ห้องแฟนตาซีของmoony
|
|||
เซ็นซู ภาค จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 13 การร่ายรำบนกองเลือด
บทที่ 13 การร่ายรำบนกองเลือด สายลมอ่อนและแสงแดดอันอบอุ่นยามอรุณรุ่งสร้างความสดชื่นต่อมิสึกิที่กำลังก้าวเดินไปตามระเบียงด้วยกิริยาอันแช่มช้อยจนนางอดใจที่จะหยุดและทอดสายตามองทัศนียภาพในสวนที่งดงามไม่ได้ เหล่าผีเสื้อหลากสีแสนงดงามที่พากระพือปีกบินวนเวียนไปตามดอกไม้ที่ผลิบานรับแสงตะวันยามเช้าสร้างความประทับใจต่อหญิงสาวจนถึงกับเปรยออกมาอย่างชื่นชม ช่างงามเหลือเกิน ดวงตาเลื่อนผ่านเลยไปยังห้องของยาสึฮิระ นับเป็นวันแรกนับตั้งแต่โคโตโระถูกข้าศึกรุกรานที่นางได้มีโอกาสได้พูดคุยกับบิดา แต่ก็เพียงแค่ไม่นานเท่านั้นเขาก็ต้องแยกตัวไปพบกับเหล่าที่ปรึกษาเพื่อหารือถึงการศึกซึ่งแม้ทางฝ่ายคาสึรางิจะขาดผู้นำ แต่สงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ มิสึกิถอนใจออกมาเบาๆด้วยความกลัดกลุ้มเพราะถึงนางปรารถนาที่จะช่วยเหลือบิดาแต่ด้วยความที่เป็นหญิงทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เมื่อไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมืองได้แล้วหญิงสาวจึงเลือกวิธีช่วยยาสึฮิระด้วยการทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้รับความสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเรื่องบทกลอน ดนตรีหรือแม้แต่การร่ายรำ เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วมิสึกิจึงละสายตาจากสวนและเดินตรงไปยังห้องที่ยาสึฮิระกำหนดให้เป็นสถานที่สำหรับการฝึกสอน ภาพของอาจารย์หนุ่มผู้กำลังนั่งรออย่างเคร่งขรึมทำให้ความวิตกกังวลเมื่อครู่มลายหายไป หัวใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นจังหวะ นางรีบวางมือไว้บนอกพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าดุจต้องการระงับความตื่นเต้นก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องและก้มศีรษะลง ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอ ไม่เป็นไร ข้าเองก็เพิ่งมาถึงเช่นเดียวกัน ฮารุคาเสะกล่าวอย่างสุภาพพร้อมกับค้อมตัวลง เขารอจนมิสึกินั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าว จากเรือนพักมาที่นี่เป็นระยะทางไกลพอสมควร ท่านน่าจะนั่งพักให้หายเหน็ดเหนื่อยก่อน มิสึกิยกมือขึ้นป้องใบหน้าและหัวเราะออกมาเบาๆ ระยะทางจากจวนของท่านพ่อมาถึงที่นี่ไม่ได้ไกลมากมายอะไรนัก และข้าก็พร้อมที่จะเรียนแล้ว ชายหนุ่มมองนางด้วยความพอใจ เขาผงกศีรษะอย่างแช่มช้าพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม ความมุ่งมั่นตั้งใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการร่ายรำ ถ้าเช่นนั้นข้าจะสอนท่านตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ฮารุคาเสะเว้นระยะไปเล็กน้อยและมองหญิงสาวที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจจากนั้นจึงเริ่มอธิบาย การร่ายรำทุกอย่างมีพื้นฐานเบื้องต้นที่คล้ายกันนั่นก็คือวิธีการวางเท้าและจังหวะของการก้าวเดิน เขาชะงักคำพูดเมื่อเห็นดวงหน้างดงามกำลังฉายความไม่เข้าใจ ชายหนุ่มจึงหันไปหยิบพัดพร้อมกับพูด แค่คำอธิบายอาจจะเข้าใจได้ยาก ถ้าเช่นนั้นข้าจะแสดงให้ดู เขาหันไปทางนักดนตรีซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมอยู่มุมห้อง เสียงหวานละมุนของเรียวเตกิดังขึ้น พัดในมือวาดขึ้นลงอย่างแช่มช้ารับกับการเคลื่อนไหวอันอ่อนช้อยของฮารุคาเสะ เขาวางเท้าแต่ละก้าวอย่างมีจังหวะรับกับเสียงเพลงที่กำลังบรรเลงด้วยทำนองสูงต่ำฟังคล้ายทุ่งหญ้าต้องลมที่กำลังสะบัดพลิ้วราวระลอกคลื่น ความงดงามในท่วงท่าการร่ายรำทำให้มิสึกิบังเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังมองกลีบซากุระที่กำลังหยอกล้อกับสายลม จนเมื่อขลุ่ยเงียบเสียงลงนางจึงกล่าวออกมาเบาๆ งามเหลือเกิน ความงามจะเกิดขึ้นหากท่านเคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง ฮารุคาเสะพูดเสียงเรียบพลางก้มศีรษะให้กับหญิงสาว ขอเชิญท่านหญิง มิสึกิลุกขึ้นและเริ่มต้นฝึกตามที่ฮารุคาเสะสอนอย่างตั้งใจ นางสามารถก้าวเดินเบื้องต้นได้ในเวลาอันรวดเร็วจนชายหนุ่มเอ่ยปากชม สมเป็นบุตรีของท่านยาสึฮิระ ยังไม่ทันครึ่งวันท่านก็สามารถเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นแล้ว นั่นเพราะการสอนที่ดีของท่านต่างหาก หญิงสาวกล่าวอย่างเขินอาย ฮารุคาเสะมองนางพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม นั่นเป็นแค่บทเริ่มต้นเท่านั้น ของจริงนับตั้งแต่นี้ต่างหาก เขาขยับไปสองสามก้าวและเอี้ยวตัวกลับมาด้วยท่วงท่าที่รวดเร็วแต่เต็มไปด้วยความงดงาม และเมื่อเห็นมิสึกิยังคงยืนนิ่งจึงเอ่ยถาม คิดว่าทำได้หรือเปล่าท่านหญิง ด...ได้ นางตอบและก้าวเท้าตามที่เห็นเมื่อครู่ทันที อารามรีบร้อนทำให้การเอี้ยวตัวผิดจังหวะ หญิงสาวซวนเซและคงล้มลงหากฮารุคาเสะไม่ยื่นมือเข้าไปประคอง ไม่เป็นไรใช่ไหม เสียงทุ้มกระซิบข้างหู มิสึกิเงยหน้าขึ้นเพื่อตอบแต่เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายนิ้วกำลังมองด้วยความห่วงใย พวงแก้มของหญิงสาวก็มีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา ข้าไม่เป็นไร มิสึกิตอบเสียงแผ่วพร้อมกับก้มหน้าลงหลบสายตาของเขาอย่างขวยเขิน ขออภัย แต่ข้ากลัวท่านจะล้มจนได้รับบาดเจ็บจึงจำต้องทำเช่นนั้น ไม่เป็นไร มิสึกิกล่าวทั้งที่ยังคงหลบสายตาของชายหนุ่ม ขอบคุณท่านมาก เราฝึกกันมานานพอดูท่านหญิงคงเหนื่อย วันนี้พอแค่นี้ก่อน ฮารุคาเสะพูดและยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะค้าน การเรียนอย่างเร่งรีบจะทำให้ท่วงท่าร่ายรำขาดความงดงาม หากท่านมุ่งมั่นก็ขอให้กลับไปทบทวนสิ่งที่ข้าสอนและฝึกให้คล่องแคล่ว พรุ่งนี้ค่อยพบกัน ข้าจะปฏิบัติตามที่ท่านสั่ง มิสึกิกล่าวพร้อมกับก้มตัวลง ขอบคุณท่านอาจารย์ พรุ่งนี้เราค่อยพบกัน ฮารุคาเสะค้อมตัวลงรับพร้อมกับกล่าวคำอำลา เมื่อมิสึกิเดินพ้นไปจากสถานที่เรียนแล้วเขาจึงเดินกลับเรือนพักแต่ต้องนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นโคดาจิกำลังยืนรออยู่ที่นั่น ทันทีที่เห็นนักนาฏกรรมหนุ่มเขาจึงค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าว คุณชายฟูจิวาระ เขามองฮารุคาเสะด้วยดวงตาไร้แวว ท่านยาสึฮิระมีคำสั่งให้เชิญท่านเข้าไปพบ แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ฮารุคาเสะกลับพยักหน้าและเดินตามโคดาจิไปโดยไม่ซักถามอะไรทั้งสิ้น เมื่อไปถึงห้องของยาสึฮิระเขาจึงค้อมตัวแสดงการคารวะ อีกฝ่ายผงกศีรษะรับพร้อมกับกล่าว มาเร็วดีนี่ สอนมิสึกิเสร็จแล้วหรือ ครับ ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ยาสึฮิระมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงแสร้งทำเป็นเลื่อนมือไปหยิบถ้วยชามาถือไว้ บุตรีของข้าออกจะดื้อรั้นไปสักนิด คงไม่สร้างความหนักใจให้กับเจ้า ตรงกันข้ามท่านหญิงเป็นผู้ที่มีสติปัญญา นางสามารถจดจำสิ่งที่ข้าสอนในวันนี้ได้หมดภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ได้ยินแบบนี้ข้าก็สบายใจ เจ้าเมืองโคะโตโระกล่าวพลางวางถ้วยชากลับลงไปตามเดิม เจ้าพอจะรู้เรื่องที่คาสึรางิยกกองทัพมารุกรานเมืองของเราหรือไม่ ข้าพอจะทราบอยู่บ้าง และได้ยินมาว่าด้วยการนำทัพของท่านทำให้ทางเราเป็นฝ่ายมีชัย ฮารุคาเสะตอบ ยาสึฮิระยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ที่ทัพของเราเป็นฝ่ายมีชัยไม่ใช่จากข้า แต่เป็นความกล้าของทหารทุกคน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองและขอให้เจ้ามาแสดงการร่ายรำให้นักรบของเราได้ชม หวังว่าคงจะไม่ปฏิเสธ ผู้นำโคะโตโระกล่าวปิดประโยคด้วยถ้อยคำเชิงบังคับ นักนาฏกรรมหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจในเจตนาของอีกฝ่ายแต่กระนั้นเขาก็ยังเอ่ยปากถาม ท่านจะจัดงานในวันไหน เย็นวันนี้ คิดว่าเจ้าน่าจะเตรียมตัวทัน ยาสึฮิระตอบและยิ้มในหน้าเมื่อเห็นความยุ่งยากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮารุคาเสะ แต่หากไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร หามิได้ ข้ากลับรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสร่ายรำในงานฉลองชัยของท่าน แต่เพราะเป็นการแสดงที่ออกจะกะทันหันเกินไปข้าจึงไม่อาจเตรียมชุดที่เหมาะสมได้ทัน หากเครื่องแต่งกายไม่ถูกใจท่านก็ขอได้โปรดให้อภัย ขอเพียงเจ้ายินดีเข้าร่วมข้าก็พอใจแล้ว ผู้นำโคะโตโระกล่าวอย่างอารมณ์ดี หมดเรื่องแล้ว เชิญเจ้าไปเตรียมตัวตามสบาย กล่าวจบยาสึฮิระจึงผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้ชายหนุ่มออกไปได้ เขาค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวคำอำลาและเดินจากไป โคดาจิซึ่งยืนระวังอยู่ด้านนอกมองจนอีกฝ่ายลับไปจากสายตาจึงหันมายังผู้เป็นนายพร้อมกับถาม ให้เขามาร่วมงานแบบนี้จะไม่เป็นไรหรือขอรับ ต่อให้มีพลังแข็งแกร่งเพียงใดเจ้านั่นก็เป็นแค่นักนาฏกรรม เขาไม่มีทางทำอะไรข้าได้ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกโคดาจิ */*/*/*/* สถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นสวนได้อย่างแจ่มชัด ผนังสองด้านถูกเปิดออกเพื่อรับสายลมยามค่ำได้อย่างเต็มที่ อีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้าเมืองโคะโตโระเลือกใช้ห้องนี้ก็คือทุกคนที่มาร่วมงานจะได้ชื่นชมการร่ายรำอันงดงามของฮารุคาเสะซึ่งถูกกำหนดให้แสดงบนเวทีกลางสวนได้อย่างชัดเจน เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะเฮฮาดังมาจากกลุ่มนายทหารระดับสูงที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งของห้อง แม้จะเป็นการสนทนาอย่างมีความสุขแต่โอริเอะซึ่งนั่งถัดจากยาสึฮิระต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่พอใจนักเพราะหัวข้อที่คนเหล่านั้นพูดคุยกันส่วนใหญ่เป็นการดูแคลนและเย้ยหยันศัตรู ในความคิดของพวกเขาการดูถูกผู้พ่ายแพ้อาจจะเป็นเรื่องสนุกแต่สำหรับแม่ทัพผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างโอริเอะแล้วเขาจะให้เกียรติต่อนักรบทุกคนเสมอ แม้คนเหล่านั้นจะเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดก็ตาม ดูเหมือนยาสึฮิระจะเข้าใจความคิดของโอริเอะ เขาจึงสั่งให้ข้ารับใช้รินสุราใส่ถ้วยและนำไปส่งให้ อีกฝ่ายรีบหันมาโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ ขณะที่กำลังยกถ้วยขึ้นดื่มผู้เป็นนายก็กล่าวขึ้นมา ถึงจะเป็นคำพูดที่ออกจะไม่เหมาะสมไปสักนิด แต่ก็เป็นสิ่งที่กล่าวออกมาจากความรู้สึก หากทางฝ่ายคาสึรางิเป็นฝ่ายมีชัยชนะทหารของพวกเขาก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน โอริเอะค้อมศีรษะลง ข้าทราบดีแต่ก็อดรู้สึกสังเวชใจไม่ได้ เพราะถึงแม้จะเป็นข้าศึกแต่คนเหล่านั้นก็คือนักรบกล้าเหมือนกัน การนำพวกเขามาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุกจึงไม่เป็นการสมควร ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ จะห้ามพวกเขาไม่ให้พูดก็คงไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจงทำใจยอมรับมันเถิดนะโอริเอะ ยาสึฮิระกล่าวเสียงเรียบ แม่ทัพหนุ่มก้มศีรษะลงพร้อมกับรับคำ ขอรับ เขาเลื่อนสายตามองผ่านร่างของผู้เป็นนายไปยังม่านไหมที่ว่างเปล่าและเอ่ยถามด้วยความสงสัย ท่านหญิงยังไม่มาอีกหรือขอรับ สตรีมักจะเสียเวลาในเรื่องการแต่งตัว ยาสึฮิระตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะและหยุดนิ่งแทบจะทันทีเมื่อร่างงดงามเยื้องกรายเข้ามา หลังจากรอให้บุตรีนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาจึงเอ่ยทักทาย เจ้ามาช้า ต้องขออภัยต่อท่านพ่อด้วย ที่มาช้าเพราะข้ามัวแต่ซ้อมการร่ายรำ หากอาจารย์รู้ว่าเจ้าจริงจังเช่นนี้คงดีใจ ผู้บิดากล่าวเชิงหยอก หากไม่มีม่านไหมกางกั้นเขาคงเห็นว่าใบหน้าของบุตรีนั้นมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา เมื่อเห็นมิสึกินั่งนิ่งไม่ตอบสิ่งใดนอกเหนือกว่านั้นยาสึฮิระจึงหันกลับไปสนใจงานเลี้ยงอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ข้ารับใช้ประจำจวนขออนุญาตเข้ามาหา เมื่อเห็นนายผงกศีรษะเขาจึงค้อมตัวลงจนหน้าผากจรดพื้นและรายงาน คุณชายฟูจิวาระพร้อมแล้วขอรับ งั้นก็ให้เขาแสดงได้เลย ยาสึฮิระกล่าวด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงถดกายถอยออกจากห้องและเดินหายไปยังเรือนด้านข้าง เหล่านักรบที่นั่งอยู่ในงานพากันหันไปพูดคุยกันด้วยความประหลาดใจที่ในงานเลี้ยงฉลองชัยเช่นนี้กลับมีการร่ายรำของชาวนาฏกรรม แต่เมื่อเสียงของบิวะบรรเลงขึ้นทุกคนก็พากันสงบปาก และพอมีเสียงหวีดหวิวของเรียวเตกิดังเสริมขึ้นมา ทั้งนักรบและเหล่าที่ปรึกษารวมทั้งข้ารับใช้ที่ยืนอยุ่ในบริเวณนั้นต่างหันไปจ้องเวทีกลางสวนเป็นตาเดียว ท่ามกลางแสงไฟจากคบเพลิงที่วางไว้ทั้งหกด้าน ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความทึ่งเมื่อเห็นกลีบดอกไม้จำนวนมากกำลังโปรยปรายลงมาจากด้านบน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เห็นว่ามันมาจากที่ใดความประหลาดใจก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อกลีบดอกไม้ทั้งหมดเคลื่อนมารวมตัวกันและหมุนวนนิ่งอยู่กลางเวที โดยมีร่างสูงสง่าของนักนาฏกรรมหนุ่มซึ่งไม่มีใครรู้ว่าปรากฏตัวขื้นเมื่อใดกำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงามอยู่ตรงกลาง และเมื่อเขาหมุนพัดเป็นวงกลม กลีบดอกไม้ทั้งหมดก็กระจายออกจากกันแต่ยังคงปลิวอยู่กลางอากาศล้อมรอบตัวของฮารุคาเสะ ความสวยงามของการร่ายรำและกลีบดอกไม้ที่พลิ้วไปมาตามจังหวะเสียงดนตรีสร้างความประทับใจต่อทุกคนเป็นยิ่งนัก แม้นักรบที่อยู่ในอาการเมามายที่สุดยังต้องปล่อยถ้วยสุราให้หลุดจากมือพร้อมกับหลุดปากออกมา นี่ไม่ใช่การร่ายรำ หากแต่เป็นเทพลงมาอวยพร คำรำพึงนั้นได้ยินไปถึงมิสึกิ นางรีบยกแขนเสื้อขึ้นเพื่อปิดบังรอยยิ้มอันเกิดมาจากความชื่นชมได้ ต่างจากยาสึฮิระที่นั่งนิ่งไม่กล่าวสิ่งใด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จ้องนักนาฏกกรรมหนุ่มเขม็งอย่างไม่พอใจ ประโยคที่ฮารุคาเสะกล่าวไว้เมื่อตอนกลางวันหวนเข้ามาในความทรงจำ แต่เพราะเป็นการแสดงที่ออกจะกะทันหันเกินไปข้าจึงไม่อาจเตรียมชุดที่เหมาะสมได้ทัน หากเครื่องแต่งกายไม่งดงามก็ขอได้โปรดให้อภัย เจ้าเมืองโคะโตโระกำมือแน่น เพราะในตอนแรกเขาคิดว่านักนาฏกรรมหนุ่มคงแต่งกายในชุดร่ายรำธรรมดา แต่ชุดที่ฮารุคาเสะใส่ในตอนนี้นั้นเป็นสีขาวและแดงอันเป็นเครื่องแบบที่พวกข้ารับใช้ประจำศาลนิยมสวมใส่กันในงานพิธี เจ้าต้องการเย้ยหยันข้าใช่ไหม ยาสึอิระคำรามออกมาเบาๆ แม้จะเต็มไปด้วยความโกรธแต่เมื่อเห็นเหล่าบรรดานักรบและที่ปรึกษาทุกคนชื่นชมในความงามของการร่ายรำ เขาจึงพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่แสดงท่าทีใดออกมา ขณะที่กำลังตกอยู่ในความขุ่นเคืองเสียงของเรียวเตกิก็บรรเลงในทำนองพลิ้วไหวราวกับคลื่นบนผิวน้ำ ฮารุคาเสะหมุนตัวเป็นวงพร้อมกับสะบัดพัดในมือลง กลีบดอกไม้รอบตัวเขาก็ถูกสายลมพัดพาเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงและโปรยปรายลงบนร่างของผู้ที่อยู่ในนั้นทุกคนไม่เว้นแม้แต่ยาสึฮิระ เหล่านักรบพากันรวบกลีบดอกไม้หลากสีขึ้นมาสูดดมอย่างแช่มชื่นพร้อมกับเอ่ยปากชมนักนาฏกรรมหนุ่มอย่างพอใจ มีเพียงยาสึฮิระเท่านั้นที่กำมือแน่น เขามองกลีบดอกไม้สีแดงสดราวกับเลือดที่ตกอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตากร้าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องฮารุคาเสะที่กำลังก้าวเข้ามา เมื่อชายหนุ่มค้อมตัวลงคำนับเขาจึงถามเสียงดัง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร แม้น้ำเสียงจะไม่แสดงความเกรี้ยวกราดแต่สีหน้าของเจ้าเมืองโคะโตโระทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในนั้นต่างพากันเงียบกริบ ฮารุคาเสะก้มศีรษะให้เขาอีกครั้งก่อนตอบ ไม่ทราบว่าท่านกล่าวถึงสิ่งใด ยาสึฮิระจ้องอีกฝ่ายเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เริ่มแรกคือเครื่องแต่งกายของเจ้า นี่เป็นการฉลองชัยชนะของเหล่านักรบ เหตุใดจึงแต่งตัวราวกับพวกที่ร่ายรำตามศาลเทพเจ้าเช่นนี้ ข้าได้แจ้งให้ท่านทราบตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้เตรียมชุดที่เหมาะสมสำหรับงานพิธี อีกอย่างชุดที่ข้าสวมใส่อยู่นี้จะใช้เฉพาะพิธีกรรมสำคัญเท่านั้น ในเมื่องานฉลองในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเหล่านักรบสำหรับผู้รับใช้เทพอย่างข้ามันคือพิธีอันทรงเกียรติ ดังนั้นชุดนี้จึงเหมาะสมที่สุด เจ้าเมืองโคะโตโระขบกรามแน่น เขาชี้ไปที่กลีบดอกไม้ตรงหน้า และดอกไม้พวกนี้เล่า เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร ฮารุคาเสะก้มศีรษะลงอีกครั้ง กลีบดอกไม้หลากสีที่โปรยปรายบนร่างของเหล่านักรบ คือความยินดีในชัยชนะและปลื้มปิติที่พวกเขามีชีวิตรอดกลับมา ส่วนกลีบดอกไม้สีแดงนั้นหมายถึงอำนาจกับความกล้าหาญ ซึ่งในที่นี้ผู้สมควรได้รับมีเพียงท่านเท่านั้น ยาสึฮิระหยิบกลีบสีแดงอันหนึ่งขึ้นมาและโยนไปตกตรงหน้านักนาฏกรรม แล้วดอกไม้นี้เล่า ช่วยบอกข้าหน่อยว่ามันหมายความว่าอะไร ฮารุคาเสะเหลือบตามองกลีบดอกไม้ที่มีลักษณะเรียวยาวต่างจากกลีบชนิดอื่นและค้อมตัวลงเล็กน้อย คนทั่วไปมักจะมองว่าดอกฮิงันคือเครื่องหมายแห่งความตาย ในสายตาของผู้รุกรานทุกคน ท่านมีความหมายนี้เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อนามของยาสึฮิระปรากฏขึ้น ย่อมหมายถึงความพินาศของศัตรู เสียงกล่าวพึมพำดังมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในห้อง ที่ปรึกษารวมทั้งนักรบต่างพากันพยักหน้าราวกับพึงพอใจในคำอธิบายของนักนาฏกรรมหนุ่ม ส่วนยาสึฮิระเมื่อได้ฟังทุกอย่างจบลงความโกรธขึ้งก็เริ่มบรรเทาเบาบาง แต่กระนั้นเขาก็ยังมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ความหมายของเจ้าเป็นไปตามนั้นจริงหรือ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้ากล่าวทุกประการ ฮารุคาเสะตอบอย่างนอบน้อม เจ้าเมืองโคะโตโระจึงยืดตัวนั่งอย่างสง่าและยิ้มอย่างพอใจ ดี เขาหันไปสั่งห้ข้ารับใช้รินเหล้าใส่ถ้วยและนำไปส่งให้ชายหนุ่ม เขาน้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพ ขอบพระคุณในความกรุณาของท่าน แต่ข้าเป็นผู้รับใช้เทพ ไม่อาจดื่มเมรัยได้ ยาสึฮิระมองอย่างไม่ชอบใจ โอริเอะจึงรีบคว้าถ้วยมาจากมือของข้ารับใช้และหันไปก้มศีรษะให้นายของตน ความเมตตาของท่านยาสึฮิระ คุณชายฟูจิวาระขอรับไว้ด้วยความยินดียิ่ง ส่วนเหล้าถ้วยนี้หากเขาไม่สามารถดื่มได้ข้าก็ขอเป็นผู้จัดการแทน เขายกสุราขึ้นดื่มจนหมดและส่งคืนถ้วยเปล่าคืนให้กับข้ารับใช้จากนั้นจึงค้อมตัวให้กับผู้นำโคะโตโระอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ทำได้ดี ยาสึฮิระเอ่ยชมพร้อมกับชูถ้วยสุราในมือขึ้น จงดื่มเพื่อแม่ทัพผู้ชาญฉลาด และความสงบสุขของโคะโตโระ เหล่าที่ปรึกษาและบรรดานักรบต่างชูถ้วยในมือขึ้นพร้อมกับเปล่งคำอำนวยพรให้กับเมืองอันเป็นที่รัก เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้วฮารุคาเสะจึงอนุญาตกลับไปยังที่พัก ระหว่างที่กำลังเดินนำขบวนนักดนตรีอยู่นั้นก็บังเกิดสายลมรุนแรงพัดผ่านมา สำหรับผู้มีพลังพิเศษอย่างนักปราบมารเช่นเขาแล้วสายลมนั้นคือเสียงหัวเราะของปิศาจ ชายหนุ่มจึงนิ่วหน้าและหันไปสั่งคนของตน พวกเจ้ากลับไปก่อน ทั้งหมดค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวรับคำ เมื่อเห็นว่าทุกคนพ้นไปจากระยะที่ได้ยินแล้ว มีธุระอะไร ไพราซึ่งยืนกอดอกอยู่โคนต้นเผยอยิ้ม ไม่มี แค่อยากจะบอกว่าข้ารู้สึกชื่นชมการร่ายรำอันงดงามของเจ้า จอมอสูรเว้นระยะคำพูดและมองนักนาฏกรรมหนุ่มอย่างรู้เท่าทันโดยเฉพาะเหตุผลที่กล่าวกับยาสึฮิระ แม้ข้าจะไม่เข้าใจความหมายดอกไม้ของพวกเจ้าแต่ก็ดูออกว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเป็นการเตือนสติ ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่หากไม่มีธุระอะไรแล้วข้าก็ต้องขอตัว ฮารุคาเสะทำท่าจะเดินออกไปทันที แต่ไพรากลับกางแขนกันเขาเอาไว้พร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม ที่มานี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระพวกนั้น แต่จะมาเตือนเจ้าต่างหาก เรื่องอะไร ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย จอมอสูรหันหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองอิวะและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังมากขึ้น ระหว่างที่พวกเจ้ากำลังสนุกกับงานเลี้ยง ข้าได้ไปที่เมืองอิวะและพบว่าเจ้าเมืองจอมกระหายเลือดนั่นกำลังเดินทางไปที่คาสึรางิ ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่อยากยุ่งเรื่องราวของมนุษย์เท่าใดนัก แต่บังเอิญไปพบกับอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ ดวงตาดุเลื่อนกลับมายังฮารุคาเสะ มีอสูรตนหนึ่งให้ความช่วยเหลือซาวาระ แม้ข้ายังไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นใครแต่เจ้าอสูรตนนี้ก็มีพลังเกือบจะเทียบเท่ายาสึฮิระ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก์คือ มันเป็นผู้บงการปิศาจทุกตัว แล้วมาบอกข้าทำไม นักนาฏกรรมหนุ่มถามด้วยความสงสัยและมองอีกฝ่ายอย่างระแวง เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ ไพราหันหน้าไปยังห้องที่กำลังมีงานเลี้ยงและมองด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน แค่รอยยิ้มของนาง กล่าวจบร่างของจอมอสูรก็เลือนหายไป ทิ้งให้ฮารุคาเสะที่กำลังยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึงไว้เพียงลำพัง หลังจากนิ่งงันไปได้ชั่วอึดใจชายหนุ่มจึงพึมพำออกมา หรือว่าเจ้า... เขาหันไปยังจวนของยาสึฮิระและจ้องนิ่งอยู่เช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงระบายลมหายใจออกมาเบาๆจากนั้นจึงเดินกลับเรือนพักของตนด้วยความหนักใจ
เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 12 พลังปลุกวิญญาณ
บทที่ 12 พลังปลุกวิญญาณ เมื่อไพราออกไปจากห้องแล้วมิสึกิจึงยืนมองต้นไม้ภายในสวนอย่างครุ่นคิด จากสีหน้าและน้ำเสียงของจอมอสูรที่แสดงออกตอนนางพูดถึงเครื่องรางที่ได้รับจากฮารุคาเสะก่อนจะหายตัวไปทำให้หญิงสาวบังเกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นภายในจิตใจ ทำไมเขาถึงมีท่าทางตกใจถึงขนาดนั้น มือเลื่อนขึ้นกุมใบโมมิจิในอกเสื้อ หรือว่าไพรากลัวใบไม้นี่เหมือนปิศาจตนอื่น มิสึกิพึมพำพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ปิศาจเต่าบุกเข้ามาทำร้ายนางถึงในจวน ในตอนนั้นด้ายสีแดงที่ร้อยไว้กับใบโมมิจิพุ่งเข้าโจมตีมันตั้งแต่ยังไม่ทันได้แตะตัวนางเลยด้วยซ้ำ แต่กลับจอมอสูรแล้วมันกลับไม่มีการตอบสนองใดเลยสักนิดแม้เขาจะยืนใกล้จนแทบจะสัมผัสกับนาง หญิงสาวส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวเบาๆ จะว่าไปตั้งแต่พบกันต่อให้อยู่ใกล้ข้าแค่ไหนเขาก็ไม่เคยถูกด้ายแดงโจมตีเลยสักครั้ง ดังนั้นไพราคงไม่กลัวใบไม้นี่แน่ มิสึกิระบายลมหายใจออกมา แล้วทำไมเขาถึงต้องทำหน้าแบบนั้นนะ สายลมเย็นพัดผ่านเรือนร่างในอาภรณ์งดงามนำพากลีบซากุระที่ร่วงโรยลงจากต้นปลิวเข้ามาหา หญิงสาวยื่นมือออกไปรับกลีบสีชมพูบอบบางและประคองขึ้นมามองด้วยสายตาเศร้าสร้อยก่อนปล่อยให้มันลอยไปตามกระแสลม เพียงหมุนห่างออกจากนางไปแค่ขอบระเบียงซากุระทุกกลีบก็มีไฟลุกพรึ่บขึ้นและมอดไหม้กลายเป็นเถ้าไปในชั่วพริบตา มิสึกิอ้าปากค้างด้วยความตระหนกและยิ่งตกใจเพิ่มมากขึ้นเห็นเงาดำจำนวนมากกระโจนผ่านกำแพงปราสาทเข้ามา ทุกตัวต่างหยุดยืนอยู่ภายในสวนและยืดตัวขึ้น ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวแหลมคมแสยะกว้างพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามออกมา มันทำให้ข้ารับใช้ชายหญิงที่กำลังทำงานอยู่ในบริเวณนั้นต้องหันไปมอง ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นผู้บุกรุกเต็มตา ปิศาจ ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น ข้ารับใช้หญิงจึงส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น ยิ่งเมื่อประกอบกับเสียงคำรามขู่ของฝูงปิศาจร้ายแล้วสติของทุกคนก็ขาดผึงลง พวกเขาพากันวิ่งหนีกันอย่างกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง ข้ารับใช้บางคนรีบวิ่งเข้ามาปกป้องท่านหญิงแห่งโคะโตโระในขณะที่บางคนวิ่งเตลิดไปด้วยความหวาดกลัว และเมื่อมีเสียงร้องของแมวดังขึ้น ปิศาจที่บุกเข้าไปในปราสาทยาสึฮิระก็กระโจนไล่จับมนุษย์ที่กำลังวิ่งหนีกันอลหม่านอย่างสนุกสนาน ใครหนีไม่ทันก็จะถูกจับฉีกกินอย่างทารุณ ที่เหลือรอดต่างก็ส่งเสียงร้องดังลั่นและหันหลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ความโกลาหลของมนุษย์ภายในปราสาททำให้นางปิศาจแมวดำที่กำลังนอนเหยียดตัวอยู่บนกำแพงแสยะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เสียงกรีดร้องของพวกมนุษย์ช่างไพเราะจับใจเสียเหลือเกิน ดวงตาสีอำพันทอประกายวาว ฆ่าพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ปิศาจทุกตัวคำรามรับคำสั่ง พวกมันไล่สังหารคนในจวนอย่างสนุกสนาน แม้พวกทหารจะกรูกันเข้ามาต่อสู้แต่ดาบของพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรผู้บุกรุกได้ ทหารกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งไปอารักขามิสึกิและพยายามพานางหนีออกจากที่นั่นแต่โชคร้ายที่ปิศาจตัวหนึ่งหันมาเห็นเข้าพอดี มันแยกเขี้ยวพร้อมกับส่งเสียงขู่คำรามและกระโจนเข้าใส่หญิงสาวทันที แม้พวกทหารจะช่วยกันปกป้องแต่ก็ไม่อาจรับมือกับปิศาจตนนั้นได้ เมื่อกำจัดคนที่เข้ามาขวางไปจนหมดสิ้น มันจึงหันมาจ้องมิสึกิและตวัดลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง น่ากินเหลือเกิน น้ำลายเหนียวหนืดไหลเยิ้มออกมาจากปาก เจ้าปิศาจยื่นมือออกไปหมายจะจับเหยื่อตรงหน้ามาฉีกกินให้อร่อยลิ้นแต่เพียงปลายเล็บแตะที่ชายเสื้อ แขนข้างนั้นก็เกิดอาการแข็งเกร็งค้างนิ่งอยู่กับที่ ปิศาจร้ายมองด้วยความประหลาดใจและฝืนจะขยับแต่ก็ต้องร้องลั่นเมื่อมือของมันถูกหักพับไปข้างหลังอย่างรุนแรงคล้ายถูกใครบางคนกระชากและยังไม่ทันที่จะได้ส่งเสียงร้องหัวของมันก็ถูกบิดอย่างแรงจนเสียงกระดูกแตกดังลั่น เจ้าปิศาจอัปลักษณ์ทรุดฮวบลงกับพื้นขาดใจตายไปในทันทีโดยมีร่างสูงใหญ่ของไพรายืนผงาดค้ำซากของมัน ดวงตาสีเข้มเหลือบไปทางมิสึกิ เสียงคำรามด้วยความโกรธดังอยู่ในลำคอเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวมีรอยเปรอะเปื้อน หนำซ้ำเสื้อผ้ายังมีร่องรอยของการถูกกระชากจนชายผ้าขาดเป็นรอยยาว จอมอสูรตวัดสายตาที่ทอแสงลุกโชนกลับไปยังฝูงปิศาจ เขาก้าวไปข้างหน้าขณะที่ขยับกรงเล็บในท่าที่พร้อมจะปลิดวิญญาณของพวกมัน พวกแกบังอาจทำให้นางต้องบาดเจ็บ ไพรากล่าวและตวัดมือไปข้างหน้า คลื่นพลังคมกริบรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าตัดร่างของปิศาจร้ายที่ยังไม่ทันระวังตัวอย่างรวดเร็ว พวกที่เหลือต่างถอยหลังด้วยความตื่นตระหนกและคงจะถูกสังหารสิ้นหากนางปิศาจแมวดำไม่พูดขึ้น มัวตกใจอะไรอยู่ รีบฆ่ามันเร็ว เหล่าปิศาจวิ่งกรูกันเข้าใส่ไพราทันที ตัวแรกที่เข้าไปใกล้ถูกคว้าหัวเอาไว้และโดนบีบจนแหลกเละในขณะที่กรงเล็บของมืออีกข้าวตวัดตัดลำคอปิศาจคอยาวจนขาดกระเด็น แม้จะถูกฆ่าตายราวกับใบไม้ร่วงแต่พวกที่เหลือก็ยังกลุ้มรุมเข้าใส่จอมอสูรอย่างไม่กลัวตายจนเขาต้องเรียกพลังไฟให้ระเบิดขึ้นเผาปิศาจที่ถาโถมกันเข้ามาจนมอดไหม้เป็นธุลี ตัวที่เหลือรอดเมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดความหวาดกลัวและหันหลังเตรียมจะหนีแต่ไพรากลับรู้ทัน เขากระโดดไปยืนขวางหน้าและใช้กำปั้นฟาดลงบนหัวของมันจนเละไม่มีชิ้นดี ในระหว่างที่พวกพ้องกำลังถูกจอมอสูรไล่สังหารอยู่นั้นปิศาจอีกกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ใต้จวนจึงค่อยๆโผล่หน้าออกมา พวกมันกวาดตามองไปโดยรอบเพื่อหาทางหนีและไปหยุดตรงมิสึกิซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ตัวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายนกหันไปกระซิบกับเพื่อน จับนางเป็นตัวประกันดีกว่า เพื่ออะไร เจ้าอสูรนั่นคงไม่สนใจนางหรอก เพื่อนของมันพูดแต่ปิศาจนกกลับส่ายหน้า แต่ข้าคิดว่าเจ้านั่นชอบผู้หญิงคนนั้น เพราะพอรู้ว่านางถูกทำร้ายท่าทีของมันก็เปลี่ยนไป เจ้าแน่ใจหรือ ปิศาจอีกตัวถาม และเมื่อเจ้าหัวนกพยักหน้ามันก็หันไปมองมิสึกิ งั้นไปจัดการกันเถอะ เจ้าเป็นคนจับส่วนข้าจะคอยระวังเจ้าอสูรนั่นให้ ปิศาจทั้งสามย่องเข้าไปหามิสึกิซึ่งยังคงยืนมองไพราอย่างปราศจากความระมัดระวัง เมื่อเข้าไปใกล้เจ้าปิศาจนกจึงเอื้อมมือหมายจะจับนางแต่เพียงปลายนิ้วสัมผัสกับเส้นผมมือข้างนั้นก็ถูกด้ายสีแดงที่พุ่งมาจากห้องด้านข้างตัดจนขาดกระเด็น ไม่เพียงแค่แขนเท่านั้น ร่างของปิศาจทั้งสามเองก็ถูกบั่นเป็นชิ้นร่วงลงไปกองกับพื้นแทบเท้ามิสึกิ หญิงสาวยกมือทาบอกด้วยความตกใจแต่เมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือแล้วนางถึงกับยิ้มกว้างและรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับร้องเรียกด้วยความดีใจ ฮารุคาเสะ แม้จะยินดีที่เห็นหญิงอันเป็นที่รักปลอดภัยแต่ชายหนุ่มก็ยังคงรักษาท่าทีให้สงบนิ่งและถามอย่างเคร่งขรึม ไม่เป็นไรใช่ไหม มิสึกิผงกศีรษะรับและหันไปทางไพราที่ยังกำลังโยนปิศาจตัวหนึ่งออกไปนอกกำแพง โชคดีที่ไพรามาช่วยได้ทัน นางหันกลับมายังฮารุคาเสะ เขาพยักหน้าด้วยความโล่งอกพัดคู่ในมือถูกยกขึ้นในท่าพร้อมจู่โจม มาอยู่ข้างหลังข้า ทันทีที่มิสึกิไปยืนด้านหลังตามคำสั่ง นักนาฏกรรมหนุ่มก็สะบัดพัดคู่ในมือ สายลมที่นิ่งสงบกลับแปรเปลี่ยนเป็นลมหมุนดึงกลีบซากุระที่ตกเกลื่อนพื้นให้ลอยขึ้นมาและพุ่งออกไปเชือดร่างปิศาจที่เหลือจนขาดเป็นริ้วไม่เหลือรอดแม้สักตัว ไพราซึ่งกำลังเงื้อมือเตรียมสังหารปิศาจตัวหนึ่งถึงกับชะงัก เขาหันมามองฮารุคาเสะอย่างไม่พอใจนัก ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย ข้าก็ไม่คิดจะช่วยเจ้า ชายหนุ่มสวนกลับทันควัน จอมอสูรมองเขาด้วยดวงตาลุกวาว ใช่ ฮารุคาเสะตอบพร้อมกับขยับพัดในมือ มิสึกิรีบดึงแขนเขาเอาไว้พร้อมกับร้องห้าม ชายหนุ่มหยุดชะงักและหันไปมองนางด้วยความแปลกใจแต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามถึงเหตุผลเสียงขู่ฟ่อจากคุโระอิเนโกะก็ดังขัดขึ้น ทั้งฮารุคาเสะและไพราหันไปมองที่กำแพงปราสาทพร้อมกัน จอมอสูรถึงกับคำรามลั่นเมื่อเห็นนางปิศาจแมวดำกำลังกางเล็บและทำท่าคล้ายจะกระโจนลงมาตะกุยเขาให้แหลกคามือ ที่แท้ก็เป็นเจ้าเองที่พาปิศาจพวกนั้นเข้ามา เขาขยับไปข้างหน้าและยื่นมือข้างที่มีขนสัตว์สีขาวออกไป คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้อีก เพลิงสีแดงพุ่งวาบเข้าใส่คุโระอิเนโกะทันทีที่จอมอสูรพูดจบ นางพลิกตัวหลบและกระโจนสวนเข้าไปหา กรงเล็บแหลมกางออกหมาจะฉีกเนื้ออีกฝ่ายแต่ไพราเบี่ยงหลบได้ทันนางแมวปิศาจจึงทำแค่จารึกรอยข่วนบนแผ่นหลังเป็นทางยาว แม้จะไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์แต่การกระทำอันอุกอาจสร้างความพิโรธต่อไพราเป็นอย่างมาก เขาร้องคำรามออกมาดังลั่นก่อนเหวี่ยงกำปั้นเข้าไปที่ใบหน้าของปิศาจแมวดำแต่นางกลับกระโดดหนีขึ้นไปยืนบนกำแพงและตวัดลิ้นเลียเลือดอสูรบนปลายนิ้วอย่างยั่วยวน เลือดของเจ้าหวานไม่ใช่เล่น ดวงตาสีอำพันมองอย่างท้าทาย สีหน้าเย้ยหยันของนางทำให้ไพราถึงกับขบกราม ข้าจะขยี้เจ้าไม่ให้เหลือซากสักชิ้น คุโระอิเนโกะขานรับคำสบถด้วยเสียงร้องของแมวก่อนจะกระโดดแผล็วลงจากกำแพงและวิ่งหายเข้าไปในฝูงชนโดยมีไพราพุ่งตัววิ่งตามหลังออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นจอมอสูรออกไปจากเขตปราสาทแล้วฮารุคาเสะจึงหันกลับไปยังมิสึกิและแตะคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนบนเสื้อของนาง เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เขาถามด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวสั่นศีรษะ ข้าไม่เป็นไร ฮารุคาเสะถอนใจอย่างโล่งอกพลางเช็ดรอยเปื้อนบนพวงแก้มปลั่ง การกระทำอันแสนอ่อนโยนของเขาทำให้สร้างความสุขใจต่อมิสึกิเป็นยิ่งนัก แต่ด้วยตำแหน่งกุลสตรีอันสูงศักดิ์ทำให้นางต้องพยายามสะกดรอยยิ้มเอาไว้ใบหน้าแสนงามก้มลงเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวอย่างเอียงอาย นั่นไม่ใช่เลือดของข้า ข้ารู้ ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่มพลางลูบแก้มนวลอย่างทะนุถนอมก่อนจะเชยคางของหญิงสาวขึ้น แต่ใบหน้าของเจ้าไม่ควรมีสิ่งใดมาแปดเปื้อน ความร้อนแผ่นซ่านไปทั่วพักตร์งาม ดวงตาที่ฉายความห่วงใยของฮารุคาเสะทำให้มิสึรู้สึกขวยเขินจนแทบจะก้มหน้าลงหลบ หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเริ่มแรงขึ้นเมื่อถูกชายหนุ่มรั้งร่างเข้าไปไว้ในอ้อมกอด มิสึกิ เสียงเรียกแผ่วเบาราวกระซิบขณะที่ใบหน้าสง่างามก้มลงและหยุดชะงัก พัดที่ถูกซ่อนไว้ในแขนเสื้อเลื่อนเข้ามาอยู่ในมือและสะบัดไปทางด้านหลัง สายลมคมกริบราวกับมีดตัดผ่านพุ่มดอกอะจิไซจนขาดสะบั้น เสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจดังท่ามกลางเศษใบไม้ปลิวว่อน ฮารุคาเสะหันหน้าไปยังเจ้าของเสียงและนิ่วหน้าเมื่อเห็นคุโระอิเนโกะที่กำลังนอนกระดิกหางอยู่บนต้นซากุระ เจ้าหนีรอดจากไพรามาได้ยังไง หนีปิศาจแมวดำทวนคำและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นสิ่งที่อสูรตัวนั้นตามคือเงาของข้าต่างหาก หมายความว่าเจ้าอยู่นี่มาโดยตลอด ฮารุคาเสะพูดเสียงห้วนพลางดันร่างมิสึกิให้ไปยืนอยู่ด้านหลัง คุโระอิเนโกะเหยียดตัวและใช้กรงเล็บตะกุยกิ่งซากุระเล่นพลางมองคนทั้งสองด้วยดวงตาวาว ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นหากงานยังไม่เสร็จ งาน ชายหนุ่มกล่าวทวนคำและเบิกตากว้างเมื่อแมวปิศาจกระโจนเข้าใส่ เขารีบวาดพัดในมือเรียกกลีบดอกไม้ขึ้นมาบังแต่นางแมวดำกลับปัดออกและคว้าพัดด้ามหนึ่งเอาไว้ส่วนมืออีกข้างเงื้อง่าขึ้นหมายจะตะปบลงไปบนใบหน้าของคู่ต่อสู้แต่ต้องหยุดชะงักค้างเพราะถูกด้ายสีแดงยึดเอาไว้ สายธารโลหิต ฮารุคาเสะกล่าวเสียงเย็น ไหมสีแดงสดพุ่งออกไปเป็นสายโอบรัดร่างของคุโระอิเนโกะเอาไว้และบั่นนางจนขาดเป็นท่อนร่วงกระจายเกลื่อนพื้น ชายหนุ่มมองและต้องนิ่วหน้าเพราะแทนที่ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะเป็นเศษซากของนางปิศาจ มันกลับเป็นร่างไร้วิญญาณของข้ารับใช้คนหนึ่ง นี่มันอะไรกัน เสียงร้องของมิสึกิดังขัดความคิด ฮารุคาเสะหันกลับไปมองและขบกรามแน่นเมื่อพบว่าปิศาจแมวดำกำลังรวบนางเอาไว้ บอกแล้วว่าข้าต้องทำงานให้เสร็จ หรือว่าเป้าหมายของเจ้าคือมิสึกิ ถูกต้อง คุโระอิเนโกะพูดพลางลากกรงเล็บไปบนใบหน้าของมิสึกิช่างงดงามดุจ สายลมกราดเกรี้ยวพุ่งวาบเฉียดร่างฉีกแขนเสื้อของปิศาจแมวดำจนขาดเป็นริ้ว นางเลื่อนสายตาไปทางนักนาฏกรรมหนุ่มพร้อมกับแสยะยิ้ม โจมตีมาแบบนี้ไม่คิดหรือว่าอาจจะทำให้คนรักของเจ้าบาดเจ็บ ลมของข้าไม่มีวันทำร้ายนาง ฮารุคาเสะตอบเสียงห้วนพร้อมกับวาดพัดไปด้านข้าง คุโระอิเนโกะจึงกดเล็บลงไปบนลำคอของมิสึกิ ข้าหมายถึงกรงเล็บนี่ต่างหาก คำพูดของนางปิศาจทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของมิสึกิก่อนตัดสินใจลดพัดทั้งคู่ลง ปิศาจแมวดำเห็นดังนั้นจึงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ทำแบบนี้แสดงว่าเจ้ายอมให้นางตกเป็นสมบัติของซาวาระ พัดในมือกำแน่นจนสั่นระริก แน่นอนว่าฮารุคาเสะย่อมไม่มีวันปล่อยให้คุโระอิเนโกะพา ฮารุคาเสะ กรงเล็บที่ถูกจ่อไว้บนลำคอเลื่อนขึ้นไปบนใบหน้ากรีดพวงแก้มของหญิงสาวจนเป็นแผลฉกรรจ์เรียกเลือดสีแดงฉานให้ไหลทะลักออกมาราวกับน้ำ นางแมวร้ายสบถลั่นด้วยความโกรธและรีบร่ายมนตร์เพื่อให้อีกฝ่ายหมดสติ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พานางออกจากปราสาทด้ายสีแดงก็พุ่งเข้ามาพันธนาการร่างของคุโระอิเนโกะเอาไว้ นางปิศาจคำรามลั่นเมื่อเห็นร่างของมิสึกิกำลังถูกกลีบดอกไม้ประคองให้ลอยไปหาฮารุคาเสะ เจ้า! กล่าวออกมาเพียงเท่านั้นนางแมวดำก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าสิ่งที่มัดตรึงร่างนั้นไม่ใช่พู่ไหมประดับพัดเหมือนทุกครั้ง หากแต่เป็นเส้นผมยาวสยายของผู้ที่กำลังกางแขนออกเพื่อรับร่างบุตรีของยาสึฮิระ ฮารุคาเสะ เส้นผมที่เคยเป็นสีดำสนิทดุจขนกาบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับเปลวเพลิง มันสะบัดไปมาคล้ายเปลวอัคคีที่เต้นระริกยามต้องสายลม สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คุโรอิเนโกะต้องอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง หรือว่าเจ้า ใบไม้อีกกลุ่มพุ่งกรูเข้ารุมล้อมปิศาจแมวดำฉีกทึ้งมันจนแหลกเป็นชิ้น เมื่อแน่ใจว่าปลิดชีพปิศาจร้ายได้แล้วใบไม้ทั้งหมดจึงหยุดหมุนวนและร่วงหล่นลงบนพื้น ฮารุคาเสะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะแทนที่จะพบเศษซากชิ้นส่วนของนางปิศาจกลับมีเพียงเส้นขนสีดำเพียงกระจุกเดียว
เขาพึมพำด้วยความเจ็บใจจากนั้นจึงก้มหน้าลงมองคนรักในอ้อมแขนและวางมือลงบนบาดแผล ดวงตาสีเข้มบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำดุจเลือดจ้องดวงหน้างามนิ่งขณะที่ภายในใจเริ่มภาวนา ราวกับมีพลังบางอย่างถ่ายทอดผ่านมือลงไปยังมิสึกิ รอยแผลลึกค่อยๆประสานตัวทีละน้อยจนหายสนิทไม่มีเหลือแม้รอยขีดข่วนเช่นเดียวกันกับเส้นผมของฮารุคาเสะที่กลับคืนเป็นสีดำ เมื่อชายหนุ่มถอนมือออกเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไพราก้าวเข้ามาหาพอดี เกิดอะไรขึ้น นางได้รับบาดเจ็บ ฮารุคาเสะตอบเสียงเรียบพลางไล้ใบหน้าของหญิงสาวด้วยปลายนิ้ว จอมอสูรรีบก้มหน้าลงมองพร้อมกับถามด้วยความโกรธ เจ้าปล่อยให้นางบาดเจ็บได้ยังไง ข้าควรจะถามเจ้าว่าเหตุใดจึงมองไม่ออกว่านางแมวปิศาจนั่นเป็นภาพมายามากกว่า คำถามของชายหนุ่มทำให้ไพราถึงกับเถียงอะไรไม่ออก เมื่จนปัญญาที่จะหาคำมากล่าวแก้เขาถึงกระแทกลมหายใจก่อนถามเสียงเรียบ นางเป็นยังไงบ้าง หายดีแล้ว รอแค่ให้ฟื้นคืนสติขึ้นมาเท่านั้น จอมอสูรมองฮารุคาเสะอย่างใคร่ครวญ เพราะถึงจะเพิ่งเข้ามาแต่เขายังทันเห็นว่าเส้นผมของฮารุคาเสะเป็นสีแดงดุจเปลวไฟ เจ้าไม่ใช่มนุษย์ เขาเปรยด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงเรียบ แต่ข้าก็ไม่ใช่ปิศาจ ไพราเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับย้อนถาม แน่ใจหรือที่พูดแบบนั้น ชายหนุ่มหันไปจ้องเขาทันที ประกายบางอย่างเต้นระริกอยู่ในแววตา เจ้าหมายความว่ายังไง ข้าเคยเห็นผู้ใช้เวทและนักปราบมารมามาก แต่ไม่เคยเห็นผู้ใดมีเส้นผมสีแดงเหมือนกับเจ้า อีกอย่างความสามารถในการเรียกสายลมมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่วกับพู่ไหมที่ห้อยอยู่บนพัดนั่น อยากให้ข้าพูดไหมว่ามันคืออะไร ฮารุคาเสะขยับพัดเข้าไปไว้ในแขนเสื้อแทบจะทันทีคล้ายต้องการซ่อนมันให้พ้นจากสายตาของจอมอสูร เจ้า... ชายหนุ่มหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงครางอย่างแผ่วเบาดังมาจากมิสึกิ ทั้ง มิสึกิ ดวงตาของหญิงสาวกะพริบสองสามครั้งอย่างมึนงงและเบิกกว้าง นางลุกพรวดขึ้นและกวาดมองรอบตัวอย่างตื่นกลัวพลางขยับตัวเข้าไปหาฮารุคาเสะ ปิศาจตนนั้นล่ะ มันหนีไปแล้ว ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่ม หญิงสาวยกมือขึ้นแตะใบหน้าและขมวดคิ้วอย่างงุนงง ข้าจำได้ว่าถูกเจ้าปิศาจนั่นข่วน เจ้าโดนมันหลอกด้วยภาพมายา.... พูดออกมาได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสัมผัสถึงคลื่นพลังรุนแรงที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ฮารุคาเสะรีบถอยห่างออกจากมิสึกิและกำพัดในมือแน่น ส่วนไพรานั้นยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่ดวงตามองไปยังทิศทางอันเป็นที่มาของกลุ่มพลัง เขาหัวเราะเบาๆในลำคอ ผู้ทรงอำนาจแห่งโคะโตโระมาแล้ว สิ้นคำพูด ร่างในชุดเกราะนักรบอันงามสง่าก็ก้าวเข้ามาโดยมีโคดาจิเดินตามไม่ห่าง ใบหน้าที่เคร่งขรึมเคร่งเครียดขึ้นในทันทีเมื่อเห็นศพของทหารและข้ารับใช้ที่นอนตายปะปนไปกับชิ้นส่วนของปิศาจกลาดเกลื่อนไปทั่วสวน หลังจากกวาดตามองไปจนทั่วเขาจึงหันมายังฮารุคาเสะและถามเสียงห้วน เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เขามาช่วยข้า มิสึกิรีบกล่าวตอบ ยาสึฮิระขมวดคิ้วและเลื่อนสายตากลับไปที่สวนอีกครั้งพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม เกิดอะไรขึ้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่กำลังจะเขียนบททกลอนอยู่ๆก็มีพวกปิศาจบุกเข้ามา พวกมันไล่ฆ่าคนของเราอย่างโหดร้ายทารุณ หากคุณชายฮารุคาเสะไม่เข้ามาช่วย ข้าเองก็คงไม่รอดเหมือนกัน ดวงตาคมกล้าของยาสึฮิระจ้องฮารุคาเสะเขม็งจากนั้นจึงตวัดกลับไปที่สวน แม้จะเห็น เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า หญิงสาวสั่นศีรษะ ยาสึฮิระจึงพยักหน้าและแตะไหล่นางอย่างแผ่วเบา เขาหันไปทางนักนาฏกรรมหนุ่มและก้มหน้าลงพอเป็นพิธี ขอบใจ ฮารุคาเสะรีบค้อมตัวลงรับพร้อมกับกล่าวอย่างนอบน้อม ข้าทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น เจ้าเมืองโคะโตโระยิ้ม คนเก่งมักไม่โอ้อวดฝีมือ นอกจากเจ้าจะมีความสามารถแล้วยังมีสติปัญญาและความกล้าหาญไม่แพ้นักรบ หากไม่ใช่พวกนาฏกรรมแล้วข้าคงให้มาอยู่ร่วมในกองทัพ ชายหนุ่มก้มศีรษะลง คำกล่าวของท่านนับเป็นความเมตตาอย่างสูง ข้ามีเมตตาสำหรับผู้ที่ภักดีเสมอ ยาสึฮิระกล่าวพลางหันไปยังมะรุอิชิที่ยืนอยู่ด้านหลัง พาพวกที่บาดเจ็บไปรักษา ส่วนเจ้า เขาชำเลืองตาไปทางโคดาจิที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง นำร่างของพวกที่ตายออกไป คัดแยกซากปิศาจออกจากพวกเขาเอาไปเผาทิ้งให้หมด และสั่งให้คนเข้ามาจัดการทำความสะอาดที่นี่ให้เร็วที่สุด ทั้งมะรุอิชิและโคดาจิต่างค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวรับคำ จากนั้นทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามที่ผู้เป็นนายสั่งทันที เมื่อจัดการทุกอย่างแล้วยาสึฮิระจึงหันไปทางมิสึกิพร้อมกับกล่าวอย่างอ่อนโยน วันนี้เจ้าคงต้องไปพักที่จวนของข้าก่อน รอให้พวกทหารกับข้ารับใช้ทำความสะอาดที่นี่เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา เมื่อบุตรสาวรับคำเขาจึงเบือนหน้าไปทางฮารุคาเสะ ส่วนเจ้าคงต้องกลับไปที่ห้องก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปสอนมิสึกิที่จวนของข้า กล่าวจบเจ้าเมืองโคะโตโระก็หมุนตัวเดินออกจากที่นั่น มิสึกิมองฮารุคาเสะอย่างอาวรณ์และก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะรีบก้าวตามบิดา เมื่อทั้งสองพ้นจากบริเวณนั้นแล้วเสียงร้องสั่งจากมะรุอิชิก็ดังขึ้น ชายหนุ่มจึงหันไปมองกลุ่มทหารที่กำลังช่วยกันนำคนเจ็บออกไปทำการรักษาต่างจากการทำงานของทหารด้านโคดาจิที่ลำเลียงร่างคนตายออกไปด้านนอกอย่างเงียบกริบ ไร้คำพูดใด หลังจากยืนดูการทำงานของทหารทั้งสองกลุ่มอยู่ครู่หนึ่งฮารุคาเสะจึงกลับไปยังเรือนรับรองที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปราสาทซึ่งต้องผ่านจวนของยาสึฮิระ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นชายหนุ่มลอบสังเกตบริเวณโดยรอบรวมทั้งข้ารับใช้และทหารรักษาการณ์ เขาพบว่านอกจากม่านพลังที่ปกคลุมทั่วทั้งจวนกับทหารบางคนที่เป็นพวกถูกเรียกกลับมาจากความตายแล้ว สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นแทบไม่มีอะไรผิดปรกติเลยสักนิด นับเป็นสิ่งผิดวิสัยของพวกที่ทำข้อตกลงกับปิศาจ เพราะคนจำพวกนี้มักจะสูญเสียจิตวิญญาณไปทีละน้อยและถูกความมืดเข้าครอบงำ กลืนกินทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง หรือข้าเข้าใจเขาผิด ฮารุคาเสะพึมพำและมองจวนของยาสึฮิระอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินจากไป */*/*/*/*/* หลังจากส่งมิสึกิไปพักผ่อนที่ห้องแล้วยาสึฮิระจึงเดินไปยังด้านหลังปราสาทจนกระทั่งถึงลานแห่งหนึ่งจึงหยุดและหันไปมองโคดาจิที่กำลังค้อมตัวลงทำความเคารพ พวกเขาเป็นยังไงบ้าง ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่แขนขาถูกฉีกหรือโดนกัดกินลำตัวจนทะลุ มีเพียงทหารสามนายกับสาวใช้แค่เดียวเท่านั้นที่มีบาดแผลน้อยที่สุด หัวหน้าองครักษ์รายงานและเมื่อผู้เป็นนายผงกศีรษะ เขาจึงเดินนำไปยังร่างของคนทั้งสี่ที่ถูกวางแยกไว้ต่างหาก ยาสึฮิระมองด้วยสายตาเศร้า หากเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพแบบนี้เลย เจ้าเมืองโคะโตโระกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังนักพลางโบกมือไปด้านข้าง ไอพลังบางอย่างรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีน้ำเงินเข้มปะทุเหนือศีรษะของผู้ไร้วิญญาณ มันทอแสงเจิดจ้าขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะแทรกตัวจมหายไปในหน้าผาก ดวงตาของคนทั้งสี่เบิกโพลงทันที ทั้งหมดลุกขึ้นยืนและค้อมตัวให้กับยาสึฮิระพร้อมกัน นายท่าน ดีใจที่พวกเจ้ากลับมา จ้าวปิศาจกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและมองทหารทั้งสามพวกเจ้าไปรายงานตัวกับโคดาจิส่วนเจ้า เขาเลื่อนสายตาไปที่สาวใช้ ย้ายไปทำงานในจวนของข้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งสี่โค้งคำนับพร้อมกับกล่าวรับคำ ยาสึฮิระจึงผงกศีรษะและหันไปทางโคดาจิ แล้วเจ้าทำยังไงกับพวกที่เหลือ พวกชิ้นส่วนของปิศาจข้าสั่งให้ทหารนำไปเผาทิ้งที่นอกเมือง ส่วนร่างของทหารกับคนในปราสาทถูกนำไปฝังที่เชิงเขาโฮระนะฮาจิ ข้าได้ส่งคำแสดงความเสียใจไปที่บ้านของพวกเขาทุกคนแล้วขอรับ ดีมาก ยาสึฮิระกล่าวและหยุดนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงกลองลั่นมาจากด้านนอกของปราสาท ดูเหมือนโอริเอะจะกลับมาแล้ว ข้าคงต้องไปรอพบเขา จัดการทางนี้ให้เรียบร้อยด้วย เจ้าเมืองโคะโตโระเดินออกจากสถานที่แห่งนั้นกลับไปยังจวนซึ่งเมื่อไปถึงเขาก็พบว่า ข้า โอริเอะ ได้นำกองทัพและชัยชนะกลับมายังโคะโรโตะแล้วขอรับ คำพูดของเขาทำให้ยาสึฮิระยิ้มอย่างยินดี เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับกล่าว เป็นข่าวที่น่าดีใจยิ่ง แต่ข้าศึกทางด้านนั้นมีทั้งทัพของคาสึรางิกับอิวะ เจ้าเอาชนะทหารที่ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องกลสังหารด้วยวิธีใด โอริเอะก้มศีรษะลง ตอนที่กองทัพของข้าไปถึงพบว่าค่ายของเราถูกคาสึรางิกระหน่ำโจมตีอย่างหนักจึงต้องใช้วิธีตั้งรับและตอบโต้จนพวกมันล่าถอย เมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามทัพของคาสึรางิก็เตรียมจู่โจมเราอีกครั้งโดยมีทัพของพวกอิวะคอยสนับสนุน แต่ก่อนที่พวกมันจะเคลื่อนทัพ ข่าวเรื่องค่ายด้านเหนือของโคะโตโระมีชัยต่อพวกคาสึรางิก็มาถึง ทัพของอิวะจึงชะลอการบุกและล่าถอยไปในที่สุดส่วนพวกคาสึรางิก็รั้งรออยู่ราวครึ่งคืนจึงถอนทัพกลับไป แม่ทัพหนุ่มหยุดพูดและมองหน้าผู้เป็นนาย ไม่ทราบว่าท่านพอจะรู้ข่าวเรื่องอาซามิหรือยัง ข้าเองก็เพิ่งจะมาถึง มีอะไรหรือ ยาสึอิระถาม โอริเอะจึงตอบด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก มีข่าวว่าอาซามิ เคียวคุเซ็นถูกลอบสังหารในคืนที่กองทัพของเขาพ่ายแพ้ต่อท่านที่ค่ายด้านเหนือ สิ่งที่ได้ยินทำให้ยาสึฮิระนั่งนิ่งไปชั่วขณะ รอยยิ้มสาสมใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าและถูกปรับให้เคร่งขรึมเช่นดังเดิมแทบจะทันที ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ข้าได้ยินมาว่าจวนของอาซามิมีการคุ้มกันที่แน่นหนากระทั่งมดหรือแมลงก็ไม่อาจจะเดินผ่านเข้าไปได้ เขาหยุดคำพูดไปเล็กน้อย พอจะรู้ไหมว่าเป็นฝีมือของใคร ข้ายังไม่ทราบ แต่มีข่าวลือว่าเป็นการกระทำของพวกปิศาจ บ้างก็ว่าเป็นฝีมือของท่าน เหลวไหลไร้สาระ ยาสึฮิระพูดสวนขึ้นมาทันควันและขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของโอริเอะ อย่าบอกนะว่าเจ้าก็เชื่อเรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อหรอกขอรับ แต่สภาพของอาซามิทำให้อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ สภาพเขาทำไม ได้ยินมาว่าร่างของอาซามิถูกกัดกินจนเหลือแต่โครงกระดูก ส่วนหนังถูกถลกออกมาและขึงไว้กลางห้องโดยมีคำว่า โคะโตโระ จารึกเอาไว้ คนพวกนั้นจึงคิดว่าท่านอาจจะมีเกี่ยวข้องกับความตายของเขา โอริเอะมองหน้ายาสึฮิระและบังเกิดความรู้สึแกแปลกใจเพราะแทนที่จะเห็นสีหน้านิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความครุ่นคิดเหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้เขากลับเห็นรอยยิ้มของความสาสมใจแฝงอยู่บนใบหน้าของผู้เป็นนาย ชั่วขณะหนึ่งนั้นเองที่แม่ทัพหนุ่มเห็นเงาเลือนลางของปิศาจทาบทับอยู่บนร่างสง่าของเจ้าเมืองโคะโตโระ แต่ก็เพียงแค่เขากะพริบตาเงานั้นก็เลือนหายไป เป็นอะไรไปหรือโอริเอะ ยาสึฮิระเอ่ยถามเมื่อเห็นอาการตกตะลึงงงงันของอีกฝ่าย ม...ไม่มีอะไรขอรับ เขาขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้น แล้วท่านจะจัดการยังไงต่อไปหรือขอรับ ข้าหมายถึงคงไม่เกิดผลดีต่อเราแน่หากพวกคาสึรางิยังเข้าใจผิดแบบนั้น ไม่ต้องเป็นกังวล คนพวกนั้นไม่กล้าลงมืออะไรกับเราแน่ ยาสึฮิระตอบพร้อมกับเลื่อนมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมา ยิ่งตอนนี้คาสึรางิมีคนไม่เอาไหนอย่างอาซามิ ฮิโรซะเป็นผู้นำด้วยแล้ว คงไม่กล้ามาวุ่นวายกับพวกเราอีกต่อไป แต่...โอริเอะทำท่าจะแย้งแต่ต้องหยุดเมื่อผู้เป็นนายโบกมือ เจ้าเพิ่งกลับมาจากการศึกคงเหน็ดเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาหาข้าอีกครั้ง เราจะจัดงานฉลองให้กับทหารทุกคน แม่ทัพหนุ่มจำต้องกล่าวรับคำและค้อมตัวลงจนหน้าผากเกือบจรดพื้นก่อนจะถดตัวถอยออกจากห้อง เขาลุกขึ้นโค้งคำนับอย่างนอบน้อมอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป ยาสึฮิระจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มและเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกมองกลีบซากุระที่กำลังโปรยปรายลงสู่พื้นอย่างสบายใจ แน่นอนว่างานฉลองนี้ต้องมีการแสดงของเจ้า รอยยิ้มอำมหิตฉาบบนมุมปาก และจะต้องเป็นนาฏกรรมที่งดงามที่สุด เพราะมันคือการร่ายรำบนกองเลือด */*/*/*/*/*
เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 11 การจู่โจมของคุโระอิเนโกะ
บทที่ 11 เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 10 การสังหารอาซามิ
บทที่ 10 การสังหารอาซามิ ทิวธงที่โบกสะบัดไปตามแรงลมที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้กำแพงค่ายทำให้นายกองประจำค่ายทางด้านทิศเหนือของโคะโตโระต้องร้องเร่งให้พลธนูตั้งแถวเป็นสองชั้นและผลัดกันระดมยิงเข้าใส่ข้าศึกทุกคนที่เข้ามาในระยะ แม้จะป้องกันการบุกได้บ้างแต่ก็ได้แค่ชะลอการรุกให้ช้าลงเท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายนำโล่มาตั้งรับ ผลจากการยิงก็ด้อยค่าลง ประกอบการโจมตีด้วยธนูของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาราวกับห่าฝนทำให้ทหารของโคะโตโระแทบไม่มีโอกาสตีโต้กลับได้เลย ทางด้านนายทัพของคาสึรางิเมื่อเห็นว่าทหารของโคะโตโระเริ่มอ่อนกำลังลงจึงรีบออกคำสั่งให้ทหารทั้งหมดบุกเข้าประชิดกำแพง นักรบที่อยู่บนเชิงเทินพยายามป้องกันทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการเทน้ำร้อน น้ำมันเดือดและทรายคั่วเข้าใส่ข้าศึกแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะเพียงแค่ร่วงลงไปเพียงครึ่งทางทุกอย่างก็อันตรธานหายไปราวกับมีปิศาจมาคอยดูดกลืน เมื่อไม่มีสิ่งใดยับยั้งการบุกของทหารคาสึรางิได้แล้วนายกองจึงตัดสินใจใช้อาวุธทั้งหมดป้องกันมิให้ทหารของข้าศึกรุกเข้ามาในกำแพง เสียงโห่ร้องอย่างผู้มีชัยกับเสียงตะโกนขับไล่จากผู้ตั้งรับดังสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา ทหารของเรากำลังเสียเปรียบ เขากล่าวด้วยความตระหนกและหันไปยังองครักษ์สิบห้าคนที่นำมาด้วย รีบล่วงหน้าไปและฆ่าพวกคาสึรางิให้หมด อย่าให้พวกมันล่วงเข้ามาในค่ายของเราแม้ปลายนิ้ว โคดาจิโค้งคำนับรับคำสั่งและก้าวนำองครักษ์ทั้งหมดออกไปอย่างรวดเร็ว มะรุอิชิมองตามด้วยความสงสัย พวกเขาจะรับมือไหวหรือขอรับ ยาสึฮิระแสยะยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุกจนนายกองหนุ่มถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ยิ่งเมื่อได้เห็นความอำมหิตฉายออกมาจากดวงตาของผู้เป็นนายแล้วเขาถึงกับขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ถ้าอยากรู้ก็เร่งฝีเท้าให้เร็วเข้า ยาสึฮิระกล่าวเสียงห้วนและออกเดินนำทันที มะรุอิชิจึงรีบตะโกนสั่งทหารทั้งหมดให้เคลื่อนพลติดตาม ระหว่างที่กำลังเดินผ่านป่าสนอยู่นั้นก็บังเกิดเสียงหวีดหวิวฟังแล้วชวนขนพองสยองเกล้าลอยมาตามสายลม มีเพียงยาสึฮิระเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในอาการสงบนิ่งในขณะที่ทหารทุกคนเลื่อมมือไปกุมดาบพร้อมกับหันไปมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง เจ้าพวกสวะ เจ้าเมืองโคะโตโระพึมพำ พลังทำลายมหาศาลแผ่ออกตัวพุ่งออกไปรอบด้านราวกับคลื่นสังหารปิศาจที่ซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้จนหมดสิ้นไม่เหลือรอดแม้เพียงสักตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดทำร้ายทหารได้แล้วเขาจึงสั่งให้ทุกคนออกเดินทางอีกครั้งไม่ช้าค่ายทางด้านทิศเหนือก็ปรากฏขึ้นในสายตา ยาสึฮิระยกมือขึ้นเป็นเชิงสั่งให้หยุดและยืนจ้องนิ่งไม่ยอมขยับอยู่เช่นนั้นจนมุระอิชิต้องเข้าไปถามด้วยความแปลกใจ มีอะไรหรือขอรับ ข้ากำลังรอ ผู้เป็นนายตอบทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่ค่าย หลังจากยืนนิ่งเฉยอยู่ชั่วอึดใจก็มีกระแสลมพัดผ่านค่ายมากระทบ กลิ่นคาวเลือดรุนแรงที่ลอยมาตามลมทำให้นายกองหนุ่มต้องอุทานออกมา หรือว่าพวกคาสึรางิยึดค่ายของเราไปได้ นั่นเป็นกลิ่นความตายของพวกมันต่างหาก ยาสึฮิระตอบเสียงเย็นและเหยียดยิ้มเมื่อเห็นธงประจำตระกูลกำลังโบกสะบัดอยู่บนยอดเสา เขาหันมายังนายกองหนุ่ม ไปบอกทหารทุกคนว่าเตรียมตัวให้พร้อม เราจะไล่ล่าพวกคาสึรางิไม่ให้พวกมันเหลือรอดกลับไปได้สักคน มะรุอิชิค้อมตัวลงและรีบก้าวไปร้องสั่งทหารตามที่ยาสึฮิระกล่าวทุกคำ กองกำลังของยาสึฮิระจึงเคลื่อนเข้าไปในค่ายเพื่อสมทบกับนักรบของโคดาจิจากนั้นทั้งหมดจึงเดินทัพผ่านประตูค่ายออกไปยังสมรภูมิซึ่งอยู่อีกด้านติดตามนักรบจากแคว้นคาสึรางิที่ถูกเหล่าองครักษ์ตีจนแตกพ่ายถอยร่นเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่า บรรดาปิศาจที่เคยให้ความช่วยเหลืออำพรางทัพของฝ่ายศัตรูก็ถูกพลังของผู้ครองโคะโตโระทำลายจนเกือบหมดสิ้น พวกที่รอดก็หนีกลับไปยังปราสาทของ ทางฝ่ายผู้นำทัพของคาสึรางิ แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เขากลับไม่ยอมหันหลังวิ่งหนีศัตรู ตรงกันข้ามเมื่อรู้ว่าแม่ทัพฝ่ายโคะโตโระในครั้งนี้คือยาสึฮิระ เขาจึงตั้งใจที่จะสังหารด้วยมือของตนเอง หลังจากซ่อนตัวในพุ่มไม้อยู่นานในที่สุดร่างของบุคคลในชุดเกราะระดับสูงศักดิ์ก็ปรากฏขึ้น แม่ทัพคาสึรางิรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้จึงพุ่งตัวออกจากที่ซ่อนพร้อมดาบในมือหมายจะสังหารยาสึฮิระให้ดับดิ้นในครั้งเดียว การกระทำอันอุกอาจและรวดเร็วของเขาทำให้ ท่านยาสึอิระ นายกองหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปช่วยแต่โคดาจิซึ่งยืนใกล้กว่าถลันเข้าไปขวาง คมดาบจึงฝังลงไปบนร่างเขาจนทะลุ แม่ทัพของคาสึรางิคำรามลั่นด้วยความโกรธและเตรียมจะกระชากดาบออกแต่โคดาจิกลับคว้าใบหน้าของเขาเอาไว้และออกแรงผลักจนเซล้มลง ผู้นำทัพคาสึรางิรีบยันตัวเตรียมจะลุกขึ้นแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นหัวหน้าองครักษ์กำลังดึงดาบออกจากร่างของตนด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเลือดที่ไหลรินออกจากบาดแผล แทนที่จะเป็นสีแดงฉานกลับเป็นสีดำข้นดุจโคลน แกเป็นตัวอะไรกันแน่ เขาร้องถามเสียงสั่น ยาสึฮิระก้าวไปยืนเคียงข้างโคดาจิและเหยียดยิ้มเย็นเยือกก่อนตอบ ผู้ภักดีที่ฟื้นมาจากความตาย สิ้นคำพูด ดาบในมือโคดาจิก็ตวัดฉับตัดคอแม่ทัพคาสึรางิจนขาดกระเด็น เจ้าเมือง ฝากไปบอกอาซามิด้วยว่า ข้าจะไปเยี่ยมเยือน ยาสึฮิระกล่าวด้วยน้ำเสียงพอได้ยิน กิ่งสนที่อยู่ใกล้สั่นไหวอย่างรุนแรงคล้ายบางสิ่งที่อยู่บนนั้นกำลังดีดตัวออกไป มะรุอิชิมองกิ่งไม้ที่ไหวยวบไล่ตามกันด้วยความหวาดหวั่นกระนั้นเขาก็ยังขยับเข้าไปยืนกำบังให้กับผู้เป็นนาย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติแล้วมะรุอิชิจึงหันไปมองโคดาจิที่ยังคงยืนนิ่งไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นกุมบาดแผลของตนเอง ท่านได้รับบาดเจ็บ นายกองหนุ่มอุทานและนิ่วหน้าเมื่อเห็นเลือดสีดำเปื้อนเต็มเกราะ ขณะจะเข้าไปดูเขาก็ถูกยาสึฮิระคว้าไหล่เอาไว้ เขาไม่เป็นอะไร แต่...มะรุอิชิทำท่าจะแย้งแต่ต้องเงียบเมื่อผู้เป็นนายตัดบท ไปตรวจดูว่ายังมีทหารคาสึรางิเหลือรอดอีกหรือไม่ หากพบจงสังหารมันให้หมด และส่งข่าวไปยังค่ายด้านตะวันออก บอกให้ทุกคนรู้ถึงชัยชนะ แจ้งโอริเอะด้วยว่าให้นำทัพออกไปกวาดล้างข้าศึกได้เลยเพราะพวกมันไม่กล้าที่จะบุกโจมตีเราอีกต่อไป นายกองหนุ่มค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวรับคำและเดินไปปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ามะรุอิชิพ้นไปจากสายตาแล้วยาสึฮิระจึงหันไปยังโคดาจิและทาบมือลงบนอกตรงรอยแผลที่ถูกแทง ทั้งรอยเลือดและบาดแผลต่างเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ถึงร่างกายของเจ้าไร้ความรู้สึกแต่ก็ใช่ว่าจะคงทนต่ออาวุธ หากถูกบั่นออกเป็นชิ้นข้าก็ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป ระมัดระวังตัวเองเอาไว้ด้วยโคดาจิ ข้ายอมเป็นเช่นนั้นเพื่อท่าน หัวหน้าองครักษ์ตอบ ยาสึฮิระสั่นศีรษะ แต่ข้าไม่ปรารถนาที่จะเห็นพวกเจ้าตาย เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดสลัวลง ใกล้ค่ำแล้ว เรียกคนของเจ้ากลับเข้าค่ายและคอยกันไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนข้าในห้อง ดวงตาของยาสึฮิระทอแสงสีแดงก่ำราวกับเปลวไฟ เพราะคืนนี้ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับอาซามิ เคียวคุเซ็น */*/*/*/* ใบหน้าของอาซามิบูดเบี้ยวด้วยความโกรธหลังจากฟังปิศาจที่เหลือรอดจากการรบที่เมืองโคะโตโระเล่าถึงความพ่ายแพ้ของกองทัพคาสึรางิจบลง จอกสุราในมือถูกขว้างจนกระเด็นออกจากห้องในขณะที่ตัวผู้ถือลุกพรวดขึ้นเหวี่ยงเท้าเตะถาดอาหารกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ข้ารับใช้ที่อยู่ภายในบริเวณนั้นต่างพากันหนีไปซุกตัวตามมุมห้องและมองความคุ้มคลั่งของผู้เป็นนายด้วยความหวาดกลัว พ่ายแพ้อย่างงั้นหรือ อาซามิตะโกนก้องเป็นไปได้ยังไง ก็ไหนเจ้าซาวาระมันบอกว่าถ้ามีพวกปิศาจมาช่วยทัพของข้าก็จะมีชัยชนะ แล้วนี่อะไรกระทั่งภูตผีร้ายยังหนีหัวซุกหัวซุนกลับมา เขาหันไปจ้องปิศาจที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายสุนัขป่าด้วยดวงตาดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ อีกฝ่ายรีบก้มตัวลงพร้อมกับพูด ความจริงพวกข้าสามารถบุกเข้าไปในค่ายได้แล้ว และคงสังหารทหารที่อยู่ในนั้นจนหมดถ้าพวกผีดิบไม่เข้ามาขัดขวาง ผีดิบ เจ้าครองแคว้านคาสึรางิทวนคำอย่างฉงน มันเป็นปิศาจประเภทไหน ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน มันไม่ได้เป็นปิศาจเหมือนกันพวกเรา แต่เป็นวิญญาณที่ถูกเรียกให้กลับเข้าไปในร่างและคอยรับใช้ผู้ที่ชุบชีวิตพวกมัน ผีดิบของพวกโคะโตโระไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นทหารที่มีฝีมือเก่งกาจซ้ำยังมีความซื่อสัตย์จงรักภักดี ปิศาจหมาป่าอธิบาย อาซามิขมวดคิ้ว วิญญาณที่ถูกเรียกกลับเข้าร่างอย่างนั้นหรือ งั้นเราก็ต้องหาตัวคนทำและจัดการปลิดชีวิตมันซะ ข้ารู้ว่าใคร ปิศาจหมาป่าพูด เจ้าครองแคว้นคาสึรางิหันขวับไปทางมันทันที ใคร ยาสึฮิระ โยชิฮิโระ นามที่ปิศาจเอ่ยออกมาทำให้อาซามิถึงกับอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อตั้งสติได้เขาจึงพึมพำออกมา เจ้ายาสึฮิระน่ะหรือ ไม่น่าเป็นไปได้ เจ้าแน่ใจนะว่าจำคนไม่ผิด ประโยคสุดท้ายหันไปกล่าวกับปิศาจหมาป่า มันผงกศีรษะรับ ข้าแน่ใจ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตระกูลยาสึฮิระเป็นพวกผู้ใช้เวท มิน่าเล่าพวกทาคุฮันถึงยอมถอดใจไม่กล้าโจมตีโคะโตโระอีกเลย ผู้นำคาสึรางิพูดและยกมือขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด ถ้าอย่างงั้นข้าควรจะใช้วิธีไหนจัดการกับเขา ไม่มี ปิศาจหมาป่าพูดแทรกขึ้นมาและแสยะยิ้มเมื่อเห็นอาซามิหันมามอง ท่านไม่มีทางเอาชนะยาสึฮิระได้เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ใช้เวท ดวงตาสีอำพันหรี่ลงเล็กน้อย แต่เป็นปิศาจ อาซามิอ้าปากค้างและหลุดคำพูดออกมาอย่างตระหนก อะไรนะ เจ้ายาสึฮิระน่ะหรือเป็นปิศาจ มันจะเป็นได้ได้ยังไงแล้วทำไมถึงไม่มีใครรู้เลย ข้าเองก็ไม่รู้จนกระทั่งเห็นเงาของเขาในระหว่างการต่อสู้ ปิศาจหมาป่าพูด ใบหูทั้งสองเอนลู่ไปทางด้านหลังคล้ายหวาดหวั่นต่อบุคคลที่กำลังกล่าวถึง เจ้านั่นไม่ได้เป็นปิศาจด้วยข้อตกลงหรือยืมพลังมาใช้อย่างที่ท่านกับซาวาระทำ แต่เป็นการเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองด้วยความเต็มใจ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าปิศาจระดับข้าไม่มีวันเอาชนะมนุษย์จำพวกนี้ได้ ท่านเองก็เช่นกัน ร่างกึ่งหมาป่าลุกยืนด้วยสองขาหลังและถอยออกจากห้อง พวงหางพองฟูโบกไปมา ก่อนจากข้าขอเตือนท่านสักนิดว่าหากรักชีวิต จงยุติการรุกรานโคะโตโระ กล่าวจบปิศาจสุนัขก็กระโจนหายไปในความมืดทันที ส่วนอาซามินั้นยังคงยืนนิ่งด้วยความตกใจในสิ่งที่ตนเองได้ยิน ความหวาดกลัวปะทุขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ในตอนแรกเขาคิดจะล้มเลิกการโจมตีแต่ทิฐิของผู้ที่ถือตัวว่าเป็นเจ้าครองแคว้นที่มีอำนาจยิ่งใหญ่นั้นมีมากกว่า ในที่สุดอาซามิจึงตัดสินใจที่จะยึดเมืองโคะโตโระและสังหารยาสึฮิระให้สิ้นทั้งตระกูลจะได้ไม่มีผู้ใดกล้าแข็งข้อกับเขาอีกต่อไป แต่ข้าจะจัดการกับเขายังไง ผู้นำคาสึรางิพึมพำพลางเดินวนกลับไปกลับมาและหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่า หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ให้เจ้าปิศาจนั่นไปจัดการยาสึฮิระก็แล้วกัน อาซามิกล่าวกับตนเองและก้าวออกจากห้องตรงไปยังเรือนพักของบุตรชายเพื่อขอให้เดินทางไปยังเมืองอิวะ แต่พอเข้าไปใกล้เขาก็ต้องนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีและเสียงดนตรีดังออกมา อาซามิกระชากประตูเลื่อนให้เปิดออกโดยแรงและขบกรามแน่นเมื่อเห็นบุตรของตนในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยนอนกลิ้งเกลือกอยู่ท่ามกลางหญิงรับใช้และนางต้องห้ามจากกลางเมือง นี่มันอะไรกัน เขาตวาดเสียงดัง สตรีที่อยู่ในนั้นรีบลุกขึ้นและคลานลนลานไปเบียดกันอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่งในขณะที่อาซามิ ฮิโรซะเหยียดยิ้มและตอบบิดาด้วยน้ำเสียงเมามาย ท่านพ่อมาได้จังหวะพอดี ข้ากำลังจัดงานเลี้ยงฉลองอยู่เชิญท่านมาสนุกด้วยกัน เขายื่นถ้วยสุราส่งให้อาซามิ อีกฝ่ายปัดมันออกโดยแรงพร้อมกับพูดเสียงดังด้วยความโกรธ ทหารของเราพ่ายแพ้กลับมาแต่เจ้ากลับนั่งกินเหล้าอยู่กับผู้หญิง ช่างทำตัวไม่สมกับเป็นคนในตระกูลอาซามิที่ยิ่งใหญ่เลยสักนิด ข้าดื่มเพื่อไว้อาลัยให้กับทหารของเราต่างหาก ฮิโรซะพูดด้วยเสียงที่ฟังแทบไม่รู้เรื่องพลางผายมือไปยังกลุ่มสตรีที่นั่งอยู่ริมห้อง ส่วนพวกนางช่วยขับกล่อมบทเพลงเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่เศร้าหมองของข้า คำอธิบายของบุตรชายนั้นดุจท่อนฟืนที่โยนลงไปในกองไฟ โทสะของอาซามิลุกโพลงราวกับเปลวเพลิง แต่ถึงกระนั้นเขาก็พยายามข่มอารมณ์และถามเสียงต่ำ ไว้อาลัยอย่างงั้นหรือ เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการรบในครั้งนี้บ้างฮิโรซะ ข้ารู้ว่าท่านพ่อส่งกองทัพไปที่โคะโตโระ และถ้าชนะเราก็จะมีอำนาจยิ่งใหญ่มากขึ้น อาซามิมองบุตรชายด้วยสายตาที่หลากความรู้สึก ทั้งโกรธ สมเพชและระอาใจในความไม่เอาไหน ในที่สุดเขาก็หลุดคำพูดออกมาเบาๆ ถ้าเจ้าได้สักครึ่งหนึ่งของบุตรชายซาวาระ ข้าอาจจะดีใจมากกว่านี้ ฮิโรซะชูถ้วยสุราในมือขึ้นและเปล่งเสียงหัวร่าคล้ายไม่ใส่ใจในสิ่งที่บิดากล่าวเท่าใดนัก เขาหันไปร้องเรียกผู้หญิงให้กลับมาร่วมสังสรรค์ตามเดิม ส่วนอาซามิเมื่อตระหนักว่าไม่มีทางให้บุตรชายเดินทางไปอิวะได้แล้ว เขาจึงหมุนตัวก้าวออกจากห้องมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตัวเอง ทันทีที่ไปถึง อาซามิสั่งให้คนรับใช้จัดเตรียมหมึกและกระดาษสำหรับเขียนจดหมาย เมื่อ สงสัยข้าจะคิดมากไป เขาพูดพึมพำพลางมองเงาที่ทอดยาวไปบนพื้น ความโล่งใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นความตระหนกเมื่อเห็นความผิดปรกติบางอย่างเกิดขึ้น เงาที่ทาบบนพื้นห้องเปลี่ยนท่าทางของตัวมันเองด้วยการหันข้างให้และค่อยๆยืดยาวไปจนจรดเพดานห้อง ขนาดของลำตัวก็ขยายใหญ่ขึ้นจนแทบจะเต็มผนังซ้ำยังมีเขาแหลมคู่หนึ่งผุดขึ้นบนศีรษะ มือที่มีกรงเล็บยกขึ้นเสมออกขณะที่ใบหน้าหันมายังผู้ที่ยืนอยู่กลางห้อง เสียงแผ่วต่ำน่าสะพรึงเอ่ยทักทาย สบายดีหรืออาซามิ เคียวคุเซ็น ผู้นำคาสึรางิชูดาบไปข้างหน้า แม้จะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่เขาก็ยังสะกดกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้ขณะที่ร้องถาม แกเป็นใคร ข้าเป็นใครน่ะหรือ อีกฝ่ายถามย้อนกลับพร้อมกับเปล่งเสียงหัวเราะเย็นเยือกดังสะท้อนไปทั้งห้อง อาซามิแทบเข่าอ่อนเมื่อเห็นดวงไฟสีแดงเรืองรองส่องออกมาจากใบหน้าสีดำสนิท เงารูปมือยืดไปชี้จดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะ ผู้นำคาสึรางิถึงกับเย็นวาบไปทั้งร่าง เขามองเงาทะมึนตรงหน้าพร้อมกับหลุดปาก ยาสึฮิระ ดวงตาสีแดงก่ำเบิกกว้างและจ้องอาซามิราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ช่วงล่างของใบหน้าปริออกเป็นรอยแยกและแปรเปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบเรียงเต็มปาก เงารูปเขาที่เห็นเมื่อครู่ผุดออกมาจนเห็นเด่นชัด เส้นผมสีขาวงอกยาวออกมาและสะบัดไหวราวทุ่งหญ้าต้องลม เมื่อปรากฏตัวจนอีกฝ่ายเห็นได้ชัดร่างสูงใหญ่ของยาสึฮิระก็ย่างสามขุมเข้าไปหาผู้นำคาสึรางิ เขาถอยหนีไปจนติดผนังห้อง มือที่ถือดาบสั่นระริก เหงื่อแห่งความหวาดกลัวไหลทะลักท่วมท้นกาย จ...เจ้าเป็นปิศาจจริงๆหรือนี่ ถูกต้อง ต้องการอะไร อาซามิถามเสียงห้วน ยาสึฮิระยื่นมือออกไปคว้าดาบของเขากระชากจนหลุดจากมือและเหวี่ยงทิ้งไปอีกทาง ปลิดชีวิตเจ้า กรงเล็บจิกลงไปบนศีรษะของผู้นำคาสึรางิและบิดจนใบหน้าหันไปอยู่ทางด้านหลังดับลมหายใจของเขาโดยที่ยังไม่ทันได้รู้ตัว ร่างไร้วิญญาณยืนโอนเอนไปมาแต่ก่อนที่ที่จะล้มครืนลง
*/*/*/*/*/*/* เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 9 จอมอสูรกับจ้าวปิศาจ
บทที่ 9 จอมอสูรกับจ้าวปิศาจ โคดาจิเดินนำฮารุคาเสะเข้าไปในจวนของยาสึฮิระ ระหว่างอยู่บนระเบียงชายหนุ่มลอบสังเกตผู้คนและสรรพสิ่งโดยรอบไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ตัวอาคารหรือแม้แต่ปลาโค่ยหลากสีที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่านอกจากทหารรักษาการณ์บางคนที่ถูกเรียกให้ฟื้นมาจากความตายแล้วส่วนอื่นกลับไม่ปรากฏความผิดปรกติเลยแม้แต่น้อย มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่แตกต่างไปจากทุกอย่างนั่นก็คือพลังกดดันมหาศาลที่ปกคลุมไปทั่วปราสาทยาสึอิระ และศูนย์กลางของพลังดังกล่าวมาจากใจกลางจวนอันเป็นที่พำนักของเจ้าเมือง เมื่อถึงห้องอันเป็นที่พักผ่อนของยาสึฮิระ หัวหน้าราชองครักษ์ซึ่งบัดนี้มีเพียงร่างอันปราศจากไร้ลมหายใจจึงหยุดและหันมาทางฮารุคาเสะ กรุณารอตรงนี้ก่อน เขาหันไปทางประตูและค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมพร้อมกับพูดเสียงกังวาน ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะมาถึงแล้วขอรับ ให้เขาเข้ามา เสียงทรงอำนาจดังตอบมาจากด้านใน โคดาจิจึงผงกศีรษะให้กับข้ารับใช้ที่นั่งรออยู่ เขาค้อมคำนับรับคำสั่งพร้อมกับเลื่อนบานประตูออก หัวหน้าองครักษ์จึงหันไปก้มศีรษะให้กับนักนาฏกรรมหนุ่ม เชิญ ฮารุคาเสะก้าวเข้าไปในห้องและนั่งลงตรงหน้าเจ้าของปราสาทพร้อมกับค้อมตัวลงแสดงความคารวะอย่างนอบน้อม ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ จากตระกูลนาฏกรรม ไม่ต้องพิธีการนักก็ได้ ยาสึฮิระกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางโบกมือเป็นเชิงให้ทั้งโคดาจิและข้ารับใช้ออกไปด้านนอก เมื่ออยู่ตามลำพังกับฮารุคาเสะแล้วเขาจึงถาม การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง ราบรื่นดี เจ้าเมืองโคโตโระเลิกคิ้ว ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าถูกปิศาจทำร้าย นั่นหรือคือการเดินทางอย่างราบรื่นของพวกนาฏกรรม พวกเราถูกรบกวนบ้างแต่เพราะความช่วยเหลือของทหารที่ท่านกรุณาส่งไปคุ้มครองทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย ฮารุคาเสะตอบพลางเลื่อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายฝีมือของพวกเขาไม่ธรรมดาเลย น้ำเสียงของนาฏกรรมหนุ่มทำให้ยาสึฮิระอมยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาแต่ดวงตากลับทอแสงกร้าวจนน่ากลัว ย่อมไม่ธรรมดาแน่เพราะข้าเป็นผู้คัดเลือกทุกคนกับมือ เขาโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย พวกเขาเก่งจนเจ้านึกไม่ถึงเลยทีเดียว แรงกดดันมหาศาลแผ่จากร่างยาสึฮิระโอบล้อมฮารุคาเสะ แม้ชายหนุ่มจะใช้พลังแห่งสายลมเข้าปกป้องแต่อำนาจปิศาจของอีกฝ่ายกลับทวีความรุนแรงราวจะบดขยี้เขาให้แหลกเป็นจุณ เจ้าเมืองโคะโตโระมองใบหน้าของนักนาฏกรรมหนุ่มที่เริ่มเผือดลงและเผยอยิ้มออกมา เจ้าไม่อาจทานพลังของข้าได้หรอก ฮารุคาเสะ แรงกดดันหายไปอย่างฉับพลัน ยาสึฮิระกลับไปนั่งตัวตรงตามเดิมและกล่าวอย่างเคร่งขรึม ที่ให้เจ้ากลับมายังปราสาทนี่อีกครั้งเพราะคำขอของมิสึกิ บุตรสาวข้ายืนยันจะเรียนการร่ายรำจากเจ้าเท่านั้น จงทำตัวเป็นผู้สอนที่ดีและอย่าได้คิดอะไรที่มันเกินเลยไปกว่านี้เป็นอันขาด เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาและบดมันจนแหลกเป็นผงด้วยมือ ไม่เช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน ดวงตาของฮารุคาเสะจ้องประสานกับเจ้าเมืองโคะโตโระอย่างไม่กลัวเกรง หากท่านกลายเป็นปิศาจร้ายไปเมื่อใด ข้าเองก็ไม่ขอเกรงใจเช่นกัน ยาสึฮิระไม่ตอบอะไรนอกจากส่งรอยยิ้มเย็นเยือกให้กับชายหนุ่ม เขาปรบมือสองครั้งเพื่อเรียกข้ารับใช้และออกคำสั่ง พาคุณชายฟูจิวาระไปที่ห้อง เขามองนักนาฏกรรมหนุ่มและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ท่านเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยมาก พักให้สบายสักคืนก่อนพรุ่งนี้ค่อยลงมือสอนบุตรีของข้า แม้กิริยาท่าทางรวมถึงคำพูดจะเป็นการกระทำที่เสแสร้งแต่ฮารุคาเสะก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้ ชายหนุ่มจึงจำใจต้องกล่าวคำขอบคุณและค้อมตัวลงก่อนจะถดตัวถอยออกจากห้องจากนั้นจึงเดินตามข้ารับใช้ไป เมื่อนักนาฏกรรมหนุ่มพ้นไปจากสายตาแล้วสีหน้าอ่อนโยนของยาสึฮิระก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมดุดัน เขาลุกขึ้นเดินออกไปยืนที่สวนและจ้องท้องฟ้าด้วยสายตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจไปเยี่ยมเยือนมิสึกิที่จวน */*/*/*/* ข้ารับใช้หญิงวางถาดชามข้าวต้มลงข้างตัวของมิสึกิและน้อมตัวลงทำความเคารพ นางยิ้มรับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ เมื่อสาวใช้ผู้นั้นออกจากห้องไปแล้วหญิงสาวจึงหันไปทางสึมิเระ ลุกขึ้นมากินข้าวต้มนี่สักหน่อยเถอะ จะได้มีแรง พี่เลี้ยงขยับตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก เมื่อนั่งได้แล้วมิสึกิจึงหยิบชามข้าวต้มขึ้นมาและทำท่าจะป้อนแต่อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ นางดึงชามมาจากมือท่านหญิงและตักกินทีละคำจนหมด หลังจากดื่มยากับน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้วสึมิเระจึงน้อมศีรษะลง ขอบคุณท่านหญิงมากเจ้าค่ะที่กรุณาสละเวลามาดูแลข้า เมื่อเทียบกับความเสียสละของเจ้าแล้ว สิ่งที่ข้าทำยังมีค่าน้อยนัก มันยังไม่พอสำหรับคำขอบคุณเลยด้วยซ้ำ มิสึกิกล่าวอย่างอ่อนโยน สึมิเระส่ายหน้า แต่ข้าก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรท่านหญิงเลย ตรงกันข้าม เพราะเจ้าทำให้ข้าได้รับความช่วยเหลือจากท่านโมโรสุเกะ และทำให้ท่าน นางแตะมือของข้ารับใช้อย่างแผ่วเบา ข้าดีใจมากที่เจ้าไม่เป็นอะไร ท่านหญิง สึมิเระเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงสั่นพร้อมกับกุมมือมิสึกิเอาไว้และบีบเบาๆความตื้นตันที่เอ่อล้นทะลักขึ้นมาทำให้นางหลุดคำพูดเพียง ดีใจจริงที่ท่านปลอดภัย น้ำตาหยดลงบนมือของมิสึกิ หญิงสาวมองรับใช้ด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ มืออีกข้างเลื่อนไปแตะไหล่ข้ารับใช้พร้อมกับกล่าว เจ้าควรพักผ่อนให้มาก รีบหายโดยไวเพราะข้าเบื่อที่จะต้องไปไหนมาไหนเพียงลำพัง สึมิเระพยักหน้ารับและเอนตัวลงนอนอย่างว่าง่าย หลังจากรอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้วมิสึกิจึงเดินก้าวออกจากเรือนข้ารับใช้เพื่อกลับไปยังห้อง เมื่อไปถึงนางกลับยืนมองกลีบซากุระที่กำลังปลิวไปตามสายลมอยู่หน้าห้องแทนที่จะเข้าไปนั่งเขียนโคลงกลอนตามที่ตั้งใจ เป็นดอกไม้ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เสียงทุ้มต่ำดังมาจากในห้อง มิสึกิหันไปมองไพราที่กำลังยืนกอดอกมองต้นซากุระด้วยสายตาที่ฉายความหมายเดียวกับคำพูด ท่านกล่าวเหมือนไม่เคยเห็นต้นซากุระมาก่อน ดินแดนที่ข้าจากมามีแต่หิมะกับน้ำแข็ง ดอกไม้ก็มีแต่ทุ่งหญ้าที่จะงอกเฉพาะฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ต้นไม้ขนาดใหญ่แบบนี้ส่วนมากขึ้นอยู่ในถิ่นของพวกมนุษย์ซึ่งข้าไม่พิสมัยที่จะลงไปดูเท่าไหร่นัก จอมอสูรตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึมตามนิสัย หญิงสาวทำตาโตราวกับทึ่งในสิ่งที่ได้ยิน ฟังเหมือนท่านไม่ใช่คนบนแผ่นดินนี้ นางขยับเข้าไปหาไพรา บอกได้หรือเปล่าว่าท่านมาจากที่ใด บนยอดเขาสูงไกลจากที่นี่มาก ไพราตอบพร้อมกับเดินออกไปยืนที่ระเบียงและทอดสายตามองท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตก มือเลื่อนขึ้นแตะแผ่นหนังสีขาวที่พันรอบท่อนแขนและกำแน่นดุจคำนึงถึงแผ่นดินที่อยู่ไกลแสนไกล ความหมองเศร้าที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มสง่างามสร้างความสงสัยต่อมิสึกิจนนางเผลอหลุดปากถาม แล้วเหตุใดท่านจึงถูกกักอยู่ที่นี่ ความเศร้าเมื่อครู่กลับกลายเป็นความแค้นอย่างฉับพลัน ดวงตาของจอมอสูรหนุ่มทอประกายกร้าวอย่างน่ากลัว ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ ไพราตอบเสียงห้วนและหันกลับไปมองท่านหญิงด้วยท่าทางดุดัน แต่เมื่อเห็นใบหน้างามซีดเผือดด้วยความตระหนกเขาจึงผ่อนลมหายใจพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีต จอมอสูรหยุดไปเล็กน้อยคล้ายสำเหนียกถึงใครบางคนที่กำลังใกล้เข้ามาดูเหมือนวันนี้บิดาของเจ้าจะมีข่าวดี ร่างสูงใหญ่ถอยไปยืนอยู่ที่พุ่มสึบากิเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ยาสึฮิระก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นบุตรีกำลังยืนนิ่งอยู่กลางห้องและจ้องเขาอย่างตกใจ ท่านพ่อ เป็นอะไรไปหรือ ยาสึฮิระถามและเตรียมจะเดินเข้าไปหาแต่มิสึกิรีบส่งยิ้มกลับมาพร้อมกับก้าวมายืนที่ระเบียง ข้าตกใจแมลงที่บินเข้ามาในห้องเท่านั้น นางหันไปมองต้นไม้ใหญ่กลางสวนปีนี้ดอกซากุระงามเหลือเกิน ซากุระจะงามเมื่อแผ่นดินสงบสุข ยาสึฮิระกล่าว บุตรสาวของเขาลดสายตาลงพร้อมกับถอนใจ ซากุระที่ทะเลสาบบิวะก็งดงามเช่นเดียวกัน แม้แผ่นดินในบริเวณนั้นจะถูกย้อมด้วยเลือดก็ตาม นางหันกลับมาทางบิดา ข้ารู้ดีว่าเวลานี้โคะโตโระกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แผ่นดินของเรามิได้สงบสุขเหมือนแต่ก่อน ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น อีกไม่นานสันติสุขก็จะกลับมาสู่เมืองของเราและจะคงเช่นนั้นตลอดไป อะไรทำให้ท่านพ่อแน่ใจเช่นนั้น มิสึกิถามด้วยความสงสัย ยาสึฮิระยิ้ม ข้ามีวิธี พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก เขามองบุตรสาวด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา สึมิเระเป็นอย่างไรบ้าง นางได้สติแล้วแต่ยังต้องนอนพักอีกหลายวัน ได้ยินแบบนี้แล้วข้าก็เบาใจ ยาสึฮิระกล่าวเบาๆและมองมิสึกิที่กำลังทำสีหน้าเหมือนประสงค์ที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเลที่จะกล่าวออกมา เขาแตะแขนบุตรีอย่างแผ่วเบาพร้อมกับถามมีอะไรหรือ มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง ท่านหญิงนิ่งไปเล็กน้อย ระหว่างหนีพวกโจรข้าหลงเข้าไปในถ้ำและพบกับอสูรตนหนึ่ง เขารับปากว่าจะช่วยจัดการกับพวกโจรให้แต่ข้าต้องทำลายผนึกที่กักขังเขาเป็นการตอบแทน สีหน้าอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาในทันใดแต่มันก็ถูกปรับให้กลายเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว แล้วเจ้าทำอย่างไร ข้าปล่อยเขา มิสึกิมองไปยังต้นโมมิจิที่กำลังสะบัดใบสีเขียวจัดล้อสายลม แต่อสูรตนนั้นก็ทำตามสัญญา นอกจากจะช่วยจัดการกับพวกโจรแล้วเขายังตามข้าไปจนถึงค่ายของพวกอิวะตามสัญญาที่ว่าจะปกป้องข้าจนกว่าจะปลอดภัย แล้วเวลานี้อสูรตนนั้นอยู่ที่ไหน ยาสึฮิระถามโดยสายตาตวัดผ่านบุตรีไปยังด้านหลังและจ้องนิ่งอยู่ที่พุ่มสึบากิครู่หนึ่งจึงเลื่อนกลับมาที่มิสึกิตามเดิม นางสั่นศีรษะพร้อมกับตอบ ข้าไม่ทราบ อาจเป็นเพราะเจ้าเดินทางกลับถึงปราสาทอย่างปลอดภัย อสูรตนนั้นจึงคิดว่าหน้าที่ของเขาสิ้นสุดลงแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาอาจจะรู้ตัวดีว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ บิดาของนางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดีแล้วที่เขาจากไปแต่ก็น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสพบจะได้กล่าวคำขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มีให้เจ้า เขาชื่อไพรา มิสึกิกล่าว ยาสึฮิระขมวดคิ้วอย่างสนเท่ห์ใจ เป็นชื่อที่แปลกมาก ข้าเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน หนำซ้ำไพรายังบอกด้วยว่าเขากินทุกอย่างยกเว้นจามรีกับมนุษย์ จามรีงั้นหรือ บิดาของนางถามย้ำ มิสึกิทำสีหน้าแปลกใจ ท่านพ่อรู้จักด้วยหรือ ได้ยินว่ามันเป็นสัตว์หายากอาศัยอยู่บนภูเขาสูงในดินแดนห่างไกล ยาสึฮิระตอบอย่างเคร่งขรึมและพึมพำเบาๆแสดงว่าเจ้านั่นไม่ใช่อสูรบนแผ่นดินนี้ แล้วเขามาที่นี่ทำไม เขายืนนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญ อาจจะเป็นไปได้ว่าอสูรที่ชื่อไพรานี้อาจมีจุดมุ่งหมายเดียวกับโอนิชิไค แต่การช่วยเหลือมิสึกิกับประโยคที่ว่าไม่กินเนื้อมนุษย์ทำให้ยาสึฮิระคิดว่าอสูรตนนี้น่าจะมีเป้าหมายอื่น ซึ่งในเวลานี้ก็มีเพียงเรื่องการช่วยเหลือพวกอิวะกับคาสึรางิแต่เขาเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นฝ่ายใด เจ้าเมืองโคะโตโระยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นกระทั่งมิสึกิเอ่ยถาม มีอะไรหรือท่านพ่อ เขาไหวตัวเล็กน้อยและหันไปส่งยิ้มให้กับบุตรี แค่คิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเจ้าอย่าได้สนใจเลย ที่ข้ามานี่ก็เพื่อจะบอกข่าวดีกับเจ้า เขาแสร้งทำเป็นเว้นระยะคำพูดและมองดวงตาที่ฉายความอยากรู้ของบุตรีอย่างขบขัน อาจารย์สอนนาฏกรรมของเจ้าเดินทางมาถึงแล้ว ใบหน้าของมิสึกิมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมาในทันที แต่นางก็ยังคงรักษากิริยาให้ดูสงบเสงี่ยมขณะที่เอ่ยถาม ท่านพ่อหมายถึง ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ ยาสึฮิระตอบพลางหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้ายินดีของมิสึกิ เขาเดินทางมาไกลข้าเลยสั่งให้ไปพักที่ห้อง พรุ่งนี้ค่อยเริ่มการสอน เจ้ารอได้ใช่ไหม ประโยคสุดท้ายถามบุตรีอย่างจงใจ มิสึกิรีบก้มหน้าลงหลบสายตาพร้อมกับกล่าวเบาๆ หากท่านพ่ออนุญาตข้าก็พร้อมจะเรียน ยาสึฮิระหัวเราะพลางลูบศีรษะบุตรสาวอย่างเอ็นดู ถึงไม่อนุญาตเจ้าก็รั้นที่จะเรียนกับเขาอยู่ดี บิดาของนางกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่สัญญาก่อนได้ไหมว่าเมื่อเรียนแล้วเจ้าจะร่ายรำให้ข้าดูก่อนใคร มันเป็นความตั้งใจของข้าอยู่แล้ว มิสึกิกล่าวอย่างแข็งขันจนบิดาต้องอมยิ้ม ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอ เขามองบุตรีนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว ป่านนี้พวกที่ปรึกษากับบรรดาแม่ทัพนายกองคงพร้อมกันอยู่ที่ห้องประชุมแล้ว ข้าคงต้องรีบไป มิสึกิกล่าวคำขอบคุณและค้อมคำนับบิดาอย่างนอบน้อม ยาสึฮิระยิ้มพร้อมกับผงกศีรษะรับจากนั้นจึงเดินจากมา แต่แทนที่จะตรงไปยังห้องประชุมตามที่กล่าวกับบุตรีเขากลับก้าวกลับไปที่จวนจนกระทั่งถึงห้อง ทันทีที่บานประตูเลื่อนปิดลงยาสึฮิระจึงพูดขึ้น มาที่นี่ทำไม ร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นกลางห้องพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ากลัว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเห็นข้า ไพรากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มก้องกังวาน ยาสึฮิระหันไปจ้องหน้าเขาและพูดด้วยเสียงทรงอำนาจไม่แพ้กัน ข้าสัมผัสถึงพลังของเจ้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในปราสาท ดวงตาทอประกายกร้าวดุดัน บอกจุดประสงค์ของเจ้ามาแล้วข้าจะดับลมหายใจให้อย่างไม่ทรมาน ดับลมหายใจของข้า ไพราพูดพลางแค่นเสียงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ด้วยพลังระดับเจ้าคงไม่มีทางทำได้ดังที่พูด คิ้วของยาสึฮิระขมวดเข้าหาด้วยความแปลกใจ รู้ด้วยหรือว่าข้าเป็นใคร ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะก้าวเข้ามาในปราสาทด้วยซ้ำจอมอสูรตอบพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก ข้าเคยเห็นพวกที่ยอมตกเป็นทาสหรือทำสัญญากับปิศาจ แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอมนุษย์ใจกล้าจนถึงขนาดยอมเปลี่ยนวิญญาณตัวเอง เขาจ้องเจ้าครองโคะโตโระเขม็ง เจ้าต้องการอำนาจมากขนาดนี้เลยหรือ ใช่ ยาสึฮิระตอบเสียงห้วน ไพรามองเขาด้วยสายตาสมเพช น่าอนาถนัก อยากยิ่งใหญ่จนถึงกับยอมทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นมุนษย์ ช่างแตกต่างจากบุตรสาวของเจ้าโดยแท้ ประโยคสุดท้ายทำให้ดวงตาของยาสึฮิระทอแสงลุกโชน เขาขยับไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับยืดตัวขึ้นและกล่าวอย่างทระนง ความยิ่งใหญ่จะมีค่าอะไรถ้าไร้คนให้ปกป้อง ที่ข้ายอมเป็นปิศาจก็เพื่อคุ้มครองโคะโตโระและมิสึกิให้รอดพ้นจากความกระหายของศัตรู มันเป็นสิ่งที่อสูรอย่างเจ้าไม่มีวันเข้าใจ จอมอสูรถึงกับยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึงเมื่อได้ฟังเหตุผลของเจ้าเมืองโคะโตโระ เขาเลื่อนมือไปสัมผัสขนจามรีสีขาวบนท่อนแขนอย่างลืมตัว เพื่อปกป้องอย่างนั้นหรือ รอยยิ้มผุดบนริมฝีปาก เป็นข้ออ้างที่น่ายกย่องแต่เจ้าเพียงคนเดียวไม่มีทางสู้กับคนและปิศาจนับร้อยได้ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แค่บั่นหัวผู้นำพวกที่เหลือก็หมดกำลังใจที่จะสู้แล้ว ยาสึฮิระพูดด้วยน้ำเสียงคำราม ดวงตาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาสองอันผุดขึ้นบนศีรษะและเริ่มยืดยาวออกมา เช่นเดียวกับพวกปิศาจ ตัวใดกล้าย่างกรายเข้ามาในปราสาทข้าก็จะสังหารให้หมด กรงเล็บตวัดไปข้างหน้า แรงกระแทกทรงพลังพุ่งเข้าใส่ไพราแต่เขากลับตีสีหน้าเบื่อหน่ายขณะใช้มือปัดมันออกอย่างง่ายดายคล้ายไล่แมลงตัวหนึ่งเท่านั้น คิดจะใช้พลังแค่นี้กำจัดข้า มันไม่เป็นการดูถูกกันไปหน่อยหรือ จอมอสูรกล่าวเสียงต่ำพลางเรียกพลังเพลิงขึ้นมาบนฝ่ามือและสะบัดใส่ยาสึฮิระทันที เขายกมือขึ้นรับและบีบมันจนแตกสลายไปในพริบตา ข้าไม่ใช่ปิศาจชั้นต่ำอย่างที่เจ้าเคยพบ เจ้าเมืองโคะโตโระในร่างปิศาจพูดพร้อมกับวาดมือทั้งสองไปด้านข้าง มวลอากาศรอบตัวเต้นไหวกลายเป็นคลื่นหมุนวน เขามองไพราด้วยดวงตาทอแสงลุกโชน เพราะมีบุญคุณที่ช่วยเหลือมิสึกิข้าจึงคิดที่จะไล่ออกไปให้พ้นเท่านั้น แต่เมื่อเจ้ากล้าวางท่าอวดดีเช่นนี้ ก็คงไม่จำเป็นต้องออมมือกันอีกต่อไป ข้าก็แค่อยากมาทักทายเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าต้องการจะสู้ก็ลงมือได้เลย จอมอสูรยืดอกพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออก เปลวเพลิงระเบิดขึ้นในใจกลางฝ่ามือและลุกโชติช่วงไปทั่วร่าง ยาสึฮิระเปลี่ยนมวลอากาศรอบตัวเขาให้กลายเป็นหอกและเตรียมจะซัดเข้าใส่แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนทำให้ต้องชะงัก กายปิศาจกลับกลายเป็นมนุษย์เช่นดังเดิมเป็นจังหวะเดียวกันกับที่บานประตูเลื่อนเปิดออก โอริเอะก้าวพรวดเข้ามาและรีบค้อมตัวลงพร้อมกับรายงาน ค่ายด้านเหนือแจ้งมาว่ากำลังถูกทัพของคาสึรางิโจมตีอย่างหนักขอรับ ว่าไงนะ เจ้าเมืองโคะโตโระอุทาน เป็นไปได้ยังไง ทำไมเราจึงไม่รู้การเคลื่อนไหวของพวกนั้นเลย ข้าต้องขออภัยที่เลินเล่อปล่อยให้ทัพข้าศึกรุกมาประชิดชายแดนได้ โอริเอะค้อมศีรษะลงจนต่ำ แม้เพลิงพิโรธจะปะทุขึ้นแต่ยาสึฮิระกลับไม่กล่าวตำหนิแม่ทัพใหญ่เลยสักคำ เขาเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกและจ้องท้องฟ้าด้านเหนือนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเบนกลับมายังโอริเอะอีกครั้งพร้อมกับพูดอย่างเคร่งขรึม เจ้าไม่ได้เลินเล่อ แต่ถูกพวกปิศาจอำพรางสายตาต่างหาก นอกจากจะทำให้เราไม่เห็นการเคลื่อนไหวของข้าศึกแล้วพวกมันยังทำลายกับดักที่เจ้าวางเอาไว้ด้วย เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะออกคำสั่ง จงรีบไปจัดการแบ่งทหารออกเป็นสองกอง ต้วข้าจะนำทหารส่วนหนึ่งไปสมทบที่ค่ายทางทิศเหนือส่วนเจ้าจงนำกำลังที่เหลือไปรอที่ค่ายทิศตะวันออก เพราะอะไรหรือขอรับ แม่ทัพหนุ่มถามด้วยความสงสัย ยาสึฮิระหันไปหยิบดาบมากำกระชับแน่น เพราะทัพของคาสึรางิกำลังจะเข้าโจมตีที่นั่นด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญคือนอกจากพวกมันแล้วยังมีทัพจากเมืองอิวะตามมาสมทบ เจ้าอาซามิคงคิดจะยกกำลังถล่มโคะโตโระจากทางด้านนั้นจึงทุ่มกำลังส่วนใหญ่ไปทางตะวันออก ข้าคิดว่าถ้าเราสามารถจัดการทัพใดทัพหนึ่งไปก่อนพวกที่เหลือคงจำต้องล่าถอยออกไป เขาหันไปทางโอริเอะซึ่งกำลังยืนมองกลับมาด้วยสายตาแปลกใจ มัวตกตะลึงอะไรกันอยู่ รีบไปจัดการตามข้าที่สั่งโดยเร็ว แม้จะสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นนายพูดแต่ความภักดีที่วิ่งอยู่ในสายเลือดทำให้โอริเอะไม่คิดที่จะเอ่ยปากถาม เขาโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวรับคำและรีบเดินไปจัดการตามคำสั่ง เมื่อแม่ทัพพ้นไปไกลแล้วเจ้าเมืองโคะโตโระจึงหันไปมองไพราซึ่งกอดอกยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยพร้อมกับกล่าว คงต้องพักเรื่องของเจ้าเอาไว้ก่อน ข้ารอได้เสมอ พูดจบร่างของจอมอสูรก็เลือนหายไป ยาสึฮิระจึงจัดแจงสวมเกราะและเดินไปยังกองทหารที่โอริเอะจัดเตรียมไว้แต่ผู้นำแห่งโคะโตโระได้แบ่งกำลังพลของเขาให้ไปกับกลุ่มของ */*/*/*/* |
กิสึเนะ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี Group Blog
All Blog
Friends Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |