เมื่อมารธิดามาผจญพระศาสดา


ในคราว ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้นเองเกิดเหตุการณ์มารผจญขึ้น 2 ครั้ง คือพระยามารวัสวดี พาเสนามารจำนวนมากมาห้อมล้อมพระพุทธองค์ไว้ กล่าวทวงวัชรอาสน์พระพุทธองค์ทรงชนะมารด้วยทศบารมี (กล่าวโดยย่อๆคือพระธรณีขึ้นมาบีบมวยผม)และอีกครั้งหนึ่ง คือ คราวมารธิดามาผจญ แต่ก่อนผมเองก็มักจะสับสนทั้ง 2 เหตุการณ์ แต่จริงๆแล้ว เหตุการณ์ธิดามารมาผจญนั้นเกิดขึ้นภายหลังมารผู้พ่อ โดยเมื่อพระยาวัสวดีพ่ายแพ้ไปแล้ว ธิดาทั้งสามคือนางตัณหา ราคา อรดี ได้เข้ามาอาสาบิดาเพื่อนำพระพุทธองค์กลับเข้าสู่บ่วงมารอีกครั้ง (ชื่อเหล่านี้แตกต่างกันออกไปตามแต่ละคัมภีร์แต่ในพระไตรปิฎกขุททกนิกาย มหานิทเทส ในมาคันทิยสูตร ของเถรวาทกล่าวชื่อธิดามารทั้ง3 ไว้เช่นนี้ ในที่นี้จึงขออ้างอิงตามขุททกนิกายนะครับ)

มาคันทิยสูตรกล่าวว่า

ครั้งนั้นแล มารธิดาทั้ง๓ คือ นางตัณหา นางอรดีนางราคา

จึงพากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ครั้นแล้วจึงถามพระยามารด้วยคาถาว่า

“ข้าแต่คุณพ่อคุณพ่อมีความเสียใจด้วยเหตุอะไร หรือ

เศร้าโศกถึงผู้ชายคนไหนหม่อมฉันจักผูกผู้ชายคนนั้นด้วยบ่วงคือราคะ นำมาถวาย เหมือนบุคคลผูกช้างมาจากป่า

ฉะนั้น ชายนั้นจักตกอยู่ในอำนาจของคุณพ่อฯ”

พระยามารกล่าวตอบว่า

“ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลกไม่เป็นผู้

อันใครๆพึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมาร

ไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงเศร้าโศกมาก ฯ”

ตัดฉากไปธิดามารทั้งสามเข้ามายังสำนักพระศาสดา แปลงกายเป็นกุมาริการูปโฉมงดงามอย่างละร้อย

เข้าไปเสนอตัวบำเรอบาทพระพุทธองค์ แต่ไม่ทรงสนพระทัย

ธิดาทั้งสามเมื่อไม่สมใจนึกจึงปรึกษากันว่า ธรรมดาบุรุษย่อมมีความปรารถนาหลายอย่างแตกต่างกัน

เราแปลงเป็นหญิงแรกรุ่นที่ยังไม่เคยคลอดบุตร

พระศาสดาก็ไม่ทรงใส่พระทัยอีกมารจำแลงเป็นหญิงคลอดบุตรแล้ว 1 คราว ก็ไม่สามารถยั่วยวนพระองค์ได้

จึงจำแลงเป็นหญิงคลอดบุตรแล้ว2 คราว

ก็ไม่ประสบผลสำเร็จต่อมาก็จำแลงเป็นหญิงกลางคน พระพุทธองค์ไม่ทรงใส่พระทัยสุดท้ายทั้งสามนางจำแลงตัวเป็นหญิงผู้ใหญ่

หลังจากแปลงร่างยั่วยวนพระศาสดาจนเหนื่อยอ่อนแล้วมารธิดาทั้งสามก็เข้าไปทูลถาม

“ท่านถูกความโศกทับถมหรือจึงได้มาซบเซาอยู่ในป่าอย่างนี้

ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือหรือว่ากำลัง

ปรารถนาอยู่ท่านได้ทำความชั่วอะไรๆ ไว้ในบ้านหรือ

เพราะเหตุไรท่านจึงไม่ทำมิตรภาพกับชนทั้งปวงเล่า หรือว่า

ท่านทำมิตรภาพกับใครๆไม่สำเร็จ ฯ”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

"เราชนะเสนาคือปิยรูปและสาตรูป(รูปที่รักและรูปที่พอใจ)

เป็นผู้ๆ เดียวเพ่งอยู่ได้รู้ความบรรลุประโยชน์ และความ

สงบแห่งหทัยว่าเป็นความสุข ฯ

เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ทำความเป็นมิตรกับชนทั้งปวง และ

ความเป็นมิตรกับใครๆย่อมไม่อำนวยประโยชน์ให้แก่เรา ฯ"

สุดท้ายธิดามารเข้าใจแล้วว่าไม่อาจเปลี่ยนพระทัยพระศาสดาได้ได้กล่าวเป็นคาถาออกมาว่า

"พระศาสดาผู้เป็นหัวหน้าดูแลคณะสงฆ์ได้ตัดตัณหาขาดแล้ว

และชนผู้มีศรัทธาเป็นอันมากจักประพฤติตามได้แน่แท้

พระศาสดานี้เป็นผู้ไม่มีความอาลัยได้ตัดขาดจากมือมัจจุราช

แล้วจักนำหมู่ชนเป็นอันมาก ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ฯ"

แล้วก็กลับไปหาพระวัสวดีมาราธิราชผู้บิดาพระยามารเห็นธิดาทั้งสามมาแต่ไกล ก็ตัดพ้อว่า

“พวกคนโง่พากันทำลายภูเขาด้วยก้านบัวขุดภูเขาด้วยเล็บ

เคี้ยวเหล็กด้วยฟันทั้งหลายท่านทั้งหลายจะทำพระโคดมให้

เบื่อเข้าต้องหลีกไปเป็นประดุจบุคคลวางหินไว้บนศีรษะแล้ว

แทรกลงไปในบาดาลหรือดุจบุคคลเอาอกกระแทกตอ

ฉะนั้น ฯ”

ภาพธิดามารนี้มาจากตู้พระธรรมวัดศรีสุดาราม ฝั่งธนบุรีครับ




Create Date : 17 มกราคม 2557
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2558 23:10:51 น.
Counter : 663 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปลาทองสยองเมือง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]



New Comments