Group Blog
 
All Blogs
 
ขุนนางผู้ภักดี

เสี้ยวสามก๊ก

ขุนนางผู้ภักดี

เล่าเซี่ยงชุน

นิยายจากพงศาวดารจีนที่รบราฆ่าฟัน ทำศึกสงครามกันตลอดทั้งเรื่อง อย่าง สามก๊กนั้น ขุนนางพลเรือนหรือฝ่ายบุ๋นก็มีความสำคัญมากเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียงให้กล่าวขวัญกัน เหมือนกุนซือหรือที่ปรึกษาหรือท่านเสนาธิการก็ตาม แต่ละคนในแต่ละก๊กก็มีพฤติกรรมที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

อย่างเช่น ซุยก๊ก เป็นนายบ้านใกล้กับเขาปักคูสาน นอกเมืองลกเอี๋ยง คืนหนึ่งนอนหลับแล้วฝันเห็นพระอาทิตย์สองดวงตกลงมาที่หลังบ้าน ครั้นเวลารุ่งเช้าเดินออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน ผ่านกอหญ้าเห็นมีแสงเรืองก็เดินเข้าไปดู เห็นเด็กชายนอนหลับอยู่สองคน จึงปลุกขึ้นมาถามว่าท่านนี้มาแต่แห่งใด เด็กชายคนเล็กก็บอกว่า คนโตเป็นพี่ชายชื่อหองจูเปียนเป็นฮ่องเต้อยู่ในเมืองลกเอี๋ยง ส่วนตนเองเป็นน้องชื่อหองจูเหียบ เป็นที่ตันลิวอ๋อง เมื่อเกิดเหตุการณ์จลาจลวุ่นวายขึ้นในพระราชวังหลวง ตนกับพี่ชายถูกขันทีสองคนที่เป็นต้นเหตุ จับเป็นตัวประกันพาหนีออกมาจากเมือง แต่พอได้ยินเสียงทหารบุกป่าตามหา เข้ามาใกล้ ก็พากันหนีไป ทิ้งตนสองคนพี่น้องไว้ ในป่ากลางดึก โดยไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะมืดมิดมิได้เห็นหนทาง จึงเอาชายเสื้อผูกกันไว้ พอดีเห็นหิ่งห้อยบินเป็นฝูง ก็ชวนกันเดินตามมาจนใกล้รุ่งจนหมดแรง จึงหยุดนอนอยู่ที่ตรงนี้

ซุยก๊กก็ตกใจคุกเข่าลงกราบถวายบังคมแล้วทูลว่า

“……..ข้าพเจ้าชื่อซุยก๊ก แต่ก่อนนั้นก็ได้ทำราชการอยู่ในเมืองหลวง ครั้งพระเจ้าเลนเต้ผู้เป็นพระราชบิดาแห่งพระองค์ อ้ายขันทีสิบคนมันทำหยาบช้าต่าง ๆ ข้าพเจ้าจึงออกจากราชการ มาทำมาหากินอยู่ที่นี่……”

แล้วซุยก๊กก็เชิญเสด็จทั้งสองพระองค์เข้าไปในบ้าน จัดการแต่งที่อยู่ให้พัก และหาเครื่องเสวยมาถวาย ทั้งสองพระองค์ก็อาศัยอยู่ที่บ้านนั้น จนกระทั่งนายทหารกับขุนนางเจ็ดคนคุมทหารตามมาพบเข้า จึงเชิญเสด็จฮ่องเต้กับน้องชายกลับเข้าเมือง และได้พบกับกองทัพของตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองซีหลง ที่ยกมาช่วยปราบปรามการจลาจล และตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองหลวง โดยไม่มีใครกล้าขัดขวาง

แต่ไม่ปรากฏว่า ซุยก๊กนายบ้านผู้ช่วยเหลือฮ่องเต้ ได้รับบำเหน็จรางวัลตอบแทนความจงรักภักดีประการใดบ้างหรือไม่

เมื่อตั๋งโต๊ะได้เป็นมหาอุปราชสมความปรารถนาแล้ว ก็เอาพวกพ้องมาแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมากมาย ลิยูซึ่งเป็นที่ปรึกษาจึงเตือนว่า

“……ทุกวันนี้ราชการทั้งปวง ก็มีสิทธิ์ขาดอยู่ในท่านสิ้น แต่ท่านอย่ากำเริบให้ ขุนนางและราษฎรมีความชิงชัง จงผ่อนใจกระทำให้อาณาประชาราษฎร อยู่เย็นเป็นสุข แล้ว แต่งตั้งขุนนางให้คนทั้งปวง มีใจรักสรรเสริญท่าน ท่านก็จะได้เป็นใหญ่จำเริญขึ้นทุกวัน……..”

แล้วลิยูก็แนะให้หาตัว ซัวหยง ซึ่งเป็นชาวบ้านนอกแต่มีสติปัญญาดี เข้ามารับราชการ แต่ซัวหยงเจียมตัวก็บิดพริ้วอยู่มิได้เข้ามา ตั๋งโต๊ะจึงประกาสิตว่าถ้าไม่ยอมเป็นขุนนาง ก็จะให้ทหารไปจับฆ่าเสียให้หมดทั้งครอบครัว ซัวหยงจึงขัดไม่ได้ต้องเข้ามารับใช้ตั๋งโต๊ะ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ตั๋งโต๊ะก็ไว้เนื้อเชื่อใจ เลื่อนบำเหน็จให้ถึงเดือนละสามขั้น

ต่อมาเมื่อตั๋งโต๊ะถอดหองจูเปียนออกจากราชบัลลังก์ ยกหองจูเหียบขึ้นเป็นฮ่องเต้ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ปกครองบ้านเมืองเป็นหุ่นให้ตนเชิด จนอ้วนเสี้ยวกับโจโฉ หนีออกจากเมืองหลวง ไปจัดตั้งกองทัพปลดแอกขึ้นที่เมืองตันลิว รวบรวมกองทัพจากสิบเจ็ด หัวเมือง ยกมาตีเมืองลกเอี๋ยง แล้วพ่ายแพ้แตกแยกกันไปนั้น ตั๋งโต๊ะก็คิดที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเตียงฮัน จึงเรียกประชุมขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาพร้อมกัน แล้วประกาศว่า

“…….เราดูในตำราเห็นชะตาเมืองลกเอี๋ยงนี้เป็นฝ่ายตะวันออกจะร่วงโรยสูญเสียแล้ว ฝ่ายเมืองตะวันตกจะวัฒนาเจริญรุ่งเรืองไปภายหน้า เราจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปสร้างเมืองอยู่ ณ เมืองเตียงฮัน ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง พากันอพยพไปตั้งอยู่ด้วย……”

เอียวปิวซึ่งเป็นขุนนางพลเรือน ก็คัดค้านว่า

“……..อันเมืองลกเอี๋ยงนี้ พระเจ้าฮั่นกองบู๊สร้างเมือง สั่งสมราชสมบัติมาเป็น ช้านาน ถึงสิบสองพระองค์แล้ว แลท่านให้ทิ้งเมืองลกเอี๋ยงเสีย แลจะไปตั้งเมืองเตียงฮันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าบ้านเมืองยังมิสงบ อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนนัก อันคำโบราณกล่าวไว้ว่าอุปมาดังเรือน ถ้าจะรื้อลงนั้นง่าย ซึ่งจะปลูกสร้างนั้นยากนัก ถ้าไม่ฟังข้าพเจ้าจะขืน ยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองเตียงฮันนั้น เห็นราษฎรทั้งปวงจะแตกตื่นไป กว่าจะเกลี้ยกล่อมซ่องสุมเข้าได้ ก็ยากนัก…

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตนเป็นมหาอุปราช จะสั่งข้อราชการสิ่งใดก็เป็นสิทธิ ตนดูตำราเห็นว่าดีแลร้ายแล้วจึงสั่ง ซึ่งบังอาจขัดไว้ฉะนี้ไม่ชอบ อุยอ๋วนขุนนางฝ่ายบุ๋นอีกนายหนึ่งก็สนับสนุนว่า

“……ซึ่งเอียวปิวทัดทานนั้นชอบอยู่ เหมือนครั้งอองมังเป็นขบถ ชิงเอาราชสมบัติแล้วเผาเมืองเสีย แล้วเมืองนั้นก็ยังเป็นป่าอยู่ ซึ่งท่านจะละเมืองนี้เสีย จะไปเอาป่าเป็นเมืองนั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร…….”

ตั๋งโต๊ะก็ว่าข้างฝ่ายตะวันออกนี้เกิดจลาจล โจรทำอันตรายต่าง ๆ มาเป็นหลายครั้ง แลเมืองเตียงฮันก็เป็นเมืองหลวงอยู่แต่ก่อน ภูมิลำเนาก็ดีมีภูเขาแลศิลาซึ่งจะทำการสร้างเมืองนั้นอยู่ไม่ไกล สร้างเดือนหนึ่งก็สำเร็จ แล้วก็จะได้เป็นสุขด้วยกัน ขุนนางทั้งปวงอย่าขัดขวางสืบไปอีกเลย

ชุนซองก็ยังลุกขึ้นมาห้ามอีกคน ตั๋งโต๊ะจึงว่า

“…….เราจะทำนุบำรุงราชสมบัตินี้เป็นการใหญ่หลวง อุปมาเหมือนโค่นต้นไม้ ทำไร่ จะคิดเสียดายต้นไม้อยู่แล้ว ก็ไม่ได้ข้าวกิน…….”

และสั่งถอดขุนนางทั้งสามนายออกจากตำแหน่ง แล้วก็ออกจากที่ประชุมจะกลับบ้าน ก็เจอเอียวปีกับเหงาเค่ง ขุนนางอีกสองคนเข้ามาคำนับและว่า

“……..ข้าพเจ้าได้ยินกิติศัพท์ว่า ท่านจะเทเมืองนี้ไปสร้างอยู่ ณ เมืองเตียงฮัน ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร จึงเข้ามาหวังว่าจะห้ามท่าน……”

ตั๋งโต๊ะก็โกรธจึงว่า

“……..ตัวท่านทั้งสอง แต่ก่อนนั้นได้ว่ากล่าวให้เราตั้งอ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมือง เราก็ทำตาม บัดนี้อ้วนเสี้ยวกลับมาทำร้ายแก่เรา แลตัวทั้งสองคนนี้คบคิด เป็นสายสนกลนัยกับ อ้วนเสี้ยวเป็นมั่นคง…….”

แล้วก็สั่งให้เอาตัวสองขุนนางชะตาขาด ไปประหารชีวิตเสีย กับจับเอาพรรคพวกของอ้วนเสี้ยวที่อยู่ในเมืองหลวง มาฆ่าและริบเอาเงินทองได้เป็นอันมาก ในที่สุดก็ย้ายเมืองหลวงไปสร้างใหม่ที่เมืองเตียงฮันจนได้ และเผาเมืองลกเอี๋ยงจนราบเรียบเป็นเถ้าถ่านไป

เมื่อตั๋งโต๊ะย้ายเมืองหลวงมาตั้งอยู่ที่เมืองเตียงฮัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการกำเริบยิ่งกว่าแต่ก่อน ตั้งตนเป็นบิดาเลี้ยงของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อจะเดินทางไปไหนก็ให้ตั้งกระบวนแห่อย่างพระมหากษัตริย์เสด็จ ญาติพี่น้องที่แซ่เดียวกันก็เอามาตั้งเป็นขุนนาง ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยสิ้น แล้วก็เกณฑ์ไพร่ถึงยี่สิบห้าหมื่นไปสร้างเมืองใหม่ของตนเอง อยู่ไกลจากเมืองหลวงสองพันห้าร้อยเส้น กำแพงสูงเท่าเมืองเตียงฮัน มีตำหนักใหญ่น้อยหน้าหลัง คลังเสบียงอาหารและฉางข้าวพอเลี้ยงทหารไปได้ถึงยี่สิบปี และเอาเงินทองในท้องพระคลัง กับส่วยสาอากรที่เก็บได้ มารวมไว้ที่คลังของเมืองนี้ทั้งหมด

แล้วให้จัดหญิงรูปงามประมาณแปดร้อยคน เอามาไว้ปรนนิบัติอย่างนางสนม และก็เพลิดเพลินอยู่กับความสุขสำราญ ต่อยี่สิบวันหรือเดือนหนึ่งจึงจะไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ในระหว่างเดินทางไปเมืองหลวง ก็แวะตามทางที่จัดเป็นที่พักไว้หลายตำบล ส่วนในเมืองเตียงฮันก็มีที่พักอยู่แห่งหนึ่ง เมื่อออกจากที่เฝ้าฮ่องเต้แล้วก็มาพักผ่อน เชิญขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะกันให้เป็นที่สบาย

ในขณะนั้นถ้ามีเรื่องราวจากหัวเมือง ก็เอามาตัดสินชำระกันในที่กินเลี้ยง เมื่อมีคนที่กระด้างกระเดื่องและทหารจับมาได้ ก็สั่งลงโทษตัดแขนตัดขา ตัดลิ้นตัดหู หรือใส่กระทะต้มกัน ต่อหน้าขุนนางทั้งปวงโดยไม่ปราณี บางวันก็หาเรื่องฆ่าขุนนางที่ไม่ไว้ใจเสียบ้าง เป็นการ ทำอำนาจมิให้ผู้ใดกล้าคิดร้ายต่อไป

วันหนึ่งขณะที่กำลังกินเลี้ยงกันอยู่ ลิโป้ลูกเลี้ยงของตั๋งโต๊ะซึ่งเป็นนายทหารองครักษ์ด้วย ได้เข้ามากระซิบที่หูตั๋งโต๊ะพอได้ยินกันสองคน ตั๋งโต๊ะก็หัวเราะแล้วว่ามันคิดอย่างนี้ดอกหรือ เร่งเอาตัวมันไป ลิโป้ก็เข้าจับเอาตัวเตียวอุ๋น ขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้หนึ่งออกไป อีกครู่หนึ่งก็เอาศรีษะเตียวอุ๋นใส่กระบะ เข้ามาให้ตั๋งโต๊ะดู พวกขุนนางทั้ง หลายก็ตกใจแทบสิ้นสติ ตั๋งโต๊ะก็หัวเราะแล้วบอกว่า

“…….ท่านทั้งปวงอย่าตกใจ ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะเตียวอุ๋นให้หนังสือลับ ไปถึงอ้วนสุด ให้มาทำร้ายแก่เรา มีผู้รู้จึงบอกหนังสือมา ลิโป้จึงมากระซิบบอกเรา เราจึงให้จับไปฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงมิได้ร่วมคิดด้วยมัน ก็อย่าได้เป็นทุกข์ จงกินโต๊ะพูดกันเล่นให้สบาย…..”

อ้องอุ้นขุนนางผู้เฒ่าของฮ่องเต้ เห็นดังนั้นก็แค้นใจเป็นยิ่งนัก เพราะไม่เชื่อว่าเตียวอุ๋นจะคิดการกับอ้วนสุด น้องของอ้วนเสี้ยวดังที่ถูกกล่าวโทษ เมื่อกลับมาบ้านแล้วก็คิดหาทางกำจัดตั๋งโต๊ะจนนอนไม่หลับ ต้องลงไปเดินเล่นในสวน และได้พบกับนางเตียวเสียน สาวใช้อายุได้สิบหกปี ที่เลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม นางก็ไต่ถามถึงความในใจของอ้องอุ้นว่า

“….เมื่อกลางวันนั้นตั๋งโต๊ะเชิญท่านไปกินโต๊ะแล้วกลับมา ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านนั้นเศร้าหมองยิ่งกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีทุกข์สิ่งใดใหญ่หลวงอยู่ ท่านจึงเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงตามลงมาหวังจะใคร่รู้เหตุ แล้วจะได้คิดอ่านสนองคุณท่านไป จนกว่าจะสิ้นชีวิต….”

อ้องอุ้นจึงพานางเตียวเสียนขึ้นไปบนตึก และเข้าไปในห้องดูหนังสือซึ่งเป็นที่สงัด แล้วก็เล่าความอัดอั้นตันใจ ที่ตั๋งโต๊ะทำหยาบช้าต่าง ๆนา ๆ ให้นางฟังจนหมดสิ้น นางก็ว่าตนได้ออกปากว่าจะเอาชีวิตแทนคุณท่านแล้ว จงบอกมาเถิดตนจะรับใช้ทุกประการ อ้องอุ้นจึงบอกความทั้งหมดให้นางเตียวเสียนรู้ว่า

ทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นอุปมาดังฟองไก่อันวางอยู่หน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรนั้น อุปมาดังหยากเยื่ออันใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้นจะชิงเอาราชสมบัติ หาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรเลี้ยงคนหนึ่งชื่อลิโป้ มีฝีมือกล้าหาญ แลทั้งสองคนนี้มักยินดีด้วยหญิงรูปงาม
ถ้านางจะช่วยกู้แผ่นดินแล้ว ตนจะบอกอุบายให้ แล้วอ้องอุ้นก็แจงให้นางเตียวเสียนรู้ความคิดว่า

“…….พ่อจะคิดเป็นกลอุบายยกเจ้าให้แก่ลิโป้ แล้วจึงจะไปบอกตั๋งโต๊ะให้มารับเจ้าไปเป็นภรรยา เมื่อเจ้าไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนั้น จงลอบทำกลมารยาต่าง ๆ ให้ลิโป้มีความรักใคร่ในตัวเจ้า แล้วเจ้าจึงลอบบอกแก่ตั๋งโต๊ะ ด้วยกลมารยาความคิดของเจ้า นานไปเห็นตั๋งโต๊ะกับลิโป้ จะมีความสงสัยกินแหนงแก่กัน ลิโป้ก็จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เมื่อศัตรูราชสมบัติตายแล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากู้แผ่นดินก็จะมีชื่อ ปรากฏไปชั่วฟ้าชั่วดิน…….”

นางเตียวเสียนก็รับสนองว่า

“……ข้าพเจ้าได้ออกปากว่าจะสนองคุณท่าน อย่าว่าแต่จะเสียตัวเพียงนี้เลย ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต……..”

แล้วทั้งสองก็ลงมือทำตามแผนการณ์นั้น จนสำเร็จลุล่วงสมความตั้งใจทุก ประการ ตั๋งโต๊ะก็ได้ตายไปด้วยน้ำมือของลิโป้ และนางเตียวเสียนก็ตกเป็นภรรยาน้อยของลิโป้ ส่วนอ้องอุ้นก็ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

เมื่อตั๋งโต๊ะตายนั้น ราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีกันทั่วหน้า มีแต่ซัวหยงคนเดียวเท่านั้นที่มาร้องไห้อยู่กับศพ ซึ่งแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีของตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นก็ให้ทหารจับตัวมาสอบสวน ซัวหยงก็ว่า

“……ข้าพเจ้าจะได้เข้าด้วยผู้ผิดนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้ามาร้องไห้รักตั๋งโต๊ะนั้น เพราะคิดถึงคุณตั๋งโต๊ะ ว่าเอาข้าพเจ้ามาตั้งเป็นขุนนาง แลโทษซึ่งข้าพเจ้าผิดทั้งนี้ ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้ทำราชการสนองแผ่นดินสืบไป……”

ขุนนางทั้งปวงก็เห็นใจในความสัตย์ซื่อของซัวหยง จึงชวนกันขอโทษไว้ มีผู้กระซิบบอกอ้องอุ้นว่า

“…..ซัวหยงนี้เป็นคนมีสติปัญญา ทำราชการสัตย์ซื่อ มีคนรักเป็นอันมาก ถ้าท่านจะฆ่าเสียตามโทษผิดนั้นก็ควรอยู่ แต่ราษฎรทั้งปวงจะคราหานินทาท่าน……..”

อ้องอุ้นก็แย้งว่า

“…..บ้านเมืองเป็นจลาจลพึ่งสงบลงวันนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ แลซัวหยงนั้นมีสติปัญญาก็จริง แต่จะให้เป็นขุนนางปรึกษาราชการด้วยเรานั้นไม่ได้ กฎหมายทั้งปวงจะฟั่นเฟือนไป……..”

แล้วให้เอาตัวซัวหยงไปจำคุกไว้ แต่แอบสั่งผู้คุมให้ทรมานเสีย จนถึงแก่ความตายไปในไม่ช้า ขุนนางทั้งปวงรู้ว่าซัวหยงตาย ก็มีความสงสารเป็นอันมาก

เรื่องมิได้ยุติลงแค่นั้น ลิฉุยกับกุยกีลิ่วล้อของตั๋งโต๊ะ ได้ยกกองทัพมาแก้แค้นแทนนาย แม้ลิโป้จะอาสาป้องกันเมือง ด้วยฝีมืออันเก่งกล้า แต่สติปัญญาน้อยจึงถูกอุบายของข้าศึกหลอกล่อ จนข้าศึกเข้าเมืองได้และบุกเข้าไปถึงพระราชวัง ลิโป้ชวนอ้องอุ้นให้หนีออกไปจากเมืองหลวงเสียก่อน แล้วจึงกลับมาแก้มือทีหลัง แต่อ้องอุ้นไม่ยอมทิ้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ลิโป้จึงหนีเอาตัวรอดไปแต่ผู้เดียว

ลิฉุยกับกุยกีซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ก่อการขบถ พาพวกเข้าไปถึงหน้าพระที่นั่ง ซึ่งฮ่องเต้ประทับอยู่กับอ้องอุ้น ทั้งสองก็ทูลว่าซึ่งได้กระทำการครั้งนี้จะได้คิดขบถต่อฮ่องเต้นั้นหามิได้ เดิม ตั๋งโต๊ะเป็นมหาอุปราช ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินอยู่ แลอ้องอุ้นคบคิดกับลิโป้ฆ่ามหาอุปราชเสีย พวกตนจึงเข้ามาหวังจะฆ่าอ้องอุ้นเสียให้หายแค้น ถ้าฮ่องเต้ทรงพระเมตตาส่งตัวอ้องอุ้นให้แล้ว ตนก็จะพาทหารออกไป

อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ทูลฮ่องเต้ว่า ตนมีความสัตย์สุจริตต่อแผ่นดิน จึงฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ลิฉุยกุยกีต้องการชีวิตของตน ถ้าขืนบิดพริ้วอยู่ก็จะเกิดอันตรายกับฮ่องเต้ ตนจึงขอเอาชีวิตของตนสนองคุณฮ่องเต้ ตามคำของพวกขบถ ว่าแล้วก็โดดลงไปและร้องประกาศว่า

“……มึงคิดการทั้งนี้ จะปรารถนาสิ่งใดก็เร่งทำเถิด กูมิได้กลัวความตาย…..”

พวกขบถจึงเอากระบี่ฟันอ้องอุ้นถึงแก่ความตาย แล้วให้ทหารไปจับบุตรภรรยา ญาติพี่น้องของอ้องอุ้นมาฆ่าเสียสิ้นทั้งตระกูล แล้วก็ยึดครองอำนาจแทนอ้องอุ้นต่อไป

ขุนนางพลเรือนผู้กล้าหาญเหล่านี้ ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด จึงต้องล้มหายตายจากไป ไม่น้อยกว่าขุนศึกขุนพล หรือแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ที่มีชื่อเสียงปรากฏเหมือนกัน.

###########



Create Date : 06 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2559 7:50:26 น. 0 comments
Counter : 1350 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.