Group Blog
All Blog
--- จิ บ พ ม่ า ต า ม ห า จ อ ร์ จ อ อ ร์ เ ว ล ล์ ---




















บั น ทึ ก ก า ร อ่ า น
จิบพม่า ตามหาจอร์จ ออร์เวลล์


ผู้เขียนเรื่อง ' จิบพม่า ตามหาจอร์จ ออร์เวลล์' ประวัติศาสตร์ระหว่างบรรทัดในร้านน้ำชา เล่มนี้ เป็นนักเขียนสตรีชาวอเมริกันคือ เอ็มม่า ลาร์คิน (Emma Larkin) เป็นผู้หญิงเก่งที่คุ้นเคยกับเอเชียอย่างดี เธอช่ำชองภาษาพม่าด้วยการเริ่มเรียนภาษาที่แสนยากนี้ที่กรุงลอนดอน เธอเข้า ๆ ออก ๆ พม่าในยุคเผด็จการเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ เธอเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถเดินท่อม ๆ คนเดียวท่ามกลางสังคมที่ทหารชายใหญ่คับแผ่นดิน เธอนั่งจิบชาหาข้อมูลเกี่ยวกับชีวิต 5 ปีของออร์เวลล์สมัยที่เขาเป็นข้าราชการตำรวจอยู่ในพม่า ไม่ว่าจะลุยไปในมัณฑะเลย์ ในภูมิภาคดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดี ในย่างกุ้ง เมาะละแหม่งและท้ายสุดที่กะต่า เมืองเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของพม่าติดกับรัฐฉาน เธอไปในที่ที่ชายอกสามศอกอาจจะไม่กล้าไป

ทั้งหมด 5 บทนี้เป็นฉากที่เอ็มม่าใช้เดินเรื่องในการ 'ตามหา' จอร์จ ออร์เวลล์ นักเขียนขวัญใจของเธอ แต่สิ่งที่น่าทึ่งในงานเขียนชิ้นนี้คือ การทำการบ้าน เอ็มม่าอ่านงานเขียนของออร์เวลล์ทุกเรื่องอย่างทะลุปรุโปร่ง มีทั้งสารคดี นวนิยายและเรื่องสั้นที่เธออ้างถึง ตลอดจนจดหมายของออร์เวลล์

เช่น นิยายทุกเรื่องของออร์เวลล์จบลงด้วยความพ่ายแพ้ ตัวละครพยายามต่อสู้กับระบบ วินสตัน สมิธ ใน 1984 เขาถูกทรมานและถูกเค้นความลับจนหมดสิ้น หรือใน เบอร์มีส เดย์ส จอห์น เฟลอรี่ตายที่กะต่า แม้เขาจะสนิทกับหมอวีรสวามี แต่เขาไม่มีความกล้าพอที่จะเสนอชื่อหมอเข้าเป็นสมาชิกสโมสร เป็นต้น

ฉันชอบลีลาการเล่าเรื่อง มีทั้งตลกร้ายที่เศร้าลึกรวมถึงการลงลึกถึงข้อมูล ชอบบทสนทนาของเอ็มม่ากับผู้คน เปี่ยมไปด้วยศิลปะในการดึงความรู้สึกนึกคิดมาระบายเป็นภาพความเป็นจริงอันขื่นขมของผู้คนไปกับการจิบชาที่มีรสชาติกลมกล่อมแปมความปร่าขมของน้ำตา มิติของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวราวกับมะเร็งร้ายของผู้คนในพม่า ฉันสลดใจกับเรื่องราวในคุกและทุกความโหดร้ายในพม่า เราปรารถนาจะเรียนรู้วันเวลาในพม่ามากกว่าความเกลียดชัง
ที่นั่น..ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มักถูกลบทิ้งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะถูกบันทึกในรูปแบบของจดหมาย เอกสารข้อมูลหรือความทรงจำ

สิ่งที่สะเทือนใจมากที่สุดคือ การที่รัฐบาลจงใจทำลายระบบการศึกษา ไม่สามารถจินตนาการถึงอนาคต ไร้ซึ่งแสงแห่งความหวังทั้งปวง นับเป็นโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ

วันเวลาในพม่าเป็นจุดหักเหสำคัญในชีวิตของออร์เวลล์ ความเกลียดชังของออร์เวลล์ต่อลัทธิล่าอาณานิคมซึ่งถูกหล่อเลี้ยงด้วยความโดดเดี่ยวและอากาศอ้าวระอุ เติบโตงอกงามเหมือนดอกไม้ในเรือนกระจก การอ่านครั้งนี้ทำให้ซาบซึ้งกับการมีชีวิตอยู่ของเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ

ออร์เวลล์สักร่างกายขณะที่อยู่พม่า เพราะเขาเชื่อว่ารอยสักคุ้มครองป้องกันกระสุน งูพิษและมนต์ดำ รอยสักนี้ยืนยันถึงแรงกระตุ้นของออร์เวลล์ที่จะแยกตัวออกจากสังคมความเป็นนายของเจ้าอาณานิคมด้วย อังกฤษทำลายสถาบันการปกครองดั้งเดิมของพม่าทั้งระบบกษัตริย์และสถาบันสงฆ์

อ่านแล้ว รู้สึกร่วมกับเขาว่า เขาและเราต่างเป็นมนุษย์เดินดินด้วยกันทั้งนั้น เราเห็น เราได้ยิน เรารู้สึก เราเข้าใจ บนโลกใบเดียวกัน
ทุกตัวอักษรของเขาดูบอบช้ำ สะเทือนใจในวังวนของประวัติศาสตร์ที่พร่ำบอกเราเสมอว่า รัฐบาลที่ปกครองประเทศโดยขัดต่อเจตจำนงของประชาชนนั้นไม่มีทางยั่งยืนนาน และกลับมามองบ้านเราอย่างพิจารณาอีกครั้ง อ่านเขาและจะได้อ่านเราต่อ

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
21 มีนาคม 2560















Create Date : 12 พฤษภาคม 2560
Last Update : 12 พฤษภาคม 2560 16:47:57 น.
Counter : 945 Pageviews.

0 comment
--- อั น เ ด อ ร์ ก ร า ว ด์ : มู ร า ค า มิ ---




















ความน่ากลัวของซารินเป็นความน่ากลัว
ที่ไม่เคยถูกบรรยายเป็นตัวอักษรมาก่อน
แม้แต่ครั้งเดียว
::
อันเดอร์กราวด์
มูราคามิ




บันทึกการอ่าน อั น เ ด อ ร์ ก ร า ว ด์
ฮารุกิ มูราคามิ


ฉันใช้เวลาในการอ่าน อั น เ ด อ ร์ ก ร า ว ด์ ของมูราคามิ หลายวันเลยทีเดียว

นั่นเป็นเพราะโศกนาฏกรรมแก๊สพิษซารินซึ่งถูกกลุ่ม “โอมชินริเกียว” นำมาปล่อยในรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว จนเกิดการบาดเจ็บและการตายมากมายนั้นเป็นเรื่องจริง ฉันเคยติดตามเรื่องราวบ้างเล็กน้อยจากเหตุการณ์นี้ ทราบแต่การตามจับผู้ก่อเหตุร้ายซึ่ง นักเขียนอย่างมูราคามิเรียกคนเหล่านี้ในการสัมภาษณ์ว่า เครื่องจักรสังหาร

ฉันสงสัยว่า ทำไมเขาจึงเรียกว่า ศาสนาโอมชินริเกียวแทนที่จะเป็นลัทธิโอมชินริเกียว ลัทธินี้มีความเชื่อเรื่องโลกาวินาศทั้งที่รวมหลักคำสอนของศาสนาพุทธและฮินดูเข้าไปด้วย หลักศาสนาส่วนใหญ่เน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและไม่เบียดเบียนกัน ความเชื่อของพวกเขาส่งผลต่อความคิดลบ พวกเขาเกรงว่าจะถูกกวาดล้างจึงต้องกวาดล้างผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก่อน

ตอนเปิดอ่านหน้าแรก ๆ เป็นความในใจของผู้เขียนนั้น ฉันเข้าใจว่า จะมีบทสัมภาษณ์ เครื่องจักรสังหาร หรือ คนที่เป็นคนมาเจาะถุงซารินบนรถไฟใต้ดินด้วย แต่ไม่ใช่

เขาเพียงแต่เปิดตัวผู้กระทำการและถูกจับตัวได้แล้วว่าเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ซึ่งคนส่วนใหญ่มีมันสมองระดับหัวกะทิทั้งนั้น เพียงแต่มีความเชื่อในลัทธิโอมชินริเกียว แต่พอรับรู้ก่อนลงมือกระทำการ เขารู้สึกหวั่นไหว รู้ว่านี่คือการฆ่าคนแน่ ๆ แต่เขาก็เลือกที่จะลงมือ...

สื่อหลักของญี่ปุ่นประโคมข่าวความโหดเหี้ยมชั่วร้ายของผู้กระทำ แต่ครั้งนั้นแทบไม่มีใครนึกถึงประชาชนผู้ถูกกระทำซึ่งถูกมองข้ามเหมือนไร้ตัวตน

และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ มูราคามิ ไปสืบสาวสัมภาษณ์เรื่องราวของคนสามัญในเหตุการณ์ไม่สามัญครั้งนี้

เขาได้สัมภาษณ์ผู้คนหลากหลายอาชีพที่มาใช้รถไฟใต้ดินในเช้าวันแดดจ้าฟ้าใสวันนั้น มีทั้งผู้ประสบเหตุการณ์ตรง เจ้าหน้าที่ที่ทำงานประจำที่นั่น ผู้เห็นเหตุการณ์ ต่างมีความรู้สึกกับเหตุการณ์นี้ต่างกัน

บางคนเล่าขำ ๆ และยังคงใช้ชีวิตตามปกติเพราะไม่รู้ว่าอะไรจะดีไปกว่านี้ บางคนเล่าด้วยความสะพรึงกลัวและไม่สามารถใช้เส้นทางสายเดิมได้อีกแล้ว บางคนโกรธแค้นผู้ลงมือ อยากให้กฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน บางคนกล้า ๆ กลัว ๆ ให้สัมภาษณ์เสร็จแล้วก็ขอระงับต้นฉบับ ไม่ต้องการให้เผยแพร่เพราะอยากอยู่อย่างสงบและปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป

หลายคนเกิดภาวะ PTSD คือผลกระทบภายหลังที่เกิดเหตุคือ ภาวะหวาดผวาจากเหตุภัยพิบัติครั้งนี้ เขากลายเป็นผู้ป่วยที่ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดังเดิม ความผิดปกติจากแก๊สซารินทำให้รูม่านตาดำหดตัว โลกจะกลายเป็นสีเทาและไม่สามารถมองแสงอะไรได้นาน ๆ แสงรอบตัวดูหม่น ๆ บางคนเหนื่อยล้าง่าย กินแล้วก็ต้องนอนทีละสองถึงสามชั่วโมง กินสามมื้อก็อยากนอนอีก โดยที่กลางคืนก็หลับได้แต่บางคืนก็หวาดผวากับความมืด เป็นระดับความเสียหายทางจิตใจที่คนอื่นมองไม่เห็น เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมทะลักทะลวงเข้ามาข้างในตัวเอง เหมือนถูกบุกรุกความทรงจำ เห็นภาพในอดีต กลัวจนขาสั่นหรือทำอะไรไม่ได้

คนทั่วไปที่ไม่รู้สาเหตุหลังจากโดนพิษแก๊สซารินรู้สึกเองว่า ผู้ประสบภัยที่รอดชีวิตเหล่านี้ไม่เป็นอะไร เพราะมันไม่มีบาดแผล

ใช่...เพราะเป็นความเจ็บปวดที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
ความทรมานต่าง ๆ เหล่านี้มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้

ผู้ประสบเหตุการณ์ตรง ที่อาการหนัก ๆ นอนเป็นผักบนเตียงก็มี จากที่เคยชอบเขียนบันทึกทุกวันต้องมาทำกายภาพบำบัด สูญเสียความทรงจำ เสียการรับรู้ ฟื้นตัวขึ้นมาได้ ก็ได้สติปัญญาระดับประถมมาแทนที่ ไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวได้อีกแค่ไหน แต่สมรรถภาพในการมองเห็นเสียหายกันเกือบทุกคน

บางคนก็เกิดความสงสัยเหมือนกันว่า การมีชีวิตอยู่คืออะไร เราจะรักษาความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่

แม้แต่ทนายความก็ไม่อยากจะเป็นกระบอกเสียงให้ผู้เสียหาย เพราะกลัวลัทธิโอมชินริเกียว

ฉันค่อย ๆ อ่านเรื่องราวผู้โดยสารแต่ละคนที่ขึ้นรถไฟใต้ดินในวันนั้นแล้ว เข้าใจ คำเตือนของสำนักพิมพ์ขึ้นมาเลยว่า 'การอ่านหนังสืออาจจะทำให้มีความเห็นใจคนอื่นมากขึ้น' นั้นมีความหมายลึกซึ้งเพียงไร

อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว เล่มต่อไปของสำนักพิมพ์คือ บทสัมภาษณ์สมาชิกโอมชินริเกียวและผู้เกี่ยวข้องกับการปล่อยแก๊สพิษซาริน ...

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
31 มีนาคม 2560










Create Date : 12 พฤษภาคม 2560
Last Update : 12 พฤษภาคม 2560 16:48:36 น.
Counter : 575 Pageviews.

0 comment
--- The Walking Backpacker : ล า ก คุ ณ ช า ย ไ ป อิ น เ ดี ย ---




















บั น ทึ ก ก า ร อ่ า น
The Walking Backpacker
ลากคุณชายไปอินเดีย
ปั้น จิรภัทร พัวพิพัฒน์ เขียน
::
::
หลังจากอ่าน ' ต า ม ติ ด ชี วิ ต อิ น เ ดี ย ' ของน้องขิมจบ ฉันเขียนเล่าความน่ารักและเรื่องราวชีวิตประจำวันของเธอขณะไปเรียนที่อินเดียบ้างแล้ว ทำให้เห็นมุมมองเล็ก ๆ น้อย ๆ และเป็นเอกลักษณ์ของคนอินเดีย ขำ ๆ ปนเอ็นดูเวลาเธอประสบปัญหาและเอาตัวรอดแก้ปัญหาวิกฤติต่าง ๆ ในประเทศที่มีความหลากหลายและเฉพาะตัวสูง อ่านไปหัวเราะไปเพราะผู้เขียนเล่าสนุกสนาน มีชีวิตชีวาและมีสาระ

ฉันเกือบลืมไปเลยว่า ล่าสุดซื้อหนังสือเที่ยวอินเดียมาเล่มหนึ่ง แต่ยังไม่มีเวลาเปิดอ่านสักที ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อคราวไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติแล้ว ซื้อโดยไม่รู้จักผู้เขียนเลย เพียงแต่ว่า ใครก็ตามที่เขียนเรื่องการไปอินเดีย ฉันจะขวนขวายหาซื้อมาอ่าน เก็บเล็กผสมน้อยกับเรื่องราวของอินเดียไว้ เพราะเป็นประเทศที่อยากไปเที่ยวให้ได้สักครั้งในชีวิต

ใครหลายคนบอกตรงกันว่า ประเทศอินเดียนั้น หากไม่หลงรักก็จะเกลียดไปเลย

ความสุดโต่งของอินเดียให้ความรู้สึกกับผู้คนได้ขนาดนี้เชียวหรือ

อะไรคือ Incredible India
แล้วทำไมเราต้องไปอินเดีย


ฉันเคยอ่านเคยดูบางเมืองบางมุมผ่านสารคดีท่องเที่ยวหรือมุมสวยงามของประเทศที่เหมือนสวรรค์-นรกบรรจบกัน คือความอัศจรรย์และการเลือกสรรค์ของผู้เขียนหรือความประทับใจของผู้จัดรายการที่เลือกมุมส่วนตัวที่ตนชอบมาเล่าเรื่อง

ดูภาพถ่ายอินเดียแต่ละเมืองในสายตาของเพื่อนบางคนที่ไปมา เห็นดวงตาแร้นแค้น ความยากลำบากเหลือแสน ขอทานเกลื่อนถนน บางคนนั่งขับถ่ายข้างทาง ชีวิตเหมือนมีแค่นี้ เพียงมีลมหายใจไปวันต่อวัน บางดวงตามีรอยยิ้มที่ไม่ยี่หระต่อโลก



The Walking Backpacker : ลากคุณชายไปอินเดีย บอกเล่าได้น่าสนใจทำให้ฉันนั่งอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางบท มีเนื้อหาที่ไม่เป็นแท่งแต่ถูกตบแต่งขัดเกลาเล่าใหม่ด้วยภาษาของวิศวกรที่เปิดดวงตาและเปิดรับสิ่งที่เห็นตรงหน้า พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวอย่างกลมกลืนในสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ บอกเล่าเหตุการณ์ตรงหน้าและปฏิกีิริยาอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นในทัศนะและมุมมองของเขาอย่างตรงไปตรงมา


ที่เขียนแบบนี้เพราะเขาไม่ใช่คนโลกสวย แต่มองโลกอย่างที่มันเป็น ต่อต้านการถูกคุกคาม ต่อสู้กับคนที่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวซึ่ง ๆ หน้า เขาพบคนหลายประเภทที่ไม่สามารถสรุปว่าอินเดียมีแต่คนแย่ ๆ หรือสรุปว่ามีแต่เรื่องไม่โสภา ขนบ วัฒนธรรมบางอย่างยังคงอยู่และน่าสนใจ อย่างเช่นเรื่องการจัดการแต่งงานในวัง /อากัปรกิริยาระหว่างดูหนังในโรง / การเดินจับมือของชายกับชาย / การแต่งงานที่ไม่ถึงกับคลุมถุงชน ยังเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้รู้จักกัน เรียนรู้นิสัยใจคอกันก่อนแต่ง หากไม่แต่งก็เป็นได้เพียงแต่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายอาจมองหน้ากันไม่ติด ความจริงการเลือกคู่ครองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เพราะต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต เพราะตัวฉันยังคิดว่า ผู้ถูกคลุมถุงชนจะปฏิเสธชายที่พ่อแม่เลือกให้ไม่ได้เสียอีก และผู้ชายยังดูบรรดาศักดิ์เหมือนเดิมเพราะทางฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายหาสินสอดทองหมั้นให้สมหน้าสมตา แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือเรื่องชนชั้นวรรณะ


มีการแต่งงานระดับราชาให้เห็น เงินซื้อการจัดงานแต่งงานแบบนี้ได้ที่อินเดีย แต่เงินซื้อความสะดวกสบายไม่ได้ทุกหนทุกแห่งในอินเดีย ความจริงมันก็ไม่ได้ทั้งนั้นไม่ว่าส่วนไหนของโลก ใช่เฉพาะในอินเดียประเทศเดียว เพียงแต่เราเริ่มรู้ล่ะว่า ต่อให้เรามีเงิน เราก็ซื้อความสะดวกในอินเดียบางที่ไม่ได้ มีเงินแต่ไม่มีของที่เราต้องการ เขากินอะไร เราก็กินอันนั้น เขาเดินทางทางไหน เราก็ไปแบบเขา เห็นสภาพการเดินโดยรถไฟในอินเดียแล้วหฤโหดหฤหรรษ์มาก ๆ เราสามารถจินตนาการที่เขาไม่ได้เล่าอีก เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เล่าไม่เท่ากับตาเห็นและรู้สึก ประสบการณ์คือการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไรต่างหาก สองพี่น้องที่ต่างกันสุดขั้วมาลุยอินเดียด้วยกัน แอบมองเห็นตัวเราทั้งสองด้านสุดขั้วด้วย

ด้านหนึ่งคือ อยากแบกเป้ออกลุยเพราะคิดว่ามันท้าทายและไม่น่าจะเป็นอะไร เขาทนได้ เราก็ทนได้ เขากินอะไรเราก็กินอันนั้น ไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งรัดเวลาในการเดินทางจนเกินไปก็น่าจะอยู่รอด อยากเห็นด้วยตาตัวเองแล้วมาเล่าเพราะมันคือความรู้สึกของเราล้วน ๆ เราคิดว่าเราจะแกร่งพอ

อีกด้านหนึ่งคือ เรายังรักสบาย เราเคยอยู่สบาย ๆ อาจเรียกร้องความสบายอย่างที่เราคิดเช่น เงิน น่าจะตอบโจทย์เราบ้าง อยากพักที่หรู ๆ บ้าง เงินน่าจะซื้ออะไรให้เราได้บ้าง เราไม่ได้ต้องการทุกอย่าง เราต้องการบางอย่าง เราอยากจ่ายเพื่ออาหารดี อร่อยสักมื้อ นั่นคือตัวตนของเราอีกมุมที่รักสบาย อยากจ่ายเพื่อซื้อความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตัวเองบ้าง

หนังสือเล่มนี้เราเห็นทั้งสองด้านในมุมของพี่กับน้องที่ต่างกันสุดขั้ว พี่ชาย(ปั้น)ซึ่งเป็นผู้เขียนนั้น มีลักษณะลุย ๆ ไปไหนไปกันและมีภารกิจที่จะลุยอินเดีย ประเทศที่ใครต่อใครว่า ไม่เหมือนใครในโลก โดยที่มีน้องชายซึ่งกำลังศึกษาชั้นปี 4 คณะทันตแพทย์ผู้ซึ่งเป็นคุณหนูติดหรู ห่วงหล่อ ไฮโซ ติดแบรนด์ดัง กินอาหารญี่ปุ่น รักความสะอาดและรักสบายได้ติดตามไปลุยทริปนี้กับพี่ชาย มันเหลือเชื่อมากว่าจะไปกันรอด !

ดูไม่น่าจะเป็นไปได้เลยนะ ตลอดเวลากว่าสองเดือน เราก็เห็นความน่ารักของปั๊ม น้องชายของผู้เขียน ลุยได้ ไปได้ ป่วย บ่น ยามเรียกร้องความน่าเห็นใจก็น่าเห็นใจ เราเองก็น่าจะอย่างนี้ แม้ไม่ใช่คนรักสบายและลุยได้พอสมควร แต่สิ่งที่ต้องเผชิญตรงหน้า ฉันอาจร้องไห้อยากกลับบ้านวันละร้อยหน แต่สัญญาลูกผู้ชาย เขาจึงร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับพี่ชายจนได้เห็นมุมดีงามมากมายเกินกว่าสายตาและหัวใจจะถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือเพียงเล่มเดียวหมด โลกไม่ได้มีเพียงด้านเดียวหรอกนะ ไม่ได้น่าเกลียดจนไม่เห็นมุมงดงาม ยังมีความน่ารัก ๆ ซ่อนอยู่ เนื้อในมนุษย์ก็แบบนั้น เราอาจให้คนอื่นเห็นเราเพียงด้านที่เราต้องการให้เห็น และอีกมุมหนึ่งก็เก็บไว้กับตัวหรือยอมให้ใครบางคนเข้าไปสัมผัส แต่ทุกอย่างนั้นคือความเป็นเราที่ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว

ปั้นหรือผู้เขียน เล่าเรื่องได้น่าอ่าน ขอยอมรับว่า ไม่รู้จักชื่อของนักเขียนคนนี้มาก่อน ตอนซื้อหนังสือก็อย่างที่บอกคือ ซื้อหนังสือท่องเที่ยวโดยเฉพาะที่อินเดียไว้อ่านและศึกษาหลายเล่ม เพราะใฝ่ฝันจะไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต

ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เขียนเล่า มีมุมที่โหดสุด ๆ วุ่นวายสุด ๆ เรื่องราวบนรถไฟที่หฤโหดสุด รถไฟในอินเดียที่มีคนขึ้นเยอะสุดนั้นเพราะระบบขนส่งมวลชนด้านอื่นในอินเดียแย่มาก รถบัสไม่มี อย่าว่าแต่รถยนตร์ส่วนตัวเลย รถไฟจึงเป็นวิธีเดียวในการสัญจร เราก็จะเห็นภาพชีวิตต่าง ๆ นานาได้ที่นี่เช่นกัน มีมุมช็อกและไม่น่าดูเยอะแยะไปหมด สมคำร่ำลือ เราจะได้เห็นอินเดียแท้จริงที่ไม่ได้รับการตกแต่ง (ฉันรู้สึกแบบนั้นในตัวหนังสือของผู้เขียน ราวกับร่วมทริปนี้ไปด้วย ) มันคือความสุดยอดของอินเดียในมุมหนึ่ง แต่ในความโกลาหลของอินเดียนั้น ความงามของธรรมชาติชวนเราตะลึงไปด้วย

เรื่องราวประทับใจในหนังสือเล่มนี้ สำหรับฉันมีมากมายเหลือเกิน แทบจะทุกเมืองที่เขาเหยียบย่ำและบอกเล่า ไมว่าจะเมืองสีชมพู เมืองสีฟ้า เมืองสีทองหรือการเดินเทรกกิ้ง ฉันอินมากสุดตอนเขาไปเมืองเลย์ ลาดักห์

อินเดียเป็นการผจญภัยหรือเพิ่มภูมิต้านทานชีวิตให้เราได้หรือเปล่า ก็น่าจะใช่นะ มันน่าจะทำให้เรามีภูมิต้านทานต่อโลกที่เราอยู่โดยที่เราไม่เอาตัวเราไปตัดสินใครหรือสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น

ได้ชมความสวยงามของเมืองทุกวันที่เขาเดินทางไปถึง ชมสถานที่สวย ๆ พร้อมภาพประกอบของคนมีฝีมือในการถ่ายภาพที่แทนคำนับพัน ประทับใจกับมิตรภาพในต่างแดน ในมุมมองของนักเดินทางด้วยกันและคนดี ๆ ที่เขาพบเจอ ต่างหยิบยื่นน้ำใจและรอยยิ้มในความแร้นแค้น เพราะหัวใจด้านดีงามของผู้เขียนซึมซับมาได้ทำให้ผู้อ่านกระจ่างสว่างไสวไปด้วย

ภาพที่ชัดที่สุดจากอินเดียคือความยากจนและแออัดที่สุดในโลก อาหารที่ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะที่นานไป ๆ ท้องเราก็ปรับตัวเข้ากับมันได้ อากาศในอินเดียที่ร้อนทะลุปรอท ปกติ อุณหภูมิราว ๆ 38-40 เราก็แทบแย่ นี่มากกว่า 44 ตับแทบละลาย ถนนที่ไม่มีฟุตปาธ ใช้ถนนร่วมกับรถ คนและวัว ต้องฝึกการปฏิเสธคน ต้องหาความช่วยเหลือ ต้องไม่กลัวที่จะหยิบยื่นอะไรให้ให้ใครเพียงเพราะอ่านหนังสือไปว่าอย่าให้ของแก่ขอทาน ต้องมีความอดทนสูง ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เป็นทักษะชีวิตอย่างหนึ่งที่สักวันเราน่าจะได้มีโอกาสไปแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

แต่ละเมืองที่ผู้เขียนเล่า ทำเอาฉันนั่งไม่ติดนั่นคือภาพความมหัศจจรรย์ของภูเขา ทะเลสาบ ปราสาท พระราชวังของประเทศอินเดีย

แล้วก็รับรู้ง่าย ๆ ว่า เวลาเราไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม เราควรเปิดหัวใจให้กว้างที่สุด เปิดรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต คนเราไม่เหมือนกันและคนเราก็ไม่ควรจะเหมือนกัน เราสามารถหลงรักความไร้ระเบียบ ความวุ่นวาย ประเทศที่มีข้อบกพร่องมากมาย พฤติกรรมสุดทนสารพัด แต่ความสวยงามของผู้คนที่เราสัมผัสภายใต้ชีวิตที่แร้นแค้นแสนลำบากของเขาคือไมตรี

ผู้เขียนบอกว่า...


' ถ้าอินเดียเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอคงเป็นผู้หญิงแก่น ๆ กวน ๆ ผมสั้น ลุย ๆ ดูตอนแรกอาจจะไม่สวยเท่าไหร่ ไม่ค่อยชอบนัก แต่พอค่อย ๆ รู้จักกันกลับพบว่าเธอน่าสนใจมาก มีเรื่องราวของเธอที่ไม่มีใครเคยรู้ เธอชอบอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เธออาจจะดูยุ่ง ๆ ไร้ระเบียบ แต่เธอมีแคแรกเตอร์ที่ชัดเจนมาก คุณอาจต้องใช้เวลานานเพื่อที่จะเข้าใจเธอ เพราะเธอไม่ใช่ดาวโรงเรียนที่ทุกคนหมายปอง เธอไม่ใช่ผู้หญิงสำหรับทุกคน แต่ถ้าเธอใช่สำหรับคุณ คุณจะหลงรักเธอสุด ๆ รักแบบไม่มีวันลืม รักแบบที่คุณอาจจะต้องกลับมาเจอเธออีก ...ที่ประเทศอินเดีย'


และเห็นด้วยกับปั๊มกับนิยามของอินเดียในประโยคเดียว เป็นป้ายที่ติดอยูทั่วสนามบินอินเดียกับถ้อยคำสั้น ๆ ว่า


Incredible India


ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
8 กุมภาพันธ์ 2560
















Create Date : 12 พฤษภาคม 2560
Last Update : 12 พฤษภาคม 2560 16:48:59 น.
Counter : 831 Pageviews.

0 comment
--- ต า ม ติ ด ชี วิ ต อิ น เ ดี ย : พัทธมญส์ กาญจนพันธุ์(ขิม) ---

















เธอชื่อขิม
เป็นสาวเชียงใหม่มีความยังไงก็ได้ในตัวเองสูง
เช่น ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
ใครบอกอะไรก็ทำ
จบออกมาเริ่มเห็นเพื่อนไปเรียนนอก
เกิดอิจฉา เริ่มอยากไปบ้าง
มีช้อยส์ตั้งแต่ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย
ความที่เธอบอกว่ายังไงก็ได้
สุดท้ายก็เลยมาได้ อินเดีย
...
พอมาถึง ก็รู้ว่าประเทศนี้ ยังไงก็ได้
ยิ่งกว่าตัวเธอเอง
..
..






ต า ม ติ ด ชี วิ ต อิ น เ ดี ย
พัทธมญส์ กาญจนพันธุ์(ขิม)
::
เป็นเรื่องราวของน้องขิมตอนไปเรียนต่อปริญญาโทที่อินเดีย

อ่านตอนแรก ๆ อารมณ์เหมือนอ่านหน้าสเตตัสที่เธอคุยกับเพื่อน ภาษาจะเป็นกันเองกับผู้อ่านเหมือนเธอคุยกับเพื่อน ส่วนตั๊ว ส่วนตัว หนังสือก็เหมือนกับยกตัวหนังสือเหล่านั้นมารวมเล่มไว้ อ่านแรก ๆ ก็แอบถอนใจนิดนึง เราแก่ไปเยอะ ภาษาวัยรุ่นคุยกัน มีคำสบถ มึง กู แม่ง ฯลฯ อะไรประมาณนี้ แต่เรายังไม่รีบวางหรอก อยากรู้เหมือนกันว่า เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ จะเอาตัวรอดยังไงในอินเดีย ประเทศที่ฉันอยากจะไปลุยแต่ไม่กล้า ขนาดที่ว่าดูน้องบอล น้องยอดแบกเป้ในรายการหนังพาไปแล้ว ใจก็ยังปอด ๆ เหมือนเดิม จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่าเพราะใจยังไม่เป็นกุศลและยังไม่ค่อยเป็นมิตรกับมนุษย์มากนัก ฉันขี้กลัวและปากหนัก...และไม่มีปัญญาเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

แต่น้องขิมนั้น ไม่ใช่ ... เธอมาเรียนท่ามกลางเพื่อนชาวต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นแขก แขกแบบอินเดีย แขกแบบอาหรับ หน้าเอเชียแอฟริกัน เธอเล่าความประหลาดของเขาเหล่านั้นที่เป็นผู้ชายเกือบทั้งห้อง (ชาย เกือบร้อย แต่ผู้หญิง 6 คน) มันไม่ใช่แค่มาเรียนเอาภาษาอย่างเดียว เธอมีเพื่อนและเธอต้องหาที่กิน ที่อยู่ หาหอพัก เช่าบ้าน เปลี่ยนที่เช่าบ้าน เห็นห้องพักที่เธอเช่า เห็นภาพและนิสัยใจคอของเจ้าของบ้าน เพื่อนบ้าน มีทุกอย่าง ทุกรสชาติชีวิตที่เราสัมผัสได้ โหด มัน ฮาเลยเชียวล่ะ

เหมือนเราเกาะติดชีวิตเธอ จะเห็นชีวิตประจำวันของเธอระหว่างที่เรียน ยามป่วยไข้และการให้บริการ การรักษาของหมอในโรงพยาบาลอินเดีย ป่วยนี่เธอป่วยแบบต้องแอดมิด การซื้อหยูกยาเอง ยาก็ต้องฝากเพื่อนซื้อตามใบสั่งของหมอแล้วจึงเอามาให้หมอรักษา เหมือนเข้าโรงพยาบาลแต่ไม่มียา มีแต่หมอ จากการป่วยก็เห็นเพื่อนของเธอ มิตรภาพมีทุกหนทุกแห่ง

เธอแก้ปัญหาเก่งและสนุกสนาน ร่าเริงไปกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า รับมือกับมันได้ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ร้องไห้บ่อย แต่ทำคนอ่านฮากับเรื่องที่เธอเล่า ...จนฉันต้องพักสายตาจากหนังสือและเปิดคอมเพื่อเข้าไปดูเพจนี้ เพราะเธอบอกแต่แรกแล้วว่า หนังสือเล่มนี้เริ่มจากการมีเพจก่อน จากนั้นเธอก็มาบ่นในเฟซบุ๊กประจำ เจออะไรแปลก ๆ ในอินเดียก็มาโพสต์บนเฟซบุ๊ก แต่มันมีเรื่องราวและเรื่องที่เหนือการคาดหมายมากมาย ชีวิตไม่ได้เป็นไปตามแผน มีเรื่องปวดหัวมาเล่าให้ฟังทุกวันและอ่านสนุก เพราะเป็นอินเดียแบบที่เราไม่รู้จัก มีเรื่องน่ารัก ๆ ที่คิดไม่ถึง มีอะไรให้ชอบและชื่นชมเธอมากมาย น้องเก่งจัง ชีวิตแบบที่เรียกว่าคุ้มมาก

ภาพประกอบและคำบรรยายก็ฮามาก ฉันเล่าไม่สนุกหรอก แต่ดีใจที่ได้อ่านหนังสือของเธอ คิดว่าจะเอาไปให้ลูกอ่าน เป็นบันทึกเรื่องราวของมนุษย์ในอินเดียที่มีอารมณ์ขันของผู้เขียนทั้งที่่มันวิกฤติและต้องตัดสินใจอะไรต่อมิอะไรเอง เออนะ...เธอเลี้ยงหมาในหอพักที่เขาห้ามเลี้ยงด้วย ทำได้ไงนะ เป็นชีวิตที่มีสีสันมากจริง ๆ



ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
3 กุมภาพันธ์ 2560














Create Date : 12 พฤษภาคม 2560
Last Update : 12 พฤษภาคม 2560 16:48:17 น.
Counter : 869 Pageviews.

0 comment
--- A Man called OVE : ช า ย ชื่ อ อู เ ว ---
















บั น ทึ ก ก า ร อ่ า น
A Man called OVE : ช า ย ชื่ อ อู เ ว
Fredrik Backman เขียน : ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี แปล





เปิดฉากหนังสือด้วยการที่อูเวไปขอซื้อไอแพดที่ร้านและซักถามเกี่ยวกับการใช้ไอแพดต่าง ๆ นานาจนคนขายชักสีหน้า รำคาญตาแก่นี่มากและรู้สึกเสียเวลาทำมาหากินที่ต้องอธิบายเรื่องที่ชาวโลกรู้กันไปทั่ว แต่เราเพียงสงสัยว่า เขานึกยังไงหนอมาหาซื้อไอแพดที่ว่านี่ ...


อูเว ชายวัย 59 ปี มนุษย์ผู้จงรักภักดีกับรถซาบและปณิธานว่าจะขับรถซาบอย่างเดียวตลอดชีวิต เขาตั้งปณิธานว่าจะเป็นเหมือนพ่อ ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่รู้จักการยืดหยุ่นที่สุดในโลก เป็นผู้มีคำถามมากมายกับวิถีชีวิตกับโลกยุคใหม่ ที่เราฟังแล้วสะดุ้ง บางอย่างก็หลุดโลก บางอย่างก็ขำ ๆ อย่างเช่น




❀ เขาไม่เข้าใจคนที่ตื่นสายแล้วอ้างว่านาฬิกาไม่ปลุก เกิดมาเขาไม่เคยมีนาฬิกาปลุก



❀ เขาค่อนแคะว่าคนสมัยนี้ไม่รู้จักวิธีเขียนหนังสือด้วยปากกาอีกต่อไป แล้วต่อไปโลกจะเป็นอย่างไรถ้ามนุษย์ไม่รู้จักแม้แต่วิธีต้มกาแฟและจับปากกา




❀ เขาปิดเครื่องทำความร้อน หม้อต้มกาแฟและไฟทุกดวงในบ้าน เอาน้ำมันชะโลมเคาเตอร์ไม้ในห้องครัวถึงแม้ว่าอิเกียบอกว่าไม้ชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องชะโลมน้ำมันก็ตาม


❀ เขาสบถ..ไอ้เวรพวกนี้เป็นเหมือนกันหมด ถีบราคาที่พักอาศัยให้สูงขึ้นสำหรับคนที่ทำมาหากินสุจริต ราวกับว่าบ้านจัดสรรแห่งนี้เป็นที่พักสำหรับชนชั้นสูง



❀ เขาผ่อนบ้านจนไม่มีหนี้สิน และมองว่าพวกขี้โอ่สวมเสื้อผ้าราคาแพงไม่มีทางพูดอย่างนี้ได้เพราะทุกวันนี้ทุกอย่างซื้อด้วยเงินกู้




❀ อูเวจ่ายเงินค่าบ้านครบ และปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เขาไปทำงาน ไม่เคยลาป่วยแม้แต่วันเดียว... ทุกวันนี้เอะอะก็ต้องพึ่งคอมพิวเตอร์ เอะอะก็วิ่งโร่หาที่ปรึกษา เต็มไปด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เที่ยวคลับเต้นระบำเปลื้องผ้า แอบทำสัญญาเช่าอพาร์ตเมนท์กันใต้โต๊ะ หลบเลี่ยงภาษีและเอาเงินส่วนต่างมาแบ่งกัน ไม่มีใครอยากทำงาน ทั้งประเทศมีแต่คนที่อยากนั่งกินมื้อเที่ยงไปตลอดทั้งวัน


❀ อูเวมองผู้ชายขี้โอ่กำลังวิ่งจ๊อกกิ้งด้วยความรู้สึกขัดหูขัดตา ...สิ่งที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมคนเราถึงทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องสำคัญนักหนา ทุกคนจะยิ้มหน้าระรื่นราวกับว่าการวิ่งครั้งนี้จะช่วยรักษาถุงลมโป่งพองให้กับตนเอง



❀ นักจ๊อกกิ้งทุกคนทำสีหน้าแบบนั้น ไม่ว่าจะเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเหยาะ ๆ มันเป็นวิธีที่ผู้ชายวัยสี่สิบบอกกับโลกนี้ว่า เขาไร้น้ำยาจนไม่รู้ว่าอะไรถูกต้องเหมาะควร ทุกคนแต่งตัวเหมือนนักยิมนาสติกจากโรมาเนียวัยสิบสี่ หรือทีมแข่งเลื่อนหิมะในกีฬาโอลิมปิก จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องทำแบบนั้น กะอีแค่ออกมาลากขาอย่างไร้จุดหมายในละแวกบ้านเป็นเวลาสี่สิบห้านาที



❀ บ้านของอูเวและภรรยา จะมีกล่องอเนกประสงค์ ซึ่งคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีของพวกนี้ติดบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นของไร้สาระมากกว่า เช่น รองเท้ายี่สิบคู่ ไม่เคยรู้ว่าวางช้อนใส่รองเท้าไว้ตรงไหน ทุกบ้านจะมีเตาไมโครเวฟกับทีวีจอแบน




❀ คนพวกนั้นทั้งเล่นอินเทอร์เน็ตและจิบเอสเปรสโซ เราจะหาความรับผิดชอบอะไรจากคนแบบนั้นได้



❀ เขาสงสัยว่าทำไมเพื่อนบ้านต่างชาติจึงไม่สอบใบขับขี่รถยนต์ คนที่ขับได้แค่หุ่นยนต์พาหนะจากญี่ปุ่นแต่ขับรถจริง ๆ ไม่เป็น ยังสมควรจะได้ใบขับขี่ไหม



❀ เรดาร์ถอยหลังเซ็นเซอร์จอดรถ กล้องติดรถ ของเส็งเคร็งพรรค์นั้น ใครก็ตามที่ต้องพึ่งของพวกนี้ กะอีแค่ถอยรถพ่วง ไม่สมควรสะเออะมาถอยมันตั้งแต่แรก


❀ ไอ้พวกขี้โอ่ที่อายุแค่สามสิบเอ็ด วัน ๆ ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ และดื่มกาแฟแบบที่คนธรรมดาดื่มกันไม่ได้ ใช้ชีวิตในวงสังคมที่ไม่มีใครรู้วิธีถอยรถพ่วงเข้าจอด และยังมีหน้ามาบอกว่า เขาไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป



❀ แรก ๆ ที่อูเวเข้ามาอยู่ทีนี่มีบ้านจัดสรรเพียงหกหลัง ทุกวันนี้มีเป็นร้อย แน่นอนว่าทุกหลังต้องกู้เงินมาซื้อ คนสมัยนี้ใช้ชีวิตแบบนี้ ซื้อของด้วยเงินเชื่อ ขับรถพลังงานไฟฟ้า ต้องตามช่างมากะอีแค่เปลี่ยนหลอดไฟ ปูพื้นบ้านด้วยกระดานสำเร็จรูป ใช้เตาผิงไฟฟ้า นั่นคือวิถีของคนปัจจุบัน




❀ เขาไม่เข้าใจคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงวันเกษียณเลยจริง ๆ มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะเฝ้ารอทั้งชีวิตให้ถึงวันที่ตนเองจะกลายเป็นคนไร้ค่า ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมาย กลายเป็นภาระของสังคม คนแบบไหนกันที่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้


❀ อูเวมองบรรดาเสื้อโค้ทของภรรยาที่แขวนอยู่บนตะขอตัวอื่น ๆ อย่างครุ่นคิด นึกสงสัยว่าทำไมมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจึงมีเสื้อโค้ทเยอะแยะขนาดนี้



❀ อูเวไม่ได้ไม่ชอบคนอ้วน เปล่าเลย ใครอยากมีรูปร่างแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น เขาแค่ไม่เข้าใจคนพวกนี้ นึกไม่ออกว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร คนเราจะกินอะไรเข้าไปได้สักแค่ไหน และต้องทำอย่างไรจึงเปลี่ยนแปลงตนเองให้มีรูปร่างใหญ่กว่าเดิมเป็นสองเท่าแบบนั้นได้ เขาคิดว่าสิ่งนี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจมหาศาล





❀ คนเราไม่ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อเหรียญรางวัล ใบประกาศเกียรติคุณหรือการลูบหลังแสดงความขอบคุณแต่ควรทำเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ
ฯลฯ


ลุงแกปากร้ายเอาการเหมือนกันนะ แต่นั่นแหละ มารู้จักลุงคนนี้ไปด้วยกันค่ะ








































❀❀❀




พ่อของอูเวทำงานการรถไฟ เขาประสบอุบัติเหตุ โดนรถไฟพุ่งชน ขณะยืนอยู่บนรางรถไฟ ของที่พ่อให้ไว้ดูต่างหน้าคือรถซาบ บ้านโทรม ๆ หนึ่งหลัง นาฬิกาข้อมือบุบ ๆ เรือนเก่า

ที่มาของรถซาบ ๙๒ เก่าบุโรทั่ง เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตโดยบริษัทซาบ เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า เครื่องยนต์วางเฉียงไปด้านข้างและส่งเสียงดังเหมือนเครื่องบดกาแฟ

รถของผู้อำนวยการรถไฟคันนี้ยับเยินจนเกินจะซ่อมได้ เขาถามพ่อของอูเวว่า จะจัดการมันอย่างไรดี พ่อของอูเวพูดหนักแน่นว่าซ่อมได้ จบคำพูดนั้น ผอ.ก็ยกรถให้กับพ่อของอูเวซ่อมไว้ใช้ตั้งแต่นั้นมา

อูเวไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนเปี่ยมล้นไปด้วยความภูมิใจเท่ากับพ่อของเขาในคืนนั้น เมื่ออูเวอายุแปดขวบ เขาตั้งปณิธานแน่วแน่ในคืนเดียวกันนั้นว่า ชีวิตนี้จะไม่ขับรถอะไรทั้งนั้นนอกจากรถซาบ อูเวตัดสินใจที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ให้เหมือนพ่อมากที่สุด

อูเวสวมนาฬิกาบุบ ๆ เรือนเก่าซึ่งเคยเป็นของพ่อ พ่อได้รับมันมาจากพ่อของแกตอนอายุสิบเก้า จากนั้นส่งต่อมายังอูเวอีกทอดตอนอายุสิบหก หลังจากพ่อลาโลกนี้ไปได้ไม่กี่วัน เขาเลิกมีความสุข เลิกไปโบสถ์และต่อว่าว่า พระเจ้าองค์นี้ไม่เอาไหน

วันที่พ่อตาย อูเวไปที่แผนกรับเงินเพื่อรับเงินเดือนของพ่อ และเอาส่วนที่เกินมาคืนโดยอ้างว่า พ่อเขาตายวันที่ 16 แต่กลับจ่ายให้พ่อเขาทั้งเดือน เขารับส่วนที่เหลือนั่นไม่ได้

ผอ. ไม่มีทางเลือกจึงเสนอให้เขามาทำงานแทนพ่อให้ครบเดือน เพื่อจะมีสิทธิ์ในเงินเดือนนั้นโดยสมบูรณ์ อูเวยอมรับข้อเสนอ ลาโรงเรียนมาทำงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปเรียนต่อและทำงานที่การรถไฟอีกห้าปี

การที่พ่อแม่ของอูเวจากไปกะทันหัน เขาต้องคิดเรื่องการเลี้ยงชีพตัวเองหลังจากที่เขาสำนึกในความถูกต้องและหน้าที่ตอนพ่อตาย




นับแต่พ่อจากไป อูเวจำแนกคนประเภทต่าง ๆ ได้แก่ คนที่ทำในสิ่งที่ควรทำ คนที่ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ เขาพูดน้อยลงและลงมือทำ

'พอคนเราไม่พูดมาก โอกาสที่จะพ่นอะไรหมา ๆ ออกจากปากก็หมดไป'

วันหนึ่ง เขามีปัญหากับทอม ทอมกล่าวหาว่าเขาขโมยเงิน โยนโทษใส่ทั้งที่เขาไม่ได้ทำแต่เขากลับปิดปากเงียบเพราะยึดถือแบบอย่างจากพ่อที่ว่า เขาไม่ใช่คนที่เอาเรื่องของคนอื่นมาโพนทะนา การนิ่งเงียบครั้งนี้ ทำให้ผอ.จำต้องไล่เขาออกจากงาน

ความเสียใจของอูเวไม่ได้อยู่ที่ใครจะว่าเขาอย่างไร แต่เป็นเรื่องที่เขาสูญเสียงานที่พ่อเขารัก

เขาพูดอะไรยาว ๆ ครั้งสุดท้ายก่อนก้าวออกจากงานว่า

'ค น เ ร า ต้ อ ง ดู ที่ ก า ร ก ร ะ ทำ
ไ ม่ ใ ช่ ที่ คำ พู ด '


ทำให้ผอ.นึกถึงคุณธรรมของพ่อกับอูเว ตอนนั้นอูเวอายุเพียงเก้าขวบ เขาเก็บกระเป๋าตังค์ผู้โดยสารบนรถไฟได้และไม่เคยปริปากว่าทอมเลย 'เราไม่ใช่คนที่จะเที่ยวเอาเรื่องของคนอื่นไปโพนทะนา'เขาคืนเงินที่เก็บได้และ ผอ. ก็เชื่อว่า เขาคงไม่มาเสียคนอะไรตอนนี้ เขาจึงได้กลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง ราวกับว่า ทุกเส้นทางจะนำไปสู่จุดหมายที่ถูกกำหนดไว้กับเราก่อนหน้านั้นแล้ว



อูเวแทบไม่มีเพื่อนแต่ก็ไม่มีศัตรู



ในมุมมองของอูเว เขาคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่คนเราใช้ชีวิตตามแนวคิดว่า ทุกอย่างสามารถถูกแทนที่ได้ ราวกับความจงรักภักดีไม่มีค่าอะไรเลยอย่างนั้น

ทุกวันนี้ผู้คนเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้กันเป็นว่าเล่น และทักษะในการดูแลรักษาสิ่งต่าง ๆ ให้อยู่ได้นาน ๆ ก็หมดความจำเป็นไป คุณภาพน่ะรึ แทบไม่มีใครสน ...ทุกวันนี้การงานทุกอย่างแม้แต่สร้างบ้านสักหลังก็ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ ราวกับว่าเราไม่มีทางสร้างบ้านเองได้ จนกว่าที่ปรึกษาที่ใส่เสื้อเชิ้ตรัดติ้วจะหาวิธีเปิดแล็บท็อปให้ได้ก่อน คนสมัยก่อนสร้างโคลอสเซี่ยมกับพีรามิดที่เมืองกิซาด้วยวิธีนี้กันหรืออย่างไร มนุษย์สร้างหอไอเฟลได้ตั้งแต่ปี ๑๘๘๙ แต่ทุกวันนี้กลับไม่มีปัญญาร่างแบบบ้านชั้นเดียวจนกว่าจะขอตัวออกไปชาร์จโทรศัพท์มือถือ

นี่คือโลกที่เรากลายเป็นคนตกยุคก่อนที่จะสิ้นอายุขัยของเราจริง ๆ คนทั้งประเทศพร้อมใจกันลุกขึ้นปรบมือสรรเสริญข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อย่างถูกต้องเหมาะควรอีกต่อไป เฉลิมฉลองให้กับความดาด ๆ แกน ๆ กันอย่างออกนอกหน้า

โลกสมัยใหม่ที่ไม่มีใครเปลี่ยนยางรถยนต์เองได้ หรือต่อสวิตช์สำหรับหรี่ไฟ ปูกระเบื้อง ฉาบผนัง กรอกเอกสารยื่นภาษี องค์ความรู้เหล่านี้หมดความสำคัญลง เขายังเชื่ออีกว่าคนเราจะกลายเป็นผู้ชายเต็มตัวได้ก็ต่อเมื่อมีรถเป็นของตัวเอง


บ้านของพ่ออูเวกำลังจะถูกเวนคืนจากเทศบาล พ่อของเขาชำนาญแต่ซ่อมเครื่องยนต์ แต่ไม่ใช่บ้าน สภาพบ้านซอมซ่อ ไม่ต่างกับอูเวสักเท่าไหร่ พวกใส่สูทชอบที่อาศัยในละแวกที่มีพวกใส่สูทเหมือนกัน

ในที่สุด เขาไม่ยอมขายบ้านให้เทศบาล แต่จะซ่อมมัน !!

ทันที่เรื่องการซ่อมบ้านกระจายข่าวออกไป เพื่อนคนงานอาวุโสก็แวะเวียนมาถามไถ่ สอนวิธีคำนวณ สาธิตวิธีวัดระยะและให้กล่องเครื่องมือที่ผ่านการใช้งานมาแล้วแก่เขา บ้านของเขาค่อยเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างช้า ๆ น็อตถูกขันลงไปทีละตัว ๆ กระดานปูพื้นถูกใส่ไปทีละแผ่น ๆ แน่นอนไม่มีใครเห็น

'มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะต้องมาเห็น
งานที่เสร็จสมบูรณ์และมีคุณภาพ
นับเป็นรางวัลในตัวของมันเองอยู่แล้ว ...'


เขาค้นพบว่า เขาชอบบ้าน เหตุผลหลักอาจเพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถทำความเข้าใจได้ สามารถคำนวณเป็นตัวเลขและวาดลงบนแผ่นกระดาษ มันจะไม่รั่วถ้าเราทำทุกอย่างอย่างให้รัดกุม ไม่พังถ้าเราวางรากฐานได้อย่างถูกต้อง บ้านเป็นสิ่งที่เที่ยงตรง พวกมันจะให้ในสิ่งที่เราสมควรจะได้ น่าเศร้าที่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น


เราภูมิใจไปกับอูเวอยู่ได้ไม่นาน ในที่สุด บ้านเขาถูกลอบวางเพลิง เสียน้ำตาให้กับอูเว สงสารเขา เกลียดคนใจดำทั้งหลาย บ้านวอดวาย ทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนตัวของเขาเพื่อระลึกถึง อูเวนอนในรถซาบหลายคืน สุดท้ายก็ไม่มีใครมารับผิดชอบและเขาจำต้องเซ็นเอกสารที่ทางเทศบาลอ้างว่าที่ดินตรงนี้จะต้องถูกพัฒนาและก่อสร้างอาคารใหม่ ๆ อีกหลายหลังและซื้อที่ดินของเขาในราคาตลาด เขาไม่มีทางเลือก ทุกคนย่ำยีเขาทั้งทางกายและใจ



อาจเป็นเพราะทอมคอยใส่ร้ายเขา อาจจะเพราะโดนคนขายประกันกำมะลอมาหลอก หรือพวกคนใส่เชิ้ตขาวข่มขู่ หรือไม่ก็ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาทดสอบความอดทนจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์คนหนึ่ง


เมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิต เราทุกคนต้องตัดสินใจว่าอยากเป็นคนแบบไหน จะเป็นคนที่ยอมให้ใครต่อใครมาเหยียบย่ำหรือเปล่า และถ้าเราไม่เคยรู้เรื่องราวในช่วงเวลานั้นของคนนั้นมาก่อน เราจะไม่มีทางรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เลย




อูเวอยากลองเป็นทหาร แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย หมอบอกว่าเขาเป็นโรคหัวใจพิการมาแต่กำเนิด เขาพยายามให้ทบทวนคำสั่งของหมอ แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ ทำให้เขาต้องกลับไปทำงานเป็นพนักงานกะกลางคืนที่ทำการรถไฟ แต่ไม่กี่เดือนหลังจากนี้ พรหมลิขิตมีจริง ชีวิตอูเวที่ใคร ๆ ว่ามีแค่ดำกับขาวจนกระทั่งเจอภรรยา เธอคือสีสัน เป็นสีสันทั้งหมดของชีวิตที่เขามีอยู่


เขาได้แต่งงานกับหญิงจิตใจดีคนหนึ่ง เธอกับเรือนผมสีน้ำตาลแดง ดวงตาสีฟ้าและเสียงหัวเราะอันเปี่ยมชีวิตชีวา ซอนยาทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาท่ามกลางโลกที่โหดร้ายกับอูเว

อูเวเรียนรู้ว่า ผู้หญิงไม่เคยเดินตรงตามแผน ไม่ว่าจะพยายามขีดเส้นให้ชัดเจนแค่ไหนก็ตาม ภรรยาของเขามาทำให้โลกของอูเวสมดุลขึ้นในความรู้สึกของเรา แม้จะเปลี่ยนอูเวไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ต้องเป็นแบบที่อูเวเป็น เธอจะเลือกทางตามความรู้สึก ช้า ๆ ก็ได้

มีสามสิ่งที่ซอนยารักอย่างไม่มีเงื่อนไขนั่นคือ หนังสือ พ่อของเธอและแมว

เธอเป็นคนสวย มองโลกในแง่บวกมาก ๆ ทุกคนเสียดายที่เธอเลือกอูเว แต่อูเวในสายตาของเธอคือ เขาไม่ใช่คนอมทุกข์ รุ่มร่ามหรืออารมณ์ร้อน เขาคือดอกไม้สีชมพูที่ออกจะเยิน ๆ ช่อนั้นในคืนที่เธอกับเขามีนัดกันมื้อแรก เขาคือสูทสีน้ำตาลตัวเก่าของพ่อที่ดูจะคับไปหน่อยโดยเฉพาะตรงไหล่ที่ดูห่อเหี่ยว เขามีศรัทธาในบางอย่างอย่างแรงกล้า นั่นคือ ความยุติธรรม ซื่อตรง ทำงานหนัก และศรัทธาในโลกที่ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด


ซอนยารู้ดีว่าเธอจะหาผู้ชายแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เธอจึงไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไป

ว่ากันว่า ความผิดพลาดทำให้เราได้บุรุษที่ดีที่สุด พวกเขามักจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้น และจะกลายเป็นคนดียิ่งกว่าถ้าเขาไม่เคยผิดพลาดอะไรเลย


ตลอดเวลาสี่สิบปีที่อูเวใช้ชีวิตคู่กับซอนยานั้น เธอสอนนักเรียนนับพันที่มีปัญหาในการเรียนรู้ให้อ่านหนังสือออกและเขียนหนังสือได้ เธอสอนให้เด็ก ๆ อ่านผลงานของเช็คสเปียร์ แต่ไม่เคยเคี่ยวเข็ญให้อูเวอ่านแม้แต่เรื่องเดียว แต่อูเวก็ทำชั้นหนังสือให้เธอสวยงามที่สุดในห้องนั่งเล่นของพวกเขา


อูเวไม่ใคร่จะชอบแมว มักว่ากันว่า คนที่ไม่ชอบแมวเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ

พ่อของซอนยากับอูเวผูกสัมพันธ์กันผ่านการซ่อมเครื่องยนต์

เออร์เนสต์เป็นแมวโรงนาที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก ตอนเด็ก ๆ ซอนยาคิดว่ามันเป็นลูกม้า เธอตั้งชื่อให้มันตามเออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์
ซอนยารักเออร์เนสต์แบบไม่มีเงื่อนไข อูเวก็ไม่เคยพูดให้ร้ายในสิ่งที่เธอรัก การได้รับความรักจากเธอ ในขณะที่คนรอบข้างไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรคู่ควรนั้นเป็นอย่างไร

อูเวรักษาระยะห่างกับเออร์เนสต์และพ่อของซอนยา เรื่องใด ๆ ในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ เหลือช่องว่างให้กันบ้างจะได้ไม่อึดอัด

วันหนึ่งเออร์เนสต์เกิดอุบัติเหตุจนตาย ซอนยาเสียใจมาก และคำพูดที่ซาบซึ้งมากของอูเวหลังจากคำขอของเธอเมื่อเธอบอกว่า

' คุณต้องรักฉันให้มากกว่าเดิมสองเท่าแล้วละ'

อูเวจำต้องโกหกเธอเป็นครั้งที่สองและเป็นครั้งสุดท้ายว่า จะรักเธอแบบนั้น แม้ในใจรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่สามารถรักเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกแล้ว


หลังจากนี้ไม่นาน ซอนยาพาอูเวไปเที่ยวกับทัวร์ที่สเปน ซอนยากำลังท้อง แต่รถทัวร์ประสบอุบัติเหตุจนเธอเสียลูกในท้องและตัวเธอก็ต้องทำกายภาพบำบัด นั่งวีลแชร์ อูเวโกรธบริษัททัวร์แทบคลั่งที่ไม่มีใครรับผิดชอบกับเหตุการณ์ประมาทครั้งนี้ เจ็บปวดใจที่ไม่มีใครไยดี

อูเวฟ้องร้อง เขียนคำร้องเรีัยนไปที่หนังสือพิมพ์ เขาสาดพวกมันด้วยความพยาบาทที่เอ่อล้นของพ่อคนหนึ่งที่โดนปล้นจนหมดตัว แต่ทุกที่ที่เขาไปร้องเรียน อูเวจะโดนชายเชิ้ตขาวยิ้มหน้าระรื่น พวกที่ไม่มีใครสามารถต่อกรกับพวกมัน ไม่ใช่เพราะอำนาจรัฐอยู่ข้างพวกมัน แต่พวกมันคืออำนาจรัฐ

พวกเชิ้ตขาวเป็นพวกเครื่องจักรมากกว่ามนุษย์ สายตาว่างเปล่า คอยบดขยี้คนธรรมดา ก่อนจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


การทำความเข้าใจผู้ชายอย่างอูเวนั้น เราต้องเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า เขาเป็นพวกที่เกิดผิดยุค คนที่ต้องการอะไรไม่กี่อย่างในชีวิต

ซอนยามองเห็นทุกอย่าง ปล่่อยให้เขาระบายออกไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อซอนยาบอกเขาอย่างอ่อนโยนว่า 'พ อ เ ถ อ ะ อู เ ว ที่ รั ก ข อ ง ฉั น '

ซอนยาสมัครไปสอนหนังสือในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงว่าเลวร้ายที่สุด เด็กพวกนั้นเกินเยียวยา และนี่ไม่ใช่การศึกษาแต่คือการเอาของเสียมาเก็บไว้เป็นที่เป็นทางเท่านั้น


แ ม้ ใ ค ร จ ะ ว่ า อ ย่ า ง ไ ร
ซ อ น ย า รู้ ว่ า เ ธ อ สู้ เ พื่ อ อ ะ ไ ร
เ ธ อ สู้ เ พื่ อ สิ่ ง ดี ง า ม
เ พื่ อ ลู ก ที่ เ ธ อ ไ ม่ เ ค ย มี
แ ล ะ อู เ ว ก็ สู้ เ พื่ อ เ ธ อ

ซอนยาเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุด เธอเล่าถึงเด็กป่วนที่ถูกลากเข้ามาในห้องแต่เขาสามารถท่องบทกวียุคนี่ร้อยปีได้อย่างฉะฉาน เธอสอนให้เด็ก ๆ ของเธออ่านเช็คสเปียร์ เธอทำให้เด็ก ๆ เหล่านั้นเห็นคุณค่าในตัวเอง คุณค่าที่เจ้าตัวก็มองไม่เห็น ผลลัพธ์ที่เธอได้จากนี้ไม่เคยสูญเปล่า

การเอาชนะพวกคนในเชิ้่ตขาวนั้นเป็นไปได้ยาก
การเอาชนะโรคร้ายอย่างมะเร็งยิ่งเป็นไปไม่ได้
ซอนยาป่วยเป็นมะเร็ง

ซอนยาป่วยจนต้องกลับมารักษาตัวที่บ้าน เธอเขียนจดหมายถึงลูกศิษย์ เกือบทุกคนมาเยี่ยมเธอไม่ว่างเว้น พระเจ้าได้พรากลูกไปจากเธอ แต่พระเจ้าก็ชดเชยเธอด้วยเด็กเป็นพัน ๆ คน เธออยู่อีกเพียงสี่ปีก็ตาย

สีสันในชีวิตของอูเวจางหายไป คงเหลือแต่สีขาวกับสีดำอีกครั้ง

ความตายนับเป็นสิ่งแปลก คนเราอยู่มาทั้งชีวิตราวกับไม่คิดว่ามันมีอยู่จริง

อูเวไม่ได้ตายไปด้วยตอนที่ซอนยาจากไป เขาแค่หยุดมีชีวิตเท่านั้น

ความโศกเศร้าก็นับเป็นสิ่งแปลกเช่นกัน

อูเวคิดถึงซอนยา เขาคิดว่าเธอต้องชอบครอบครัวชาวต่างชาติท้องโย้ที่สติไม่สมประกอบนี้แน่ เขาคิดถึงเสียงหัวเราะของซอนยามาก จนเขาวางแผนฆ่าตัวตาย...






เรื่องราวในเล่มนี้ มีครบรส ทั้งยิ้ม ส่ายหัว หัวเราะและร้องไห้ไปกับเขาในวันที่ไม่มีทั้งงานและคนรักเหลืออยู่อีกต่อไป ทั้งซาบซึ้งในความรักและชิงชังการเอารัดเอาเปรียบจากคนกลุ่มหนึ่งที่น่ารังเกียจในสังคม ชอบน้ำเสียงประชดประชันไม่ชวนรำคาญ เปรียบเปรยด้วยถ้อยคำที่ชาญฉลาด เปี่ยมเสน่ห์ อารมณ์ขันลุ่มลึกจนเราต้องนิ่งฟัง เขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ที่แบกภาระอันหนักอึ้งในแต่ละวันในชีวิตประจำวัน มองเผิน ๆ ก็เหมือนเขาเป็นคนขวางโลก ขวานผ่าซาก ปากตรงกับใจ เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปเสียหมด แต่หากลองฟังสิ่งที่เขาพูดจริง ๆ ก็มีแง่ให้คิดมากมายและจริง ฉันรักอูเวและซอนยามาก


หนังสือเล่มนี้เปิดเรื่องด้วยการที่มนุษย์สุดโต่งอย่างอูเวไปซื้อไอแพดที่ร้าน และเจอความหงุดหงิดจากคนขายเพราะอูเวทำให้พวกเขาเสียเวลาและต้องอธิบายอะไรก็ไม่รู้ให้คนหลงยุคคนนี้ฟัง แต่เรื่องมาเฉลยภายหลังว่า อูเวซื้อไอแพดนี้เพราะอะไร คุณจะยิ้ม น้ำตาซึมและรู้สึกได้ไม่ต่างกับฉันแน่นอน













ขอยกให้เป็นหนังสือแปลในดวงใจอีกเล่มที่จะอยู่ในใจฉันอีกนาน


❀❀❀

ขอให้มีความสุขทุกท่านนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
3 พฤษภาคม 2560


















Create Date : 11 พฤษภาคม 2560
Last Update : 11 พฤษภาคม 2560 20:10:37 น.
Counter : 1655 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com