เซ็นซู ภาค จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 13 การร่ายรำบนกองเลือด

บทที่ 13

การร่ายรำบนกองเลือด

สายลมอ่อนและแสงแดดอันอบอุ่นยามอรุณรุ่งสร้างความสดชื่นต่อมิสึกิที่กำลังก้าวเดินไปตามระเบียงด้วยกิริยาอันแช่มช้อยจนนางอดใจที่จะหยุดและทอดสายตามองทัศนียภาพในสวนที่งดงามไม่ได้ เหล่าผีเสื้อหลากสีแสนงดงามที่พากระพือปีกบินวนเวียนไปตามดอกไม้ที่ผลิบานรับแสงตะวันยามเช้าสร้างความประทับใจต่อหญิงสาวจนถึงกับเปรยออกมาอย่างชื่นชม

“ช่างงามเหลือเกิน”

ดวงตาเลื่อนผ่านเลยไปยังห้องของยาสึฮิระ นับเป็นวันแรกนับตั้งแต่โคโตโระถูกข้าศึกรุกรานที่นางได้มีโอกาสได้พูดคุยกับบิดา แต่ก็เพียงแค่ไม่นานเท่านั้นเขาก็ต้องแยกตัวไปพบกับเหล่าที่ปรึกษาเพื่อหารือถึงการศึกซึ่งแม้ทางฝ่ายคาสึรางิจะขาดผู้นำ แต่สงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ มิสึกิถอนใจออกมาเบาๆด้วยความกลัดกลุ้มเพราะถึงนางปรารถนาที่จะช่วยเหลือบิดาแต่ด้วยความที่เป็นหญิงทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เมื่อไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมืองได้แล้วหญิงสาวจึงเลือกวิธีช่วยยาสึฮิระด้วยการทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้รับความสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเรื่องบทกลอน ดนตรีหรือแม้แต่การร่ายรำ

เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วมิสึกิจึงละสายตาจากสวนและเดินตรงไปยังห้องที่ยาสึฮิระกำหนดให้เป็นสถานที่สำหรับการฝึกสอน ภาพของอาจารย์หนุ่มผู้กำลังนั่งรออย่างเคร่งขรึมทำให้ความวิตกกังวลเมื่อครู่มลายหายไป หัวใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นจังหวะ นางรีบวางมือไว้บนอกพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าดุจต้องการระงับความตื่นเต้นก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องและก้มศีรษะลง

“ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอ”  

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็เพิ่งมาถึงเช่นเดียวกัน”

ฮารุคาเสะกล่าวอย่างสุภาพพร้อมกับค้อมตัวลง เขารอจนมิสึกินั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าว “จากเรือนพักมาที่นี่เป็นระยะทางไกลพอสมควร ท่านน่าจะนั่งพักให้หายเหน็ดเหนื่อยก่อน”

มิสึกิยกมือขึ้นป้องใบหน้าและหัวเราะออกมาเบาๆ

“ระยะทางจากจวนของท่านพ่อมาถึงที่นี่ไม่ได้ไกลมากมายอะไรนัก และข้าก็พร้อมที่จะเรียนแล้ว”

ชายหนุ่มมองนางด้วยความพอใจ เขาผงกศีรษะอย่างแช่มช้าพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ความมุ่งมั่นตั้งใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการร่ายรำ ถ้าเช่นนั้นข้าจะสอนท่านตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน” ฮารุคาเสะเว้นระยะไปเล็กน้อยและมองหญิงสาวที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจจากนั้นจึงเริ่มอธิบาย “การร่ายรำทุกอย่างมีพื้นฐานเบื้องต้นที่คล้ายกันนั่นก็คือวิธีการวางเท้าและจังหวะของการก้าวเดิน”

เขาชะงักคำพูดเมื่อเห็นดวงหน้างดงามกำลังฉายความไม่เข้าใจ ชายหนุ่มจึงหันไปหยิบพัดพร้อมกับพูด

“แค่คำอธิบายอาจจะเข้าใจได้ยาก ถ้าเช่นนั้นข้าจะแสดงให้ดู”

เขาหันไปทางนักดนตรีซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมอยู่มุมห้อง เสียงหวานละมุนของเรียวเตกิดังขึ้น พัดในมือวาดขึ้นลงอย่างแช่มช้ารับกับการเคลื่อนไหวอันอ่อนช้อยของฮารุคาเสะ เขาวางเท้าแต่ละก้าวอย่างมีจังหวะรับกับเสียงเพลงที่กำลังบรรเลงด้วยทำนองสูงต่ำฟังคล้ายทุ่งหญ้าต้องลมที่กำลังสะบัดพลิ้วราวระลอกคลื่น ความงดงามในท่วงท่าการร่ายรำทำให้มิสึกิบังเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังมองกลีบซากุระที่กำลังหยอกล้อกับสายลม จนเมื่อขลุ่ยเงียบเสียงลงนางจึงกล่าวออกมาเบาๆ

“งามเหลือเกิน”

“ความงามจะเกิดขึ้นหากท่านเคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง” ฮารุคาเสะพูดเสียงเรียบพลางก้มศีรษะให้กับหญิงสาว “ขอเชิญท่านหญิง”

มิสึกิลุกขึ้นและเริ่มต้นฝึกตามที่ฮารุคาเสะสอนอย่างตั้งใจ นางสามารถก้าวเดินเบื้องต้นได้ในเวลาอันรวดเร็วจนชายหนุ่มเอ่ยปากชม

“สมเป็นบุตรีของท่านยาสึฮิระ ยังไม่ทันครึ่งวันท่านก็สามารถเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นแล้ว”

“นั่นเพราะการสอนที่ดีของท่านต่างหาก” หญิงสาวกล่าวอย่างเขินอาย ฮารุคาเสะมองนางพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“นั่นเป็นแค่บทเริ่มต้นเท่านั้น ของจริงนับตั้งแต่นี้ต่างหาก”

เขาขยับไปสองสามก้าวและเอี้ยวตัวกลับมาด้วยท่วงท่าที่รวดเร็วแต่เต็มไปด้วยความงดงาม และเมื่อเห็นมิสึกิยังคงยืนนิ่งจึงเอ่ยถาม

“คิดว่าทำได้หรือเปล่าท่านหญิง”

“ด...ได้” นางตอบและก้าวเท้าตามที่เห็นเมื่อครู่ทันที อารามรีบร้อนทำให้การเอี้ยวตัวผิดจังหวะ หญิงสาวซวนเซและคงล้มลงหากฮารุคาเสะไม่ยื่นมือเข้าไปประคอง

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู มิสึกิเงยหน้าขึ้นเพื่อตอบแต่เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายนิ้วกำลังมองด้วยความห่วงใย พวงแก้มของหญิงสาวก็มีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา

“ข้าไม่เป็นไร” มิสึกิตอบเสียงแผ่วพร้อมกับก้มหน้าลงหลบสายตาของเขาอย่างขวยเขิน
เมื่อเห็นกิริยาเอียงอายของหญิงสาว ฮารุคาเสะจึงรีบคลายอ้อมกอดและก้มศีรษะลงพร้อมกับพูด

 “ขออภัย แต่ข้ากลัวท่านจะล้มจนได้รับบาดเจ็บจึงจำต้องทำเช่นนั้น”

 “ไม่เป็นไร” มิสึกิกล่าวทั้งที่ยังคงหลบสายตาของชายหนุ่ม “ขอบคุณท่านมาก”

 “เราฝึกกันมานานพอดูท่านหญิงคงเหนื่อย วันนี้พอแค่นี้ก่อน” ฮารุคาเสะพูดและยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะค้าน “การเรียนอย่างเร่งรีบจะทำให้ท่วงท่าร่ายรำขาดความงดงาม หากท่านมุ่งมั่นก็ขอให้กลับไปทบทวนสิ่งที่ข้าสอนและฝึกให้คล่องแคล่ว พรุ่งนี้ค่อยพบกัน”

 “ข้าจะปฏิบัติตามที่ท่านสั่ง” มิสึกิกล่าวพร้อมกับก้มตัวลง “ขอบคุณท่านอาจารย์ พรุ่งนี้เราค่อยพบกัน”

 ฮารุคาเสะค้อมตัวลงรับพร้อมกับกล่าวคำอำลา เมื่อมิสึกิเดินพ้นไปจากสถานที่เรียนแล้วเขาจึงเดินกลับเรือนพักแต่ต้องนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นโคดาจิกำลังยืนรออยู่ที่นั่น ทันทีที่เห็นนักนาฏกรรมหนุ่มเขาจึงค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าว

 “คุณชายฟูจิวาระ” เขามองฮารุคาเสะด้วยดวงตาไร้แวว “ท่านยาสึฮิระมีคำสั่งให้เชิญท่านเข้าไปพบ”

 แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ฮารุคาเสะกลับพยักหน้าและเดินตามโคดาจิไปโดยไม่ซักถามอะไรทั้งสิ้น เมื่อไปถึงห้องของยาสึฮิระเขาจึงค้อมตัวแสดงการคารวะ อีกฝ่ายผงกศีรษะรับพร้อมกับกล่าว

 “มาเร็วดีนี่ สอนมิสึกิเสร็จแล้วหรือ”

 “ครับ”

 ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ยาสึฮิระมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงแสร้งทำเป็นเลื่อนมือไปหยิบถ้วยชามาถือไว้

 “บุตรีของข้าออกจะดื้อรั้นไปสักนิด คงไม่สร้างความหนักใจให้กับเจ้า”

 “ตรงกันข้ามท่านหญิงเป็นผู้ที่มีสติปัญญา นางสามารถจดจำสิ่งที่ข้าสอนในวันนี้ได้หมดภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน”

 “ได้ยินแบบนี้ข้าก็สบายใจ” เจ้าเมืองโคะโตโระกล่าวพลางวางถ้วยชากลับลงไปตามเดิม “เจ้าพอจะรู้เรื่องที่คาสึรางิยกกองทัพมารุกรานเมืองของเราหรือไม่”

 “ข้าพอจะทราบอยู่บ้าง และได้ยินมาว่าด้วยการนำทัพของท่านทำให้ทางเราเป็นฝ่ายมีชัย”

 ฮารุคาเสะตอบ ยาสึฮิระยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

 “ที่ทัพของเราเป็นฝ่ายมีชัยไม่ใช่จากข้า แต่เป็นความกล้าของทหารทุกคน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองและขอให้เจ้ามาแสดงการร่ายรำให้นักรบของเราได้ชม หวังว่าคงจะไม่ปฏิเสธ”

 ผู้นำโคะโตโระกล่าวปิดประโยคด้วยถ้อยคำเชิงบังคับ นักนาฏกรรมหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจในเจตนาของอีกฝ่ายแต่กระนั้นเขาก็ยังเอ่ยปากถาม

 “ท่านจะจัดงานในวันไหน”

 “เย็นวันนี้ คิดว่าเจ้าน่าจะเตรียมตัวทัน” ยาสึฮิระตอบและยิ้มในหน้าเมื่อเห็นความยุ่งยากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮารุคาเสะ “แต่หากไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

 “หามิได้ ข้ากลับรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสร่ายรำในงานฉลองชัยของท่าน แต่เพราะเป็นการแสดงที่ออกจะกะทันหันเกินไปข้าจึงไม่อาจเตรียมชุดที่เหมาะสมได้ทัน หากเครื่องแต่งกายไม่ถูกใจท่านก็ขอได้โปรดให้อภัย”

 “ขอเพียงเจ้ายินดีเข้าร่วมข้าก็พอใจแล้ว” ผู้นำโคะโตโระกล่าวอย่างอารมณ์ดี “หมดเรื่องแล้ว เชิญเจ้าไปเตรียมตัวตามสบาย”

 กล่าวจบยาสึฮิระจึงผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้ชายหนุ่มออกไปได้ เขาค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวคำอำลาและเดินจากไป โคดาจิซึ่งยืนระวังอยู่ด้านนอกมองจนอีกฝ่ายลับไปจากสายตาจึงหันมายังผู้เป็นนายพร้อมกับถาม

 “ให้เขามาร่วมงานแบบนี้จะไม่เป็นไรหรือขอรับ”

 “ต่อให้มีพลังแข็งแกร่งเพียงใดเจ้านั่นก็เป็นแค่นักนาฏกรรม เขาไม่มีทางทำอะไรข้าได้ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกโคดาจิ”

*/*/*/*/*

 สถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นสวนได้อย่างแจ่มชัด ผนังสองด้านถูกเปิดออกเพื่อรับสายลมยามค่ำได้อย่างเต็มที่ อีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้าเมืองโคะโตโระเลือกใช้ห้องนี้ก็คือทุกคนที่มาร่วมงานจะได้ชื่นชมการร่ายรำอันงดงามของฮารุคาเสะซึ่งถูกกำหนดให้แสดงบนเวทีกลางสวนได้อย่างชัดเจน

เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะเฮฮาดังมาจากกลุ่มนายทหารระดับสูงที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งของห้อง แม้จะเป็นการสนทนาอย่างมีความสุขแต่โอริเอะซึ่งนั่งถัดจากยาสึฮิระต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่พอใจนักเพราะหัวข้อที่คนเหล่านั้นพูดคุยกันส่วนใหญ่เป็นการดูแคลนและเย้ยหยันศัตรู ในความคิดของพวกเขาการดูถูกผู้พ่ายแพ้อาจจะเป็นเรื่องสนุกแต่สำหรับแม่ทัพผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างโอริเอะแล้วเขาจะให้เกียรติต่อนักรบทุกคนเสมอ แม้คนเหล่านั้นจะเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดก็ตาม

ดูเหมือนยาสึฮิระจะเข้าใจความคิดของโอริเอะ เขาจึงสั่งให้ข้ารับใช้รินสุราใส่ถ้วยและนำไปส่งให้ อีกฝ่ายรีบหันมาโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ ขณะที่กำลังยกถ้วยขึ้นดื่มผู้เป็นนายก็กล่าวขึ้นมา

“ถึงจะเป็นคำพูดที่ออกจะไม่เหมาะสมไปสักนิด แต่ก็เป็นสิ่งที่กล่าวออกมาจากความรู้สึก หากทางฝ่ายคาสึรางิเป็นฝ่ายมีชัยชนะทหารของพวกเขาก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน”

โอริเอะค้อมศีรษะลง

“ข้าทราบดีแต่ก็อดรู้สึกสังเวชใจไม่ได้ เพราะถึงแม้จะเป็นข้าศึกแต่คนเหล่านั้นก็คือนักรบกล้าเหมือนกัน การนำพวกเขามาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุกจึงไม่เป็นการสมควร”

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ จะห้ามพวกเขาไม่ให้พูดก็คงไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจงทำใจยอมรับมันเถิดนะโอริเอะ”

ยาสึฮิระกล่าวเสียงเรียบ แม่ทัพหนุ่มก้มศีรษะลงพร้อมกับรับคำ

 “ขอรับ” เขาเลื่อนสายตามองผ่านร่างของผู้เป็นนายไปยังม่านไหมที่ว่างเปล่าและเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านหญิงยังไม่มาอีกหรือขอรับ”

 “สตรีมักจะเสียเวลาในเรื่องการแต่งตัว” ยาสึฮิระตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะและหยุดนิ่งแทบจะทันทีเมื่อร่างงดงามเยื้องกรายเข้ามา หลังจากรอให้บุตรีนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาจึงเอ่ยทักทาย

 “เจ้ามาช้า”

 “ต้องขออภัยต่อท่านพ่อด้วย ที่มาช้าเพราะข้ามัวแต่ซ้อมการร่ายรำ”

 “หากอาจารย์รู้ว่าเจ้าจริงจังเช่นนี้คงดีใจ” ผู้บิดากล่าวเชิงหยอก หากไม่มีม่านไหมกางกั้นเขาคงเห็นว่าใบหน้าของบุตรีนั้นมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา เมื่อเห็นมิสึกินั่งนิ่งไม่ตอบสิ่งใดนอกเหนือกว่านั้นยาสึฮิระจึงหันกลับไปสนใจงานเลี้ยงอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ข้ารับใช้ประจำจวนขออนุญาตเข้ามาหา เมื่อเห็นนายผงกศีรษะเขาจึงค้อมตัวลงจนหน้าผากจรดพื้นและรายงาน

 “คุณชายฟูจิวาระพร้อมแล้วขอรับ”

 “งั้นก็ให้เขาแสดงได้เลย”

 ยาสึฮิระกล่าวด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงถดกายถอยออกจากห้องและเดินหายไปยังเรือนด้านข้าง เหล่านักรบที่นั่งอยู่ในงานพากันหันไปพูดคุยกันด้วยความประหลาดใจที่ในงานเลี้ยงฉลองชัยเช่นนี้กลับมีการร่ายรำของชาวนาฏกรรม แต่เมื่อเสียงของบิวะบรรเลงขึ้นทุกคนก็พากันสงบปาก และพอมีเสียงหวีดหวิวของเรียวเตกิดังเสริมขึ้นมา ทั้งนักรบและเหล่าที่ปรึกษารวมทั้งข้ารับใช้ที่ยืนอยุ่ในบริเวณนั้นต่างหันไปจ้องเวทีกลางสวนเป็นตาเดียว

 ท่ามกลางแสงไฟจากคบเพลิงที่วางไว้ทั้งหกด้าน ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความทึ่งเมื่อเห็นกลีบดอกไม้จำนวนมากกำลังโปรยปรายลงมาจากด้านบน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เห็นว่ามันมาจากที่ใดความประหลาดใจก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อกลีบดอกไม้ทั้งหมดเคลื่อนมารวมตัวกันและหมุนวนนิ่งอยู่กลางเวที โดยมีร่างสูงสง่าของนักนาฏกรรมหนุ่มซึ่งไม่มีใครรู้ว่าปรากฏตัวขื้นเมื่อใดกำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงามอยู่ตรงกลาง และเมื่อเขาหมุนพัดเป็นวงกลม กลีบดอกไม้ทั้งหมดก็กระจายออกจากกันแต่ยังคงปลิวอยู่กลางอากาศล้อมรอบตัวของฮารุคาเสะ ความสวยงามของการร่ายรำและกลีบดอกไม้ที่พลิ้วไปมาตามจังหวะเสียงดนตรีสร้างความประทับใจต่อทุกคนเป็นยิ่งนัก แม้นักรบที่อยู่ในอาการเมามายที่สุดยังต้องปล่อยถ้วยสุราให้หลุดจากมือพร้อมกับหลุดปากออกมา

 “นี่ไม่ใช่การร่ายรำ หากแต่เป็นเทพลงมาอวยพร”

 คำรำพึงนั้นได้ยินไปถึงมิสึกิ นางรีบยกแขนเสื้อขึ้นเพื่อปิดบังรอยยิ้มอันเกิดมาจากความชื่นชมได้ ต่างจากยาสึฮิระที่นั่งนิ่งไม่กล่าวสิ่งใด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จ้องนักนาฏกกรรมหนุ่มเขม็งอย่างไม่พอใจ ประโยคที่ฮารุคาเสะกล่าวไว้เมื่อตอนกลางวันหวนเข้ามาในความทรงจำ

‘แต่เพราะเป็นการแสดงที่ออกจะกะทันหันเกินไปข้าจึงไม่อาจเตรียมชุดที่เหมาะสมได้ทัน หากเครื่องแต่งกายไม่งดงามก็ขอได้โปรดให้อภัย’   

เจ้าเมืองโคะโตโระกำมือแน่น เพราะในตอนแรกเขาคิดว่านักนาฏกรรมหนุ่มคงแต่งกายในชุดร่ายรำธรรมดา แต่ชุดที่ฮารุคาเสะใส่ในตอนนี้นั้นเป็นสีขาวและแดงอันเป็นเครื่องแบบที่พวกข้ารับใช้ประจำศาลนิยมสวมใส่กันในงานพิธี

“เจ้าต้องการเย้ยหยันข้าใช่ไหม”

ยาสึอิระคำรามออกมาเบาๆ แม้จะเต็มไปด้วยความโกรธแต่เมื่อเห็นเหล่าบรรดานักรบและที่ปรึกษาทุกคนชื่นชมในความงามของการร่ายรำ เขาจึงพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่แสดงท่าทีใดออกมา ขณะที่กำลังตกอยู่ในความขุ่นเคืองเสียงของเรียวเตกิก็บรรเลงในทำนองพลิ้วไหวราวกับคลื่นบนผิวน้ำ ฮารุคาเสะหมุนตัวเป็นวงพร้อมกับสะบัดพัดในมือลง กลีบดอกไม้รอบตัวเขาก็ถูกสายลมพัดพาเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงและโปรยปรายลงบนร่างของผู้ที่อยู่ในนั้นทุกคนไม่เว้นแม้แต่ยาสึฮิระ เหล่านักรบพากันรวบกลีบดอกไม้หลากสีขึ้นมาสูดดมอย่างแช่มชื่นพร้อมกับเอ่ยปากชมนักนาฏกรรมหนุ่มอย่างพอใจ มีเพียงยาสึฮิระเท่านั้นที่กำมือแน่น เขามองกลีบดอกไม้สีแดงสดราวกับเลือดที่ตกอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตากร้าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องฮารุคาเสะที่กำลังก้าวเข้ามา เมื่อชายหนุ่มค้อมตัวลงคำนับเขาจึงถามเสียงดัง

“เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร”

แม้น้ำเสียงจะไม่แสดงความเกรี้ยวกราดแต่สีหน้าของเจ้าเมืองโคะโตโระทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในนั้นต่างพากันเงียบกริบ ฮารุคาเสะก้มศีรษะให้เขาอีกครั้งก่อนตอบ

“ไม่ทราบว่าท่านกล่าวถึงสิ่งใด”

ยาสึฮิระจ้องอีกฝ่ายเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เริ่มแรกคือเครื่องแต่งกายของเจ้า นี่เป็นการฉลองชัยชนะของเหล่านักรบ เหตุใดจึงแต่งตัวราวกับพวกที่ร่ายรำตามศาลเทพเจ้าเช่นนี้”

“ข้าได้แจ้งให้ท่านทราบตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้เตรียมชุดที่เหมาะสมสำหรับงานพิธี อีกอย่างชุดที่ข้าสวมใส่อยู่นี้จะใช้เฉพาะพิธีกรรมสำคัญเท่านั้น ในเมื่องานฉลองในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเหล่านักรบสำหรับผู้รับใช้เทพอย่างข้ามันคือพิธีอันทรงเกียรติ ดังนั้นชุดนี้จึงเหมาะสมที่สุด”

เจ้าเมืองโคะโตโระขบกรามแน่น เขาชี้ไปที่กลีบดอกไม้ตรงหน้า

“และดอกไม้พวกนี้เล่า เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร”

ฮารุคาเสะก้มศีรษะลงอีกครั้ง

“กลีบดอกไม้หลากสีที่โปรยปรายบนร่างของเหล่านักรบ คือความยินดีในชัยชนะและปลื้มปิติที่พวกเขามีชีวิตรอดกลับมา ส่วนกลีบดอกไม้สีแดงนั้นหมายถึงอำนาจกับความกล้าหาญ ซึ่งในที่นี้ผู้สมควรได้รับมีเพียงท่านเท่านั้น” 

ยาสึฮิระหยิบกลีบสีแดงอันหนึ่งขึ้นมาและโยนไปตกตรงหน้านักนาฏกรรม

“แล้วดอกไม้นี้เล่า ช่วยบอกข้าหน่อยว่ามันหมายความว่าอะไร”

ฮารุคาเสะเหลือบตามองกลีบดอกไม้ที่มีลักษณะเรียวยาวต่างจากกลีบชนิดอื่นและค้อมตัวลงเล็กน้อย

“คนทั่วไปมักจะมองว่าดอกฮิงันคือเครื่องหมายแห่งความตาย ในสายตาของผู้รุกรานทุกคน ท่านมีความหมายนี้เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อนามของยาสึฮิระปรากฏขึ้น ย่อมหมายถึงความพินาศของศัตรู”

เสียงกล่าวพึมพำดังมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในห้อง ที่ปรึกษารวมทั้งนักรบต่างพากันพยักหน้าราวกับพึงพอใจในคำอธิบายของนักนาฏกรรมหนุ่ม ส่วนยาสึฮิระเมื่อได้ฟังทุกอย่างจบลงความโกรธขึ้งก็เริ่มบรรเทาเบาบาง แต่กระนั้นเขาก็ยังมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ

“ความหมายของเจ้าเป็นไปตามนั้นจริงหรือ”

“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้ากล่าวทุกประการ”

ฮารุคาเสะตอบอย่างนอบน้อม เจ้าเมืองโคะโตโระจึงยืดตัวนั่งอย่างสง่าและยิ้มอย่างพอใจ

“ดี” เขาหันไปสั่งห้ข้ารับใช้รินเหล้าใส่ถ้วยและนำไปส่งให้ชายหนุ่ม เขาน้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพ

“ขอบพระคุณในความกรุณาของท่าน แต่ข้าเป็นผู้รับใช้เทพ ไม่อาจดื่มเมรัยได้”

ยาสึฮิระมองอย่างไม่ชอบใจ โอริเอะจึงรีบคว้าถ้วยมาจากมือของข้ารับใช้และหันไปก้มศีรษะให้นายของตน

“ความเมตตาของท่านยาสึฮิระ คุณชายฟูจิวาระขอรับไว้ด้วยความยินดียิ่ง ส่วนเหล้าถ้วยนี้หากเขาไม่สามารถดื่มได้ข้าก็ขอเป็นผู้จัดการแทน”

เขายกสุราขึ้นดื่มจนหมดและส่งคืนถ้วยเปล่าคืนให้กับข้ารับใช้จากนั้นจึงค้อมตัวให้กับผู้นำโคะโตโระอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“ทำได้ดี” ยาสึฮิระเอ่ยชมพร้อมกับชูถ้วยสุราในมือขึ้น “จงดื่มเพื่อแม่ทัพผู้ชาญฉลาด และความสงบสุขของโคะโตโระ”

เหล่าที่ปรึกษาและบรรดานักรบต่างชูถ้วยในมือขึ้นพร้อมกับเปล่งคำอำนวยพรให้กับเมืองอันเป็นที่รัก เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้วฮารุคาเสะจึงอนุญาตกลับไปยังที่พัก ระหว่างที่กำลังเดินนำขบวนนักดนตรีอยู่นั้นก็บังเกิดสายลมรุนแรงพัดผ่านมา สำหรับผู้มีพลังพิเศษอย่างนักปราบมารเช่นเขาแล้วสายลมนั้นคือเสียงหัวเราะของปิศาจ ชายหนุ่มจึงนิ่วหน้าและหันไปสั่งคนของตน

“พวกเจ้ากลับไปก่อน”

ทั้งหมดค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวรับคำ เมื่อเห็นว่าทุกคนพ้นไปจากระยะที่ได้ยินแล้ว
ฮารุคาเสะจึงหันไปยังต้นโมมิจิ

 “มีธุระอะไร”

 ไพราซึ่งยืนกอดอกอยู่โคนต้นเผยอยิ้ม

 “ไม่มี แค่อยากจะบอกว่าข้ารู้สึกชื่นชมการร่ายรำอันงดงามของเจ้า” จอมอสูรเว้นระยะคำพูดและมองนักนาฏกรรมหนุ่มอย่างรู้เท่าทัน“โดยเฉพาะเหตุผลที่กล่าวกับยาสึฮิระ แม้ข้าจะไม่เข้าใจความหมายดอกไม้ของพวกเจ้าแต่ก็ดูออกว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเป็นการเตือนสติ”

 “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่หากไม่มีธุระอะไรแล้วข้าก็ต้องขอตัว”

 ฮารุคาเสะทำท่าจะเดินออกไปทันที แต่ไพรากลับกางแขนกันเขาเอาไว้พร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม

 “ที่มานี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระพวกนั้น แต่จะมาเตือนเจ้าต่างหาก”

 “เรื่องอะไร”

 ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย จอมอสูรหันหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองอิวะและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังมากขึ้น

 “ระหว่างที่พวกเจ้ากำลังสนุกกับงานเลี้ยง ข้าได้ไปที่เมืองอิวะและพบว่าเจ้าเมืองจอมกระหายเลือดนั่นกำลังเดินทางไปที่คาสึรางิ ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่อยากยุ่งเรื่องราวของมนุษย์เท่าใดนัก แต่บังเอิญไปพบกับอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ”

 ดวงตาดุเลื่อนกลับมายังฮารุคาเสะ

 “มีอสูรตนหนึ่งให้ความช่วยเหลือซาวาระ แม้ข้ายังไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นใครแต่เจ้าอสูรตนนี้ก็มีพลังเกือบจะเทียบเท่ายาสึฮิระ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก์คือ มันเป็นผู้บงการปิศาจทุกตัว”

 “แล้วมาบอกข้าทำไม” นักนาฏกรรมหนุ่มถามด้วยความสงสัยและมองอีกฝ่ายอย่างระแวง “เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”

 ไพราหันหน้าไปยังห้องที่กำลังมีงานเลี้ยงและมองด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

 “แค่รอยยิ้มของนาง”

 กล่าวจบร่างของจอมอสูรก็เลือนหายไป ทิ้งให้ฮารุคาเสะที่กำลังยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึงไว้เพียงลำพัง หลังจากนิ่งงันไปได้ชั่วอึดใจชายหนุ่มจึงพึมพำออกมา

 “หรือว่าเจ้า...”

 เขาหันไปยังจวนของยาสึฮิระและจ้องนิ่งอยู่เช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงระบายลมหายใจออกมาเบาๆจากนั้นจึงเดินกลับเรือนพักของตนด้วยความหนักใจ


*/*/*/*/*

 




Create Date : 11 มิถุนายน 2555
Last Update : 11 มิถุนายน 2555 8:01:17 น.
Counter : 651 Pageviews.

0 comment
เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 12 พลังปลุกวิญญาณ

บทที่ 12

พลังปลุกวิญญาณ

เมื่อไพราออกไปจากห้องแล้วมิสึกิจึงยืนมองต้นไม้ภายในสวนอย่างครุ่นคิด จากสีหน้าและน้ำเสียงของจอมอสูรที่แสดงออกตอนนางพูดถึงเครื่องรางที่ได้รับจากฮารุคาเสะก่อนจะหายตัวไปทำให้หญิงสาวบังเกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นภายในจิตใจ

“ทำไมเขาถึงมีท่าทางตกใจถึงขนาดนั้น” มือเลื่อนขึ้นกุมใบโมมิจิในอกเสื้อ “หรือว่าไพรากลัวใบไม้นี่เหมือนปิศาจตนอื่น”

มิสึกิพึมพำพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ปิศาจเต่าบุกเข้ามาทำร้ายนางถึงในจวน ในตอนนั้นด้ายสีแดงที่ร้อยไว้กับใบโมมิจิพุ่งเข้าโจมตีมันตั้งแต่ยังไม่ทันได้แตะตัวนางเลยด้วยซ้ำ แต่กลับจอมอสูรแล้วมันกลับไม่มีการตอบสนองใดเลยสักนิดแม้เขาจะยืนใกล้จนแทบจะสัมผัสกับนาง หญิงสาวส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวเบาๆ

“จะว่าไปตั้งแต่พบกันต่อให้อยู่ใกล้ข้าแค่ไหนเขาก็ไม่เคยถูกด้ายแดงโจมตีเลยสักครั้ง ดังนั้นไพราคงไม่กลัวใบไม้นี่แน่”

มิสึกิระบายลมหายใจออกมา

“แล้วทำไมเขาถึงต้องทำหน้าแบบนั้นนะ”

สายลมเย็นพัดผ่านเรือนร่างในอาภรณ์งดงามนำพากลีบซากุระที่ร่วงโรยลงจากต้นปลิวเข้ามาหา หญิงสาวยื่นมือออกไปรับกลีบสีชมพูบอบบางและประคองขึ้นมามองด้วยสายตาเศร้าสร้อยก่อนปล่อยให้มันลอยไปตามกระแสลม เพียงหมุนห่างออกจากนางไปแค่ขอบระเบียงซากุระทุกกลีบก็มีไฟลุกพรึ่บขึ้นและมอดไหม้กลายเป็นเถ้าไปในชั่วพริบตา มิสึกิอ้าปากค้างด้วยความตระหนกและยิ่งตกใจเพิ่มมากขึ้นเห็นเงาดำจำนวนมากกระโจนผ่านกำแพงปราสาทเข้ามา ทุกตัวต่างหยุดยืนอยู่ภายในสวนและยืดตัวขึ้น ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวแหลมคมแสยะกว้างพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามออกมา มันทำให้ข้ารับใช้ชายหญิงที่กำลังทำงานอยู่ในบริเวณนั้นต้องหันไปมอง ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นผู้บุกรุกเต็มตา

“ปิศาจ”

ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น ข้ารับใช้หญิงจึงส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น ยิ่งเมื่อประกอบกับเสียงคำรามขู่ของฝูงปิศาจร้ายแล้วสติของทุกคนก็ขาดผึงลง พวกเขาพากันวิ่งหนีกันอย่างกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง ข้ารับใช้บางคนรีบวิ่งเข้ามาปกป้องท่านหญิงแห่งโคะโตโระในขณะที่บางคนวิ่งเตลิดไปด้วยความหวาดกลัว และเมื่อมีเสียงร้องของแมวดังขึ้น ปิศาจที่บุกเข้าไปในปราสาทยาสึฮิระก็กระโจนไล่จับมนุษย์ที่กำลังวิ่งหนีกันอลหม่านอย่างสนุกสนาน ใครหนีไม่ทันก็จะถูกจับฉีกกินอย่างทารุณ ที่เหลือรอดต่างก็ส่งเสียงร้องดังลั่นและหันหลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ความโกลาหลของมนุษย์ภายในปราสาททำให้นางปิศาจแมวดำที่กำลังนอนเหยียดตัวอยู่บนกำแพงแสยะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“เสียงกรีดร้องของพวกมนุษย์ช่างไพเราะจับใจเสียเหลือเกิน” ดวงตาสีอำพันทอประกายวาว “ฆ่าพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”

ปิศาจทุกตัวคำรามรับคำสั่ง พวกมันไล่สังหารคนในจวนอย่างสนุกสนาน แม้พวกทหารจะกรูกันเข้ามาต่อสู้แต่ดาบของพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรผู้บุกรุกได้ ทหารกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งไปอารักขามิสึกิและพยายามพานางหนีออกจากที่นั่นแต่โชคร้ายที่ปิศาจตัวหนึ่งหันมาเห็นเข้าพอดี มันแยกเขี้ยวพร้อมกับส่งเสียงขู่คำรามและกระโจนเข้าใส่หญิงสาวทันที แม้พวกทหารจะช่วยกันปกป้องแต่ก็ไม่อาจรับมือกับปิศาจตนนั้นได้ เมื่อกำจัดคนที่เข้ามาขวางไปจนหมดสิ้น มันจึงหันมาจ้องมิสึกิและตวัดลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง

“น่ากินเหลือเกิน”

น้ำลายเหนียวหนืดไหลเยิ้มออกมาจากปาก เจ้าปิศาจยื่นมือออกไปหมายจะจับเหยื่อตรงหน้ามาฉีกกินให้อร่อยลิ้นแต่เพียงปลายเล็บแตะที่ชายเสื้อ แขนข้างนั้นก็เกิดอาการแข็งเกร็งค้างนิ่งอยู่กับที่ ปิศาจร้ายมองด้วยความประหลาดใจและฝืนจะขยับแต่ก็ต้องร้องลั่นเมื่อมือของมันถูกหักพับไปข้างหลังอย่างรุนแรงคล้ายถูกใครบางคนกระชากและยังไม่ทันที่จะได้ส่งเสียงร้องหัวของมันก็ถูกบิดอย่างแรงจนเสียงกระดูกแตกดังลั่น เจ้าปิศาจอัปลักษณ์ทรุดฮวบลงกับพื้นขาดใจตายไปในทันทีโดยมีร่างสูงใหญ่ของไพรายืนผงาดค้ำซากของมัน ดวงตาสีเข้มเหลือบไปทางมิสึกิ เสียงคำรามด้วยความโกรธดังอยู่ในลำคอเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวมีรอยเปรอะเปื้อน หนำซ้ำเสื้อผ้ายังมีร่องรอยของการถูกกระชากจนชายผ้าขาดเป็นรอยยาว จอมอสูรตวัดสายตาที่ทอแสงลุกโชนกลับไปยังฝูงปิศาจ เขาก้าวไปข้างหน้าขณะที่ขยับกรงเล็บในท่าที่พร้อมจะปลิดวิญญาณของพวกมัน

“พวกแกบังอาจทำให้นางต้องบาดเจ็บ” ไพรากล่าวและตวัดมือไปข้างหน้า คลื่นพลังคมกริบรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าตัดร่างของปิศาจร้ายที่ยังไม่ทันระวังตัวอย่างรวดเร็ว พวกที่เหลือต่างถอยหลังด้วยความตื่นตระหนกและคงจะถูกสังหารสิ้นหากนางปิศาจแมวดำไม่พูดขึ้น

“มัวตกใจอะไรอยู่ รีบฆ่ามันเร็ว”

เหล่าปิศาจวิ่งกรูกันเข้าใส่ไพราทันที ตัวแรกที่เข้าไปใกล้ถูกคว้าหัวเอาไว้และโดนบีบจนแหลกเละในขณะที่กรงเล็บของมืออีกข้าวตวัดตัดลำคอปิศาจคอยาวจนขาดกระเด็น แม้จะถูกฆ่าตายราวกับใบไม้ร่วงแต่พวกที่เหลือก็ยังกลุ้มรุมเข้าใส่จอมอสูรอย่างไม่กลัวตายจนเขาต้องเรียกพลังไฟให้ระเบิดขึ้นเผาปิศาจที่ถาโถมกันเข้ามาจนมอดไหม้เป็นธุลี ตัวที่เหลือรอดเมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดความหวาดกลัวและหันหลังเตรียมจะหนีแต่ไพรากลับรู้ทัน เขากระโดดไปยืนขวางหน้าและใช้กำปั้นฟาดลงบนหัวของมันจนเละไม่มีชิ้นดี

ในระหว่างที่พวกพ้องกำลังถูกจอมอสูรไล่สังหารอยู่นั้นปิศาจอีกกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ใต้จวนจึงค่อยๆโผล่หน้าออกมา พวกมันกวาดตามองไปโดยรอบเพื่อหาทางหนีและไปหยุดตรงมิสึกิซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ตัวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายนกหันไปกระซิบกับเพื่อน

“จับนางเป็นตัวประกันดีกว่า”

“เพื่ออะไร เจ้าอสูรนั่นคงไม่สนใจนางหรอก” เพื่อนของมันพูดแต่ปิศาจนกกลับส่ายหน้า

“แต่ข้าคิดว่าเจ้านั่นชอบผู้หญิงคนนั้น เพราะพอรู้ว่านางถูกทำร้ายท่าทีของมันก็เปลี่ยนไป”

“เจ้าแน่ใจหรือ” ปิศาจอีกตัวถาม และเมื่อเจ้าหัวนกพยักหน้ามันก็หันไปมองมิสึกิ “งั้นไปจัดการกันเถอะ เจ้าเป็นคนจับส่วนข้าจะคอยระวังเจ้าอสูรนั่นให้”

ปิศาจทั้งสามย่องเข้าไปหามิสึกิซึ่งยังคงยืนมองไพราอย่างปราศจากความระมัดระวัง เมื่อเข้าไปใกล้เจ้าปิศาจนกจึงเอื้อมมือหมายจะจับนางแต่เพียงปลายนิ้วสัมผัสกับเส้นผมมือข้างนั้นก็ถูกด้ายสีแดงที่พุ่งมาจากห้องด้านข้างตัดจนขาดกระเด็น ไม่เพียงแค่แขนเท่านั้น ร่างของปิศาจทั้งสามเองก็ถูกบั่นเป็นชิ้นร่วงลงไปกองกับพื้นแทบเท้ามิสึกิ  หญิงสาวยกมือทาบอกด้วยความตกใจแต่เมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือแล้วนางถึงกับยิ้มกว้างและรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับร้องเรียกด้วยความดีใจ

“ฮารุคาเสะ”

แม้จะยินดีที่เห็นหญิงอันเป็นที่รักปลอดภัยแต่ชายหนุ่มก็ยังคงรักษาท่าทีให้สงบนิ่งและถามอย่างเคร่งขรึม

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

มิสึกิผงกศีรษะรับและหันไปทางไพราที่ยังกำลังโยนปิศาจตัวหนึ่งออกไปนอกกำแพง

“โชคดีที่ไพรามาช่วยได้ทัน” นางหันกลับมายังฮารุคาเสะ เขาพยักหน้าด้วยความโล่งอกพัดคู่ในมือถูกยกขึ้นในท่าพร้อมจู่โจม

“มาอยู่ข้างหลังข้า”

ทันทีที่มิสึกิไปยืนด้านหลังตามคำสั่ง นักนาฏกรรมหนุ่มก็สะบัดพัดคู่ในมือ สายลมที่นิ่งสงบกลับแปรเปลี่ยนเป็นลมหมุนดึงกลีบซากุระที่ตกเกลื่อนพื้นให้ลอยขึ้นมาและพุ่งออกไปเชือดร่างปิศาจที่เหลือจนขาดเป็นริ้วไม่เหลือรอดแม้สักตัว ไพราซึ่งกำลังเงื้อมือเตรียมสังหารปิศาจตัวหนึ่งถึงกับชะงัก เขาหันมามองฮารุคาเสะอย่างไม่พอใจนัก

“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย”

“ข้าก็ไม่คิดจะช่วยเจ้า” ชายหนุ่มสวนกลับทันควัน จอมอสูรมองเขาด้วยดวงตาลุกวาว  
“ความจริงแล้วเจ้าคิดจะกำจัดข้าด้วยใช่ไหม”

“ใช่” ฮารุคาเสะตอบพร้อมกับขยับพัดในมือ มิสึกิรีบดึงแขนเขาเอาไว้พร้อมกับร้องห้าม 
“ได้โปรดหยุดก่อน”

ชายหนุ่มหยุดชะงักและหันไปมองนางด้วยความแปลกใจแต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามถึงเหตุผลเสียงขู่ฟ่อจากคุโระอิเนโกะก็ดังขัดขึ้น ทั้งฮารุคาเสะและไพราหันไปมองที่กำแพงปราสาทพร้อมกัน จอมอสูรถึงกับคำรามลั่นเมื่อเห็นนางปิศาจแมวดำกำลังกางเล็บและทำท่าคล้ายจะกระโจนลงมาตะกุยเขาให้แหลกคามือ

“ที่แท้ก็เป็นเจ้าเองที่พาปิศาจพวกนั้นเข้ามา” เขาขยับไปข้างหน้าและยื่นมือข้างที่มีขนสัตว์สีขาวออกไป “คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้อีก”

เพลิงสีแดงพุ่งวาบเข้าใส่คุโระอิเนโกะทันทีที่จอมอสูรพูดจบ นางพลิกตัวหลบและกระโจนสวนเข้าไปหา กรงเล็บแหลมกางออกหมาจะฉีกเนื้ออีกฝ่ายแต่ไพราเบี่ยงหลบได้ทันนางแมวปิศาจจึงทำแค่จารึกรอยข่วนบนแผ่นหลังเป็นทางยาว แม้จะไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์แต่การกระทำอันอุกอาจสร้างความพิโรธต่อไพราเป็นอย่างมาก เขาร้องคำรามออกมาดังลั่นก่อนเหวี่ยงกำปั้นเข้าไปที่ใบหน้าของปิศาจแมวดำแต่นางกลับกระโดดหนีขึ้นไปยืนบนกำแพงและตวัดลิ้นเลียเลือดอสูรบนปลายนิ้วอย่างยั่วยวน

“เลือดของเจ้าหวานไม่ใช่เล่น”

ดวงตาสีอำพันมองอย่างท้าทาย สีหน้าเย้ยหยันของนางทำให้ไพราถึงกับขบกราม

“ข้าจะขยี้เจ้าไม่ให้เหลือซากสักชิ้น”

คุโระอิเนโกะขานรับคำสบถด้วยเสียงร้องของแมวก่อนจะกระโดดแผล็วลงจากกำแพงและวิ่งหายเข้าไปในฝูงชนโดยมีไพราพุ่งตัววิ่งตามหลังออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นจอมอสูรออกไปจากเขตปราสาทแล้วฮารุคาเสะจึงหันกลับไปยังมิสึกิและแตะคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนบนเสื้อของนาง

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

เขาถามด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวสั่นศีรษะ

“ข้าไม่เป็นไร”

ฮารุคาเสะถอนใจอย่างโล่งอกพลางเช็ดรอยเปื้อนบนพวงแก้มปลั่ง การกระทำอันแสนอ่อนโยนของเขาทำให้สร้างความสุขใจต่อมิสึกิเป็นยิ่งนัก แต่ด้วยตำแหน่งกุลสตรีอันสูงศักดิ์ทำให้นางต้องพยายามสะกดรอยยิ้มเอาไว้ใบหน้าแสนงามก้มลงเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวอย่างเอียงอาย

“นั่นไม่ใช่เลือดของข้า”

“ข้ารู้” ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่มพลางลูบแก้มนวลอย่างทะนุถนอมก่อนจะเชยคางของหญิงสาวขึ้น “แต่ใบหน้าของเจ้าไม่ควรมีสิ่งใดมาแปดเปื้อน”

ความร้อนแผ่นซ่านไปทั่วพักตร์งาม ดวงตาที่ฉายความห่วงใยของฮารุคาเสะทำให้มิสึรู้สึกขวยเขินจนแทบจะก้มหน้าลงหลบ หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเริ่มแรงขึ้นเมื่อถูกชายหนุ่มรั้งร่างเข้าไปไว้ในอ้อมกอด

“มิสึกิ”

เสียงเรียกแผ่วเบาราวกระซิบขณะที่ใบหน้าสง่างามก้มลงและหยุดชะงัก พัดที่ถูกซ่อนไว้ในแขนเสื้อเลื่อนเข้ามาอยู่ในมือและสะบัดไปทางด้านหลัง สายลมคมกริบราวกับมีดตัดผ่านพุ่มดอกอะจิไซจนขาดสะบั้น เสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจดังท่ามกลางเศษใบไม้ปลิวว่อน
 
“สมเป็นนักปราบมาร ขนาดกำลังพรอดรักยังรู้ถึงการมาของข้า”

ฮารุคาเสะหันหน้าไปยังเจ้าของเสียงและนิ่วหน้าเมื่อเห็นคุโระอิเนโกะที่กำลังนอนกระดิกหางอยู่บนต้นซากุระ

“เจ้าหนีรอดจากไพรามาได้ยังไง”

“หนี”ปิศาจแมวดำทวนคำและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น”สิ่งที่อสูรตัวนั้นตามคือเงาของข้าต่างหาก”  

“หมายความว่าเจ้าอยู่นี่มาโดยตลอด”

ฮารุคาเสะพูดเสียงห้วนพลางดันร่างมิสึกิให้ไปยืนอยู่ด้านหลัง คุโระอิเนโกะเหยียดตัวและใช้กรงเล็บตะกุยกิ่งซากุระเล่นพลางมองคนทั้งสองด้วยดวงตาวาว

“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นหากงานยังไม่เสร็จ”

“งาน”

ชายหนุ่มกล่าวทวนคำและเบิกตากว้างเมื่อแมวปิศาจกระโจนเข้าใส่ เขารีบวาดพัดในมือเรียกกลีบดอกไม้ขึ้นมาบังแต่นางแมวดำกลับปัดออกและคว้าพัดด้ามหนึ่งเอาไว้ส่วนมืออีกข้างเงื้อง่าขึ้นหมายจะตะปบลงไปบนใบหน้าของคู่ต่อสู้แต่ต้องหยุดชะงักค้างเพราะถูกด้ายสีแดงยึดเอาไว้

“สายธารโลหิต”

ฮารุคาเสะกล่าวเสียงเย็น ไหมสีแดงสดพุ่งออกไปเป็นสายโอบรัดร่างของคุโระอิเนโกะเอาไว้และบั่นนางจนขาดเป็นท่อนร่วงกระจายเกลื่อนพื้น ชายหนุ่มมองและต้องนิ่วหน้าเพราะแทนที่ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะเป็นเศษซากของนางปิศาจ มันกลับเป็นร่างไร้วิญญาณของข้ารับใช้คนหนึ่ง

“นี่มันอะไรกัน”

เสียงร้องของมิสึกิดังขัดความคิด ฮารุคาเสะหันกลับไปมองและขบกรามแน่นเมื่อพบว่าปิศาจแมวดำกำลังรวบนางเอาไว้

“บอกแล้วว่าข้าต้องทำงานให้เสร็จ”

“หรือว่าเป้าหมายของเจ้าคือมิสึกิ”

“ถูกต้อง” คุโระอิเนโกะพูดพลางลากกรงเล็บไปบนใบหน้าของมิสึกิ”ช่างงดงามดุจ
จันทรายามราตรี มิน่าเล่าซาวาระถึงอยากครอบครองเจ้านัก”

 สายลมกราดเกรี้ยวพุ่งวาบเฉียดร่างฉีกแขนเสื้อของปิศาจแมวดำจนขาดเป็นริ้ว นางเลื่อนสายตาไปทางนักนาฏกรรมหนุ่มพร้อมกับแสยะยิ้ม

 “โจมตีมาแบบนี้ไม่คิดหรือว่าอาจจะทำให้คนรักของเจ้าบาดเจ็บ”

 “ลมของข้าไม่มีวันทำร้ายนาง”

 ฮารุคาเสะตอบเสียงห้วนพร้อมกับวาดพัดไปด้านข้าง คุโระอิเนโกะจึงกดเล็บลงไปบนลำคอของมิสึกิ

 “ข้าหมายถึงกรงเล็บนี่ต่างหาก”

 คำพูดของนางปิศาจทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของมิสึกิก่อนตัดสินใจลดพัดทั้งคู่ลง ปิศาจแมวดำเห็นดังนั้นจึงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ

 “ทำแบบนี้แสดงว่าเจ้ายอมให้นางตกเป็นสมบัติของซาวาระ”

 พัดในมือกำแน่นจนสั่นระริก แน่นอนว่าฮารุคาเสะย่อมไม่มีวันปล่อยให้คุโระอิเนโกะพา
มิสึกิออกไปจากปราสาท แต่ครั้นจะขัดขวางโดยตรงก็อาจจะทำให้นางได้รับอันตรายดังนั้นชายหนุ่มจึงจำต้องยืนนิ่งและครุ่นคิดวิธีการช่วยเหลือไปพร้อมกัน แต่การนิ่งเฉยของเขาทำให้หญิงสาวบังเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นจนสุดที่จะอยู่นิ่งอีกต่อไป มิสึกิจึงร้องเรียกชายหนุ่มพร้อมกับสะบัดตัวอย่างแรง

 “ฮารุคาเสะ”

 กรงเล็บที่ถูกจ่อไว้บนลำคอเลื่อนขึ้นไปบนใบหน้ากรีดพวงแก้มของหญิงสาวจนเป็นแผลฉกรรจ์เรียกเลือดสีแดงฉานให้ไหลทะลักออกมาราวกับน้ำ นางแมวร้ายสบถลั่นด้วยความโกรธและรีบร่ายมนตร์เพื่อให้อีกฝ่ายหมดสติ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พานางออกจากปราสาทด้ายสีแดงก็พุ่งเข้ามาพันธนาการร่างของคุโระอิเนโกะเอาไว้ นางปิศาจคำรามลั่นเมื่อเห็นร่างของมิสึกิกำลังถูกกลีบดอกไม้ประคองให้ลอยไปหาฮารุคาเสะ

 “เจ้า!”

 กล่าวออกมาเพียงเท่านั้นนางแมวดำก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าสิ่งที่มัดตรึงร่างนั้นไม่ใช่พู่ไหมประดับพัดเหมือนทุกครั้ง หากแต่เป็นเส้นผมยาวสยายของผู้ที่กำลังกางแขนออกเพื่อรับร่างบุตรีของยาสึฮิระ

 ฮารุคาเสะ

เส้นผมที่เคยเป็นสีดำสนิทดุจขนกาบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับเปลวเพลิง มันสะบัดไปมาคล้ายเปลวอัคคีที่เต้นระริกยามต้องสายลม สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คุโรอิเนโกะต้องอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง

“หรือว่าเจ้า”

ใบไม้อีกกลุ่มพุ่งกรูเข้ารุมล้อมปิศาจแมวดำฉีกทึ้งมันจนแหลกเป็นชิ้น เมื่อแน่ใจว่าปลิดชีพปิศาจร้ายได้แล้วใบไม้ทั้งหมดจึงหยุดหมุนวนและร่วงหล่นลงบนพื้น ฮารุคาเสะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะแทนที่จะพบเศษซากชิ้นส่วนของนางปิศาจกลับมีเพียงเส้นขนสีดำเพียงกระจุกเดียว


“หนีไปได้งั้นหรือ”

เขาพึมพำด้วยความเจ็บใจจากนั้นจึงก้มหน้าลงมองคนรักในอ้อมแขนและวางมือลงบนบาดแผล ดวงตาสีเข้มบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำดุจเลือดจ้องดวงหน้างามนิ่งขณะที่ภายในใจเริ่มภาวนา ราวกับมีพลังบางอย่างถ่ายทอดผ่านมือลงไปยังมิสึกิ รอยแผลลึกค่อยๆประสานตัวทีละน้อยจนหายสนิทไม่มีเหลือแม้รอยขีดข่วนเช่นเดียวกันกับเส้นผมของฮารุคาเสะที่กลับคืนเป็นสีดำ เมื่อชายหนุ่มถอนมือออกเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไพราก้าวเข้ามาหาพอดี

“เกิดอะไรขึ้น”

“นางได้รับบาดเจ็บ” ฮารุคาเสะตอบเสียงเรียบพลางไล้ใบหน้าของหญิงสาวด้วยปลายนิ้ว จอมอสูรรีบก้มหน้าลงมองพร้อมกับถามด้วยความโกรธ

“เจ้าปล่อยให้นางบาดเจ็บได้ยังไง”

“ข้าควรจะถามเจ้าว่าเหตุใดจึงมองไม่ออกว่านางแมวปิศาจนั่นเป็นภาพมายามากกว่า”

คำถามของชายหนุ่มทำให้ไพราถึงกับเถียงอะไรไม่ออก เมื่จนปัญญาที่จะหาคำมากล่าวแก้เขาถึงกระแทกลมหายใจก่อนถามเสียงเรียบ

“นางเป็นยังไงบ้าง”

“หายดีแล้ว รอแค่ให้ฟื้นคืนสติขึ้นมาเท่านั้น”

จอมอสูรมองฮารุคาเสะอย่างใคร่ครวญ เพราะถึงจะเพิ่งเข้ามาแต่เขายังทันเห็นว่าเส้นผมของฮารุคาเสะเป็นสีแดงดุจเปลวไฟ

“เจ้าไม่ใช่มนุษย์”

เขาเปรยด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงเรียบ   

 “แต่ข้าก็ไม่ใช่ปิศาจ”

ไพราเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับย้อนถาม

“แน่ใจหรือที่พูดแบบนั้น”

ชายหนุ่มหันไปจ้องเขาทันที ประกายบางอย่างเต้นระริกอยู่ในแววตา

“เจ้าหมายความว่ายังไง”

“ข้าเคยเห็นผู้ใช้เวทและนักปราบมารมามาก แต่ไม่เคยเห็นผู้ใดมีเส้นผมสีแดงเหมือนกับเจ้า อีกอย่างความสามารถในการเรียกสายลมมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่วกับพู่ไหมที่ห้อยอยู่บนพัดนั่น อยากให้ข้าพูดไหมว่ามันคืออะไร”

ฮารุคาเสะขยับพัดเข้าไปไว้ในแขนเสื้อแทบจะทันทีคล้ายต้องการซ่อนมันให้พ้นจากสายตาของจอมอสูร

“เจ้า...”

ชายหนุ่มหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงครางอย่างแผ่วเบาดังมาจากมิสึกิ ทั้ง
ไพราและฮารุคาเสะมองนางและเอ่ยเรียกพร้อมกัน

“มิสึกิ”

ดวงตาของหญิงสาวกะพริบสองสามครั้งอย่างมึนงงและเบิกกว้าง นางลุกพรวดขึ้นและกวาดมองรอบตัวอย่างตื่นกลัวพลางขยับตัวเข้าไปหาฮารุคาเสะ

“ปิศาจตนนั้นล่ะ”

“มันหนีไปแล้ว” ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่ม หญิงสาวยกมือขึ้นแตะใบหน้าและขมวดคิ้วอย่างงุนงง

“ข้าจำได้ว่าถูกเจ้าปิศาจนั่นข่วน”

“เจ้าโดนมันหลอกด้วยภาพมายา....”

พูดออกมาได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสัมผัสถึงคลื่นพลังรุนแรงที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ฮารุคาเสะรีบถอยห่างออกจากมิสึกิและกำพัดในมือแน่น ส่วนไพรานั้นยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่ดวงตามองไปยังทิศทางอันเป็นที่มาของกลุ่มพลัง เขาหัวเราะเบาๆในลำคอ

“ผู้ทรงอำนาจแห่งโคะโตโระมาแล้ว”

สิ้นคำพูด ร่างในชุดเกราะนักรบอันงามสง่าก็ก้าวเข้ามาโดยมีโคดาจิเดินตามไม่ห่าง  ใบหน้าที่เคร่งขรึมเคร่งเครียดขึ้นในทันทีเมื่อเห็นศพของทหารและข้ารับใช้ที่นอนตายปะปนไปกับชิ้นส่วนของปิศาจกลาดเกลื่อนไปทั่วสวน หลังจากกวาดตามองไปจนทั่วเขาจึงหันมายังฮารุคาเสะและถามเสียงห้วน

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“เขามาช่วยข้า” มิสึกิรีบกล่าวตอบ ยาสึฮิระขมวดคิ้วและเลื่อนสายตากลับไปที่สวนอีกครั้งพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม

“เกิดอะไรขึ้น”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่กำลังจะเขียนบททกลอนอยู่ๆก็มีพวกปิศาจบุกเข้ามา พวกมันไล่ฆ่าคนของเราอย่างโหดร้ายทารุณ หากคุณชายฮารุคาเสะไม่เข้ามาช่วย ข้าเองก็คงไม่รอดเหมือนกัน”

ดวงตาคมกล้าของยาสึฮิระจ้องฮารุคาเสะเขม็งจากนั้นจึงตวัดกลับไปที่สวน แม้จะเห็น
ไพรายืนอยู่ที่นั่นด้วยแต่เขากลับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมานอกจากจะเบนหน้ากลับมาที่มิสึกิอีกครั้ง

“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”

หญิงสาวสั่นศีรษะ ยาสึฮิระจึงพยักหน้าและแตะไหล่นางอย่างแผ่วเบา เขาหันไปทางนักนาฏกรรมหนุ่มและก้มหน้าลงพอเป็นพิธี

“ขอบใจ”

ฮารุคาเสะรีบค้อมตัวลงรับพร้อมกับกล่าวอย่างนอบน้อม

“ข้าทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น”

เจ้าเมืองโคะโตโระยิ้ม

“คนเก่งมักไม่โอ้อวดฝีมือ นอกจากเจ้าจะมีความสามารถแล้วยังมีสติปัญญาและความกล้าหาญไม่แพ้นักรบ หากไม่ใช่พวกนาฏกรรมแล้วข้าคงให้มาอยู่ร่วมในกองทัพ”

ชายหนุ่มก้มศีรษะลง

“คำกล่าวของท่านนับเป็นความเมตตาอย่างสูง”

“ข้ามีเมตตาสำหรับผู้ที่ภักดีเสมอ” ยาสึฮิระกล่าวพลางหันไปยังมะรุอิชิที่ยืนอยู่ด้านหลัง “พาพวกที่บาดเจ็บไปรักษา ส่วนเจ้า”

เขาชำเลืองตาไปทางโคดาจิที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง

“นำร่างของพวกที่ตายออกไป คัดแยกซากปิศาจออกจากพวกเขาเอาไปเผาทิ้งให้หมด และสั่งให้คนเข้ามาจัดการทำความสะอาดที่นี่ให้เร็วที่สุด”

ทั้งมะรุอิชิและโคดาจิต่างค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวรับคำ จากนั้นทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามที่ผู้เป็นนายสั่งทันที เมื่อจัดการทุกอย่างแล้วยาสึฮิระจึงหันไปทางมิสึกิพร้อมกับกล่าวอย่างอ่อนโยน

“วันนี้เจ้าคงต้องไปพักที่จวนของข้าก่อน รอให้พวกทหารกับข้ารับใช้ทำความสะอาดที่นี่เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา” เมื่อบุตรสาวรับคำเขาจึงเบือนหน้าไปทางฮารุคาเสะ “ส่วนเจ้าคงต้องกลับไปที่ห้องก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปสอนมิสึกิที่จวนของข้า”

กล่าวจบเจ้าเมืองโคะโตโระก็หมุนตัวเดินออกจากที่นั่น มิสึกิมองฮารุคาเสะอย่างอาวรณ์และก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะรีบก้าวตามบิดา เมื่อทั้งสองพ้นจากบริเวณนั้นแล้วเสียงร้องสั่งจากมะรุอิชิก็ดังขึ้น ชายหนุ่มจึงหันไปมองกลุ่มทหารที่กำลังช่วยกันนำคนเจ็บออกไปทำการรักษาต่างจากการทำงานของทหารด้านโคดาจิที่ลำเลียงร่างคนตายออกไปด้านนอกอย่างเงียบกริบ ไร้คำพูดใด

หลังจากยืนดูการทำงานของทหารทั้งสองกลุ่มอยู่ครู่หนึ่งฮารุคาเสะจึงกลับไปยังเรือนรับรองที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปราสาทซึ่งต้องผ่านจวนของยาสึฮิระ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นชายหนุ่มลอบสังเกตบริเวณโดยรอบรวมทั้งข้ารับใช้และทหารรักษาการณ์ เขาพบว่านอกจากม่านพลังที่ปกคลุมทั่วทั้งจวนกับทหารบางคนที่เป็นพวกถูกเรียกกลับมาจากความตายแล้ว สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นแทบไม่มีอะไรผิดปรกติเลยสักนิด นับเป็นสิ่งผิดวิสัยของพวกที่ทำข้อตกลงกับปิศาจ เพราะคนจำพวกนี้มักจะสูญเสียจิตวิญญาณไปทีละน้อยและถูกความมืดเข้าครอบงำ กลืนกินทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง

“หรือข้าเข้าใจเขาผิด”

ฮารุคาเสะพึมพำและมองจวนของยาสึฮิระอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินจากไป

*/*/*/*/*/*

หลังจากส่งมิสึกิไปพักผ่อนที่ห้องแล้วยาสึฮิระจึงเดินไปยังด้านหลังปราสาทจนกระทั่งถึงลานแห่งหนึ่งจึงหยุดและหันไปมองโคดาจิที่กำลังค้อมตัวลงทำความเคารพ

“พวกเขาเป็นยังไงบ้าง”

“ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่แขนขาถูกฉีกหรือโดนกัดกินลำตัวจนทะลุ มีเพียงทหารสามนายกับสาวใช้แค่เดียวเท่านั้นที่มีบาดแผลน้อยที่สุด”

หัวหน้าองครักษ์รายงานและเมื่อผู้เป็นนายผงกศีรษะ เขาจึงเดินนำไปยังร่างของคนทั้งสี่ที่ถูกวางแยกไว้ต่างหาก ยาสึฮิระมองด้วยสายตาเศร้า

“หากเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพแบบนี้เลย”

เจ้าเมืองโคะโตโระกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังนักพลางโบกมือไปด้านข้าง ไอพลังบางอย่างรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีน้ำเงินเข้มปะทุเหนือศีรษะของผู้ไร้วิญญาณ มันทอแสงเจิดจ้าขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะแทรกตัวจมหายไปในหน้าผาก ดวงตาของคนทั้งสี่เบิกโพลงทันที ทั้งหมดลุกขึ้นยืนและค้อมตัวให้กับยาสึฮิระพร้อมกัน

“นายท่าน”

“ดีใจที่พวกเจ้ากลับมา” จ้าวปิศาจกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและมองทหารทั้งสาม”พวกเจ้าไปรายงานตัวกับโคดาจิส่วนเจ้า”

เขาเลื่อนสายตาไปที่สาวใช้

“ย้ายไปทำงานในจวนของข้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

ทั้งสี่โค้งคำนับพร้อมกับกล่าวรับคำ ยาสึฮิระจึงผงกศีรษะและหันไปทางโคดาจิ

“แล้วเจ้าทำยังไงกับพวกที่เหลือ”

“พวกชิ้นส่วนของปิศาจข้าสั่งให้ทหารนำไปเผาทิ้งที่นอกเมือง ส่วนร่างของทหารกับคนในปราสาทถูกนำไปฝังที่เชิงเขาโฮระนะฮาจิ ข้าได้ส่งคำแสดงความเสียใจไปที่บ้านของพวกเขาทุกคนแล้วขอรับ”

“ดีมาก” ยาสึฮิระกล่าวและหยุดนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงกลองลั่นมาจากด้านนอกของปราสาท “ดูเหมือนโอริเอะจะกลับมาแล้ว ข้าคงต้องไปรอพบเขา จัดการทางนี้ให้เรียบร้อยด้วย
โคดาจิ”

 เจ้าเมืองโคะโตโระเดินออกจากสถานที่แห่งนั้นกลับไปยังจวนซึ่งเมื่อไปถึงเขาก็พบว่า
โอริเอะกำลังรออยู่แล้ว ทันทีที่เห็นผู้เป็นนาย แม่ทัพใหญ่จึงรีบค้อมตัวลงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมจนเมื่อยาสึฮิระนั่งประจำที่เรียบร้อยและผายมือเป็นเชิงอนุญาตแล้วเขาจึงนั่งลงและก้มศีรษะอีกครั้งจากนั้นจึงเริ่มรายงาน

 “ข้า โอริเอะ ได้นำกองทัพและชัยชนะกลับมายังโคะโรโตะแล้วขอรับ”

 คำพูดของเขาทำให้ยาสึฮิระยิ้มอย่างยินดี เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับกล่าว

 “เป็นข่าวที่น่าดีใจยิ่ง แต่ข้าศึกทางด้านนั้นมีทั้งทัพของคาสึรางิกับอิวะ เจ้าเอาชนะทหารที่ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องกลสังหารด้วยวิธีใด”

 โอริเอะก้มศีรษะลง

 “ตอนที่กองทัพของข้าไปถึงพบว่าค่ายของเราถูกคาสึรางิกระหน่ำโจมตีอย่างหนักจึงต้องใช้วิธีตั้งรับและตอบโต้จนพวกมันล่าถอย เมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามทัพของคาสึรางิก็เตรียมจู่โจมเราอีกครั้งโดยมีทัพของพวกอิวะคอยสนับสนุน แต่ก่อนที่พวกมันจะเคลื่อนทัพ ข่าวเรื่องค่ายด้านเหนือของโคะโตโระมีชัยต่อพวกคาสึรางิก็มาถึง ทัพของอิวะจึงชะลอการบุกและล่าถอยไปในที่สุดส่วนพวกคาสึรางิก็รั้งรออยู่ราวครึ่งคืนจึงถอนทัพกลับไป”

 แม่ทัพหนุ่มหยุดพูดและมองหน้าผู้เป็นนาย

 “ไม่ทราบว่าท่านพอจะรู้ข่าวเรื่องอาซามิหรือยัง”

 “ข้าเองก็เพิ่งจะมาถึง มีอะไรหรือ” ยาสึอิระถาม โอริเอะจึงตอบด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

 “มีข่าวว่าอาซามิ เคียวคุเซ็นถูกลอบสังหารในคืนที่กองทัพของเขาพ่ายแพ้ต่อท่านที่ค่ายด้านเหนือ”

 สิ่งที่ได้ยินทำให้ยาสึฮิระนั่งนิ่งไปชั่วขณะ รอยยิ้มสาสมใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าและถูกปรับให้เคร่งขรึมเช่นดังเดิมแทบจะทันที

 “ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ข้าได้ยินมาว่าจวนของอาซามิมีการคุ้มกันที่แน่นหนากระทั่งมดหรือแมลงก็ไม่อาจจะเดินผ่านเข้าไปได้” เขาหยุดคำพูดไปเล็กน้อย “พอจะรู้ไหมว่าเป็นฝีมือของใคร”

 “ข้ายังไม่ทราบ แต่มีข่าวลือว่าเป็นการกระทำของพวกปิศาจ บ้างก็ว่าเป็นฝีมือของท่าน”

 “เหลวไหลไร้สาระ” ยาสึฮิระพูดสวนขึ้นมาทันควันและขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของโอริเอะ “อย่าบอกนะว่าเจ้าก็เชื่อเรื่องนี้”

 “ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อหรอกขอรับ แต่สภาพของอาซามิทำให้อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้”

 “สภาพเขาทำไม”

 “ได้ยินมาว่าร่างของอาซามิถูกกัดกินจนเหลือแต่โครงกระดูก ส่วนหนังถูกถลกออกมาและขึงไว้กลางห้องโดยมีคำว่า โคะโตโระ จารึกเอาไว้ คนพวกนั้นจึงคิดว่าท่านอาจจะมีเกี่ยวข้องกับความตายของเขา”

 โอริเอะมองหน้ายาสึฮิระและบังเกิดความรู้สึแกแปลกใจเพราะแทนที่จะเห็นสีหน้านิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความครุ่นคิดเหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้เขากลับเห็นรอยยิ้มของความสาสมใจแฝงอยู่บนใบหน้าของผู้เป็นนาย ชั่วขณะหนึ่งนั้นเองที่แม่ทัพหนุ่มเห็นเงาเลือนลางของปิศาจทาบทับอยู่บนร่างสง่าของเจ้าเมืองโคะโตโระ แต่ก็เพียงแค่เขากะพริบตาเงานั้นก็เลือนหายไป

 “เป็นอะไรไปหรือโอริเอะ” ยาสึฮิระเอ่ยถามเมื่อเห็นอาการตกตะลึงงงงันของอีกฝ่าย
โอริเอะรีบก้มศีรษะลงพร้อมกับตอบ

 “ม...ไม่มีอะไรขอรับ” เขาขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้น “แล้วท่านจะจัดการยังไงต่อไปหรือขอรับ ข้าหมายถึงคงไม่เกิดผลดีต่อเราแน่หากพวกคาสึรางิยังเข้าใจผิดแบบนั้น”

 “ไม่ต้องเป็นกังวล คนพวกนั้นไม่กล้าลงมืออะไรกับเราแน่” ยาสึฮิระตอบพร้อมกับเลื่อนมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมา “ยิ่งตอนนี้คาสึรางิมีคนไม่เอาไหนอย่างอาซามิ ฮิโรซะเป็นผู้นำด้วยแล้ว คงไม่กล้ามาวุ่นวายกับพวกเราอีกต่อไป”

 “แต่...”โอริเอะทำท่าจะแย้งแต่ต้องหยุดเมื่อผู้เป็นนายโบกมือ

 “เจ้าเพิ่งกลับมาจากการศึกคงเหน็ดเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาหาข้าอีกครั้ง เราจะจัดงานฉลองให้กับทหารทุกคน”

 แม่ทัพหนุ่มจำต้องกล่าวรับคำและค้อมตัวลงจนหน้าผากเกือบจรดพื้นก่อนจะถดตัวถอยออกจากห้อง เขาลุกขึ้นโค้งคำนับอย่างนอบน้อมอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป ยาสึฮิระจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มและเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกมองกลีบซากุระที่กำลังโปรยปรายลงสู่พื้นอย่างสบายใจ

 “แน่นอนว่างานฉลองนี้ต้องมีการแสดงของเจ้า” รอยยิ้มอำมหิตฉาบบนมุมปาก “และจะต้องเป็นนาฏกรรมที่งดงามที่สุด เพราะมันคือการร่ายรำบนกองเลือด”

*/*/*/*/*/*


 

 





Create Date : 23 พฤษภาคม 2555
Last Update : 23 พฤษภาคม 2555 10:06:45 น.
Counter : 597 Pageviews.

0 comment
เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 11 การจู่โจมของคุโระอิเนโกะ

บทที่ 11

การจู่โจมของคุโระอิเนะโกะ

ข่าวการพ่ายแพ้ของคาสึรางิกระจายไปถึงเมืองอิวะภายในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง ซาวาระจึงออกคำสั่งให้ถอนกำลังกองทัพของเขาออกมา และในเช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่กำลังออกกำลังกายด้วยการซ้อมฟันดาบ คุโระอิเนโกะ ปิศาจแมวดำก็เข้ามาหาพร้อมกับรายงานเรื่องอาซามิถูกสังหารและโดนทำลายร่างกายจนหมดสิ้นเหลือเพียงแผ่นหนังวางแผ่ไว้กลางห้องพร้อมตัวอักษรเมืองที่เขาต้องการครอบครอง

“พอจะรู้หรือเปล่าว่าเป็นฝีมือของใคร”

เจ้าเมืองอิวะถามทั้งที่ยังคงกวัดแกว่งดาบในท่วงท่าเชิงรุก แมวปิศาจกระดิกใบหูทั้งสองข้างเหมือนรำคาญที่ถูกซักไซ้ก่อนตอบ

“ข้าไม่รู้ ตอนไปถึงก็พบว่าอาซามิถูกสังหารไปเรียบร้อยแล้ว แม้จะรู้สึกถึงพลังปิศาจที่อบอวลอยู่ในห้องแต่ก็น้อยเกินกว่าที่จะรู้ว่าเป็นใคร”

คุโระอิเนโกะพูดพลางแลบลิ้นเลียมือของตัวเอง ซาวาระจึงหยุดการซ้อมและหันไปหยิบผ้ามาซับเหงื่อบนใบหน้า

“เจ้าบอกว่ามีตัวอักษร”

เขาพูดพลางเดินไปหยิบถ้วยชาที่ข้ารับใช้เตรียมไว้ให้ขึ้นมาดื่ม ความร้อนของน้ำชาเย็นเยือกลงอย่างฉับพลันเมื่อปิศาจแมวตอบสวนขึ้นมา

“ถูกเขียนด้วยหมึกไว้บนแผ่นหนังว่า โคะโตโระ” ดวงตาสีอำพันจ้องผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า “อาจจะเป็นฝีมือของปิศาจที่ยาสึฮิระส่งมา”

“เท่าที่รู้ เขาไม่เคยติดต่อกับใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอสูร ปิศาจหรือมนุษย์ด้วยกันเอง”
ซาวาระกล่าวพร้อมกับวางถ้วยชาลง คุโระอิเนโกะเอียงคอเล็กน้อย

“ท่านเองก็ไม่เคยทำเช่นกัน แต่เพราะอำนาจจึงต้องหันมาพึ่งพลังของพวกเรา”

น้ำเสียงเจือการดูถูกอย่างไม่ปิดบัง เจ้าเมืองอิวะหันไปจ้องนางด้วยดวงตาวาว

“จะบุกโคะโตโระไม่จำเป็นต้องใช้พลังของพวกเจ้า แต่ที่ให้ช่วยก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวก
คาสึรางิย้อนกลับมาโจมตีพวกข้าในภายหลัง และอีกเหตุผลที่ทำให้ปิศาจอย่างพวกเจ้ายอมมาไม่ใช่เพราะมีน้ำใจ แต่กลัวอำนาจของอสูรตนนั้นจนไม่กล้าที่จะปฏิเสธต่างหาก”

เขานิ่งไปเล็กน้อยและยกมือขึ้นลูบคางเหมือนใช้ความคิด

“เพื่อความไม่ประมาท เจ้าจงเข้าไปในปราสาทยาสึฮิระ สืบดูให้รู้แน่ว่าเขาติดต่อกับผู้ใด เสร็จแล้วจงรีบกลับมารายงานให้ข้าฟัง”

“ข้าไม่ใช่ทาสรับใช้เจ้า”

คุโระอิเนโกะแยกเขี้ยวพูด อีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาที่เฉยนิ่งจนน่ากลัว

“แต่เจ้าต้องทำหากไม่ต้องการมีสภาพเช่นนี้”

ซาวาระตวัดดาบเป็นวงตัดไม้ที่ปักไว้กลางสนามจนขาดเป็นสองท่อน และเก็บเข้าฝักเดินกลับเข้าห้องพักโดยไม่สนใจปิศาจแมวที่กำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาลุกวาวน่ากลัว

“หากพวกข้าได้รับอิสระเมื่อใด อาหารมื้อแรกก็คือเจ้า จากนั้นก็เป็นชาวเมืองอิวะทุกคน”

*/*/*/*/*

หลังจากนั่งรอจนสึมิเระกินข้าวและยาตามที่หมอจัดให้เสร็จเรียบร้อยแล้วมิสึกิจึงเดินกลับห้อง แม้จะอิ่มเอิบใจที่เวลานี้ฮารุคาเสะได้เข้ามาภายในปราสาทเรียบร้อยแล้วแต่นางก็ไม่อาจไปเรียนกับเขาได้ตามที่ตั้งใจเพราะเป็นห่วงบิดาที่เดินทางไปทำสงคราม หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้มทั้งผิดหวังที่ไม่ได้พบหน้าชายคนรักและกังวลในความปลอดภัยของยาสึฮิระและความอยู่รอดของเมืองโคะโตโระ

ระหว่างกำลังสับสนอยู่กับความคิดของตนเอง เสียงหัวเราะคิกคักของข้ารับใช้หญิงก็ดังขึ้นดึงความคิดว้าวุ่นของมิสึกิให้กลับคืนมา นางหันหน้าไปยังสวนและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นสาวใช้สามถึงสี่คนกำลังยืนจับกลุ่มและผลัดกันส่งอะไรบางอย่างให้แก่กันอย่างสนุกสนาน

“นั่นพวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่”

มิสึกิเอ่ยถามด้วยความสงสัย สาวใช้ทั้งสี่สะดุ้งเฮือกและหันมาค้อมกายให้กับนางพร้อมกัน หนึ่งในนั้นตอบอย่างนอบน้อม

“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ”

“หากไม่มีอะไรแล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงยืนจับกลุ่มกันอยู่เช่นนี้” นายหญิงของพวกนางกล่าวเสียงเข้มและมองมือของข้ารับใช้คนนั้นที่พยายามแอบไว้ทางด้านหลัง “เจ้ากำลังซ่อนอะไร เอาออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”

ข้ารับใช้ทั้งสี่มองหน้ากัน ผู้ที่ซ่อนมือไว้ทางด้านหลังยื่นออกมาอย่างจำใจ มิสึกิมองพร้อมกับนิ่วหน้าเมื่อพบว่าสิ่งที่อยู่ในมือของข้ารับใช้เป็นลูกแมวสีดำตัวหนึ่ง มันจ้องหญิงสาวด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสาและส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ อีกฝ่ายยิ้มอย่างถูกใจ

“น่ารักจริง” นางประคองแมวน้อยจากมือสาวใช้มากอดไว้แนบอก “พวกเจ้าได้มันมาจากไหน”

“ข้าพบมันในสวนใต้ต้นสึบากิเมื่อเช้านี้เจ้าค่ะ คิดว่าคงหลงเข้ามาในปราสาทตั้งแต่เมื่อคืน โชคดีที่แถวนั้นอยู่ใกล้คบไฟมันเลยไม่หนาวตาย” ข้ารับใช้คนที่อุ้มแมวเมื่อครู่ตอบ มิสึกิลูบศีรษะแมวตัวนั้นด้วยความเอ็นดู

“ข้าขอได้ไหม”

สาวใช้ค้อมตัวลง

“หากท่านหญิงเมตตา ก็นับเป็นโชคของแมวตัวนี้แล้วเจ้าค่ะ”

มิสึกิยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางยกลูกแมวน้อยขึ้นมาแนบกับใบหน้า ราวกับรู้ว่าผู้ที่กำลังอุ้มตัวเองอยู่ในเวลานี้คือเจ้านายคนใหม่ มันรีบคลอเคลียพวงแก้มปลั่งอย่างประจบทันที หญิงสาวหัวเราะ

“ช่างประจบเสียด้วย” นางมองข้ารับใช้หญิงผู้นั้น “เจ้าตั้งชื่อให้มันหรือยัง”

“ยังเลยเจ้าค่ะ แต่พวกข้าเรียกมันว่าเจ้าดำ ดูเหมือนมันจะชอบให้เรียกแบบนั้นด้วยเจ้าค่ะ”

“เจ้าดำงั้นหรือ” มิสึกิมองหน้าเจ้าแมวน้อย”เจ้าชอบชื่อนี้ใช่ไหม”

เจ้าแมวน้อยส่งเสียงร้องออกมาคำหนึ่งคล้ายขานรับ หญิงสาวยิ้มอย่างถูกใจ

“’งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเจ้าดำ” นางหันไปทางเหล่าข้ารับใช้ “พวกเจ้าไปทำงานได้แล้ว อ้อ ช่วยเตรียมนมไว้ให้เจ้าดำด้วยนะ”

หญิงรับใช้ทั้งสี่กล่าวรับคำพร้อมกับย่อตัวลงก่อนเดินจากไป มิสึกิจึงอุ้มลูกแมวน้อยเดินกลับห้อง เมื่อไปถึงนางจึงวางเจ้าดำลงบนเบาะและหยอกเย้ามันด้วยความเอ็นดู

“คิดว่าเจ้าไปเรียนการร่ายรำเสียอีก”

เสียงไพราดังขึ้นมา มิสึกิสะดุ้งด้วยความตระหนกแต่ก็รีบปรับสีหน้าให้ดูนิ่งสงบและตอบอย่างสำรวม

“ข้ายังไม่อยากไป”

“ทั้งที่ดีใจกับการมาของเขาจนถึงขนาดนั้นน่ะหรือ” จอมอสูรแสร้งถามพลางหย่อนตัวลงนั่งข้างหญิงสาว “บอกเหตุผลที่แท้จริงของเจ้ามาดีกว่า”

มิสึกิทำท่าอึกอักเล็กน้อยคล้ายไม่อยากพูดแต่เมื่อเห็นแววตาของไพราแล้วนางจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเองก็พอจะรู้เหตุผลอยู่เหมือนกัน ในที่สุดหญิงสาวระบายลมหายใจออกมา

“โคะโตโระกำลังถูกรุกราน ท่านพ่อต้องนำทัพออกไปต่อสู้กับข้าศึก ไม่เป็นการสมควรเลยสักนิดหากข้าไปเรียนการร่ายรำเพียงเพื่อความสุขของตัวเอง”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวของกับความเหมาะสม แต่อยู่ที่ความตั้งใจของเจ้าต่างหาก” จอมอสูรกล่าวพลางนิ่วหน้าอย่างรำคาญเมื่อแมวดำตัวน้อยกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักและใช้เล็บตะกุยขนสัตว์ที่เขานุ่งอยู่อย่างสนุกสนาน “ว่าเป้าหมายในการเรียนในครั้งนี้แท้จริงแล้วเพื่อให้บิดาเป็นสุขหรือเพียงเพราะจะได้พบหน้าอาจารย์รูปงามเท่านั้น”

ดวงหน้าผุดผ่องมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมาในทันที มิสึกิก้มหน้าลงหลบสายตาของไพราและแสร้งทำเป็นย้อนถาม

“เจ้าไปพบเขามาแล้วหรือ”

“แค่เห็นตอนเขาเข้าไปหาบิดาเจ้าเท่านั้น” จอมอสูรตอบอย่างเคร่งขรึมพลางใช้มือหิ้วคอแมวน้อยขึ้นมา “ความจริงข้าเองก็อยากเข้าไปทักทายเจ้าหนุ่มนั่นเหมือนกันเพราะดูเหมือนเขาจะมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ”

ดวงตาของไพราทอประกายลุกวาวขณะเหวี่ยงลูกแมวไปที่มุมห้อง มิสึกิอุทานด้วยความตกใจ

“ทำอะไรน่ะ”

นางลุกขึ้นเตรียมจะเข้าไปอุ้มแมวน้อยแต่กลัวถูกอสูรหนุ่มคว้าไหล่เอาไว้และกดบังคับให้นั่งลงไปตามเดิม

“ข้าอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงหากปิศาจบุกเข้ามาในห้องของเจ้า”

“เจ้าพูดเรื่องอะไร” มิสึกิถามอย่างงงัน ไพรายิ้มมุมปากพร้อมกับเหยียดมือไปข้างหน้าตรงไปยังลูกแมวตัวน้อยที่กำลังนั่งตัวสั่นเทา “ร่างน่ารักแบบนั้นตบตาข้าไม่ได้หรอก”

แสงสีแดงพุ่งวาบเข้าใส่แมวดำ มันส่งเสียงร้องดังลั่นและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
มิสึกินั่งตกตะลึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงได้สติ นางหันไปทางจอมอสูรพร้อมกับต่อว่าด้วยความโกรธ

“เจ้าทำอะไรลงไป เจ้าดำเป็นแค่ลูกแมวเท่านั้นฆ่ามันทำไม”

“ลูกแมว” ไพราทวนคำและกระแทกลมหายใจออกมา “แค่ภาพน่ารักที่ดูไร้พิษภัยก็สามารถหลอกลวงมนุษย์อย่างพวกเจ้าได้แล้ว มิน่าเล่าถึงถูกปิศาจทำร้ายได้อย่างง่ายดาย”

“เจ้าพูดเรื่องอะไร” มิสึกิถามอย่างงุนงง จอมอสูรจึงชี้มือออกไปด้านนอก

“ดูนั่น”

หญิงสาวมองตามมือผ่านสวนไปจนถึงกำแพง ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นปิศาจแมวดำคุโระอิเนโกะกำลังยืนเลียบาดแผลของตัวเอง ราวกับรู้ว่ากำลังถูกเฝ้ามอง นางแมวสาวจึงจ้องกลับมาด้วยดวงตาวาว มิสึกิถึงกับยกมือขึ้นปิดปากและหลุดคำพูดออกมาอย่างตระหนก

“ปิศาจ”

“นั่นคือร่างจริงของแมวดำที่เจ้าอุ้มเมื่อครู่” ไพราอธิบายและคำรามออกมาด้วยความโกรธเมื่อเห็นคุโระอิเนโกะกำลังแกว่งหางไปมาคล้ายต้องการเยาะเย้ยที่หลุดรอดพลังทำลายของเขามาได้ “นางแมวปิศาจอุตส่าห์ปล่อยให้รอดยังบังอาจมาล้อหลอกกันได้ งั้นข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นเหมือนปิศาจหมาป่าตัวเมื่อคืน”

เพียงขยับตัวคุโระอิเนโกะก็กระโจนแผล็วลงจากกำแพงและเผ่นหายไปอย่างรวดเร็ว จอมอสูรเตรียมจะพุ่งตามแต่มิสึกิกลับคว้าแขนเขาไว้พร้อมกับร้องห้าม

“อย่าไพรา”

เขาหันไปมองนางอย่างขัดใจ

“ห้ามข้าทำไม”

“ถึงจะเป็นปิศาจแต่ก็เป็นแค่แมวตัวหนึ่ง ข้าไม่คิดว่านางจะทำร้ายผู้ใด”

“แล้วทำไมนางแมวดำนั่นจึงมาที่นี่ และจำเพาะจะต้องอยู่กับเจ้า” ไพราถามเสียงห้วน
มิสึกินิ่งไปเล็กน้อย นางเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกและตอบด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

“ข้าก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะความหิวหรือต้องการมีที่อบอุ่นเอาไว้หลบนอนก็ได้ บางทีปิศาจแมวตัวนั้นอาจต้องการมีบ้าน”

เหตุผลของหญิงสาวทำให้จอมอสูรต้องส่ายหน้าด้วยความระอา เขาเบือนหนีไปอีกด้านพร้อมกับพูด

“แมวดำตัวนั้นมาจากเมืองของชายคนที่ช่วยเจ้า ที่มานี่ก็เพื่อสืบข่าวคราวการเคลื่อนไหวของคนในปราสาทนี้” อสูรหนุ่มหันมาทางมิสึกิอีกครั้ง “แต่นับว่ามันยังโชคดีที่ตอนนี้ยาสึฮิระไม่อยู่ ไม่เช่นแล้วคงถูกฆ่าตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ย่างเท้าก้าวเข้ามา”

“เจ้าพูดเหมือนท่านพ่อสามารถสังหารปิศาจได้” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเลื่อนมือขึ้นกุมทรวงอก “แต่ถึงปิศาจแมวตัวนั้นคิดทำร้ายข้าจริงก็คงไม่สำเร็จเพราะข้ามีเครื่องรางพิเศษของ
ฮารุคาเสะคอยคุ้มครอง”

มือที่แตะบนอกอย่างอ่อนโยนและพวงแก้มที่มีสีเข้มขึ้นขณะที่เอ่ยนามของนักนาฏกรรมหนุ่มทำให้ไพรารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาคมกริบจ้องบริเวณทรวงอกของหญิงสาวอย่างลืมตัว คิ้วเข้มขมวดเข้ากันด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นแสงสีแดงทอประกายเรื่อเรืองออกมา

“นี่มันพลังของปิศาจ” จอมอสูรพึมพำและทำท่าจะเอ่ยปากขอให้มิสึกิหยิบสิ่งที่อยู่ในเสื้อออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของนางแล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ร่างสูงใหญ่จางหายไปอย่างฉับพลันท่ามกลางความงงงันของมิสึกิ

“หรือข้าทำอะไรให้เขาไม่พอใจ”

นางพึมพำพลางเลื่อนมือขึ้นไปแตะใบโมมิจิที่ซ่อนอยู่ในเสื้อและยิ้มน้อยๆด้วยความสุขใจ

*/*/*/*/*

ฟุคิบิวางถาดน้ำชาลงข้างกายของฮารุคาเสะและมองนายหนุ่มของเขาที่กำลังนั่งนิ่งคล้ายจมอยู่ในภวังค์ ดวงตาที่จ้องตรงออกไปนอกห้องนั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิด หลังจากเฝ้ามองกิริยาของผู้เป็นนายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อม

“คุณชายขอรับ”

ฮารุคาเสะเลื่อนสายตากลับมาที่เขาและตวัดกลับไปยังสวนอีกครั้งโดยไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ ฟุคิบิรีบมองตามอย่างหวาดระแวงเพราะยังจำเหตุการณ์ครั้งที่ปิศาจบุกเข้ามาทำร้ายฮารุคาเสะถึงในห้องได้ดี เขารีบขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับถาม

“ในสวนมีอะไรหรือขอรับ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า

“ไม่มี”

“ถ้างั้นคุณชายกำลังจ้องอะไรอยู่”

ฮารุคาเสะหันหน้ามามองฟุคิบิพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากเพราะเข้าใจถึงความหวาดกลัวของข้ารับใช้ผู้นี้ดี

“ในสวนนั่นไม่มีปิศาจหรอกฟุคิบิ ที่ข้าเหม่อลอยไปเมื่อครู่ก็เพราะกังวลเรื่องท่านยาสึฮิระ ไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งค่ายทางทิศเหนือกับทางด้านตะวันออกจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านยาสึฮิระเป็นผู้มีความปราดเปรื่อง ส่วนท่านโอริเอะก็เป็นนับรบมากฝีมือ ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่เป็นไร บางทีป่านนี้ทางคาสึรางิอาจจะถูกตีแตกพ่ายไปแล้วก็ได้”

ฟุคิบิพูดไปตามที่ตนคิด ฮารุคาเสะผงกศีรษะและหันกลับไปมองสวนอีกครั้ง

“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี เพราะถึงแม้ข้าจะได้กลิ่นเลือดลอยมาตามลมแต่ก็ไม่รู้ว่ามาจากฝ่ายใด”

“โคะโตโระไม่มีวันพ่ายแพ้หรอกขอรับ” ฟูคิบิพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ฮารุคาเสะหัวเราะเบาๆขณะหันหน้ามายังเขา

“เจ้าพูดเหมือนพวกนักรบ”

“อย่างนั้นหรือขอรับ” ข้ารับใช้หนุ่มพูดด้วยท่าทางเคอะเขิน เขารีบรินน้ำชาใส่ถ้วยเป็นการแก้เก้อ “ข้าแค่พูดไปตามที่คิดเท่านั้นแหละขอรับ”

ฟุคิบิเลื่อนถ้วยชาส่งให้นักนาฏกรรมหนุ่มพร้อมกับถาม

“ท่านหญิงยังไม่มาอีกหรือขอรับ”

“บิดาของนางออกรบ เจ้าคิดว่านางยังมีแก่ใจที่จะเรียนอยู่อีกหรือ”

ฮารุคาเสะตอบเสียงเรียบ ฟุคิบิรีบค้อมตัวลงอย่างรวดเร็ว

“ขออภัยที่ถามเช่นนั้น ข้าเพียงแต่สงสัยว่าป่านนี้แล้วเหตุใดท่านจึงยังไม่ไปที่ห้องฝึกเท่านั้นเองขอรับ”

ผู้เป็นนายไม่ตอบอะไร เขาเลื่อนมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาเพื่อจะดื่มแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีลมกลุ่มใหญ่พัดกรรโชกผ่านต้นโมมิจิหน้าห้องไปอย่างรุนแรง สีหน้าของฮารุคาเสะแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างฉับพลันแต่กระนั้นเขาก็ยังสงวนทีท่าให้นิ่งสงบเพื่อข้ารับใช้ของเขาจะได้ไม่ตกใจ

“ข้าอยากให้เจ้าไปตรวจดูชุดสำหรับการร่ายรำ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น ฟุคิบิมองด้วยความสงสัย

“จะมีพิธีฉลองในปราสาทหรือขอรับ”

“ตอนนี้ยัง แต่อยากจะให้พร้อมเมื่อท่านยาสึฮิระกลับมา”

ฮารุคาเสะตอบพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ฟุคิบิจึงรับคำและค้อมตัวลงก่อนเดินจากไป เมื่อข้ารับใช้พ้นไปจากสายตาแล้วชายหนุ่มจึงวางถ้วยในมือลงพร้อมกับพูดเสียงเรียบ

“ต้องการพบข้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงยังมัวซ่อนตัวอยู่”

เสียงหัวเราะด้วยความชอบใจดังขึ้นพร้อมกับร่างของไพราที่ยืนกอดอกอยู่ใต้ต้นโมมิจิ ดวงตาสีเข้มมองฮารุคาเสะอย่างนึกทึ่ง

“ไม่คิดว่าคนธรรมดาอย่างเจ้าจะมองเห็นข้า”

“พลังปิศาจของเจ้ามันแผ่นกระจายออกมาจนข้ารู้สึกได้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในนี้ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นของผู้ใดเท่านั้น”

ชายหนุ่มตอบพร้อมกับลุกยืนขึ้นและสะบัดพัดในมือไปข้างหน้า จอมอสูรรู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังถูกจู่โจมจึงยกแขนเตรียมป้องกันแต่ยังไม่ทันได้ขยับลมหมุนรุนแรงก็พัดวนรอบตัว ใบไม้แห้งที่ตกเกลื่อนพื้นถูกดึงให้ลอยขึ้นมาในอากาศ ไพราถึงกับเบิกตากว้างเมื่อพบว่าทุกใบคมกริบดุจใบมีดและกำลังกรีดร่างของเขาอย่างรวดเร็ว

“พลังอะไรกันนี่”

เขาอุทานเสียงดังพร้อมกับเหวี่ยงแขนทั้งสองลงข้างตัวสร้างแรงอัดรุนแรงกระจายออกจากร่างกระแทกใบไม้ทุกใบจนแหลกเป็นผงไปในพริบตา

“ไม่ยอมให้ตั้งตัวกันเลยนะ”

จอมอสูรคำรามพร้อมกับตวัดกรงเล็บไปข้างหน้า คลื่นพลังรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าใส่
ฮารุคาเสะอย่างรวดเร็ว เขาโบกพัดปัดมันจนเบี่ยงไปปะทะกับต้นซากุระและสะบัดพัดทั้งคู่ไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าที่งดงามพร้อมกับพูด

“สายธารโลหิต”

พู่ไหมประดับพัดเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต มันยืดตัวออกแตกกระจายเป็นสายมองคล้ายสายน้ำสีแดงเข้มพุ่งเข้าโจมตีไพรา อีกฝ่ายกระโดดหลบอย่างว่องไวพร้อมกับสร้างม่านพลังขึ้นป้องกันและกระแทกมันย้อนกลับไปหาเจ้าของทันที นักนาฏกรรมหนุ่มพลิกตัวหลบและมองจอมอสูรด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ไม่เคยมีปิศาจตนใดตีโต้สายธารโลหิตของข้าได้” เขามองไพราเขม็ง “เจ้าเป็นใครกันแน่”

จอมอสูรปลดม่านพลังและยืนตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องฮารุเคเสะแน่วนิ่งขณะตอบเสียงเรียบ

“ชื่อของข้าคือไพรา และเป็นอสูรไม่ใช่ปิศาจชั้นต่ำอย่างที่เจ้าเคยพบ” ดวงตาเลื่อนลงไปมองพัดในมือฮารุคาเสะ “นั่นคือสิ่งที่เจ้ามอบให้มิสึกิใช่ไหม”

“เจ้าพูดถึงอะไร” นักนาฏกรรมหนุ่มย้อนถามและขยับไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “รู้จักมิสึกิได้ยังไง”

“ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบเจ้า” ไพรากล่าวอย่างเคร่งขรึมและมองเศษไหมเส้นหนึ่งที่ตกอยู่แทบเท้า เขาโบกมือเรียกมันให้ลอยขึ้นมาและพิจารณาอย่างละเอียด รอยยิ้มเยาะประทับบนริมฝีปาก“เส้นผมของปิศาจ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่ข้าคิดจริงๆ”

คำพูดของจอมอสูรทำให้ฮารุคาเสะขยับพัดในมือและมองเขาอย่างระแวง

“ผู้ที่ดูออกว่าพู่ไหมนี่คืออะไรไม่ใช่ปิศาจระดับธรรมดาเช่นเดียวกัน” เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางคุกคาม “เจ้าเป็นใครและต้องการอะไรจากข้ากันแน่”

“แค่คำถามเดียว” ไพราตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ราบเรียบนิ่งสงบหากดวงตากลับฉายแววดุดันออกมา “เจ้าคิดยังไงกับมิสึกิ”

คำถามของฝ่ายตรงข้ามทำให้ฮารุคาเสะถึงกับยืนอึ้งด้วยความงุนงงไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้เขาจึงย้อนถาม

“ทำไมถึงถามแบบนั้น”

“มิสึกิดูตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบกับเจ้า แต่เจ้ากลับดูเฉยเมยเหมือนไม่ยินดีที่จะไปหานางเลยสักนิด ข้าจึงสงสัยว่าเจ้าผู้ซึ่งยอมสละเส้นผมปิศาจซึ่งนับเป็นของมีค่าสร้างเครื่องรางเพื่อปกป้องนางแต่พอได้อยู่ใกล้กลับทำตัวเย็นชาราวกับไม่ใส่ใจนั้น”

จอมอสูรแยกเขี้ยวและถามด้วยน้ำเสียงเกือบจะเป็นคำราม

“แท้จริงแล้วรู้สึกเช่นไรกันแน่”

ฮารุคาเสะลดพัดในมือลงและยืนนิ่ง แม้ยังคงมีความคิดที่จะจัดการกับอสูรที่อยู่ตรงหน้าแต่พอได้ฟังคำถามจากอีกฝ่ายแล้วจิตใจของเขาก็บังเกิดความสับสนวุ่นวายจนความรู้สึกอยากจะต่อสู้ลดถอยลง ชายหนุ่มกำพัดในมือแน่นเพราะอยากจะตอบไพราเหลือเกินว่า หัวใจของเขาเปี่ยมด้วยความยินดีมาเพียงใดที่ได้พบกับมิสึกอีกครั้ง แต่ด้วยฐานะผนวกกับตัวตนที่แท้จริงของยาสึฮิระทำให้เขาจำต้องระงับความรู้สึกที่มีทั้งหมดจนไม่อาจแสดงสิ่งใดออกมา

“ข้า...”

คำพูดกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อมีสายลมพัดผ่านมากระทบร่างพร้อมกลิ่นสาบสางของปิศาจ ฮารุคาเสะมองหน้าจอมอสูรทันทีแต่ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวถามสิ่งใดเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ทั้งคู่หันไปยังที่มาของเสียงและอุทานพร้อมกัน

“มิสึกิ”

*/*/*/*/*




Create Date : 02 พฤษภาคม 2555
Last Update : 2 พฤษภาคม 2555 9:34:13 น.
Counter : 416 Pageviews.

0 comment
เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 10 การสังหารอาซามิ

บทที่ 10

การสังหารอาซามิ

 ทิวธงที่โบกสะบัดไปตามแรงลมที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้กำแพงค่ายทำให้นายกองประจำค่ายทางด้านทิศเหนือของโคะโตโระต้องร้องเร่งให้พลธนูตั้งแถวเป็นสองชั้นและผลัดกันระดมยิงเข้าใส่ข้าศึกทุกคนที่เข้ามาในระยะ แม้จะป้องกันการบุกได้บ้างแต่ก็ได้แค่ชะลอการรุกให้ช้าลงเท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายนำโล่มาตั้งรับ ผลจากการยิงก็ด้อยค่าลง ประกอบการโจมตีด้วยธนูของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาราวกับห่าฝนทำให้ทหารของโคะโตโระแทบไม่มีโอกาสตีโต้กลับได้เลย

 ทางด้านนายทัพของคาสึรางิเมื่อเห็นว่าทหารของโคะโตโระเริ่มอ่อนกำลังลงจึงรีบออกคำสั่งให้ทหารทั้งหมดบุกเข้าประชิดกำแพง นักรบที่อยู่บนเชิงเทินพยายามป้องกันทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการเทน้ำร้อน น้ำมันเดือดและทรายคั่วเข้าใส่ข้าศึกแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะเพียงแค่ร่วงลงไปเพียงครึ่งทางทุกอย่างก็อันตรธานหายไปราวกับมีปิศาจมาคอยดูดกลืน เมื่อไม่มีสิ่งใดยับยั้งการบุกของทหารคาสึรางิได้แล้วนายกองจึงตัดสินใจใช้อาวุธทั้งหมดป้องกันมิให้ทหารของข้าศึกรุกเข้ามาในกำแพง

 เสียงโห่ร้องอย่างผู้มีชัยกับเสียงตะโกนขับไล่จากผู้ตั้งรับดังสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา
ยาสึฮิระที่กำลังนำทัพเดินทางข้ามลำธารถึงกับหยุดชะงักและหันไปยังทิศทางที่ตั้งค่ายทันที

 “ทหารของเรากำลังเสียเปรียบ” เขากล่าวด้วยความตระหนกและหันไปยังองครักษ์สิบห้าคนที่นำมาด้วย “รีบล่วงหน้าไปและฆ่าพวกคาสึรางิให้หมด อย่าให้พวกมันล่วงเข้ามาในค่ายของเราแม้ปลายนิ้ว”

 โคดาจิโค้งคำนับรับคำสั่งและก้าวนำองครักษ์ทั้งหมดออกไปอย่างรวดเร็ว มะรุอิชิมองตามด้วยความสงสัย

 “พวกเขาจะรับมือไหวหรือขอรับ”

 ยาสึฮิระแสยะยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุกจนนายกองหนุ่มถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ยิ่งเมื่อได้เห็นความอำมหิตฉายออกมาจากดวงตาของผู้เป็นนายแล้วเขาถึงกับขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว

 “ถ้าอยากรู้ก็เร่งฝีเท้าให้เร็วเข้า” ยาสึฮิระกล่าวเสียงห้วนและออกเดินนำทันที มะรุอิชิจึงรีบตะโกนสั่งทหารทั้งหมดให้เคลื่อนพลติดตาม ระหว่างที่กำลังเดินผ่านป่าสนอยู่นั้นก็บังเกิดเสียงหวีดหวิวฟังแล้วชวนขนพองสยองเกล้าลอยมาตามสายลม มีเพียงยาสึฮิระเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในอาการสงบนิ่งในขณะที่ทหารทุกคนเลื่อมมือไปกุมดาบพร้อมกับหันไปมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง

 “เจ้าพวกสวะ” เจ้าเมืองโคะโตโระพึมพำ พลังทำลายมหาศาลแผ่ออกตัวพุ่งออกไปรอบด้านราวกับคลื่นสังหารปิศาจที่ซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้จนหมดสิ้นไม่เหลือรอดแม้เพียงสักตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดทำร้ายทหารได้แล้วเขาจึงสั่งให้ทุกคนออกเดินทางอีกครั้งไม่ช้าค่ายทางด้านทิศเหนือก็ปรากฏขึ้นในสายตา ยาสึฮิระยกมือขึ้นเป็นเชิงสั่งให้หยุดและยืนจ้องนิ่งไม่ยอมขยับอยู่เช่นนั้นจนมุระอิชิต้องเข้าไปถามด้วยความแปลกใจ

 “มีอะไรหรือขอรับ”

 “ข้ากำลังรอ” ผู้เป็นนายตอบทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่ค่าย หลังจากยืนนิ่งเฉยอยู่ชั่วอึดใจก็มีกระแสลมพัดผ่านค่ายมากระทบ กลิ่นคาวเลือดรุนแรงที่ลอยมาตามลมทำให้นายกองหนุ่มต้องอุทานออกมา

 “หรือว่าพวกคาสึรางิยึดค่ายของเราไปได้”

 “นั่นเป็นกลิ่นความตายของพวกมันต่างหาก” ยาสึฮิระตอบเสียงเย็นและเหยียดยิ้มเมื่อเห็นธงประจำตระกูลกำลังโบกสะบัดอยู่บนยอดเสา เขาหันมายังนายกองหนุ่ม “ไปบอกทหารทุกคนว่าเตรียมตัวให้พร้อม เราจะไล่ล่าพวกคาสึรางิไม่ให้พวกมันเหลือรอดกลับไปได้สักคน”

 มะรุอิชิค้อมตัวลงและรีบก้าวไปร้องสั่งทหารตามที่ยาสึฮิระกล่าวทุกคำ กองกำลังของยาสึฮิระจึงเคลื่อนเข้าไปในค่ายเพื่อสมทบกับนักรบของโคดาจิจากนั้นทั้งหมดจึงเดินทัพผ่านประตูค่ายออกไปยังสมรภูมิซึ่งอยู่อีกด้านติดตามนักรบจากแคว้นคาสึรางิที่ถูกเหล่าองครักษ์ตีจนแตกพ่ายถอยร่นเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่า บรรดาปิศาจที่เคยให้ความช่วยเหลืออำพรางทัพของฝ่ายศัตรูก็ถูกพลังของผู้ครองโคะโตโระทำลายจนเกือบหมดสิ้น พวกที่รอดก็หนีกลับไปยังปราสาทของ
คาสึรางิเพื่อรายงานความพ่ายแพ้แก่เจ้าผู้ครองแคว้น

  ทางฝ่ายผู้นำทัพของคาสึรางิ แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เขากลับไม่ยอมหันหลังวิ่งหนีศัตรู ตรงกันข้ามเมื่อรู้ว่าแม่ทัพฝ่ายโคะโตโระในครั้งนี้คือยาสึฮิระ เขาจึงตั้งใจที่จะสังหารด้วยมือของตนเอง หลังจากซ่อนตัวในพุ่มไม้อยู่นานในที่สุดร่างของบุคคลในชุดเกราะระดับสูงศักดิ์ก็ปรากฏขึ้น แม่ทัพคาสึรางิรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้จึงพุ่งตัวออกจากที่ซ่อนพร้อมดาบในมือหมายจะสังหารยาสึฮิระให้ดับดิ้นในครั้งเดียว การกระทำอันอุกอาจและรวดเร็วของเขาทำให้
มะรุอิชิต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

 “ท่านยาสึอิระ”

 นายกองหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปช่วยแต่โคดาจิซึ่งยืนใกล้กว่าถลันเข้าไปขวาง คมดาบจึงฝังลงไปบนร่างเขาจนทะลุ แม่ทัพของคาสึรางิคำรามลั่นด้วยความโกรธและเตรียมจะกระชากดาบออกแต่โคดาจิกลับคว้าใบหน้าของเขาเอาไว้และออกแรงผลักจนเซล้มลง ผู้นำทัพคาสึรางิรีบยันตัวเตรียมจะลุกขึ้นแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นหัวหน้าองครักษ์กำลังดึงดาบออกจากร่างของตนด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเลือดที่ไหลรินออกจากบาดแผล แทนที่จะเป็นสีแดงฉานกลับเป็นสีดำข้นดุจโคลน

 “แกเป็นตัวอะไรกันแน่”

 เขาร้องถามเสียงสั่น ยาสึฮิระก้าวไปยืนเคียงข้างโคดาจิและเหยียดยิ้มเย็นเยือกก่อนตอบ

 “ผู้ภักดีที่ฟื้นมาจากความตาย”

 สิ้นคำพูด ดาบในมือโคดาจิก็ตวัดฉับตัดคอแม่ทัพคาสึรางิจนขาดกระเด็น เจ้าเมือง
โคะโตโระมองหัวที่กลิ้งไปบนพื้นด้วยดวงตาที่ฉายความสาสมใจ

 “ฝากไปบอกอาซามิด้วยว่า ข้าจะไปเยี่ยมเยือน” ยาสึฮิระกล่าวด้วยน้ำเสียงพอได้ยิน กิ่งสนที่อยู่ใกล้สั่นไหวอย่างรุนแรงคล้ายบางสิ่งที่อยู่บนนั้นกำลังดีดตัวออกไป มะรุอิชิมองกิ่งไม้ที่ไหวยวบไล่ตามกันด้วยความหวาดหวั่นกระนั้นเขาก็ยังขยับเข้าไปยืนกำบังให้กับผู้เป็นนาย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติแล้วมะรุอิชิจึงหันไปมองโคดาจิที่ยังคงยืนนิ่งไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นกุมบาดแผลของตนเอง

 “ท่านได้รับบาดเจ็บ” นายกองหนุ่มอุทานและนิ่วหน้าเมื่อเห็นเลือดสีดำเปื้อนเต็มเกราะ ขณะจะเข้าไปดูเขาก็ถูกยาสึฮิระคว้าไหล่เอาไว้

 “เขาไม่เป็นอะไร”

 “แต่...”มะรุอิชิทำท่าจะแย้งแต่ต้องเงียบเมื่อผู้เป็นนายตัดบท

 “ไปตรวจดูว่ายังมีทหารคาสึรางิเหลือรอดอีกหรือไม่ หากพบจงสังหารมันให้หมด และส่งข่าวไปยังค่ายด้านตะวันออก บอกให้ทุกคนรู้ถึงชัยชนะ แจ้งโอริเอะด้วยว่าให้นำทัพออกไปกวาดล้างข้าศึกได้เลยเพราะพวกมันไม่กล้าที่จะบุกโจมตีเราอีกต่อไป”  

 นายกองหนุ่มค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวรับคำและเดินไปปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ามะรุอิชิพ้นไปจากสายตาแล้วยาสึฮิระจึงหันไปยังโคดาจิและทาบมือลงบนอกตรงรอยแผลที่ถูกแทง ทั้งรอยเลือดและบาดแผลต่างเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

 “ถึงร่างกายของเจ้าไร้ความรู้สึกแต่ก็ใช่ว่าจะคงทนต่ออาวุธ หากถูกบั่นออกเป็นชิ้นข้าก็ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป ระมัดระวังตัวเองเอาไว้ด้วยโคดาจิ”

 “ข้ายอมเป็นเช่นนั้นเพื่อท่าน” หัวหน้าองครักษ์ตอบ ยาสึฮิระสั่นศีรษะ

 “แต่ข้าไม่ปรารถนาที่จะเห็นพวกเจ้าตาย” เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดสลัวลง “ใกล้ค่ำแล้ว เรียกคนของเจ้ากลับเข้าค่ายและคอยกันไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนข้าในห้อง”

 ดวงตาของยาสึฮิระทอแสงสีแดงก่ำราวกับเปลวไฟ

 “เพราะคืนนี้ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับอาซามิ เคียวคุเซ็น”

*/*/*/*/*

 ใบหน้าของอาซามิบูดเบี้ยวด้วยความโกรธหลังจากฟังปิศาจที่เหลือรอดจากการรบที่เมืองโคะโตโระเล่าถึงความพ่ายแพ้ของกองทัพคาสึรางิจบลง จอกสุราในมือถูกขว้างจนกระเด็นออกจากห้องในขณะที่ตัวผู้ถือลุกพรวดขึ้นเหวี่ยงเท้าเตะถาดอาหารกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ข้ารับใช้ที่อยู่ภายในบริเวณนั้นต่างพากันหนีไปซุกตัวตามมุมห้องและมองความคุ้มคลั่งของผู้เป็นนายด้วยความหวาดกลัว

 “พ่ายแพ้อย่างงั้นหรือ” อาซามิตะโกนก้อง”เป็นไปได้ยังไง ก็ไหนเจ้าซาวาระมันบอกว่าถ้ามีพวกปิศาจมาช่วยทัพของข้าก็จะมีชัยชนะ แล้วนี่อะไรกระทั่งภูตผีร้ายยังหนีหัวซุกหัวซุนกลับมา”

 เขาหันไปจ้องปิศาจที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายสุนัขป่าด้วยดวงตาดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ อีกฝ่ายรีบก้มตัวลงพร้อมกับพูด

 “ความจริงพวกข้าสามารถบุกเข้าไปในค่ายได้แล้ว และคงสังหารทหารที่อยู่ในนั้นจนหมดถ้าพวกผีดิบไม่เข้ามาขัดขวาง”

 “ผีดิบ” เจ้าครองแคว้านคาสึรางิทวนคำอย่างฉงน “มันเป็นปิศาจประเภทไหน ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”

 “มันไม่ได้เป็นปิศาจเหมือนกันพวกเรา แต่เป็นวิญญาณที่ถูกเรียกให้กลับเข้าไปในร่างและคอยรับใช้ผู้ที่ชุบชีวิตพวกมัน ผีดิบของพวกโคะโตโระไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นทหารที่มีฝีมือเก่งกาจซ้ำยังมีความซื่อสัตย์จงรักภักดี”

 ปิศาจหมาป่าอธิบาย อาซามิขมวดคิ้ว

 “วิญญาณที่ถูกเรียกกลับเข้าร่างอย่างนั้นหรือ งั้นเราก็ต้องหาตัวคนทำและจัดการปลิดชีวิตมันซะ”

 “ข้ารู้ว่าใคร” ปิศาจหมาป่าพูด เจ้าครองแคว้นคาสึรางิหันขวับไปทางมันทันที

 “ใคร”

 “ยาสึฮิระ โยชิฮิโระ”

 นามที่ปิศาจเอ่ยออกมาทำให้อาซามิถึงกับอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อตั้งสติได้เขาจึงพึมพำออกมา

 “เจ้ายาสึฮิระน่ะหรือ ไม่น่าเป็นไปได้ เจ้าแน่ใจนะว่าจำคนไม่ผิด”

 ประโยคสุดท้ายหันไปกล่าวกับปิศาจหมาป่า มันผงกศีรษะรับ

 “ข้าแน่ใจ”

 “ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตระกูลยาสึฮิระเป็นพวกผู้ใช้เวท มิน่าเล่าพวกทาคุฮันถึงยอมถอดใจไม่กล้าโจมตีโคะโตโระอีกเลย” ผู้นำคาสึรางิพูดและยกมือขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด “ถ้าอย่างงั้นข้าควรจะใช้วิธีไหนจัดการกับเขา”

 “ไม่มี” ปิศาจหมาป่าพูดแทรกขึ้นมาและแสยะยิ้มเมื่อเห็นอาซามิหันมามอง “ท่านไม่มีทางเอาชนะยาสึฮิระได้เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ใช้เวท”

 ดวงตาสีอำพันหรี่ลงเล็กน้อย

 “แต่เป็นปิศาจ”

 อาซามิอ้าปากค้างและหลุดคำพูดออกมาอย่างตระหนก

 “อะไรนะ เจ้ายาสึฮิระน่ะหรือเป็นปิศาจ มันจะเป็นได้ได้ยังไงแล้วทำไมถึงไม่มีใครรู้เลย”

 “ข้าเองก็ไม่รู้จนกระทั่งเห็นเงาของเขาในระหว่างการต่อสู้” ปิศาจหมาป่าพูด ใบหูทั้งสองเอนลู่ไปทางด้านหลังคล้ายหวาดหวั่นต่อบุคคลที่กำลังกล่าวถึง “เจ้านั่นไม่ได้เป็นปิศาจด้วยข้อตกลงหรือยืมพลังมาใช้อย่างที่ท่านกับซาวาระทำ แต่เป็นการเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองด้วยความเต็มใจ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าปิศาจระดับข้าไม่มีวันเอาชนะมนุษย์จำพวกนี้ได้ ท่านเองก็เช่นกัน”

 ร่างกึ่งหมาป่าลุกยืนด้วยสองขาหลังและถอยออกจากห้อง พวงหางพองฟูโบกไปมา

 “ก่อนจากข้าขอเตือนท่านสักนิดว่าหากรักชีวิต จงยุติการรุกรานโคะโตโระ”

 กล่าวจบปิศาจสุนัขก็กระโจนหายไปในความมืดทันที ส่วนอาซามินั้นยังคงยืนนิ่งด้วยความตกใจในสิ่งที่ตนเองได้ยิน ความหวาดกลัวปะทุขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ในตอนแรกเขาคิดจะล้มเลิกการโจมตีแต่ทิฐิของผู้ที่ถือตัวว่าเป็นเจ้าครองแคว้นที่มีอำนาจยิ่งใหญ่นั้นมีมากกว่า ในที่สุดอาซามิจึงตัดสินใจที่จะยึดเมืองโคะโตโระและสังหารยาสึฮิระให้สิ้นทั้งตระกูลจะได้ไม่มีผู้ใดกล้าแข็งข้อกับเขาอีกต่อไป

 “แต่ข้าจะจัดการกับเขายังไง”

 ผู้นำคาสึรางิพึมพำพลางเดินวนกลับไปกลับมาและหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่า
ซาวาระ ชินโนเคยพูดถึงปิศาจที่คอยช่วยเหลือกองทัพเมืองอิวะว่ามีพลังถึงขนาดเผาทะเลสาบให้เหือดแห้งไปในพริบตาและมีอำนาจบงการปิศาจตนอื่นได้ 

 “หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ให้เจ้าปิศาจนั่นไปจัดการยาสึฮิระก็แล้วกัน” 

 อาซามิกล่าวกับตนเองและก้าวออกจากห้องตรงไปยังเรือนพักของบุตรชายเพื่อขอให้เดินทางไปยังเมืองอิวะ แต่พอเข้าไปใกล้เขาก็ต้องนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีและเสียงดนตรีดังออกมา อาซามิกระชากประตูเลื่อนให้เปิดออกโดยแรงและขบกรามแน่นเมื่อเห็นบุตรของตนในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยนอนกลิ้งเกลือกอยู่ท่ามกลางหญิงรับใช้และนางต้องห้ามจากกลางเมือง

 “นี่มันอะไรกัน” เขาตวาดเสียงดัง สตรีที่อยู่ในนั้นรีบลุกขึ้นและคลานลนลานไปเบียดกันอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่งในขณะที่อาซามิ ฮิโรซะเหยียดยิ้มและตอบบิดาด้วยน้ำเสียงเมามาย

 “ท่านพ่อมาได้จังหวะพอดี ข้ากำลังจัดงานเลี้ยงฉลองอยู่เชิญท่านมาสนุกด้วยกัน”

 เขายื่นถ้วยสุราส่งให้อาซามิ อีกฝ่ายปัดมันออกโดยแรงพร้อมกับพูดเสียงดังด้วยความโกรธ

 “ทหารของเราพ่ายแพ้กลับมาแต่เจ้ากลับนั่งกินเหล้าอยู่กับผู้หญิง ช่างทำตัวไม่สมกับเป็นคนในตระกูลอาซามิที่ยิ่งใหญ่เลยสักนิด”

 “ข้าดื่มเพื่อไว้อาลัยให้กับทหารของเราต่างหาก” ฮิโรซะพูดด้วยเสียงที่ฟังแทบไม่รู้เรื่องพลางผายมือไปยังกลุ่มสตรีที่นั่งอยู่ริมห้อง “ส่วนพวกนางช่วยขับกล่อมบทเพลงเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่เศร้าหมองของข้า”

 คำอธิบายของบุตรชายนั้นดุจท่อนฟืนที่โยนลงไปในกองไฟ โทสะของอาซามิลุกโพลงราวกับเปลวเพลิง แต่ถึงกระนั้นเขาก็พยายามข่มอารมณ์และถามเสียงต่ำ

 “ไว้อาลัยอย่างงั้นหรือ เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการรบในครั้งนี้บ้างฮิโรซะ”

 “ข้ารู้ว่าท่านพ่อส่งกองทัพไปที่โคะโตโระ และถ้าชนะเราก็จะมีอำนาจยิ่งใหญ่มากขึ้น”
ฮิโรซะตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “เห็นหรือเปล่าว่าข้ารู้เรื่องราวเกี่ยวกับการรบเหมือนกัน ท่านพ่อน่าจะดีใจนะ”

 อาซามิมองบุตรชายด้วยสายตาที่หลากความรู้สึก ทั้งโกรธ สมเพชและระอาใจในความไม่เอาไหน ในที่สุดเขาก็หลุดคำพูดออกมาเบาๆ

 “ถ้าเจ้าได้สักครึ่งหนึ่งของบุตรชายซาวาระ ข้าอาจจะดีใจมากกว่านี้”

 ฮิโรซะชูถ้วยสุราในมือขึ้นและเปล่งเสียงหัวร่าคล้ายไม่ใส่ใจในสิ่งที่บิดากล่าวเท่าใดนัก เขาหันไปร้องเรียกผู้หญิงให้กลับมาร่วมสังสรรค์ตามเดิม ส่วนอาซามิเมื่อตระหนักว่าไม่มีทางให้บุตรชายเดินทางไปอิวะได้แล้ว เขาจึงหมุนตัวก้าวออกจากห้องมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตัวเอง

 ทันทีที่ไปถึง อาซามิสั่งให้คนรับใช้จัดเตรียมหมึกและกระดาษสำหรับเขียนจดหมาย เมื่อ
ทุกอย่างพร้อมเขาจึงให้ทุกคนออกจากห้องและจรดพู่กันลงเล่าถึงความพ่ายแพ้ในสงครามและบอกถึงสาเหตุโดยอธิบายถึงสิ่งที่ได้ยินมาจากปิศาจหมาป่ารวมทั้งขอให้ซาวาระส่งปิศาจที่มีฝีมือร้ายกาจที่สุดไปยังโคะโตโระเพื่อจัดการกับยาสึฮิระ ขณะเขียนถึงประโยคสุดท้ายเปลวไฟจากตะเกียงก็สั่นระริกราวต้องสายลม อาซามิจึงเงยหน้าขึ้นดูและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะประตูถูกบานปิดสนิทไม่มีช่องให้กระแสลมพัดผ่านเข้ามาได้เลย ทันทีที่คิดเช่นนั้นไฟที่เต้นไหวเมื่อครู่ก็สงบนิ่งและส่องสว่างเหมือนดังเดิม เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติผู้นำคาสึรางิจึงจุ่มพู่กันลงไปที่หมึกเพื่อเตรียมจะเขียนให้จบแต่ต้องผงะด้วยความตกใจเมื่อจดหมายที่วางอยู่ตรงหน้ามีรอยหมึกเขียนตัวอักษรคำว่า ‘ตาย’ ทับลายมือของเขาเอาไว้ อาซามิขว้างพู่กันทิ้งไปอีกด้านก่อนจะคว้าดาบและลุกพรวดขึ้นหันมองรอบตัว เงาวูบวาบที่ปรากฏขึ้นปลายตาทำให้ผู้นำแคว้นคาสึรางิหันไปตวัดฟันทันที แต่คมดาบของเขากลับพบแค่ความว่างเปล่า สิ่งที่คิดว่าเป็นผู้อื่นนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงเงาของตัวเขาเอง อาซามิถอนใจออกมาอย่างโล่งอกและหัวเราะออกมาเบาๆ

“สงสัยข้าจะคิดมากไป”

เขาพูดพึมพำพลางมองเงาที่ทอดยาวไปบนพื้น ความโล่งใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นความตระหนกเมื่อเห็นความผิดปรกติบางอย่างเกิดขึ้น เงาที่ทาบบนพื้นห้องเปลี่ยนท่าทางของตัวมันเองด้วยการหันข้างให้และค่อยๆยืดยาวไปจนจรดเพดานห้อง ขนาดของลำตัวก็ขยายใหญ่ขึ้นจนแทบจะเต็มผนังซ้ำยังมีเขาแหลมคู่หนึ่งผุดขึ้นบนศีรษะ มือที่มีกรงเล็บยกขึ้นเสมออกขณะที่ใบหน้าหันมายังผู้ที่ยืนอยู่กลางห้อง เสียงแผ่วต่ำน่าสะพรึงเอ่ยทักทาย

“สบายดีหรืออาซามิ เคียวคุเซ็น”

ผู้นำคาสึรางิชูดาบไปข้างหน้า แม้จะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่เขาก็ยังสะกดกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้ขณะที่ร้องถาม

“แกเป็นใคร”

“ข้าเป็นใครน่ะหรือ”

อีกฝ่ายถามย้อนกลับพร้อมกับเปล่งเสียงหัวเราะเย็นเยือกดังสะท้อนไปทั้งห้อง อาซามิแทบเข่าอ่อนเมื่อเห็นดวงไฟสีแดงเรืองรองส่องออกมาจากใบหน้าสีดำสนิท เงารูปมือยืดไปชี้จดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะ ผู้นำคาสึรางิถึงกับเย็นวาบไปทั้งร่าง เขามองเงาทะมึนตรงหน้าพร้อมกับหลุดปาก

“ยาสึฮิระ”

ดวงตาสีแดงก่ำเบิกกว้างและจ้องอาซามิราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ช่วงล่างของใบหน้าปริออกเป็นรอยแยกและแปรเปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบเรียงเต็มปาก เงารูปเขาที่เห็นเมื่อครู่ผุดออกมาจนเห็นเด่นชัด เส้นผมสีขาวงอกยาวออกมาและสะบัดไหวราวทุ่งหญ้าต้องลม เมื่อปรากฏตัวจนอีกฝ่ายเห็นได้ชัดร่างสูงใหญ่ของยาสึฮิระก็ย่างสามขุมเข้าไปหาผู้นำคาสึรางิ เขาถอยหนีไปจนติดผนังห้อง มือที่ถือดาบสั่นระริก เหงื่อแห่งความหวาดกลัวไหลทะลักท่วมท้นกาย

“จ...เจ้าเป็นปิศาจจริงๆหรือนี่”

“ถูกต้อง”

“ต้องการอะไร” อาซามิถามเสียงห้วน ยาสึฮิระยื่นมือออกไปคว้าดาบของเขากระชากจนหลุดจากมือและเหวี่ยงทิ้งไปอีกทาง

“ปลิดชีวิตเจ้า”

กรงเล็บจิกลงไปบนศีรษะของผู้นำคาสึรางิและบิดจนใบหน้าหันไปอยู่ทางด้านหลังดับลมหายใจของเขาโดยที่ยังไม่ทันได้รู้ตัว ร่างไร้วิญญาณยืนโอนเอนไปมาแต่ก่อนที่ที่จะล้มครืนลง


ยาสึฮิระก็ฉวยเอาไว้และกรีดปลายเล็บลากตั้งแต่หัวจรดเท้าจากนั้นจึงถลกหนังออกมาแล้ววางแผ่ไว้กลางห้องพร้อมจารึกคำ โคะโตโระ เอาไว้อย่างเด่นชัด ส่วนซากอุบาทว์ของอาซามินั้นถูกภูตงากิที่จ้าวปิศาจแห่งโคะโตโระเรียกขึ้นมาจากใต้ดินกัดกินจนเหลือแต่กระดูกในชั่วพริบตา เมื่อทุกอย่างสำเร็จสมดังตั้งใจแล้วร่างของยาสึฮิระก็เลือนหายไป

*/*/*/*/*/*/*




Create Date : 06 เมษายน 2555
Last Update : 6 เมษายน 2555 16:53:06 น.
Counter : 392 Pageviews.

0 comment
เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 9 จอมอสูรกับจ้าวปิศาจ

บทที่ 9

จอมอสูรกับจ้าวปิศาจ

โคดาจิเดินนำฮารุคาเสะเข้าไปในจวนของยาสึฮิระ ระหว่างอยู่บนระเบียงชายหนุ่มลอบสังเกตผู้คนและสรรพสิ่งโดยรอบไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ตัวอาคารหรือแม้แต่ปลาโค่ยหลากสีที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่านอกจากทหารรักษาการณ์บางคนที่ถูกเรียกให้ฟื้นมาจากความตายแล้วส่วนอื่นกลับไม่ปรากฏความผิดปรกติเลยแม้แต่น้อย มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่แตกต่างไปจากทุกอย่างนั่นก็คือพลังกดดันมหาศาลที่ปกคลุมไปทั่วปราสาทยาสึอิระ และศูนย์กลางของพลังดังกล่าวมาจากใจกลางจวนอันเป็นที่พำนักของเจ้าเมือง

เมื่อถึงห้องอันเป็นที่พักผ่อนของยาสึฮิระ หัวหน้าราชองครักษ์ซึ่งบัดนี้มีเพียงร่างอันปราศจากไร้ลมหายใจจึงหยุดและหันมาทางฮารุคาเสะ

“กรุณารอตรงนี้ก่อน” เขาหันไปทางประตูและค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมพร้อมกับพูดเสียงกังวาน “ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะมาถึงแล้วขอรับ”

“ให้เขาเข้ามา” เสียงทรงอำนาจดังตอบมาจากด้านใน โคดาจิจึงผงกศีรษะให้กับข้ารับใช้ที่นั่งรออยู่ เขาค้อมคำนับรับคำสั่งพร้อมกับเลื่อนบานประตูออก หัวหน้าองครักษ์จึงหันไปก้มศีรษะให้กับนักนาฏกรรมหนุ่ม

“เชิญ”

ฮารุคาเสะก้าวเข้าไปในห้องและนั่งลงตรงหน้าเจ้าของปราสาทพร้อมกับค้อมตัวลงแสดงความคารวะอย่างนอบน้อม

“ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ จากตระกูลนาฏกรรม”

“ไม่ต้องพิธีการนักก็ได้” ยาสึฮิระกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางโบกมือเป็นเชิงให้ทั้งโคดาจิและข้ารับใช้ออกไปด้านนอก เมื่ออยู่ตามลำพังกับฮารุคาเสะแล้วเขาจึงถาม

“การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”

“ราบรื่นดี”

เจ้าเมืองโคโตโระเลิกคิ้ว

“ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าถูกปิศาจทำร้าย นั่นหรือคือการเดินทางอย่างราบรื่นของพวกนาฏกรรม”

“พวกเราถูกรบกวนบ้างแต่เพราะความช่วยเหลือของทหารที่ท่านกรุณาส่งไปคุ้มครองทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย” ฮารุคาเสะตอบพลางเลื่อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย”ฝีมือของพวกเขาไม่ธรรมดาเลย”

น้ำเสียงของนาฏกรรมหนุ่มทำให้ยาสึฮิระอมยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาแต่ดวงตากลับทอแสงกร้าวจนน่ากลัว

“ย่อมไม่ธรรมดาแน่เพราะข้าเป็นผู้คัดเลือกทุกคนกับมือ” เขาโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “พวกเขาเก่งจนเจ้านึกไม่ถึงเลยทีเดียว”

แรงกดดันมหาศาลแผ่จากร่างยาสึฮิระโอบล้อมฮารุคาเสะ แม้ชายหนุ่มจะใช้พลังแห่งสายลมเข้าปกป้องแต่อำนาจปิศาจของอีกฝ่ายกลับทวีความรุนแรงราวจะบดขยี้เขาให้แหลกเป็นจุณ เจ้าเมืองโคะโตโระมองใบหน้าของนักนาฏกรรมหนุ่มที่เริ่มเผือดลงและเผยอยิ้มออกมา

“เจ้าไม่อาจทานพลังของข้าได้หรอก ฮารุคาเสะ”

แรงกดดันหายไปอย่างฉับพลัน ยาสึฮิระกลับไปนั่งตัวตรงตามเดิมและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ที่ให้เจ้ากลับมายังปราสาทนี่อีกครั้งเพราะคำขอของมิสึกิ บุตรสาวข้ายืนยันจะเรียนการร่ายรำจากเจ้าเท่านั้น จงทำตัวเป็นผู้สอนที่ดีและอย่าได้คิดอะไรที่มันเกินเลยไปกว่านี้เป็นอันขาด” เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาและบดมันจนแหลกเป็นผงด้วยมือ “ไม่เช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

ดวงตาของฮารุคาเสะจ้องประสานกับเจ้าเมืองโคะโตโระอย่างไม่กลัวเกรง

“หากท่านกลายเป็นปิศาจร้ายไปเมื่อใด ข้าเองก็ไม่ขอเกรงใจเช่นกัน”

ยาสึฮิระไม่ตอบอะไรนอกจากส่งรอยยิ้มเย็นเยือกให้กับชายหนุ่ม เขาปรบมือสองครั้งเพื่อเรียกข้ารับใช้และออกคำสั่ง

“พาคุณชายฟูจิวาระไปที่ห้อง” เขามองนักนาฏกรรมหนุ่มและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น “ท่านเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยมาก พักให้สบายสักคืนก่อนพรุ่งนี้ค่อยลงมือสอนบุตรีของข้า”

แม้กิริยาท่าทางรวมถึงคำพูดจะเป็นการกระทำที่เสแสร้งแต่ฮารุคาเสะก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้ ชายหนุ่มจึงจำใจต้องกล่าวคำขอบคุณและค้อมตัวลงก่อนจะถดตัวถอยออกจากห้องจากนั้นจึงเดินตามข้ารับใช้ไป เมื่อนักนาฏกรรมหนุ่มพ้นไปจากสายตาแล้วสีหน้าอ่อนโยนของยาสึฮิระก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมดุดัน เขาลุกขึ้นเดินออกไปยืนที่สวนและจ้องท้องฟ้าด้วยสายตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจไปเยี่ยมเยือนมิสึกิที่จวน

*/*/*/*/*

ข้ารับใช้หญิงวางถาดชามข้าวต้มลงข้างตัวของมิสึกิและน้อมตัวลงทำความเคารพ นางยิ้มรับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ เมื่อสาวใช้ผู้นั้นออกจากห้องไปแล้วหญิงสาวจึงหันไปทางสึมิเระ

“ลุกขึ้นมากินข้าวต้มนี่สักหน่อยเถอะ จะได้มีแรง”

พี่เลี้ยงขยับตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก เมื่อนั่งได้แล้วมิสึกิจึงหยิบชามข้าวต้มขึ้นมาและทำท่าจะป้อนแต่อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ

“ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ”

นางดึงชามมาจากมือท่านหญิงและตักกินทีละคำจนหมด หลังจากดื่มยากับน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้วสึมิเระจึงน้อมศีรษะลง

“ขอบคุณท่านหญิงมากเจ้าค่ะที่กรุณาสละเวลามาดูแลข้า”

“เมื่อเทียบกับความเสียสละของเจ้าแล้ว สิ่งที่ข้าทำยังมีค่าน้อยนัก มันยังไม่พอสำหรับคำขอบคุณเลยด้วยซ้ำ”

มิสึกิกล่าวอย่างอ่อนโยน สึมิเระส่ายหน้า

“แต่ข้าก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรท่านหญิงเลย”

“ตรงกันข้าม เพราะเจ้าทำให้ข้าได้รับความช่วยเหลือจากท่านโมโรสุเกะ และทำให้ท่าน
โอริเอะได้รู้ว่าค่ายของพวกอิวะตั้งอยู่ที่ใด”

นางแตะมือของข้ารับใช้อย่างแผ่วเบา

“ข้าดีใจมากที่เจ้าไม่เป็นอะไร”

“ท่านหญิง” สึมิเระเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงสั่นพร้อมกับกุมมือมิสึกิเอาไว้และบีบเบาๆความตื้นตันที่เอ่อล้นทะลักขึ้นมาทำให้นางหลุดคำพูดเพียง

“ดีใจจริงที่ท่านปลอดภัย”

น้ำตาหยดลงบนมือของมิสึกิ หญิงสาวมองรับใช้ด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ มืออีกข้างเลื่อนไปแตะไหล่ข้ารับใช้พร้อมกับกล่าว

“เจ้าควรพักผ่อนให้มาก รีบหายโดยไวเพราะข้าเบื่อที่จะต้องไปไหนมาไหนเพียงลำพัง”

สึมิเระพยักหน้ารับและเอนตัวลงนอนอย่างว่าง่าย หลังจากรอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้วมิสึกิจึงเดินก้าวออกจากเรือนข้ารับใช้เพื่อกลับไปยังห้อง เมื่อไปถึงนางกลับยืนมองกลีบซากุระที่กำลังปลิวไปตามสายลมอยู่หน้าห้องแทนที่จะเข้าไปนั่งเขียนโคลงกลอนตามที่ตั้งใจ 

“เป็นดอกไม้ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”

เสียงทุ้มต่ำดังมาจากในห้อง มิสึกิหันไปมองไพราที่กำลังยืนกอดอกมองต้นซากุระด้วยสายตาที่ฉายความหมายเดียวกับคำพูด

“ท่านกล่าวเหมือนไม่เคยเห็นต้นซากุระมาก่อน”

“ดินแดนที่ข้าจากมามีแต่หิมะกับน้ำแข็ง ดอกไม้ก็มีแต่ทุ่งหญ้าที่จะงอกเฉพาะฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ต้นไม้ขนาดใหญ่แบบนี้ส่วนมากขึ้นอยู่ในถิ่นของพวกมนุษย์ซึ่งข้าไม่พิสมัยที่จะลงไปดูเท่าไหร่นัก”

จอมอสูรตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึมตามนิสัย หญิงสาวทำตาโตราวกับทึ่งในสิ่งที่ได้ยิน

“ฟังเหมือนท่านไม่ใช่คนบนแผ่นดินนี้” นางขยับเข้าไปหาไพรา “บอกได้หรือเปล่าว่าท่านมาจากที่ใด”

“บนยอดเขาสูงไกลจากที่นี่มาก” ไพราตอบพร้อมกับเดินออกไปยืนที่ระเบียงและทอดสายตามองท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตก มือเลื่อนขึ้นแตะแผ่นหนังสีขาวที่พันรอบท่อนแขนและกำแน่นดุจคำนึงถึงแผ่นดินที่อยู่ไกลแสนไกล ความหมองเศร้าที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มสง่างามสร้างความสงสัยต่อมิสึกิจนนางเผลอหลุดปากถาม

“แล้วเหตุใดท่านจึงถูกกักอยู่ที่นี่”

ความเศร้าเมื่อครู่กลับกลายเป็นความแค้นอย่างฉับพลัน ดวงตาของจอมอสูรหนุ่มทอประกายกร้าวอย่างน่ากลัว

“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องรู้” ไพราตอบเสียงห้วนและหันกลับไปมองท่านหญิงด้วยท่าทางดุดัน แต่เมื่อเห็นใบหน้างามซีดเผือดด้วยความตระหนกเขาจึงผ่อนลมหายใจพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

”ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีต” จอมอสูรหยุดไปเล็กน้อยคล้ายสำเหนียกถึงใครบางคนที่กำลังใกล้เข้ามา”ดูเหมือนวันนี้บิดาของเจ้าจะมีข่าวดี”

ร่างสูงใหญ่ถอยไปยืนอยู่ที่พุ่มสึบากิเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ยาสึฮิระก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นบุตรีกำลังยืนนิ่งอยู่กลางห้องและจ้องเขาอย่างตกใจ

“ท่านพ่อ”

“เป็นอะไรไปหรือ” ยาสึฮิระถามและเตรียมจะเดินเข้าไปหาแต่มิสึกิรีบส่งยิ้มกลับมาพร้อมกับก้าวมายืนที่ระเบียง

“ข้าตกใจแมลงที่บินเข้ามาในห้องเท่านั้น” นางหันไปมองต้นไม้ใหญ่กลางสวน”ปีนี้ดอกซากุระงามเหลือเกิน”
ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้นมองดอกซากุระที่ผลิดอกบานสะพรั่งจนแลเห็นเป็นสีชมพูไปทั้งต้น ยามมีสายลมต้องกระทบกิ่งก้านกลีบบอบบางก็หลุดจากดอกร่วงพรูลงสู่พื้นปกคลุมผิวดินในบริเวณนั้นให้กลายเป็นสีอันอ่อนหวานสร้างความอบอุ่นและอ่อนโยนต่อผู้ที่ได้ยล

“ซากุระจะงามเมื่อแผ่นดินสงบสุข” ยาสึฮิระกล่าว บุตรสาวของเขาลดสายตาลงพร้อมกับถอนใจ

“ซากุระที่ทะเลสาบบิวะก็งดงามเช่นเดียวกัน แม้แผ่นดินในบริเวณนั้นจะถูกย้อมด้วยเลือดก็ตาม” นางหันกลับมาทางบิดา “ข้ารู้ดีว่าเวลานี้โคะโตโระกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แผ่นดินของเรามิได้สงบสุขเหมือนแต่ก่อน”

“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น อีกไม่นานสันติสุขก็จะกลับมาสู่เมืองของเราและจะคงเช่นนั้นตลอดไป”

“อะไรทำให้ท่านพ่อแน่ใจเช่นนั้น” มิสึกิถามด้วยความสงสัย ยาสึฮิระยิ้ม

“ข้ามีวิธี พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก” เขามองบุตรสาวด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา “สึมิเระเป็นอย่างไรบ้าง”

“นางได้สติแล้วแต่ยังต้องนอนพักอีกหลายวัน”

“ได้ยินแบบนี้แล้วข้าก็เบาใจ” ยาสึฮิระกล่าวเบาๆและมองมิสึกิที่กำลังทำสีหน้าเหมือนประสงค์ที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเลที่จะกล่าวออกมา เขาแตะแขนบุตรีอย่างแผ่วเบาพร้อมกับถาม”มีอะไรหรือ”

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง” ท่านหญิงนิ่งไปเล็กน้อย “ระหว่างหนีพวกโจรข้าหลงเข้าไปในถ้ำและพบกับอสูรตนหนึ่ง เขารับปากว่าจะช่วยจัดการกับพวกโจรให้แต่ข้าต้องทำลายผนึกที่กักขังเขาเป็นการตอบแทน”

สีหน้าอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาในทันใดแต่มันก็ถูกปรับให้กลายเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว

“แล้วเจ้าทำอย่างไร”

“ข้าปล่อยเขา” มิสึกิมองไปยังต้นโมมิจิที่กำลังสะบัดใบสีเขียวจัดล้อสายลม “แต่อสูรตนนั้นก็ทำตามสัญญา นอกจากจะช่วยจัดการกับพวกโจรแล้วเขายังตามข้าไปจนถึงค่ายของพวกอิวะตามสัญญาที่ว่าจะปกป้องข้าจนกว่าจะปลอดภัย”

“แล้วเวลานี้อสูรตนนั้นอยู่ที่ไหน” ยาสึฮิระถามโดยสายตาตวัดผ่านบุตรีไปยังด้านหลังและจ้องนิ่งอยู่ที่พุ่มสึบากิครู่หนึ่งจึงเลื่อนกลับมาที่มิสึกิตามเดิม นางสั่นศีรษะพร้อมกับตอบ

“ข้าไม่ทราบ”

“อาจเป็นเพราะเจ้าเดินทางกลับถึงปราสาทอย่างปลอดภัย อสูรตนนั้นจึงคิดว่าหน้าที่ของเขาสิ้นสุดลงแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาอาจจะรู้ตัวดีว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์” บิดาของนางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดีแล้วที่เขาจากไปแต่ก็น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสพบจะได้กล่าวคำขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มีให้เจ้า”

“เขาชื่อไพรา” มิสึกิกล่าว ยาสึฮิระขมวดคิ้วอย่างสนเท่ห์ใจ

“เป็นชื่อที่แปลกมาก”

“ข้าเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน หนำซ้ำไพรายังบอกด้วยว่าเขากินทุกอย่างยกเว้นจามรีกับมนุษย์”

“จามรีงั้นหรือ” บิดาของนางถามย้ำ มิสึกิทำสีหน้าแปลกใจ

“ท่านพ่อรู้จักด้วยหรือ”

“ได้ยินว่ามันเป็นสัตว์หายากอาศัยอยู่บนภูเขาสูงในดินแดนห่างไกล” ยาสึฮิระตอบอย่างเคร่งขรึมและพึมพำเบาๆ”แสดงว่าเจ้านั่นไม่ใช่อสูรบนแผ่นดินนี้ แล้วเขามาที่นี่ทำไม”

เขายืนนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญ อาจจะเป็นไปได้ว่าอสูรที่ชื่อไพรานี้อาจมีจุดมุ่งหมายเดียวกับโอนิชิไค แต่การช่วยเหลือมิสึกิกับประโยคที่ว่าไม่กินเนื้อมนุษย์ทำให้ยาสึฮิระคิดว่าอสูรตนนี้น่าจะมีเป้าหมายอื่น ซึ่งในเวลานี้ก็มีเพียงเรื่องการช่วยเหลือพวกอิวะกับคาสึรางิแต่เขาเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นฝ่ายใด เจ้าเมืองโคะโตโระยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นกระทั่งมิสึกิเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือท่านพ่อ”

เขาไหวตัวเล็กน้อยและหันไปส่งยิ้มให้กับบุตรี

“แค่คิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเจ้าอย่าได้สนใจเลย ที่ข้ามานี่ก็เพื่อจะบอกข่าวดีกับเจ้า” เขาแสร้งทำเป็นเว้นระยะคำพูดและมองดวงตาที่ฉายความอยากรู้ของบุตรีอย่างขบขัน

“อาจารย์สอนนาฏกรรมของเจ้าเดินทางมาถึงแล้ว”

ใบหน้าของมิสึกิมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมาในทันที แต่นางก็ยังคงรักษากิริยาให้ดูสงบเสงี่ยมขณะที่เอ่ยถาม

“ท่านพ่อหมายถึง”

“ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ” ยาสึฮิระตอบพลางหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้ายินดีของมิสึกิ “เขาเดินทางมาไกลข้าเลยสั่งให้ไปพักที่ห้อง พรุ่งนี้ค่อยเริ่มการสอน เจ้ารอได้ใช่ไหม”

ประโยคสุดท้ายถามบุตรีอย่างจงใจ มิสึกิรีบก้มหน้าลงหลบสายตาพร้อมกับกล่าวเบาๆ

“หากท่านพ่ออนุญาตข้าก็พร้อมจะเรียน”

ยาสึฮิระหัวเราะพลางลูบศีรษะบุตรสาวอย่างเอ็นดู

“ถึงไม่อนุญาตเจ้าก็รั้นที่จะเรียนกับเขาอยู่ดี” บิดาของนางกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “แต่สัญญาก่อนได้ไหมว่าเมื่อเรียนแล้วเจ้าจะร่ายรำให้ข้าดูก่อนใคร”

“มันเป็นความตั้งใจของข้าอยู่แล้ว” มิสึกิกล่าวอย่างแข็งขันจนบิดาต้องอมยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอ” เขามองบุตรีนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “ป่านนี้พวกที่ปรึกษากับบรรดาแม่ทัพนายกองคงพร้อมกันอยู่ที่ห้องประชุมแล้ว ข้าคงต้องรีบไป”

มิสึกิกล่าวคำขอบคุณและค้อมคำนับบิดาอย่างนอบน้อม ยาสึฮิระยิ้มพร้อมกับผงกศีรษะรับจากนั้นจึงเดินจากมา แต่แทนที่จะตรงไปยังห้องประชุมตามที่กล่าวกับบุตรีเขากลับก้าวกลับไปที่จวนจนกระทั่งถึงห้อง ทันทีที่บานประตูเลื่อนปิดลงยาสึฮิระจึงพูดขึ้น

“มาที่นี่ทำไม”

ร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นกลางห้องพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ากลัว

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเห็นข้า”

ไพรากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มก้องกังวาน ยาสึฮิระหันไปจ้องหน้าเขาและพูดด้วยเสียงทรงอำนาจไม่แพ้กัน

“ข้าสัมผัสถึงพลังของเจ้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในปราสาท” ดวงตาทอประกายกร้าวดุดัน “บอกจุดประสงค์ของเจ้ามาแล้วข้าจะดับลมหายใจให้อย่างไม่ทรมาน”

“ดับลมหายใจของข้า” ไพราพูดพลางแค่นเสียงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ด้วยพลังระดับเจ้าคงไม่มีทางทำได้ดังที่พูด”

คิ้วของยาสึฮิระขมวดเข้าหาด้วยความแปลกใจ

“รู้ด้วยหรือว่าข้าเป็นใคร”

“ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะก้าวเข้ามาในปราสาทด้วยซ้ำ”จอมอสูรตอบพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก “ข้าเคยเห็นพวกที่ยอมตกเป็นทาสหรือทำสัญญากับปิศาจ แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอมนุษย์ใจกล้าจนถึงขนาดยอมเปลี่ยนวิญญาณตัวเอง”

เขาจ้องเจ้าครองโคะโตโระเขม็ง

“เจ้าต้องการอำนาจมากขนาดนี้เลยหรือ”

“ใช่” ยาสึฮิระตอบเสียงห้วน ไพรามองเขาด้วยสายตาสมเพช

“น่าอนาถนัก อยากยิ่งใหญ่จนถึงกับยอมทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นมุนษย์ ช่างแตกต่างจากบุตรสาวของเจ้าโดยแท้”

ประโยคสุดท้ายทำให้ดวงตาของยาสึฮิระทอแสงลุกโชน เขาขยับไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับยืดตัวขึ้นและกล่าวอย่างทระนง

“ความยิ่งใหญ่จะมีค่าอะไรถ้าไร้คนให้ปกป้อง ที่ข้ายอมเป็นปิศาจก็เพื่อคุ้มครองโคะโตโระและมิสึกิให้รอดพ้นจากความกระหายของศัตรู มันเป็นสิ่งที่อสูรอย่างเจ้าไม่มีวันเข้าใจ”

จอมอสูรถึงกับยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึงเมื่อได้ฟังเหตุผลของเจ้าเมืองโคะโตโระ เขาเลื่อนมือไปสัมผัสขนจามรีสีขาวบนท่อนแขนอย่างลืมตัว

“เพื่อปกป้องอย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มผุดบนริมฝีปาก “เป็นข้ออ้างที่น่ายกย่องแต่เจ้าเพียงคนเดียวไม่มีทางสู้กับคนและปิศาจนับร้อยได้”

“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แค่บั่นหัวผู้นำพวกที่เหลือก็หมดกำลังใจที่จะสู้แล้ว” ยาสึฮิระพูดด้วยน้ำเสียงคำราม ดวงตาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาสองอันผุดขึ้นบนศีรษะและเริ่มยืดยาวออกมา “เช่นเดียวกับพวกปิศาจ ตัวใดกล้าย่างกรายเข้ามาในปราสาทข้าก็จะสังหารให้หมด”

กรงเล็บตวัดไปข้างหน้า แรงกระแทกทรงพลังพุ่งเข้าใส่ไพราแต่เขากลับตีสีหน้าเบื่อหน่ายขณะใช้มือปัดมันออกอย่างง่ายดายคล้ายไล่แมลงตัวหนึ่งเท่านั้น

“คิดจะใช้พลังแค่นี้กำจัดข้า มันไม่เป็นการดูถูกกันไปหน่อยหรือ” จอมอสูรกล่าวเสียงต่ำพลางเรียกพลังเพลิงขึ้นมาบนฝ่ามือและสะบัดใส่ยาสึฮิระทันที เขายกมือขึ้นรับและบีบมันจนแตกสลายไปในพริบตา

“ข้าไม่ใช่ปิศาจชั้นต่ำอย่างที่เจ้าเคยพบ” เจ้าเมืองโคะโตโระในร่างปิศาจพูดพร้อมกับวาดมือทั้งสองไปด้านข้าง มวลอากาศรอบตัวเต้นไหวกลายเป็นคลื่นหมุนวน เขามองไพราด้วยดวงตาทอแสงลุกโชน “เพราะมีบุญคุณที่ช่วยเหลือมิสึกิข้าจึงคิดที่จะไล่ออกไปให้พ้นเท่านั้น แต่เมื่อเจ้ากล้าวางท่าอวดดีเช่นนี้ ก็คงไม่จำเป็นต้องออมมือกันอีกต่อไป”

“ข้าก็แค่อยากมาทักทายเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าต้องการจะสู้ก็ลงมือได้เลย”

จอมอสูรยืดอกพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออก เปลวเพลิงระเบิดขึ้นในใจกลางฝ่ามือและลุกโชติช่วงไปทั่วร่าง ยาสึฮิระเปลี่ยนมวลอากาศรอบตัวเขาให้กลายเป็นหอกและเตรียมจะซัดเข้าใส่แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนทำให้ต้องชะงัก กายปิศาจกลับกลายเป็นมนุษย์เช่นดังเดิมเป็นจังหวะเดียวกันกับที่บานประตูเลื่อนเปิดออก โอริเอะก้าวพรวดเข้ามาและรีบค้อมตัวลงพร้อมกับรายงาน

“ค่ายด้านเหนือแจ้งมาว่ากำลังถูกทัพของคาสึรางิโจมตีอย่างหนักขอรับ”

“ว่าไงนะ” เจ้าเมืองโคะโตโระอุทาน “เป็นไปได้ยังไง ทำไมเราจึงไม่รู้การเคลื่อนไหวของพวกนั้นเลย”

“ข้าต้องขออภัยที่เลินเล่อปล่อยให้ทัพข้าศึกรุกมาประชิดชายแดนได้” โอริเอะค้อมศีรษะลงจนต่ำ แม้เพลิงพิโรธจะปะทุขึ้นแต่ยาสึฮิระกลับไม่กล่าวตำหนิแม่ทัพใหญ่เลยสักคำ เขาเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกและจ้องท้องฟ้าด้านเหนือนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเบนกลับมายังโอริเอะอีกครั้งพร้อมกับพูดอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าไม่ได้เลินเล่อ แต่ถูกพวกปิศาจอำพรางสายตาต่างหาก นอกจากจะทำให้เราไม่เห็นการเคลื่อนไหวของข้าศึกแล้วพวกมันยังทำลายกับดักที่เจ้าวางเอาไว้ด้วย”

เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะออกคำสั่ง

“จงรีบไปจัดการแบ่งทหารออกเป็นสองกอง ต้วข้าจะนำทหารส่วนหนึ่งไปสมทบที่ค่ายทางทิศเหนือส่วนเจ้าจงนำกำลังที่เหลือไปรอที่ค่ายทิศตะวันออก” 

“เพราะอะไรหรือขอรับ” แม่ทัพหนุ่มถามด้วยความสงสัย ยาสึฮิระหันไปหยิบดาบมากำกระชับแน่น

“เพราะทัพของคาสึรางิกำลังจะเข้าโจมตีที่นั่นด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญคือนอกจากพวกมันแล้วยังมีทัพจากเมืองอิวะตามมาสมทบ เจ้าอาซามิคงคิดจะยกกำลังถล่มโคะโตโระจากทางด้านนั้นจึงทุ่มกำลังส่วนใหญ่ไปทางตะวันออก ข้าคิดว่าถ้าเราสามารถจัดการทัพใดทัพหนึ่งไปก่อนพวกที่เหลือคงจำต้องล่าถอยออกไป”

เขาหันไปทางโอริเอะซึ่งกำลังยืนมองกลับมาด้วยสายตาแปลกใจ

“มัวตกตะลึงอะไรกันอยู่ รีบไปจัดการตามข้าที่สั่งโดยเร็ว”

แม้จะสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นนายพูดแต่ความภักดีที่วิ่งอยู่ในสายเลือดทำให้โอริเอะไม่คิดที่จะเอ่ยปากถาม เขาโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวรับคำและรีบเดินไปจัดการตามคำสั่ง เมื่อแม่ทัพพ้นไปไกลแล้วเจ้าเมืองโคะโตโระจึงหันไปมองไพราซึ่งกอดอกยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยพร้อมกับกล่าว

“คงต้องพักเรื่องของเจ้าเอาไว้ก่อน”

“ข้ารอได้เสมอ”

พูดจบร่างของจอมอสูรก็เลือนหายไป ยาสึฮิระจึงจัดแจงสวมเกราะและเดินไปยังกองทหารที่โอริเอะจัดเตรียมไว้แต่ผู้นำแห่งโคะโตโระได้แบ่งกำลังพลของเขาให้ไปกับกลุ่มของ
แม่ทัพและนำองครักษ์ของเขาเข้าไปทดแทน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วทั้งหมดขบวนนักรบจึงออกเดินทางโดยแยกกันไปคนละด้าน แม้ปลายทางจะต่างกันแต่ทั้งสองทัพก็มีจุดมุ่งหมายเดียวคือการป้องกันโคะโตโระจากการบุกของกองทัพคาสึรางิ

*/*/*/*/*





Create Date : 25 มีนาคม 2555
Last Update : 25 มีนาคม 2555 11:24:20 น.
Counter : 377 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog