่อของผู้เขียน) เมื่อครั้งเป็นลูกจ้างของนายชาวต่างชาติ(ขณะนั้นอินเดียอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ) นายไม่เคยปฏิบัติกับเขาแบบคนใช้ ลืมไปด้วยซ้ำว่าตนเป็นคนจัณฑาล ไม่มีใครพูดถึงชนชั้นวรรณะ มันเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งที่ทำให้คน ๆ หนึ่งสามารถพิสูจน์ตัวเองเป็นคนใหม่ ...





หนังสือเล่มนี้ อ่านไม่ยาก เรื่องราวเกี่ยวกับจัณฑาล ผู้อ่านรู้จักกันดีพอสมควร พอจะเดาทางได้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร แต่ผู้เขียนเขียนผ่านบันทึกของพ่อและแม่ มีเรื่องความรักสวยงามของพ่อและแม่ของเขาด้วย ไม่ต้องอึดอัดหรือโศกสลดกับการที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานซึ่งเป็นรอยด่างของมนุษยธรรม หนังสือเว้นว่างไว้ให้เราเข้าใจได้เอง

'ไม่มีอะไรทำร้ายเพื่อนมนุษย์ได้ปวดร้าวเท่ามนุษย์ด้วยกันเอง'

ความสำคัญอยู่ที่ว่า พวกเขากำลังตื่นขึ้นเพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรมในระบบวรรณะ ความไม่รู้หนังสือและความอดอยาก
อาวุธที่สำคัญคือการศึกษา ...

ประทับใจที่ผู้เขียนบอกว่า
'.. ฉันอยากเป็นนักเขียน'
พี่ชักสีหน้าใส่ก่อนบ่นว่า
'แกนี่มันช่างสิ้นหวังจริง ๆ แกจะกลายเป็นขอทานข้างถนนคอยดูสิ แกเคยเห็นนักเขียนที่ไหนมีชีวิตที่ดีไหมล่ะ'

ผมยืนอยู่ตรงระเบียง น้ำตาไหลนองหน้า มีมืออุ่น ๆ วางลงบนไหล่ ผมข่มใจไม่ให้หันไปมอง ลึก ๆ คิดว่าคงเป็นพี่ชายที่เดินมาปลอบใจ ทว่ากลับเป็นพ่อต่างหากที่ดึงผมเข้าไปกอด

'ลูก ฟังนะ... ถึงมีคนบอกให้เราเป็นหมอ เป็นวิศวกรหรือเป็นทนาย...แต่ลูกไม่ต้องฟังใคร จงเป็นในสิ่งที่ลูกอยากเป็น แม้แต่พ่อเองก็ไม่บังคับให้ลูกเป็นโน่นเป็นนี่

ที่พ่อจะสอนคือ ไม่ว่าจะเลือกเป็นอะไร จงไปให้ถึงจุดสูงสุดของมัน ... '

และ

ในวัยเด็ก ฉันสงสัยไปทุกอย่างกับทุกนาทีของชีวิต ฉันมักถามคำถามเช่น ใครเป็นคนนั่งรถเป็นคนแรก หรือใครเป็นคนแรกที่ได้กินเนย มาตอนนี้ คำถามของฉันมีประเด็นและความสำคัญกว่าเดิม ใครคือคนแรกที่ลุกขึ้นยืนหยัดต่อต้านการเหยียดวรรณะในครอบครัวของเรา คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว คุณปู่ฉันไงล่ะ ท่านไม่ยอมให้ชะตาของตนถูกลิขิตจากคนในวรรณะสูง ท่านเลือกที่จะสร้างชีวิตและลิขิตมันด้วยตัวเอง ท่านได้ให้ลูก ๆ เข้าเรียนยังโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่ท่านจะสามารถให้ได้...

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย













Create Date : 03 กรกฎาคม 2560
Last Update : 3 กรกฎาคม 2560 9:53:23 น.
Counter : 1193 Pageviews.

0 comment
--- ว อ ล เ ด น : เดวิด ธอโร---






















วอลเดนเป็นชื่อบึงอยู่ที่เมืองคองคอร์ด รัฐแมสซาชูเซ็ตส์ - อเมริกา
ธอโรไปปลูกกระท่อมอยู่ริมบึงนี้ และ ทดลองใช้ชีวิตสมถะอยู่กับธรรมชาติ เพื่อค้นหาปรัชญาและสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน งานเขียนเล่มนี้ การใช้ชีวิตเรียบง่าย สันโดษ อยู่กับธรรมชาติจริงๆ ก็เขียนขึ้นจากบึงนี้นี่เอง


ธอโรใคร่ครวญไว้ตอนหนึ่งว่า...มนุษย์เราทำงานเหมือนเครื่องจักร เราไม่ตระหนักถ่องแท้ถึงความไม่รู้ของตัวเราเอง ว่าเราควรจะเจริญเติบโตไปอย่างไร

คุณสมบัติที่งามประณีตที่สุดแห่งธรรมชาติของเราก็เฉกเช่นผลไม้อันเต่งตูม , จะสงวนรักษาไว้ได้ก็ด้วยวิธีที่ละเอียดอ่อนยิ่งเท่านั้น , แต่เราก็มิได้ปฏิบัติต่อตนเอง และผู้อื่นด้วยความนุ่มนวลเช่นนั้นเลย




อ่าน วอลเดนแล้วอยากเห็นบึงวอลเดน
อาจจะเพราะเป็นหนังสือที่ถูกพาดพิงและพูดถึงในหนังสือเล่มอื่นอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่มีโอกาสจะได้เจอตัวจริงเสียที พอได้เจอก็ตื่นเต้นนิดหน่อย เล่มอื่น ๆ ที่ตั้งใจจะอ่านก็พักไว้ก่อน รอต่อจากเล่มนี้ก็แล้วกัน

ความที่ชอบอ่านหนังสือและก็อ่านได้เรื่อย ๆ เท่าที่พอมีเวลานั้น กว่าจะผ่านพ้นความยากลำบากของหนังสือเล่มนี้ในช่วงแรก ๆ ได้ก็แทบแย่ เปิด ๆ วาง ๆ อยู่หลายรอบอาการหมดความอดทนจะยอมแพ้ พาล ปลอบใจตัวเองว่าไม่อ่านก็ได้ ไม่เห็นต้องอ่านหนังสือดีที่คนอื่นว่าดีเลยหรือเพราะยังไม่ถึงเวลา หาข้ออ้างต่าง ๆ นานาให้ตัวเองเพราะอ่านไม่ไป แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

กว่าจะเข้าที่เข้าทางและเต็มใจที่จะยอมขลุกอยู่กับหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง รู้สึกดีใจกับความอดทนของตัวเองที่มีโอกาสได้อ่านและเห็นภาพวาดแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ธอโรเขียนถึง เขาเขียนเรื่องป่าและชีวิต มันมีพลังชีวิตที่เข้มข้น ชีวิตมีทุกฤดูกาลและทุกฤดูกาลก็มีแสงสว่างอันอ่อนโยนซุกซ่อนอยู่ ที่สำคัญคือ เมื่อธอโรกล่าวถึงเรื่องของการอ่านที่เขาเรียกว่าการอ่านง่าย ๆ ' Little Reading' -- พวกเขาไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับเวลาที่สูญเปล่า ... เหมือนเด็กสี่ขวบที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านซินเดอเรลล่าฉบับปกทองราคาสองเซ็นต์อย่างจดจ่อ, - โดยปราศจากการแก้ไขปรับปรุงใด ๆ เท่าที่ฉันเห็นได้ , ..หรือทักษะอื่นใดอีกในการตัดทอนหรือสอดแทรกจริยธรรม ผลลัพธ์คือ... , ใช่ว่าหนังสือทุกเล่มจะทึบทึมพอ ๆ กับคนอ่าน. เป็นไปได้ว่ามีถ้อยวาทะที่ตรงกับเงื่อนไขของชีวิตของเราอย่างแม่นยำ, ถ้อยวาทะซึ่ง, หากเราสามารถสดับและเข้าใจได้อย่างจริงจัง ,จะเป็นที่น่านบไหว้ยิ่งกว่ายามอรุณหรือฤดูใบไม้ผลิ แห่งชีวิตของเรา,และเป็นไปได้ว่ามันจะฉาบแง่มุมใหม่ลงเหนือสรรพสิ่งให้แก่เรา, มีมนุษย์กี่คนแล้วที่เริ่มศักราชใหม่ในชีวิตของตนจากการอ่านหนังสือเพียงเล่มหนึ่ง! หนังสือที่ดำรงอยู่เพื่อเรา , บางทีจะเป็นเล่มที่อธิบายถึงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ของตัวเราและเผยให้เห็นปาฏิหาริย์ใหม่ ๆ อีก.สิ่งซึ่งในปัจจุบันมิได้เอ่ยเอื้อนออกมาได้ ...และเมื่อเขาได้พูดถึง ' ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง ก า ร อ่ า น .. การอ่านที่ดีคืออะไร , .. ' ก็มีอะไรทิ้งไว้ให้ขบคิด ...---

นะ..สำหรับฉัน สำหรับหนังสือบางเล่ม บางทีแค่เรืองการอ่าน ก็ยังต้องอาศัยความอยากอ่าน ความตั้งใจและความอดทนมากเหมือนกัน หลายเล่มที่อ่านไม่ไปก็จะวางไว้ก่อน รอเวลาอื่น ๆ แต่ผ่านเล่มนี้ได้ก็คุ้มค่าค่ะ

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย














Create Date : 01 กรกฎาคม 2560
Last Update : 1 กรกฎาคม 2560 9:13:52 น.
Counter : 1119 Pageviews.

0 comment
--- ท ะ เ ล ส า บ : โยชิโมโต บานานา ---














ทะเลสาบ ของ โยชิโมโต บานานา เป็นเรื่องของคนเหงาสองคนมาพบกัน เริ่มจากการชมวิวตรงหน้าต่างและสังเกตเห็นกัน คนจากหน้าต่างสองบานทักทายกัน เริ่มสนใจกันและมองหากันทุกวัน การยิ้มทักทายในชนบทนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากแต่เป็นเรื่องแปลกในเมืองใหญ่ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสองคนอยากรู้จักกัน เมื่อได้ใกล้ชิดมากขึ้นต่างคนต่างเปิดเผยปมส่วนลึกและบาดแผลอันบอบช้ำในจิตใจตั้งแต่เด็ก

ชิฮิโระ ศิลปินสาว แม่เธอเป็นมาม่าซังค่อนข้างสวยในย่านชุมชนเล็ก ๆ แถบชานเมืองโตเกียว พ่อเป็นนักธุรกิจ พ่อพาแขกมาเที่ยวคลับ ถูกชะตากับแม่ของเธอ เธอถือกำเนิดมาโดยที่พ่อแม่ไม่แต่งงานกัน จนกระทั่งแม่ตาย บรรยากาศตอนเป็นเด็กก็ได้ชื่อว่าลูกนอกสมรสของมาม่าซังมีชื่อเสียงในท้องถิ่นท่ามกลางสายตาสกปรกจอมปลอมของสังคมเล็ก ๆ นับเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่เธอเรียนศิลปะ หรือไม่ก็...ศิลปะทำให้ชีวิตเธอเบาขึ้น
หลังจากแม่ตาย ความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อไม่ค่อยดีนัก ความรู้สึกที่ว่า พวกเรายังเป็นพ่อลูกอยู่หรือเปล่านั้นคือช่องว่าง ภาพในใจของเธอจะมีแม่แม้แต่ในความฝันอันงดงามอยู่บ่อย ๆ คงเหมือนความรู้สึกที่ว่า'คนเราใช้ชีวิตไปทั้งที่รู้ว่ายังมีตัวตนที่แอบซ่อนอยู่ แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ในแต่ละวัน พวกเขาจะมองแต่สิ่งที่ตัวเองอยากมองเท่านั้น'

ส่วน นาคาจิมะคุง ชายหนุ่มที่ทักทายผ่านหน้าต่างนั้นเป็นนักเรียนแพทย์ กำลังเรียนปริญญาโทอยู่และมีเป้าหมายจะไปสถาบันวิจัยที่ฝรั่งเศสในฐานะนักเรียนทุน เขาเป็นคนแปลก ๆ ดูเหงา ๆ ตอนนอนก็นอนหนีบไม้พายทอดโมจิที่เป็นที่ระลึกเมื่อนึกถึงแม่ กว่าทั้งสองจะเปิดเผยที่มาของตนเริ่มต้นด้วยความรู้สึกฉันเพื่อน เขยิบเข้าใกล้และพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นทีละนิด ต่างคนต่างเยียวยาบาดแผลของกันและกัน ภาษาที่เล่าอ่อนโยนแต่แฝงความหม่นเศร้า อ้อยสร้อย แทบไม่มีอารมณ์ร่าเริง เหมือนเราฟังความทุกข์ของใครและติดกับดักในอารมณ์ที่อยากช่วยเหลือเขา จะละทิ้งกลางคันก็ไม่ได้ ได้แต่เอาใจช่วยเผื่อจะคลี่คลายแค่รับฟังก็ยังดี

เบื้องหลังของชายหนุ่มนั้นคือความทรงจำที่ดีที่สุดเมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่ทะเลสาบ อดีตของนาคาจิมะคุง มีเบื้องหลังของการลักพาตัว ความขมขื่นสลับซับซ้อนในใจ อ่อนแอและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แต่คนเราก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก ' ..ไม่จำเป็นต้องให้อภัยทุกเรื่องราวที่ผิดพลาดจนหมดสิ้นและทำใจให้ชอบเรื่องเหล่านั้น เราคิดเช่นนี้ แล้วค่อย ๆ ให้อภัยในระดับที่ให้ได้สบาย ๆ ไม่มากก็น้อย '

คนสองคนจึงเหมือนคู่กระปลกกระเปลี้ย อยู่ระหว่างความเป็นความตาย เหมือนคู่ประกบที่อ่อนแอทั้งคู่ โชคดีที่ชิฮิโระเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่เป็นทุน ความไว้วางใจและความรักทำให้คนสองคนเข้มแข็งและมีจุดหมายขึ้น

ชิฮิโระทบทวนความรักของพ่อเมื่อเธอตัดสินใจจะติดตามคนรักไปปารีส

'...ถ้าพ่อส่งเงินไป ลูกไม่ต้องส่งเงินมานะ และถ้าเกิดอะไรขึ้น ต้องบอกพ่อนะ อย่างเช่น ไม่สบาย ท้อง เลิกกับผู้ชายแล้วอยู่คนเดียว หรือว่าเลิกเรียนแล้ว ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ พ่อขอเจอหมอนั่นหน่อย เมื่อไหร่ก็ได้'
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่ได้อยู่ลำพังเพียงคนเดียวหลังจากแม่ตาย เธอเริ่มเรียนรู้และยอมรับความรักในแบบของพ่อมากขึ้น

‘ความรักไม่ได้มีเพียงแค่การโอบกอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ยิ่งเก็บซ่อนความรู้สึกต่อกันไว้เท่าไหร่
ก็ยิ่งมีอะไรที่จะสื่อถึงกันได้อย่างแน่นอน
ความรู้สึกแท้จริงที่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นแฮมหรือเงิน...
ขอเพียงอ่านนัยออก
สัมผัสรับรู้ได้
ก็จะเป็นสมบัติล้ำค่า’

สำหรับเล่มนี้ การเล่าเรียบเรื่อยแต่มีความงาม ความรัก ความใส่ใจกัน แต่อบอวลด้วยอารมณ์เหงา อารมณ์หนังสือเป็นแบบนั้น ทั้งที่คนอ่านไม่เหงา

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย














Create Date : 23 มิถุนายน 2560
Last Update : 23 มิถุนายน 2560 7:54:57 น.
Counter : 1610 Pageviews.

1 comment
--- ผ จ ญ ภั ย ค ล อ ง ท่ า ล า ด : ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ---
















ผจญภัยคลองท่าลาด ที่เพิ่งอ่านจบไปนั้น ครั้งแรกคิดว่าเดี๋ยวค่อยอ่านละกัน มีหนังสืออื่นที่อ่านค้างไว้อยู่ แต่พอเริ่มอ่านบทแรก ถึงตรงนี้

'... เรือบรรทุกข้าวที่บรรทุกจนเพียบแปล้และพ่วงต่อ ๆ กันหลายลำแล่นขึ้นล่องไปตามคลอง..'

ความทรงจำในวัยเยาว์ก็ผุดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ เห็นตัวเองและพรรคพวกตอนปิดเทอมใหญ่ที่อยุธยาบ้านปู่นั้น ชัดมาก ฉันเป็นเด็กน้ำคลอง ฝึกว่ายน้ำแบบเด็กน้ำคลอง กว่าจะกล้าลงน้ำก็นาน เริ่มตั้งแต่ฝึกโผเข้าหาหลัก เกาะหลักตีขา หัดกลั้นหายใจและลืมตาในน้ำ จากนั้นก็ขอเกาะหลังพ่อไปกลางน้ำ ฝึกโผเข้าหาพ่อและเพิ่มระยะไกลไปทีละนิด ๆ เห็นลูกพี่ลูกน้องพากันว่ายน้ำอย่างกับปลาก็อยากว่ายได้บ้าง บางทีแค่เกาะมะพร้าวลูกเดียว ฝึกลอยตัวใกล้ ๆ แพลูกบวบริมตลิ่ง พี่ชายเห็นว่าพอจะไปได้ ก็เอามะพร้าวห้าวลูกแห้งสองลูก ฉีกเปลือกมะพร้าวมามัดกันตรงกลางให้พอดีกับลำตัวเราพยุงแทนห่วงยางไปได้ กว่าจะว่ายแข็งก็เปิดเทอมทุกที จากนั้นก็รอคอยปิดเทอมใหญ่ปีหน้า อยากไปเล่นน้ำคลองที่บ้านปู่อีก

ตอนที่ว่ายน้ำเก่งขึ้นแล้ว มีความใฝ่ฝันสองอย่างคือ อยากว่ายไปเกาะแพเรือพ่วงที่ลอยปริ่มน้ำเคลื่อนไปช้า ๆ และอยากว่ายข้ามไปอีกฝั่ง

แม้ว่ายน้ำยังไม่เก่งแต่ใจฮึกเหิมกว่านั้น ไม่รักตัวกลัวตายหรือไรไม่รู้ กระโจนตามลูกพี่ลูกน้องไปเกาะเรือบรรทุกนั้นจนได้ แต่ตอนว่ายน้ำกลับสิ เหมือนจะขาดใจเพราะต้องว่ายทวนน้ำ ยิ่งกลางแม่น้ำเจ้าพระยานั้น น้ำจะเชี่ยว ความที่ไม่รู้แรงตัวเอง ไม่รู้ว่าเผื่อแรงคืออะไร เกาะเรือลากไปไกลพอควร กว่าจะว่ายกลับถึงตลิ่งหน้าบ้านก็เกือบแย่

ความฝันที่สองคือว่ายข้ามฝั่ง ไกลแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าจะต้องทำให้ได้ จากสายตาเด็กวัยนั้นคือความสามารถระดับโอลิมปิกเลยทีเดียว ฉันรอวันที่พวกพี่ชายจะว่ายข้ามฝั่งกันอีก เขาว่ายกันเป็นปกติ ว่ายแข่งกันอีกต่างหาก จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันว่ายตามพวกเขาไป ถึงกลางคลองก็ดีอยู่ ผ่านกระแสน้ำเชี่ยวได้ก็ไปต่อได้ กว่าจะไปถึงอีกฝั่งพวกพี่ ๆ ก็ว่ายกลับมาแล้ว ปล่อยฉันนั่งเงียบใบ้อยู่คนเดียว ไม่กล้าร้องไห้ กลัวเขาไม่ให้ตามไปไหนด้วย จะกลับก็กลับไม่ได้ ว่ายไม่ถึงแน่ ไม่ว่าเขาจะตะโกนให้ว่ายกลับยังไง ฉันก็ยืนรอท่าเดียวจนพี่ชายต้องเอาเรือไปรับ ความสำเร็จจึงมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

แต่ความฝันของฉันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับใคร...

ครั้นอ่านมาถึงตอนผู้เขียนเขียนถึงต่อแพห่วงยางนั่น ก็ใช่อีก.. พวกพี่ชายก็ต่อแพห่วงยางรถยนต์เหมือนกัน ฉันคิดว่าวิถีเด็กริมน้ำน่าจะคล้าย ๆ กันนะแต่ฉันเป็นตัวแถมที่ไม่เคยมีใครชวนไปล่องแพยางนั่น

การโดยสารทางเรือก็เช่นเดียวกัน จะมีเรือหางสั้นและเรือหางยาว พ่อจะพาเราลงเรือที่บ้านแพนมาบ้านปู่หรืออีกทางก็ขึ้นรถที่ตลาดหัวรอ ทางเข้าบ้านปู่จะเป็นดินลูกรัง หัวแดงกันถ้วนหน้า ฉันชอบมาทางเรือเพราะสนุกกว่า นึกถึงน้ำกระเซ็นใส่หน้า เย็นเข้าไปในดวงใจ

หากอาจะไปตลาดบ้านแพน ฉันจะขอตามไปด้วยทุกครั้ง เราจะมารอเรือที่หน้าบ้านตอนตีห้า เขาจะแวะรับผู้โดยสารสองฝั่งคลองไปเรื่อย ๆ เหมือนรถเมล์ที่แวะรับทุกป้าย คนคลองท่าลาดก็เหมือนกัน มีเรือเมล์เขียว เรือเมล์แดงและเรือเมล์เหลือง คึกคักมากก่อนที่คนจะมาสัญจรกันทางบกจนเกือบจะหลงลืมคลองท่าลาดไปแล้ว


ฉันยังชอบยืนดูเรือแล่นผ่านไปมา ชอบฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ชอบกลิ่นแม่น้ำเจ้าพระยา รู้สึกใกล้ชิดเพราะเป็นแม่น้ำสายชีวิตของบรรพบุรุษของเราด้วยก็เป็นได้ คิดถึงหน้าต่างไม่มีบานข้างห้องนอนของปู่ ลอบมองผู้คนมาเล่นน้ำ ซักผ้าริมตลิ่ง เที่ยง ๆ ก็มารอท่าน้ำเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวเรือและน้ำแข็งไสของตาทอน ชอบมากเวลาที่พ่อเรียกเรือปลาและเลือกซื้อปลา เสียดายที่ไม่เคยเรียนรู้อะไรจากพ่อมากไปกว่าอยากอยู่ใกล้ ๆ พ่อเท่านั้น

วัยนั้น ในหัวมีแต่เรื่องสนุกสนาน อยากแปลงร่างเป็นปลา หาเรื่องแต่จะเล่นน้ำ ชอบมากก็หลังฝนตกเพราะน้ำขึ้นสูงมาก ฉันเคยโดนปลาปักเป้ากัดนิ้วจนหายไปเกือบทั้งนิ้วเป็นความทรงจำสีเลือดที่ไม่ลืมสักที ชอบฟังเสียงกบ เขียดร้อง ไล่งูเล็ก ๆ ในลูกบวบ เล่นโป้งแปะไล่กันรอบเรือในน้ำ คนเก่ง ๆ เขาจะมุดใต้ท้องเรือหนีได้แต่ฉันมุดไม่ผ่านสักครั้งทั้งที่ดูเหมือนง่าย เรื่องราวเล็ก ๆ ทำให้หัวใจเล็ก ๆ ของฉันอุ่นขึ้นมา ทั้งที่ยังไม่ทราบว่าผู้เขียนกำลังจะสื่อเรื่องอะไร


แต่พออ่านไป ๆ เหมือนเรากำลังพายเรือคายัคลุยไปสำรวจคลองท่าลาดกับผู้เขียนซะนี่ ฉันเป็นแผนกแหวกผักตบชวาเพราะยิ่งล่องเรือยิ่งติด ทำไมมันหนาแน่นจนจะเป็นถนนผักตบชวาไปแล้ว นึกถึงกุ้ง หอย ปู ปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ จะเอาอากาศที่ไหนมาหายใจ อึดอัดแทน แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนใช้แนวผักตบชวากั้นคลองเลี้ยงปลาอีกแน่ะ โห...เลี้ยงปลาในคลองสาธารณะเนี่ยนะ นึกถึงอาหารปลาที่ทำให้น้ำเสีย นึกถึงสระน้ำหน้าบ้านที่ฉันทะเลาะกับพ่อหลวงตอนที่เขาเอาปลานิลมาเลี้ยงและบอกว่า ปลาช่วยกินลูกน้ำในสระ

ฉันหงุดหงิดทุกเช้าที่เห็นเขาเอาหารปลามาโยนเป็นกระสอบ ๆ หรือไม่ก็หั่นผักหรืออาหารอะไรไม่รู้ให้ปลากิน น้ำในสระเปลี่ยนเป็นสีขุ่น เริ่มเหม็นเพราะไม่มีการระบายน้ำ ฉันอยากจะร้องไห้ ทำไมถึงทำกันแบบนี้ พอท้วงติงไปที เขาก็บอกว่า ช่วยหาวิธีระบายอากาศในบ่อให้เขาด้วยและช่วยเป็นหูเป็นตาเผื่อมีใครมาขโมยปลาในบ่อ ฉันโกรธมาก ก่อนลงมือทำอะไรทำไมถึงไม่ศึกษาเรื่องการระบายน้ำบ้างนะ สนใจคนที่อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า

ฉันไม่รู้ว่า คนแถวนั้นคิดยังไง เหมือนมีแต่ฉันที่คอยจับตาดูการแก้ไขอยู่เพียงลำพังแต่ก็ไม่เห็นจะดีขึ้นหรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม จนกระทั่งปีที่แล้ว อากาศแปรปรวน จากร้อนกลายเป็นร้อนจัดและยาวนานกว่าปกติ ฝนแล้ง น้ำแห้งไปทุกที่ เรือกสวนไร่นาขาดน้ำจนทุกครัวเรือนต้องช่วยกันรัดเข็มขัดในการใช้น้ำไปด้วย บ้านเราอยู่กันสองคน หมาสามตัว แมวสามตัวแต่ต้นไม้เยอะ ต้นไม้เหล่านี้ผ่านมาหลายแล้งแล้วคิดว่าแข็งแรงพอจะผ่านฤดูร้อนร้ายไปได้ อย่างอื่นก็ช่วยกันประหยัดไป

คนเริ่มมาสนใจเรื่องสระน้ำหน้าบ้านฉันอีกรอบ ฉันได้ข่าวว่าจะเอาปลาออกสระให้หมดภายในสองวัน ข่าวนี้ยิ่งกว่าถูกหวยอีก เรียกว่าฝนแล้งมาพร้อมข่าวดีเลยทีเดียว ความเดือดร้อนเพียงลำพังนั้นไม่ทำให้คนกระตือรือร้นยกเว้นความเดือดร้อนทั่วถึงทุกครัวเรือนอย่างแท้จริง

คงเหมือนที่ผู้เขียนใจหายเมื่อเห็นคลองตกอยู่ในสภาพที่กำลังจะกลายเป็นของผักตบชวา ไหนจะมีการกั้นเขื่อนดินที่เกิดจากการถมคลองท่าลาดกั้นน้ำไม่ให้ไหลไปบางปะกงอีก เหมือนบ่อน้ำหน้าบ้านฉันที่รอเป็นน้ำเน่าในที่สุด


การผจญภัยคลองท่าลาดเกิดจากทำตามความฝันในวัยเด็กของผู้เขียนที่อยากจะพายเรือสำรวจคลองท่าลาดขณะที่คนส่วนใหญ่ใช้รถใช้ถนนมากกว่าการสัญจรทางน้ำแล้ว

ความฝันของฉันมีไว้ให้คิดถึงและอุ่นอยู่ในใจ แต่ความฝันของผู้เขียนอายุยืนและกลายเป็นจริงเมื่อเขาได้ลงมือทำ พอทำแล้วจึงมีโอกาสพบปะผู้คนมาเกี่ยวข้องทั้งทางตรง ทางอ้อม พบอุปสรรคและปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการสำรวจเส้นทางโดยเฉพาะผักตบชวาที่แทบจะเป็นตัวเอกของเรื่องทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในใจที่จะฟื้นฟูลำคลองแห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตเหมือนในอดีต

ความคิดที่จะช่วยแก้ปัญหาจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนมีส่วนร่วม เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในคราวแรก แต่เขาก็ได้เริ่ม แม้จะไปได้ช้าแต่ก็ทำไปเรื่อย ๆ ด้วยหัวใจของการสำนึกถึงความสำคัญของแม่น้ำ ผักตบชวาเต็มคลองขนาดนี้จะทิ้งปัญหาให้ใครแก้ถ้าไม่ช่วยกัน ขณะอ่าน เราจะเห็นมันตลอดสายเพราะผู้เขียนพายเรือสำรวจเส้นทางหลายวัน ทำให้ฉันต้องดูแผนที่ไปด้วยราวกับสำรวจทางวิ่งระยะมาราธอน อยากรู้ว่าเราอยู่ที่กิโลเมตรใดของเส้นทาง เหลืออีกเท่าไหร่จะถึงที่หมายปลายทาง ได้แต่ให้กำลังใจไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เท่ากับสิ่งที่อยู่ภายในใจเขา ได้ลุ้นเอาใจช่วยผู้เขียนช่วงที่พายเรือตอนกลางคืนและแบตฯกำลังจะหมด ใช่แล้ว...เขาต้องติดต่อกับเพื่อนให้มารับที่จุดนัดหมายกันไว้ การพายเรือสำรวจแบบนี้ ใครจะเข้าใจมั้ยว่า เป็นเพราะมีผักตบชวาอยู่ทุกที่ เขาอยากเข้ามาแก้ปัญหาผักตบชวาเยอะให้หมดไปจากคลองนี้


อ่านจบก็รู้จักสถานที่แถวนั้นมากขึ้นโดยเฉพาะวัด แต่อยากกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้อพนมสารคามที่ขึ้นชื่อ อยากเห็นวัดจระเข้ตายที่ทำให้เด็กสี่คนกลัวจนแพแตกเมื่อ 30 ปีก่อน อยากเห็นปรากฎการณ์มิเรอร์ แต่ต้องพายเรือตอนกลางคืนด้วยสินะ แอบหัวเราะตอนที่ผู้เขียนใส่แว่นกันแดดพายเรือตอนกลางคืนเพราะลืมแว่นสายตามาและอยากเห็นเทศกาลพายเรือคายัคในคลองท่าลาด อยากกินเฉาก๊วยตอนพายเรือเหนื่อย ๆ จะอร่อยแค่ไหน ผู้เขียนเล่าได้สนุกแม้ไอฟง ไอโฟนสังเวยน้ำไปหลายเครื่องก็ตาม

และที่กรี๊ดสุด ๆ คือ งานมินิคอนเสิร์ตริมแม่น้ำ ฉันชอบคุณมาโนช ชอบไอเดียผู้ชายคนนี้และรู้ว่าเขาเป็นคนอยุธยา บ้านเกิดเดียวกันกับพ่อของฉัน ชอบคุณมาโนชเล่าถึงเรื่องราวของคนริมน้ำ

' ชีวิตมาพร้อมกับน้ำ น้ำมาก็มีปลา มีผัก มีอาหาร ตอนเด็ก ๆ พ่อถามผมว่าจะกินอะไร ผมบอกอยากกินข้าวต้มกุ้ง พ่อพยักหน้า บอกแม่ให้ตั้งไฟ แล้วก็โดดลงแม่น้ำ ดำจับกุ้งตัวใหญ่ ๆ ขึ้นมาเต็มสองมือ แล้วก็เอามาทำข้าวต้ม โยนลงหม้อเลย พ่อผมบอกว่า แม่น้ำอุดมสมบูรณ์มากจนกุ้งเดินมาลงหม้อเองเลย...

พ่อบอกว่า น้ำเป็นของทุกคน แต่พอแม่น้ำถูกกั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป... น้ำมีเจ้าของแล้วลูกเอ๋ย..'


นั่นสินะ อย่าปล่อยให้ธรรมชาติรอบตัวของเราหายไป ฝันคนเดียวก็อุ่นคนเดียว ฝันที่ลงมือทำเพื่อส่วนรวม อุ่นทั้งตัวเองและเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย ฉันนับถือคนคิดดี
ทำดีและทำเพื่อส่วนรวม

สายน้ำแห่งชีวิต เราต้องช่วยกันดูแลขณะที่เรามีชีวิต เผื่อจะได้ใช้ชีวิตเย็น ๆ รื่นไหลดั่งสายน้ำ...



ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
20 มิถุนายน 2560





















Create Date : 22 มิถุนายน 2560
Last Update : 22 มิถุนายน 2560 10:26:41 น.
Counter : 983 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com