Group Blog
 
All Blogs
 
จากดินคืนสู่ดิน

จากดินคืนสู่ดิน

เจียวต้าย

ตามระเบียบของทางราชการนั้น สำหรับผมซึ่งจะเกษียณอายุ ในเดือนตุลาคม ๒๕๓๕ จะต้องย้ายไปประจำมณฑลทหารบก ตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๓๔ เพื่อพักรอการปลด เป็นเวลาอย่างมากก็ ๑๙ เดือน พอให้จัดการหาหลักฐานที่จะยื่นเรื่องราวขอรับบำเหน็จบำนาญ และแก้ไขประวัติการรับราชการ ให้ถูกต้องสมบูรณ์ แต่ผู้บังคับบัญชาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ย้าย เพื่อให้ทำงานต่อไปก็ได้เหมือนกัน ผมจึงได้รับคำสั่งให้ย้าย ไปประจำมณฑลทหารบกที่ ๑๑ กรุงเทพ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๓๕ แต่ทางกรมการทหารสื่อสาร ก็ยังขอตัวไว้ช่วยราชการที่เดิมอีก พร้อมกันนั้นก็ได้กรุณาให้ช่วยราชการ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ต่อไปอีก ๖ เดือน จนถึงกรกฎาคม จึงได้พ้นจากหน้าที่การงานทั้งสองด้านโดยสิ้นเชิง

ผมวางแผนที่จะใช้เวลาว่างปีกว่านั้น เขียนหนังสือเป็นงานประจำ แทนการทำราชการ โดยไม่คิดที่จะกระเสือกกระสนหางานที่ไหนทำอีก เพราะได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานที่ผ่านมาเกือบ ๔๐ ปี จนอ่อนล้าไปหมดแล้ว และก็ได้ลงมือทำตามที่ตั้งใจไว้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พัก จนสามารถขยาย "ชีวิตที่มีกำไร" จาก ๗-๘ หน้า ออกมาเป็น "ชีวิตที่ไม่ได้เลือก" นี้ ถึง ๕๐ กว่าหน้าได้สำเร็จ และหยิบเอาวรรณคดีไทยที่แปลมาจากพงศาวดารจีน เรื่อง สามก๊ก ของ ท่านเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มาย่อยเป็นตอนสั้น ๆ ให้ชื่อว่า "สามก๊กฉบับลิ่วล้อ" ในนามของ "เล่าเซี่ยงชุน" ส่งไปลงพิมพ์ตามนิตยสารของทหารเหล่าอื่น ๆ นอกจากทหารสื่อสาร ตลอดระยะเวลา ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๔ จนถึง พ.ศ.๒๕๓๘ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย รวม ๕๖ ชุด หรือ ๑๑๙ ตอน

นี่ก็เป็นกำไรชีวิตอีกเรื่องหนึ่งของผมในช่วงท้ายนี้ เพราะคนที่รักการเขียนหนังสือนั้น ไม่มีอะไรจะเป็นความสุขเท่ากับได้เขียนตามใจปรารถนา และสามก๊กฉบับลิ่วล้อ ได้ช่วยให้ผมเข้าถึงวรรณคดีเรื่องนี้ อย่างลึกซึ้งละเอียดละออ ได้รับรสของภาษาอันเป็นอมตะอย่างเต็มอิ่ม จึงต้องขอคารวะพระคุณของ ท่านเจ้าพระยาผู้รจนาเรื่องสามก๊กจากภาษาจีน และท่าน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงพระนิพนธ์เรื่องตำนานของสามก๊ก ให้เป็นหลักฐานไว้ ณ โอกาสนี้

จากนั้นก็หันไปหาวรรณคดีไทย พระอภัยมณี ของท่าน สุนทรภู่ เอามาย่อยเป็นตอนสั้น ๆ เป็น พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด โดย ฑ.มณฑา แล้วก็เลยไปแกะ รามเกียรติ์ จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง ริมระเบียงโบสถ์วัดพระแก้ว เอามาเล่าประกอบกับคำโคลง ที่ประดับเสาระเบียงที่ตรงกับภาพนั้น เป็น รามเกียรติ์ฉบับระเบียงวัด โดย "วชิรพักตร์" ซึ่งตั้งใจจะลอกให้หมดทั้ง ๑๗๘ ห้อง คงจะได้งานทำไปจนตลอดชีวิต นอกจากจะหมดแรงที่จะไปก้ม ๆ เงย ๆ รอบระเบียงนั้นเสียก่อน เพราะการเขียนหนังสือนั้น เป็นงานที่ถนัดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

บัดนี้ชีวิตที่เหมือนกับการเดินทางของผม ก็ได้มาถึงโค้งสุดท้าย กำลังจะเลี้ยวลงจากที่สูง เมื่อเหลียวมองกลับหลังไปดูอดีตอันคดเคี้ยวที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จที่ได้รับเป็นส่วนใหญ่นั้น ล้วนแต่ได้การประคับประคองเหนี่ยวรั้ง และผลักดัน จากท่านผู้มีพระคุณจำนวนมากมาย ตลอดระยะทางอันยาวไกล ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก นอกจากพ่อซึ่งเป็นต้นกำเนิดของชีวิต และแม่ผู้อุ้มชูเลี้ยงดูมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จนเกิดมาเป็นคนแล้ว ก็ยังมีอีกเป็นลำดับ

เริ่มตั้งแต่คุณครู และ ภรรยาของท่าน ที่เป็นผู้ทำคลอดผม และได้อบรมสั่งสอนมาตลอดเวลาที่เรียนกับท่านในชั้นมัธยมเหมือนบุพการีคู่ที่สอง

ต่อมาก็คือ ญาติผู้ใหญ่ที่กรุณาดึงตัวเอาไปทำงานใน กรมพาหนะทหารบก ยามที่กำลังจะออกจากโรงเรียนมาอดตาย เหมือนลากเด็กที่กำลังจะจมน้ำให้รอดชีวิตขึ้นมาหายใจต่อไปอีกได้

จากนั้นก็คือท่านผู้บังคับหมวดทหารราบ ที่สนับสนุนให้เข้าโรงเรียนนายสิบทหารสื่อสาร เปรียบเสมือนการเปิดประตูให้ก้าวออกไปสู่โลกอันกว้างใหญ่ ภายหลังจากที่พึ่งสุดท้ายคือแม่ ได้จากไปแล้ว

อีกบรรดาครูอาจารย์ในหลักสูตรต่าง ๆ ของโรงเรียนทหารสื่อสาร ที่ได้ประสิทธิ์ประศาสน์วิทยายุทธ ให้สามารถเอาไปใช้ในการเป็นนายทหาร ที่มีความก้าวหน้าต่อไปได้อย่างดี

จนถึงหัวหน้ากองสองท่าน ที่ได้ส่งตัวไปทำงาน ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก สองสมัย ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น พ้นจากความขาดแคลนที่ติดตัวมาตลอดเวลา

และท่านผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ระดับรองและเจ้ากรมการทหารสื่อสาร ที่ได้กรุณาสนับสนุนผลักดันให้ได้รับยศ พันโท และ พันเอก อันเป็นเกียรติประวัติที่สูงยิ่งสำหรับชีวิตเล็ก ๆ นี้ ในที่สุด

แต่ยังมีอีกท่านหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยได้เอ่ยถึงมาก่อนเลย เพราะอัตตชีวประวัติเล่มนี้ เป็นเรื่องของกำไรชีวิต แต่คนเราไม่ได้มีอยู่เพียงด้านเดียว ชีวิตในด้านที่ไม่อยากเล่านั้นมีมากกว่า และท่านผู้นี้เองที่ได้อุปถัมภ์ค้ำจุน ในคราวลำบากยากไร้ให้ผ่านพ้นมาได้ ตั้งแต่ผมเกิดมาในโลกนี้

ท่านไม่ได้เป็นญาติทางสายไหนของผมเลย เพียงแต่เป็นลูกศิษย์ส่วนตัวของแม่ ที่ได้เคยสั่งสอนอบรมกันมา ทั้งวิชาความรู้ทางหนังสือ และการบ้านการเรือน ตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อท่านเติบโตมีฐานะเป็นหลักฐานมั่นคง ตรงข้ามกับแม่ซึ่งได้ตกต่ำยากจนลงเป็นลำดับ จนถึงขั้นป่วยไม่สามารถหาเลี้ยงชีพตนเองได้ ด้วยความกตัญญูต่อแม่ครูผู้มีพระคุณ ท่านจึงได้ยื่นมือเข้ามาโอบอุ้มช่วยเหลือเจือจาน ตั้งแต่เมื่อบ้านแตกสาแหรกขาด มาจากสวนฝั่งธนบุรี จนตลอดระยะเวลาของสงครามมหาเอเซียบูรพา

และผลของความกตัญญูกตเวทีของท่านนั้น ก็ได้ตกทอดมาถึงผม จากพลทหารเกณฑ์จนเข้าโรงเรียนนายสิบ ก็ได้รับเบี้ยเลี้ยงส่วนตัวทุกสัปดาห์ จนสำเร็จออกรับราชการ น้องก็ได้รับความอุปการะ ส่งเสียการกินอยู่และการเล่าเรียนจนจบประโยคครูมัธยมศึกษา ออกมาเป็นครูได้สำเร็จ และยังได้ตามดูแลเอาใจใส่ ปลูกฝังความดีงามในจิตใจของพี่น้องสองกำพร้าต่อมา และได้ชักจูงชี้ทางไปสู่ธรรมะ และการทำบุญทำกุศล จนเป็นนิสัยอยู่ในปัจจุบัน

ท่านผู้นี้ เป้นผู้ซึ่งมีพระคุณล้นเกล้าเทียบเท่าแม่ คนที่สองของผม อันจะต้องจารึกชื่อของท่านไว้ในดวงกมล ตราบจนสิ้นลมหายใจ

ชีวิตของคนเรานี้ ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน จะอยู่ยืนยาวไปได้นานสักเพียงใด จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร และจากนั้นจะเป็นอะไรต่อไป ไม่มีใครที่จะให้คำตอบอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งได้ ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ตาม

เมื่อครั้งเป็นหนุ่ม ผมเคยชอบใจบทกลอนของ "ดอกไม้สด" ที่ว่า

ครองใจอยู่ในอุเบกขา อุตส่าห์ในศุภกิจให้ผลิตผล
ค้ำจุนผู้อ่อนแอแลอับจน ส่วนตนนั้นอย่าได้ของ้อผู้ใด...

ซึ่งผมได้ยึดถือเป็นคติประจำใจเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันได้มองย้อนกลับไปดูการกระทำของตนเองแล้ว ก็พบว่าวิถีชีวิตที่ผ่านมา ก็อยู่ในหลักเกณฑ์ของบทกลอนเพียงสี่บรรทัดนั้น เป็นส่วนใหญ่ จนเดี๋ยวนี้ เมื่อสามารถจะเขียนประวัติของตนเองได้อย่างย่นย่อว่า

๒๔๗๔ เกิดที่จังหวัดกระบี่
๒๔๗๙ เรียนหนังสือ
๒๔๙๕ อุปสมบท
๒๔๙๖ เป็นทหารกองประจำการ
๒๔๙๘ เป็นนายสิบ
๒๕๐๗ แต่งงาน
๒๕๑๑ เป็นนายทหาร
๒๕๓๕ เกษียณอายุ

แม้ว่ายังไม่ใช่บรรทัดสุดท้ายก็ตาม แต่ก็เป็นอันว่าชีวิตของผม ได้หลุดพ้นจากความเหนื่อยยาก ความลำบากกายใจ ผ่านความผิดหวังและสมหวัง ความเพียรพยายาม และความมานะอดทน จนได้ประสบความสำเร็จในชีวิตสูง อย่างที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน แต่ก็ยังเป็นคนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติหรือสิ่งฟุ่มเฟือยอื่นใด นอกจากความสุขแบบคนธรรมดาสามัญ ที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าปัจจัยสี่ เพียงแต่พอเลี้ยงท้องให้รอดตลอดไปตามเดิม เพราะผลของการประพฤติปฏิบัติตน มาตลอดระยะเวลาอันยาวนานนั้น เกิดไปตรงกับธรรมะของท่าน พุทธทาสภิกขุ ที่ได้เขียนไว้เมื่อไรก็ไม่ทราบ ว่า

เพ่งหน้าที่เรามีอยู่อย่าดูหมิ่น
มอบชีวินสู้อุทิศไม่คิดหวั่น
โลกอลวนเพราะคนหนีหน้าที่กัน
โลกสุขสันต์เพราะคนชี้หน้าที่ตน
ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ยิ่งชีวิต
อย่าพะวงหลงติดเรื่องสิทธิผล
นั่นเพียงสิ่งหน้าที่มันพลอยบันดล
ข้าวช่วยคนได้ลิ้มให้อิ่มเอง.

เวลาของผมที่เหลืออยู่ภายหลังเกษียณอายุ จึงไม่ต้องมีห่วงกังวลอะไร มองเห็นทุกสิ่งเป็นของธรรมดา ทำอะไรก็ทำไปได้โดยไม่ต้องหวังผล ไม่ต้องดีใจเมื่อได้ ไม่ต้องเศร้าใจเมื่อเสีย ชีวิตอย่างนี้แหละจึงเป็น ชีวิตที่มีกำไร แม้ว่าจะเป็น ชีวิตที่ไม่ได้เลือก ก็ตาม และกำไรของชีวิตเหล่านั้น ก็ไม่ได้หอบเอาไปไหนด้วย คงทิ้งไว้ให้เป็นบทเรียนสำหรับลูกชายทั้งสองคน ได้ศึกษาในโอกาสต่อไป

หน้าที่ของผมที่เหลืออยู่อีกเพียงอย่างเดียวก็คือ การค้นหาคำตอบที่ไม่มีใครสามารถบอกเราได้ และเมื่อรู้แล้วเราก็ไม่สามารถบอกใครได้ เท่านั้นเอง.

##########

จาก ตอนที่ ๙ ของ ชีวิตที่ไม่ได้เลือก
อัตตชีวประวัติของบุคคลไม่สำคัญ
ฉบับ พ.ศ.๒๕๓๗

วารสารรายปี
จากดินคืนสู่ดิน
๒๕๔๔



Create Date : 22 กันยายน 2550
Last Update : 22 กันยายน 2550 18:13:26 น. 27 comments
Counter : 672 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะปู้เจียวต้าย อิอิ เห็นแวะไปแซวไว้ที่บล็อคเจ้านัท
คำถามของปู่เจียวต้าย นัทเองก็คงตอบแทนผู้หญิงสวย (หรือไม่สวย) ทุกคนไม่ได้ เพราะนั่นก็อยู่กับเหตุผลของแต่ละคนมากกว่า

ก็เหมือนกันกับว่าทำไมผู้ชายหล่อจนถึงไม่หล่อ ต้องสูบบุหรี่ด้วยนั่นแหละค่ะปู่ อิอิ

แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ว่าทำไมผู้ชายหล่อ ๆ สมัยนี้นิยมมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันก็ไม่รู้ เสียดายทรัพยากรซะจริง ๆ เลย เฮ้ออออ

ส่วนเหตุผผลที่เอารูปนั้นมาแปะ เพราะว่ามีสายฝนหล่นลงมาด้วย ภาพโดยรวมก็โอเค เดี๋ยวพอเบื่อก็จะเปลี่ยนลายอีกแล้วละค่ะปู่

ปล.ดีใจจังที่เห็นปู่แวะไปเจิมที่บล็อคเจ้านัท


โดย: เปียรุส IP: 203.146.63.184 วันที่: 22 กันยายน 2550 เวลา:15:19:18 น.  

 
ผมเห็นชื่อคุณอยู่ในบล็อกของผม จึงเปิดเข้าไปดู
วันหลังจะเข้าไปอีกครับ.


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 22 กันยายน 2550 เวลา:18:11:35 น.  

 
สวัสดีค่ะ

"หน้าที่ของผมที่เหลืออยู่อีกเพียงอย่างเดียวก็คือ การค้นหาคำตอบที่ไม่มีใครสามารถบอกเราได้ และเมื่อรู้แล้วเราก็ไม่สามารถบอกใครได้ เท่านั้นเอง."

ทุกคนต้องมีหน้าที่นี้เหมือนกันใช่ไหมคะ ..อยู่ที่ว่าใครจะได้เวลาไปค้นหาก่อนใครเท่านั้นเอง


โดย: สุ (Munro ) วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:0:40:26 น.  

 
ถูกต้องแล้วครับ
แต่ผมคงจะถึงก่อนนะครับ.


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:6:52:05 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะ เพิ่งจะรู้ชีวประวัติคุณเจียว ณ ตอนนี้
สงสัยจะต้องเรียกคุณปู่เหมือนกับน้องเปียรุส แล้วล่ะคะ
เป็นแฟนงานเขียนคุณมานาน ประทับใจกับน้ำใจและมิตรภาพ

และวันนี้อ่านจบแล้วรู้สึกประทับใจว่าคุณเจียวต้ายใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ไม่เหนื่อยล้ากับการเดินตามหาความฝัน
ขอยกเป็นบุคคลตัวอย่างในการดำเนินชีวิตนะคะ
เพราะดิฉันเองเป็นคนหนึ่งซึ่งกำลังจะเดินเข้าสู่วงการราชการ
แต่รู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีฝันที่อยากจะก้าวเดินตามหาต่อไป
ขอขอบพระคุณที่คุณเจียวทำให้ดิฉันรู้สึกว่ามีกำลังในการเดินต่อไปค่ะ


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:8:37:46 น.  

 
ผมโชคดีที่เกิดมาไม่มีความหวังสูงอย่างเด็กสมัยนี้
สิ่งที่ผมได้มา แม้ไม่มากผมก็พอใจทุกขั้นตอน

ผมเกิดในที่ต่ำสุด แต่ชีวิตมีความก้าวหน้าทีละนิด ไม่เคยหยุด
จนมาถึงจุดสูงสุด แล้วได้พักผ่อน ได้ทำงานเขียนหนังสือ ที่ใฝ่ฝันมาแต่เด็ก
แม้ไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือได้รางวัลอะไร
ก็พอใจที่มีหนังสือฝากไว้ในวงวรรณกรรมหลายเล่ม

ขาดอยู่อย่างเดียวคือไม่ได้รับการพิมพ์เรื่องสั้น
แต่ผมก็พอใจแล้วที่ได้แค่นั้นครับ.


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 25 กันยายน 2550 เวลา:5:56:40 น.  

 
อยู่อย่างพอเพียงอย่างคุณเจียว ชีวิตก็มีสุขแล้วค่ะ
ยินดีด้วย


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:11:00:31 น.  

 
ผมมีชีวิตที่พอเพียงมาตั้งแต่เกิดครับ.


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:18:43:41 น.  

 
คุณเคยไปวัดญานถ้านานเกินกว่า 5 ปีก็คงไม่เจอไร่องุ่นนะคะ

และไร่องุ่นก็อยู่ซอยวัดเขาชีจรรย์ถัดซอยวัดญาณไปซอยนึงค่ะ

ไปใหม่นะคะ..ย้ำ เข้าซอยวัดเขาชีจรรย์ค่ะ

เข้าบ้านตัวเองไม่ได้อีกแล้วครับท่าน


โดย: โสนบ้านนา IP: 203.149.61.218 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:16:08:05 น.  

 
เห็นภาพแล้วอยากไปมาก
จะได้ไปโฆษณาให้เพื่อนทราบครับ.


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 29 กันยายน 2550 เวลา:19:48:41 น.  

 
อ่าน แล้วนึกถึงวัดเก่าๆ ในชนบท
จะมีภาพเก่าๆเล่าตำนานและนิยายพื้นบ้าน
เป็นสิ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แต่ไม่มีใครดูแลจริงจัง



รักษาสุขภาพนะครับ
มีโอกาสจะมาเยี่ยมครับ


โดย: GTW IP: 125.25.71.46 วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:7:38:44 น.  

 
ผมคิดถึงอาจารย์อยู่เสมอ แต่ตอนนี้มีอาการที่ขัดข้องกับการเดินทางไกล
คือเจ็บบริเวณกระดูสันหลังหรือสะโพกด้านขวา

เมื่อวานไปเดินเล่นอยู่ที่ศูนย์สิริกิตติ์ชั่วโมงเดียว
วันนี้อ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว

ไปหาหมอมิชชั่น เอายาแก้ความดันโลหิต กลับมาถึงบ้านนอนแผ่เลยครับ.


โดย: เจียวต้าย IP: 58.9.203.163 วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:16:02:47 น.  

 
คุณเจียวต้าย วันนี้แวะมาส่งข่าวคะ
ชักชวนไปให้กำลังใจกันเป็นรูปเล่ม

พบปะนักเขียนของสนพ.นกฮูก
อ่านที่นี่จ้า


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:13:21:44 น.  

 
เข้าไปอ่านแล้วครับ
ยินดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ไปถึงที่หมายได้เร็วมากครับ.


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:9:39:44 น.  

 
ขอบพระคุณคุณเจียวมากๆ ค่ะ
รบกวนคุณเจียวส่งที่อยู่มาให้หลังไมค์ได้ไหมคะ
อยากส่งหนังสือไปให้เป็นการขอบพระคุณที่คุณเจียวเคยส่งเรื่องสั้นคุณเจียวมาให้อ่านนะคะ
ขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:18:13:24 น.  

 
ขอบคุณล่วงหน้าครับ


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:21:13:41 น.  

 
แวะเข้ามาเยี่ยม blog ค่ะ

ต้องขอสารภาพว่าอ่านบ้างไม่อ่านบ้างค่ะ


โดย: MAY BEE ... LITTLEDEVIL IP: 58.136.95.203 วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:14:53:59 น.  

 
เพียงแวะเข้ามาก็ชื่นใจแล้วครับ

ความจริงบล็อกของผมก็มีเรื่องหลายแนวนะครับ

เพียงแต่ไม่มีเรื่องรักหวานแหวว หรือเศร้าจนน้ำตานองเท่านั้นครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:21:24:47 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกมันตันๆในใจยังงัยบอกไม่ถูก คุณเจียวต้ายอาจไม่ใช่นักเขีนนรางวัลซีไร แต่เป็นนักเขียนในใจโพดเลยล่ะ


โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:18:10:24 น.  

 
คุณอาใจบุญ


โดย: พี่แต้ วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:13:14:50 น.  

 
ขอบคุณคุณข้าวโพด ที่ให้เกียรติอย่างสูงครับ.

คุณพี่แต้พูดถูกแล้วครับ ผมฝักใฝ่ในการทำบุญทำทาน
จนติดเป็นนิสัยแล้วครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:10:21:24 น.  

 
ขอให้คุณเจียวต้ายอยู่คู่ถนนนักเขียนต่อไปนะคะ


โดย: sophia... (sophia2love ) วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:15:52:16 น.  

 
คุณโซเฟีย เป็นอีกคนหนึ่ง
ที่ผมผ่านความเห็นของคุณไปเกือบเดือน
ต้องขออภัยด้วยครับ

ผมเองตั้งใจไว้เมื่อเริ่มเข้ามาในถนนนักเขียนของพันทิปแล้วว่า
จะอยู่ที่นี่ให้นานที่สุด คือถ้ายังนั่งดูคอมพิวเตอร์ได้ไม่เวียนหัว ก็จะอยู่ตลอดไป
แม้เรื่องที่จะคิด จะเขียน จะหมดไปแล้ว
ก็จะเข้ามาอ่านครับ

เวลานี้เอาเรื่องของผมมาวางในบล็อกถึง ๔๐๐ ชิ้นแล้วครับ
กว่าจะหมดแรงน่าจะถึง ๕๐๐ ชิ้นละครับ

ถ้าผู้ใดสนใจจะอ่านทุกเรื่อง แต่มีเวลาอ่านได้วันละตอน
ก็ต้องให้เวลา เกือบสองปีแน่ะครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 26 เมษายน 2551 เวลา:10:58:27 น.  

 
เห็นด้วยค่ะ เดินสายกลาง
ตั้งใจดำเนินชีวิตอย่างมีสตินำ
ไม่ใช่หวัง คอยแต่ผลตอบแทน
มีคำชมก็ดีใจ ไม่มีใครชมก็ไม่เป็นไร
ชีวิตสั้นนัก
ไม่นาน ทุกคนก็เหมือนกัน
จากดินคืนสู่ดิน
คิด พูด ทำ แต่สิ่งดีงามดีกว่า
ชนรุ่นหลังจะได้เคารพ ชื่นชม

ขอบคุณค่ะ คุณลุง


โดย: PANPISA วันที่: 8 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:36:37 น.  

 
ผมคิดถึงคำว่า "จากดินคืนสู่ดิน" เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วครับ
เพราะชีวิตของผมเริ่มต้นจากพื้นดิน เหมือนตัวทาก
แต่ได้ไต่กำแพงขึ้นไปด้วยความพยายาม และเหนียวแน่น

ไม่เคยถอยหลังหรือพลัดตกลงมา และโชคดีที่ไม่มีใครเขี่ยลงมาด้วย

เมื่อขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็ไต่ลงอีกทางฟากหนึ่ง
ผมกำลังมุ่งหน้ากลับไปอยู่กับดินอีกครั้งหนึ่งครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 กรกฎาคม 2553 เวลา:5:32:30 น.  

 
"จากดินคืนสู่ดิน"อ่านแล้วแล้วชอบจังเลยครับ
คนๆหนึ่งกว่าจะผ่านเรื่องต่างๆมาได้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ชอบการคิดถึงท่านผู้มีอุปการะคุณ
"บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องอภัย"...ชอบคำนี้มากครับ


โดย: วิรุฬห์ IP: 110.168.95.245 วันที่: 7 ตุลาคม 2553 เวลา:21:20:29 น.  

 
ผมอ่านเรื่องจีนมามาก ไม่เคยเห็นยอมให้อภัยกันเลย
มีเรื่องบางตอนใน เปาบุ้นจิ้น ที่เอามารวมกับเรื่องอื่น ๆ
ให้ สนพ.บ้านหนังสือโกสินทร์ นี่แหละเพิ่งเจอ

ผมจึงขอตั้งชื่อตามใจผม เผอิญ บก.ก็เห็นด้วยครับ


โดย: เจียวต้าย วันที่: 11 ตุลาคม 2553 เวลา:18:18:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.