Group Blog
All Blog
--- Je l'aimais. ฉั น เ ค ย รั ก ---












Je l'aimais.
ฉันเคยรัก
โดย แอนนา กาวาลดา นักเขียนหญิงชาวฝรั่งเศส
อธิชา มัญชุนากร (น.ส.) - แปล

เป็นนิยายรักเล่มหนึ่งซึ่งเดินเรื่องด้วยบทสนทนาทั้งเรื่องที่น่าสนใจมากระหว่างพ่อสามีกับผู้ซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตลูกสะใภ้ สั่นสะเทือนด้านลึกของใจแม้จะเป็นบทสนทนาเพียงชั่วข้ามคืนที่พ่อสามีเล่าอดีตของตนในช่วงที่นอกใจภรรยา เขาพูดถึงความรักกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาเดยรัก คนเรามักจะหาทางออกให้ตนเอง ติดกับดักตนเอง ด้วยการคิดว่าเรามีสิทธิ์ที่จะมีความสุข จริงอยู่..แต่ต้องไม่หลงลืมคนข้างกายของเราด้วย ไม่งั้นก็ควรใช้ชีวิตตามลำพังจะดีกว่า มันต้องแลกกัน..

เรื่องราวของความรัก ยากนักจะอธิบาย
ทุกคนเคยมีความรัก
และรักนั้นก็ไม่ได้สมหวังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
มีคนบอกรักกัน บอกเลิกรักกัน
อยู่ด้วยกันแต่รักคนอื่น
อยู่ด้วยกันแต่ยังรักกันหวานชื่น

หรือระหว่างคนที่ถูกบอกเลิกรัก
กับคนที่บอกเลิกรัก
ใครจะเศร้ากว่ากัน

พ่อสามีของโคลเอ้เล่าเรื่องนี้ได้สะเทือนความรู้สึกผู้อ่านมาก เป็นนวนิยายที่สมจริงจนรู้สึกว่าจริง เหมือนกำลังเล่าเรื่องใครสักคนที่มีเรื่องความรักไม่สมหวังแต่ยิ่งใหญ่ คนอ่านจะเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า

จะปล่อยให้คนที่สิ้นรักเราแล้วจากไปมีชีวิตที่มีความสุข
หรือจะรั้งไว้ให้เขาอยู่อย่างไร้ความสุขกับเรา

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย











Create Date : 21 มิถุนายน 2560
Last Update : 21 มิถุนายน 2560 7:48:11 น.
Counter : 785 Pageviews.

1 comment
--- ห อ ม ก ลิ่ น ภู เ ข า : สร้อยแก้ว คำมาลา ---













“แสงที่ลอดผ่านใบไม้ ทำให้หลังคากระท่อมเล็กสว่างไสว เป็นประกายสีทอง น้ำค้างบนยอดไผ่พลิกตัว ระยิบระยับ มันเป็นความงามใต้เงาหม่นของร่มไม้ แหงนหน้ามองฟ้า เห็นฟ้าเป็นห้วง ๆ จากการเปิดทางของใบไผ่ ท้องฟ้าสีฟ้า แจ่มใสสะอาดตา แสงสีทองบนหลังคากระท่อมหลังเล็ก พร่างพราว—เมื่อลมพัด ที่จริงใบไผ่พลิ้ว แต่ดูเหมือนว่า แสงสีนั้นจะพลิ้วมากกว่า มันไหวตามอย่างละมุน เหมือนระลอกน้ำ น้ำค้างระยับตา ร่วงหล่น แสงสีนั้นยังคงส่องสว่าง จนกว่าจะถึงเวลาของมัน ที่พระอาทิตย์อ่อนตัว นาน ๆ จึงจะได้เห็นจังหวะของแสงแดดที่ลอดผ่านมาในหมู่บ้านแห่งนี้ งดงาม....” *


“เรื่องในวัยเยาว์ นับเป็นเสน่ห์ของเรื่อง”

หนังสือเล่มนี้ รูปเล่มบางเบาแต่กลับอัดแน่นไปด้วยฉากมุมชีวิตอันน่าใคร่ครวญ
ย่อยเอารสคำ แสง สี เงา ฤดู ผ่านภูเขา ต้นไม้ ต้นหญ้า แม่น้ำ
สายลม แสงแดด หัวเราะ ยิ้ม น้ำตาไหล ..

เธอเขียนความรู้สึกถึงภูมิหลังการใช้ชีวิตในวัยเยาว์ต่อธรรมชาติใกล้ตัว
แง่มุมชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ตามมวลสารให้จับต้องด้วยตาและหัวใจ

ฉากเธอนั่งรถบัสประจำทาง หายไปตามทางคดโค้งของภูเขา - ไหล่เขา
ไปให้ถึงเมืองในหุบเขา ซึ่งมีแม่น้ำ เรือกสวนไร่นา มองไปทางไหน เห็นแต่ยอดเขาซ้อนยอด พบและพราก ซ้ำวันซ้ำคืน ซ้ำสถานที่ แต่สิ่งหนึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเสมอ คือ ภาพชีวิตผู้คน

ณ ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ - ริมฝั่งน้ำยวม (แม่สะเรียง)

“สายลมในหน้าร้อนพัดใบไม้ใบใหม่ สีเขียว อ่อนใสไหวระยับ ปล่อยให้ต้นท้าแดดร้อนลมแรง ใบไม้แห้งที่เคยร่วงเมื่อหลายวันก่อนยังเกลื่อนพื้น ทุกคราวที่ลมพัด มันจะกลิ้งไปตามพื้น หรือบางทีก็ลอยขึ้นเบา ๆ ไปตามทิศทางที่ลมพา” *

งานเขียนของเธอ ถ่ายทอดมุมมองจากสายตาอันละเมียดละไม ลึกซึ้งและอ่อนโยนต่อสรรพสิ่ง เล่าด้วยภาษากระชับ มีชีวิตชีวา เห็นภาพพร้อมเรื่องราวในวันเก่า ๆ ความสุขเก่า ๆ ความสดใส ความดีงาม ความรื่นเริงของชีวิต มันฝังตัวหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับความเป็นชีวิตของเธอ ขณะเดียวกันตัวหนังสือของเธอก็ทำให้ผู้อ่านมีความสุขกับข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ร่วมย้อนรำลึกวัยวันอันงดงามร่วมกันไปกับเธอได้ สุขเศร้าเคล้าคละกันไป แต่เมื่ออ่านจบแล้วรอยยิ้มจะผุดพรายบนใบหน้า อิ่มลึกถึงดวงใจ เพียงแค่เราเปิดใจไปสัมผัส...

ขอบคุณหัวใจอันแสนงดงาม
ขอบคุณแรงบันดาลใจของเธอที่แปรค่าชีวิต เป็นคำในงานเขียน

หอมกลิ่นวัยเยาว์ ..
หอมกลิ่นวันวาน ..
ควรแก่การย้อนรำลึกไปกับโลกสวยของเธอด้วย

สำหรับฉัน..
เพียงนิ่งและสงบในฤดูแห่งใจ
กระซิบฝากไว้ในความเคยชิน
หอมกลิ่นภูเขา...เสียจริง
--
* จากหนังสือ “หอมกลิ่นภูเขา”
เขียนโดย สร้อยแก้ว คำมาลา

ขอบคุณค่ะ
ภูเพยีย













Create Date : 16 มิถุนายน 2560
Last Update : 16 มิถุนายน 2560 8:11:04 น.
Counter : 767 Pageviews.

1 comment
--- วั น ห นึ่ ง ใ น ชี วิ ต ของอีวาน เดนิโซวิช : อเล็กซานเดอร์ ซอลเจนิตชิน ---















หนังสือเรื่อง “วันหนึ่งในชีวิตของอีวาน เดนิโซวิช” ใช้ฉากแค่วันเดียวแต่เล่าเรื่องได้รายละเอียดน่าอ่านทั้งเล่ม ชื่อเต็มของเขาคืออีวาน เดนิโซวิช ชูคอฟ แต่ในเรื่องจะเรียกสั้น ๆ ว่าชูคอฟ เขาอยู่ในค่ายกักกันหรือคุกอันปกคลุมไปด้วยหิมะเย็นยะเยือก หนาวแบบ -41 องศาก็มี หนาวเขย่ากระดูกเลยทีเดียวจนว่ากันว่าการลงโทษนักโทษนั้นคือการไม่ต้องทำอะไร มันร้ายสาหัสมากกว่าการได้ทำงานหนัก ๆ เสียอีก ที่นี่เป็นสถานที่กักขังนักโทษการเมืองและนักโทษสงครามหลายร้อยคน ที่ต้องทนหนาวเหน็บ อาหารก็น้อยนิด ส่วนใหญ่จะซุปร้อน ๆ ขนมปังในสัดส่วนที่ต้องภาวนาไม่ให้ขาดและเพียงพอต่อการทำงานหนักทั้งวัน และสร้างขวัญกำลังใจให้กับชีวิตที่ขาดอิสรภาพตลอดเวลาแปดปีของอีวาน ณ ที่แห่งนี้

เราจะเห็นภาพได้ชัดมากด้วยภาษาง่าย ๆ การที่ใครก็ตามติดอยู่ในกรอบกรงที่ขาดอิสรภาพนาน ๆ และสมองไม่เคยได้ใช้งานเพื่อคิดการใด ๆ ไม่เคยคิดหวังหรือฝันถึงวันพรุ่งนี้นั้นทารุณมาก มันทำให้ชีวิตแห้งแล้ง หัวใจหนาวเย็นตลอดเวลา ไร้ความสดใหม่ สดใส ไม่มีพลัง ชีวิตในแต่ละวันหมดไปกับการงานที่เหนื่อยหนักและสภาพร่างกายที่อ่อนล้าขาดอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคโดนจำกัดจำเขี่ยเสียน่าสมเพชอย่างยิ่ง นักโทษหลายต่อหลายคนอยู่เหมือนตายแต่ไม่ใช่ ชูคอฟ

“ชูคอฟนอนหลับไปด้วยความสบายใจยิ่ง เขาโชคดีหลายอย่างทีเดียวในวันนั้น เขามิได้ถูกส่งตัวเข้าคุก หน่วยงานเขาก็ไม่ต้องไปสร้างนิคมที่ว่า เขาโกงได้ข้าวโอ๊ตมื้อกลางวันกินเพิ่มขึ้นอีกชามหนึ่ง หัวหน้าหน่วยได้ปรับอัตราเฉลี่ยให้สูงขึ้น เขาได้เพลินอยู่กับการก่อผนังกำแพง ได้ลอบนำชิ้นเลื่อยตะไบนั้นเข้ามาเป็นผลสำเร็จ ได้ของตอบแทนจากซีซาร์หลายอย่างในตอนเย็นที่ผ่านมา ได้ซื้อยาเส้นม้วนบุหรี่มาแล้ว อีกทั้งตัวเขาก็มิได้เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะเอาชนะมันได้

นับว่าเป็นวันที่แจ่มใสวันหนึ่งทีเดียวละ เป็นวันแห่งความสุขก็ว่าได้
มีวันที่คล้าย ๆ กันเช่นนั้นอยู่สามพันห้าร้อยหกสิบสามวันในระหว่างการต้องโทษของเขา นับตั้งแต่เสียงเคาะรางเหล็กสัญญาณแรกจนถึงเสียงเคาะรางเหล็กที่เป็นสัญญาณสุดท้ายของวัน

ทั้งสามพันห้าร้อยหกสิบสิบสามวัน
ที่เกินมาถึงสามวันก็ล้วนเป็นอธิกสุรทินทั้งสิ้น…”

ชูคอฟพอใจในสิ่งที่มี ที่ได้ ที่เป็นอยู่ เขาอยู่กับปัจจุบันและทำหน้าที่ของตัวเอง เห็นคุณค่าของชีวิต สร้างความสุขที่เกิดจากภายในใจเป็นพลังชีวิตที่มีชีวิตชีวามาก เหลือเชื่อมาก ๆ กับสภาพชีวิตที่หนาวเหน็บแบบนั้นแต่ความสุขในใจของเขาแผ่ความอบอุ่นมาถึงผู้อ่านได้

ความพอใจ การเห็นคุณค่าของตัวเอง รู้ค่าตัวเอง ทำในสิ่งที่ถูก ต่อต้านในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตามกำลังโดยไม่ทำให้หัวใจเป็นทุกข์ มีความสุขกับปัจจุบันและยังนอนหลับฝันดี

อยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านด้วยกันค่ะ

ขอบคุณค่ะ
ภูเพยีย


*
งานเขียนของโซลเซนิตซินทำให้โลกทราบถึงความทารุณของระบบค่ายแรงงานกูลาก (Gulag) ในสหภาพโซเวียตโดยเฉพาะในเรื่อง The Gulag Archipelago (ไทย: เกาะกูลาก) และ One Day in the Life of Ivan Denisovich (ไทย: วันหนึ่งในชีวิตของอิวาน เดนิโซวิค) ซึ่งเป็นงานสองชิ้นที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดของโซลเซนิตซิน งานเขียนอันสำคัญเหล่านี้เป็นผลทำให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี ค.ศ. 1970 หลังจากนั้นโซลเซนิตซินก็ลี้ภัยจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1974 ต่อมาในปี ค.ศ. 1983 โซลเซนิตซินก็ได้รับรางวัลเทมเพิลทัน โซลเซนิตซินกลับไปรัสเซียในปี ค.ศ. 1994

//th.wikipedia.org/…/%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9…











Create Date : 15 มิถุนายน 2560
Last Update : 15 มิถุนายน 2560 8:39:25 น.
Counter : 981 Pageviews.

0 comment
--- ไ ข่ มุ ก ม ห า ภั ย : จอห์น สไตน์เบ็ค ---













นึกถึงหนังสือเล่มนี้ที่เคยอ่านเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว จำได้ว่าอ่านตอนอยู่ ม.5 เป็นหนังสือเล่มเล็กที่จำเนื้อหาหลัก ๆ ได้แต่จำรายละเอียดไม่ได้ จำได้ว่าชอบมาก ที่สำคัญไม่รู้เลยว่าเป็นงานชิ้นเล็กชั้นยอดเล่มหนึ่งของจอห์น สไตน์เบ็ค

วันนี้หยิบมาอ่านอีกครั้ง (ทั้งที่กำลังสนุกกับการอ่านหมาป่าของเจียงหรงอยู่) แม้จะรู้เรื่องราวมาแล้วแต่เหมือนอ่านหนังสือใหม่

เราจะเห็นภาพสังคมทีีเหลื่อมล้ำ ความเจ้าเล่ห์ของคนที่คิดว่าตนเหนือกว่า พร้อมจะเอารัดเอาเปรียบคนจน ในเรื่องเปิดฉากในท่วงทำนองเพลงแห่งครอบครัว คิโน ภรรยาและลูกน้อยซึ่งนอนอยู่ในอู่ แต่มีแมลงป่องไต่ตกลงมาต่อยลูกชาย เขาต่อยแมลงป่องจนตายและต้องไปต่อยประตูหมอเพื่อขอความเมตตารักษาลูก แล้วก็เป็นไปตามคาด ไม่มีเงินก็ไร้บทสนทนาใด ๆ บทสวดภาวนาใหม่คือความหวังที่จะเจอไข่มุกสักเม็ดเพื่อจะได้เงินเป็นค่ารักษา ไข่มุกที่ได้มาจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย บทเพลงแห่งไข่มุกบรรเลงความหวังและชีวิตใหม่ มันจะเปลี่ยนชีวิตคนได้ชั่วข้ามคืนหรือไม่ ความร่ำรวยที่มนุษย์มุ่งหวังจากโชคที่ได้มา สิ่งที่คิโนอยากได้คือ เป็นค่ารักษาลูก ปืนไรเฟิล เสื้อผ้าใหม่ ฉมวกใหม่ ส่งลูกเรียน ลูกจะได้เขียน อ่าน เปิดหนังสือรู้วิธีเขียน นับเลขเพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตมีเสรี เขาต้องการเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและหวังให้ครอบครัวดีขึ้น ไม่ใช่ความฟุ้งเฟ้อร่ำรวย แต่ตอนจบอย่างไรนั้น ชื่อเรื่องที่แปลเป็นไทยก็บอกได้ในระดับหนึ่ง

อ่านครั้งนี้ยังคงความงดงาม ประทับใจในเนื้อหาแม้จะมีที่มาจากความจริงในท้องถิ่นหนึ่ง ซาบซึ้งไปกับภาษาเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไพเราะเหมือนร้อยแก้วในบทกวี เห็นภาพชัดเจน สื่ออารมณ์ความรู้สึก เศร้า ขมขื่น สะท้อนสะเทือนใจในความใฝ่ฝันของมนุษย์ที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า สมบูรณ์กว่าเดิม

'...คนเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาดที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด นี่ทำให้มนุษย์ทำตนเหนือสิ่งอื่น ซึ่งบรรดาปวงสัตว์ต่างพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่...'

ขอบคุณค่ะ
ภูเพยีย









Create Date : 14 มิถุนายน 2560
Last Update : 14 มิถุนายน 2560 8:31:28 น.
Counter : 733 Pageviews.

0 comment
--- เ ข้ า ค ลุ ก แ ม ว : จำลอง ฝั่งชลจิตร ---














' เ ข้ า ค ลุ ก แ ม ว ' ของ จำลอง ฝั่งชลจิตร พิมพ์ตั้งแต่ปี 2552 แต่ฉันเพิ่งเห็นหนังสือเล่มนี้และเพิ่งอ่านจบไปเมื่อวาน เนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความผูกพันของคนในครอบครัวนักเขียนและแมวจร ก็เลยอยากรู้เรื่องแมวในสายตาของคนที่เลี้ยงแมวเหมือนกัน
.
เข้าคลุกแมว เป็นเรื่องราวภายในครอบครัวของคนึงซึ่งเป็นนักเขียน ภรรยาของเขาเเคยทำงานออกแบบหนังสือ แต่ตอนนี้เป็นแม่บ้าน อยู่บ้านเลี้ยงลูกสองคนคือ ปัน กับปาน
เรื่องนี้เล่าผ่านสายตาเด็กหญิงปาน อายุ 12 ปี ช่างพูด ช่างคิด ช่างถาม ช่างรู้สึก ละเอียดอ่อน เข้าอกเข้าใจและรักสัตว์ แมวจรตัวแรกชื่อตาหวานมาขออาศัยอยู่ด้วย แม่ซึ่งไม่มีรายได้อะไรรู้สึกเกรงใจสามี เพราะการเลี้ยงแมวสักตัวนั่นคือค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องอาหาร กระบะทราย และค่ารักษายามสัตว์เลี้ยงป่วย เพราะก่อนหน้านี้ บ้านนี้เคยเลี้ยงแมวชื่อทัคกี้ แต่ป่วยตายแม้จะได้รับการรักษาอย่างดีจากสัตวแพทย์แล้วก็ตาม

ที่มาของการเลี้ยงแมวของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน แม่ฉันเลี้ยงแมวมากถึง 17-19 ตัว ทุกตัวเป็นแมวจร หอบลูกมาขออาศัยอยู่ด้วย ไม่มีตัวไหนที่แม่ซื้อมาเลี้ยงหรือเป็นแมวพันธุ์ดีหรือมีคุณลักษณะดี แต่ทุกตัวก็เพียรมาหา มาฝากผีฝากไข้เพียงแต่แมวแม่ไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยตายจากโรคหัวใจ โรคไต โรคลำไส้ บ้างก็มาคลอดลูกให้แม่เป็นหมอตำแย เช็ดรกหลังจากเตรียมกล่องหรือลังเล็ก ๆ ปูผ้ารอทำคลอดให้ บางตัวถึงกับคลอดคามือแม่ บางตัวแม่ยังต้องช่วยดึงออกมา ประสบการณ์แม่เกี่ยวกับแมวและการคลอดของแมวทำเอาฉันทึ่งมานักต่อนักแล้ว นอกจากนี้ แม่ยังรู้นิสัยใจคอของแมวแต่ละตัวอีก ฉันฟังแม่เล่าเรื่องเฝ้าพยาบาลแมวป่วย ช่วงแมวจีบกัน แมวสาว แมวหนุ่มหนีเที่ยว บ้างก็สะบักสะบอมเพราะโดนคนอื่นตีจนขาหักกลับมา รับรู้ว่าแม่เสียใจแต่เอาโทษกับใครไม่ได้ ใครไม่ได้รักแมวแม่ทุกคนและแม่เลี้ยงแบบปล่อย ให้อิสระ เทอาหารให้ ใครอยากมากินก็กิน โตแล้วอยากไปไหนก็ไป คิดถึงหรือไม่มีที่ไปก็กลับมา บ้านแม่รอต้อนรับเสมอ

แมวบ้านแม่มีชื่อทุกตัว ตั้งแต่เลี้ยงแมว แม่แทบจะไม่มีเวลาไปไหนได้นานเกินสองวัน เพราะมัวแต่ห่วงแมว เทอาหารทิ้งไว้ก็คงไม่ถึงอาทิตย์ แม่ไม่อยู่ แมวก็ออกเที่ยวไปตามประสา หากไม่อยู่นาน ๆ เขาก็ไปหาที่อยู่ใหม่ แมวจึงมีชีวิตอิสระมาก ใคร่ไปไหนก็ไป ใคร่จะมาหาก็มา เรามีหน้าที่เมตตาและแบ่งปันกับแต่ละชีวิต เราและแมวต่างมีชีวิตเดียวเหมือนกัน

ในหนังสือเล่มนี้ เราจะรู้จักแมวของครอบครัวนายคนึงชื่อ ตาหวาน ที่ออกลูกถึงสามครอก แมวบ้านนี้จึงมีถึง 10 ตัว ชื่อน่ารัก ๆ ทั้งนั้นไม่ว่าจะแม่ตาหวาน มิเกะ แพนด้า ศรีปาน(ชื่อคล้องจองกับลูกชายของนักเขียนในเรื่อง) แฟร้งกี้ สีส้ม สีเข้ม หมวย เก้าและหางงอ

แมวฉันชื่อสีส้ม ซึ่งมาเหมือนแมวของนักเขียนในเรื่องอย่างบังเอิญ เขาคงจะมีขนสีส้มเหมือนสีส้มของฉัน การเล่าเรื่องก็เรียบ ๆ เรื่อย ๆ แต่อ่านไม่เบื่อ อาจเป็นเพราะฉันชอบความเรียบง่ายธรรมดาของชีวิตเล็ก ๆ และความผูกพันกันในครอบครัว เนื้อหาเข้มข้นและดูมีน้ำหนักในการเลี้ยงแมวของนายคนึงนั้นมีที่มา เขาเคยทำร้ายแมวและทรมานมัน จึงชดใช้กรรมเมื่อแมวมาหา เป็นการใช้ชาติหรือเลี้ยงชดใช้กรรมพวกเขาในชาตินี้ แต่โดยรวมแล้ว ชดใช้กรรมแบบนี้ก็ดีนะเพราะได้คลุกคลีและผูกพันกับความน่ารักของบรรดาแมว

การเลี้ยงแมวจรนั้น นอกจากมีโอกาสได้เมตตาสัตว์แล้ว ยังดูแลเขาไม่ต่างจากการเลี้ยงลูก เมื่อสร้างปัญหาให้เพื่อนบ้านรำคาญใจ จนถูกตีถูกไล่มา นอกจากจะไม่ไปด่าทอเพื่อนบ้านให้เกิดเรื่องราวแล้ว เรานั่นแหละต้องสงบใจและพาสัตว์เลี้ยงของเราไปหาหมอ หากเป็นหมาไปทำร้ายเขาก็ต้องรับผิดชอบ เลี้ยงหมาเรายังขังไว้ได้ แต่แมวนั้น เราขังไม่ได้ ยิ่งถ้าบ้านไหนเลี้ยงนกก็ต้องคอยดูแลแมวซึ่งไม่รู้จะห้ามยังไงเหมือนกันนะ ดีไม่ดี คนที่ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงของเราอาจวางยาเบื่อ สัตว์เลี้ยงอาจจะนำความสุขมาให้เรา แต่กับคนอื่นอาจจะไม่ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการรับผิดชอบชีวิตที่เพิ่มเข้ามา

ฉันชอบการให้เหตุผลของการเรียกสัตว์เลี้ยงว่า 'ลูก' ของนายคนึงในเรื่องนี้มาก

'... คนอายุรุ่นราวคราวพ่อหรือแม่ บางทีอาจต้องฝึกเรียกสัตว์เลี้ยงว่า ลูก ไว้ให้ชินปากเสียแต่เนิ่น ๆ ...พ่อคิดว่า คนรุ่นปู่ย่าตาทวดคงรู้จักความเหงา ความอ้างว้าง คุ้นเคยกับมันดี ก็เลยยกชั้นหมาแมวขึ้นมาเป็น 'ลูก' เพราะว่า เมื่อลูก ๆ ต่างคนต่างเติบโตขึ้น ลูก ๆ ก็ต้องจากไปมีเหย้าเรือน ...บางทีออกจากบ้านไปแล้ว ไม่ได้กลับมาอยู่บ้านอีก ลูกต้องไปมีครอบครัวของตัวเอง หนูจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ พ่ออยากให้หนูจำเอาไว้ แม้ว่าลูก ๆ จะย้ายออกไปจากบ้านไปแล้วก็จริง แต่ลูกทุกคนไม่ได้ย้ายออกไปจากหัวใจของพ่อแม่ พ่อแม่ยังต้องเฝ้าเรียกเฝ้าถามหาลูกอยู่ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นลูก ๆ ก็ไม่อยู่ให้พ่อแม่เรียกเสียแล้ว ...พ่อแม่จึงต้องเรียกแมวว่า 'ลูก' ให้คุ้นปากคุ้นหูไว้ก่อน ...'

ฉันอาจจะเรียกหมาแมวว่าลูก โดยไม่มีเหตุผลเหล่านี้มารองรับโดยตรงนัก แต่ก็เพราะรักและผูกพันจึงเรียก ส่วนแม่ฉันนั้น ไม่เคยเรียกแมวว่าลูกหรือหลาน แต่แมวแม่มีชื่อทุกตัว แม่เรียกชื่อแมวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใจดีเหมือนพูดกับลูก นั่นก็เพียงพอแล้วที่ฉันรู้ว่า แม่รักแมวมากแค่ไหน

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย




















Create Date : 12 มิถุนายน 2560
Last Update : 12 มิถุนายน 2560 10:32:17 น.
Counter : 1582 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com